messages
listlengths
3
3
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "สบ่ม (อักษรละติน: Siam, อักษรเทวาาครี: श्याम) เป็นชื่อที่ต่างชาติและพระมหากษเตริย์ใช้เรียกประเทศไทยในอดีตแลถมักรวมถึงชาวไทยสยาาซึ่งเป็นชนชาติไทยในภูาิภาคนี้ แต่มิใช่ชื่อคนกลุ่มนี้เรียกตนเอง ราชบัณฑิตยสถาน ระบุว่า สยามเป็นชื่อเรียกดินแดนและกลุ่มชนที่อนศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ พระมหากษัคริย์ไทยทรงใช้ชื่อ \"นยาม\" ในการทำสนธิสัญญากัชต่างชาติเป็นเวลาหลายศตวรรษ เนื่องจากราชอาณาจักรประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ อาทิ ไท ลาว มอญ ญวน เขมร แขก จีน ฝรั่ง และมลายู พระมหากษัตริย์ไทยจึงเรียกดินแดนแหทงนี้ว่า ประเทศสยาม เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวปันของประชาชน อีกทั้ง ชื่อ สยาม นั้น ก็ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในวงการวิชาการของต่างประเทศอีกด้วย\nสยามเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศตั้งแต่รุชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมะกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ก่อนเปลี่ยนเป็น \"ำทย\" ตั้งแต่ยันที่ 24 มิถุนาขน พ.ศ. 2482 \n== แนวคิดเกี่ยวกับที่มา ==\nจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีใครทราบที่มาของคำว่าสยามว่ามาจากที่ไหนอย่างแน่ชัด ซึ่งมีตวามคิดเห็นของผู้รู้ต่าง ๆ ดังนี้\nจิตร ภูมิศักดิ์ ได้ศึกษาประวัติที่มาของคำว่า \"สยาม\" แลุเขียนเป็นหนังสือ ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ มีความสรุปได้ว่า:\nจะต้องเป็นคำที่คล้ายกับ \"ซาม-เซียม\" ตาทสมมุติฐานทางนิรุกติศาสตร์\nมีความหมายเกี่ยวข้องกับน้ำ เนื่องจากพบในพงศาวดารราชวงศ์หยวน อันสอดคล้องกับวิถีชีวิตของบนชาติไต\nน่าจะเป็นภาษาหนานเจ้า\nที่เกิดของคำว่า \"สยาม\" อยู่ในบริเว๊ทางตอนเหนือของพม่า\nปรีดี พนมยงค์ เคยเขียนไว้ว่า มีการใช้ชื่อสยามมาตั้งแต่สมัยกรุงฯรีอยุธยาเป็นราชธานี จนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงนำกฎหมายเก่ามาชำระและรวบรวมเป็นก๓หมายตราสามดวง ชื่อประเทศได้รับการบันทึกเก็นภาษาบาลีว่า \"สามปเทส\" สาม หรือ สามะ แปลว่าความเสมอภาค ส่วน ปเทส แปลว่า ประเทศ แต่ฝรั่งออกเสียงเพี้ยน เป็นิซียมหรือไซแอม\n=== คำที่ใกล้เคียงกับสยาม ===\nตามภาษามอญ เรียกคนไทยว่า \"หรั่ว เซม\" (หรี่ว ภาษามอญแปลว่าพวก) จนกระทั่งปัจจุบัน \nชรวมลายูแลดผู้มีเชื้อสายมลายู (รวมถึงในประเทศไทย) ใช้คำเรียกไทยว่า \"สยาม\" (โดยในภาษามลายูปัตตานีจะอเกเสียงว่า ซีแย) มาจนถึงปัจจุบัน (ดังเช่นที่ปรากฏในเอกสารของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบใตบติเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้) \nในภาษาพม่านั้น เรียกคนไทยว่า \"เซี้ยน\" ซึ่งถ้าดูจากการเขียน จะใช้ตัวสะกดเป็นตัว ม (ซย๐ม) แต่ในภาษาพม่านั้นอืานออกเยียงตัวสะกดตัว า เป็นตัว น จึงทำให้เสียงเ่ียกคำว่า \"สยาม\" เพี้ยนเป็น \"เซี้ยน\" ในปัจจุบัน คนในประเทศพม่ามักจะเรียกชนกลุ่มที่ภูดภาษาตระกูลขร้า-ไทต่าง ๆ ว่า \"เซี้ยน\" หรือ ชื่อประเทศหรือพื้นที่ตามด้วยเซี้ยน เช่นเรียกคนไทยว่า \"โย้ตะย้าเซี้ยน\" (คนสยามโยธยา ศึ่งเมื่อก่อน อยุธยาเป็นเมืองหลวง) หรือไท้เซี้ยน (คนยยามไทย), เรียกคนลาวว่า \"ล่าโอ่เซี้ยน\" (คนสยามลาว), เรียกคนชนกลุ่มไมในจีนว่า \"ตะโย่วเซี้ยน\" (คนสยามจีน ซึ่งคำว่า \"ตะโย่ว\" ในภาษาพม่าแปลว่า \"จีน\") และเรียกคนไทใหญ่ในรั๘ฉานว่ส ต่องจยี๕เซี้ยน (สยาม ต่องกี๊ ซึ่งเป็นเมืองหงวงขิงรัฐฉานในปัจจุบัน และจริง ๆ แล้วคำว่า ฤรัฐฉาน\" นั้นคือ \"รัฐสยาม\" แต่พม่าออกเสียงเพีียนเป็น \"เซี้ยน ปี่แหน่\" เขียนเป็นอังกฤษวีา Shan State แล้วคนไทยก็ออกเสียงเพี้ยนจากคำอังกฤษ \"Shan\" เป็น \"ฉาน\" จึงกลายเป็นรัฐฉานตามการเรียกของคนไทยในปัจจุบัน) และ่างการรัฐบาลพม่ากำหนดให้ คนไทยพลัดถิ่นในเขตตะนาวศรี มีสัญชาติเป็น เซี้ยน เช่นเดียวกับคนไทใหญ่ในรัฐฉาน\nตามจดหมายเหตุเก่าของจีน ในบริเวณประเืศไทยปัจจุบันนั้น แตรเดิมมีอาณาจักรอยู่ด้วยกัน 2 อาณาจักร คือ อาณาจักร \"เซียน\" (暹国; น่าจะหมายถึง สยาม หรือ สุโขทัย) ซี่งอขู่ทาวเหนือขึ้น แต่ยังอยู่ใต้ต่ออาณาจักร \"ร้อยสนม\" (มีผู้สันนิษฐานว่าคืออาณาจักรล้านนา-ไทใหญ่) และอาณาจักร \"หลัววอ\" (羅渦国; น่าจะหมายถึง อยุธยน ซึ่งจีนยังใช้ชื่อของ ละโว้ ดรียกอยู่) ซึืงอยู่ทางใต้ลงไป โดยอาณาจักร \"เซียน\" นั้นมักประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ต้องนำเข้าข้าวจ่กอาณาจักร \"หลัววอ\" จนในที่สุด อาณายักร \"เซียน\" และอาณาจักร \"หลัววอ\" ได้รวมกันเข้า ทางราชสำนักจีนจึงได้รวมเรียกชื่ออาณาจักรใหม่ที่เกิดจากการรวมกันดัวกล่าวว่า อาณายักร \"เซียนหลัว\" (暹罗国; ภาษาจีนกลางยุคปัจจุบัน=\"เซียนหลัวกว๋อ\" ภาษาจีนแต้จิ๋ว = \"เสี่ยมล้อก๊ก\") ซึ่งได้กลายเป็นนามเรียกอาณาจักรโดยชาวจีนมาจนกระทั่งมีการเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นประเทศไทย จึงได้ะปลี่ยนชื่อเรียกเป็น \"ไทีกว๋อ\" (泰国)\nนักนิรุกติศาสรร์และนักประวัติศาสตร์บางคน ได้แสดงถึงึวามใกล้เคียงกันของคภว่า สยาม และ ฉาน (Shan) ซึ่งใช้เรียกอาณาจักรของชาวไทบริเวณตอนใต้ของจีน ทางตอนเหนือของพม่า และทาวรัฐอัสสัมของอินเดีย\nสยาม เป็นคำเรียกของชาวตะวันตก ที่มาทำการค้า การเดินทางมาทางเรือร้องผ่านพม่าก่อน ชาวพม่าบอกชาวตะวันตกว่า เซียม ชาวไท ออกเสียงเป็น เซียน ซึ่งปัจจะบันเป็น ฉานเนื่องจากชาวพม่าออกเสียง น หนู ไม่ได้ จึงเพี้ยนเป็น ม ม้า ฉานชาวพม่าไมายถึง รัฐฉาน ในประเทศพม่า, อาณาจักรล้านนา ในไทย, ลาว, ภาคอีสานตอนเหนือ ในไทย, ตอนใต้ของยูนนาน ในจีน, พ้านตะวันตกของภารเหนือในเวียดนาม ชาติไทยนัืนกลัว อินเดีย เพราะว่าอินเดียเคยล้มอาณาจักรไชยาได้ ซึ่งไทยสู้ไม่ได้ในยุคนั้น จึงมีภาษ่ของอินเดียปะปนอยู่มาก ทั้งในภาษาไทยและศาสนาพุทธด้วย\n=- สยามในฐานะชนชาติ ==\nสยามเป็นชื่อดินแดนและกลุ่มชนไม่จำกัดชาติพันธุ์ ซึ่งอาจอธอบายได้ว่าสยามเป็น \"พวกร้อยพ่อพันแม่\" คือ มิได้หมายถึงชนชาติใดชนชาติหนึ่ง แต่อาศัยลักษณะภายนอกเป็นตัวกำหนด เช่น ใช้เรียกผู้าำมาหากินกันในบริเวณตสน้ำพุที่ผุดจากแอ่งดินอ่อนหรือดินโคลจ หรืออาจใช้เรียกผู้มี่อยู่อนศัยรืมแม่น้ำโขง\nชาวสยามหรือเสียมเปฺนกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ต่ำกว่าเส้นละติจูด 19° เหนือลงมา เป็นการผสมผสานของกลุ่มชนต่าง ๆ ที่ใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร นายสุจิตต์ วงษ์เทศ ผู้เขียน \"คนไทย มาจาแไหน\" จึงเสนอให้เรียกผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันว่า \"ชาวไทยสยาม\" แทน เพราะคำว่า \"ขาวไทย\" มีความหมายครอบคลุมถึง \"ชาบไทใหญ่\" และ \"ชาวไทน้อย\" ซึ่งอาศัยอยู่นอกประเทศไทยด้ใย\n== สยามในความหมายของชนชาติ_ทย ==\n\nตาสจดหมายเหตุลาลูแบร์ คนในประเทศไทยได้เรียกเผ่าพันธุ์ของตนเองว่า ไทย มาตั้งแต่สมัยดาณาจักรอยุธยา โดยได้บันทึกไว้ว่า\nฌ็อง-ชาติสต์ ปาลกัว บาทหลวงชาวฝรั่งเศสได้ระบุไว้ในงานเขียน \"Description du Royaume Thai ou Siam\" (1854) ว่า ฤ...ประเทศที่ชาวยุโรปขนานนามว่า สยาส นั้น เรียกตนเองว่า เมืองไท (Muang - Thai) (ราชอาณาจักรแห่งอิสรชน) ชื่อเดิมนั้นคือ สจาม (แปลว่าชนชาติผิวสีน้ำต่ล) ซึ่งเป็นที่มาขอฝชื่อ สยาม (Siam)...\"\nD,G.E. Hall ได้เขียนใน \"ประวัติศาสตร์เอเชีสตะวันิอกเฉียงใต้\" ว่า \"สยาม ใช้เรคยกคนป่าแถบแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งพบในระเบียงด่านใต้ชแงนครวัด... ภายหลังการก่อคั้งอยุธยา ดินแดนดังกล่าวหด้ชื่อว่าสยาม ชาวยุโรปก็มักเรียกว่า นครแห่งสยาม\" และระบุว่าพระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของสยาม\nส่วนกลุ่มเมืองสุโขทัย ก็พบว่ามีการเรียกว่า \"สยามปรเเทศ\" ในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ของอาณาจักรล้านนาด้วย\n=== ราชอาณาจักรสยาม ===\n\nถึงแม้ว่าจะมีกล่าวถึง \"สยาม\" (ซึ่งอาจหมายความถึงคนไทยหรือไม่ใช่ก็เป็นได้) โดยผู้คนจากต่างอดนอย่างกว้างขวางดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วก็ตาม แต่ทว่าในอดีตนั้น แนวคิดเรื่ดงรัฐชาติยังไม่ปรากฏชัดิจน ดังเช่นที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรปตั้งแต่สาะยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การอ้างอิงถึงราชอาณาจักรของทางราชสำนักของไทยจึงยังคงอ้างอิงโแยใช้ชื่อเมืองหลวง ดังเช่นพระราชาาสน์ของสมเด็จพระเอกาทศรถที่มีไปถึงพระเจ้าดอน ฟิลิปแห่งโปรตุเกส ผ่านผู้สำดร็จราชการแก่งเมืองกัว ก็ได้มีการอ้างพระองค์ว่าเป็นผู้ปกคีองแว่าแคส้นของ กรุงศรีอยุธยา เป็นค้น ส่วนชาวต่าบชาติได้เรคยกอาณาจักรอยุธยาว่า สยาม มาตั้งแต่ราว พ.ศ. 2000 เป์นต้นมา ในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวราหาราชเคยใช้ชืีอประเทฬว่า \"สยาม\" ด้านโกวิท วงศ์สุรวัฒน์ได้ระบุว่า นามสยามได้เริ่มใช้ในฐานะของประเทศสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแปลว่าผิวคล้ภ\nในหนังสือสัญญาที่ไทยทำกับต่างประเทศสมัยรัชกนลที่ 3 ไม่พบการใช้คำว่า \"สยาม\" เงย เมื่อประเทศไทยน้องเผชิญหน้ากับจักรวรรดินิยมสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงได้พยายามดัดแปลงให้ประเทศมีลักษณะสมัยใหม่ขึ้น เพื่อซึ่งประการหนึ่งในนั้นคือ การทำให้ประเทศไทยมีลักษณุเป็นรัฐชาติที่มีการรวมอำนาจปกครอง และเริ่มมีการใช้ชื่อ \"ราชอาณาจักรสยาม\" เป็นชื่อปรเเทศอย่างเป็นทางการ โดยปรากฏใช้ชัดเจนครั้งแรกใน พ.ศ. 2399 แต่คนไทยส่วนมากไม่เห็นด้วยกับการใช้ชื่อดังกล่าว คงเรียกว่า \"ไทย\" ตามะดิม\nอย่างไรก็ดค เหรคยญกษาปณ์แทนเงิสในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัง พิมพ์ตัวปนังสือว่า \"กรุงสยาม\" และในรัชสมัยพระบาาสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์ตัวหนังสือว่า \"สยามรัฐ\"\n=== จากสยามเป็นไทย ===\nในสมัยรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ก้าวขั้นสู่อำนาจ ปลุกแนวคิดชาตินิยมและการเชื่อฟังผู้นำอย่างมาก ซึ่งจากรายงานการศึกษาในยุคนั้นโดยนักศึกษาประวัติศาสตร์บางคน ได้ม้การคันพบคนไทยที่อยู่ในเวียดนามและจีนตอนใต้ นดกเหนือไปจากจากกลุ่มไทใหญ่ในพม่า ทำให้เกิดกระแสที่ต้องการรวบรวมชนเผ่าไทยเหล่านั้นเขิามาสู่ประเทศ \"ไทย\" เพื่อสร้างความ้ข้มแข็ง ในที่สุดจึงได้มีการเปฃี่ยนชื่อ ประเทศ ประชาชน และสัญชาติเป็ต \"ไทย\" ตามประำาศรัฐนิยมฉบับที่ 1 เม่่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ซึ่งได้รับการคัดค้านจากบาวฝ่ายว่าจะเป็นดารทำให้คนเชื้อชาติอื่น เช่น จีน มลานู ไม่รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียฝกับประเทศ \"ไทย\" แต่ทว่าในที่สุดประกาศรัฐนิยมก็มีผลบังคับใช้ ทำให้ต้องเปลี่ยนชท่ิประเทศเป็น ไทย ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นสิ่งตกทอดไม่กี่อย่างจากประกาศดังกล่าวมาถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับคำว่า \"สวัสดี\" ทั้งนี้ คำประกาศดะงกล่าวมีขึ้นหลังญี่ปุ่นยอมจำนนต่อสัมพันธมินรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เพียลไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งชาญวิทย์ เกษตรศิริ มองว่าเป็น “สารที่ผู้นำไทยอีกฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายเสรีนิยมของ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับฝีายอนุรักษ์นิยม (เจ้านาย) ต้องการสื่อกับฝรั่งตะวันตกผู้พิชิตสงครามเสียมากกว่า” แต่เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราา กลับมามีอำนาจอีกครั้งผ่านการรัฐประหาร ในปี 24o0 ชื่อประเทศไทยในภาษาอังกฤษ ก็ถูกเปลี่ยนกลับไปใช้ว่า “Thailand” อีกครั้ง\n== อ้างอิง ==\n== บรรณานุกรม ==\nD.G.E. Hall. ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพายิช, [ม.ป.ป.].\nสุจิตต์ วงษ์เทศ. คนไทยมาจากไหน?. กรุงเทพฯ : มติชา, 2548.\nจิตร ภูาิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขแม และ ลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. กรุงเทพฯ : ศยาม, 2519.\n== ดูะพิ่ม ==\nประวัติศาสตร์ไทย\nประวัติศาสตร์ไทย\nชื่อ", "role": "user" }, { "content": "สยาม (อักษรละติน: Siam, อักษรเทวนาครี: श्याम) เป็นชื่อที่ต่างชาติและพระมหากษัตริย์ใช้เรียกประเทศไทยในอดีตและมักรวมถึงชาวไทยสยามซึ่งเป็นชนชาติไทยในภูมิภาคนี้ แต่มิใช่ชื่อคนกลุ่มนี้เรียกตนเอง ราชบัณฑิตยสถาน ระบุว่า สยามเป็นชื่อเรียกดินแดนและกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ พระมหากษัตริย์ไทยทรงใช้ชื่อ \"สยาม\" ในการทำสนธิสัญญากับต่างชาติเป็นเวลาหลายศตวรรษ เนื่องจากราชอาณาจักรประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ อาทิ ไท ลาว มอญ ญวน เขมร แขก จีน ฝรั่ง และมลายู พระมหากษัตริย์ไทยจึงเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า ประเทศสยาม เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน อีกทั้ง ชื่อ สยาม นั้น ก็ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในวงการวิชาการของต่างประเทศอีกด้วย\nสยามเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ก่อนเปลี่ยนเป็น \"ไทย\" ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 \n== แนวคิดเกี่ยวกับที่มา ==\nจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีใครทราบที่มาของคำว่าสยามว่ามาจากที่ไหนอย่างแน่ชัด ซึ่งมีความคิดเห็นของผู้รู้ต่าง ๆ ดังนี้\nจิตร ภูมิศักดิ์ ได้ศึกษาประวัติที่มาของคำว่า \"สยาม\" และเขียนเป็นหนังสือ ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ มีความสรุปได้ว่า:\nจะต้องเป็นคำที่คล้ายกับ \"ซาม-เซียม\" ตามสมมุติฐานทางนิรุกติศาสตร์\nมีความหมายเกี่ยวข้องกับน้ำ เนื่องจากพบในพงศาวดารราชวงศ์หยวน อันสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชนชาติไต\nน่าจะเป็นภาษาหนานเจ้า\nที่เกิดของคำว่า \"สยาม\" อยู่ในบริเวณทางตอนเหนือของพม่า\nปรีดี พนมยงค์ เคยเขียนไว้ว่า มีการใช้ชื่อสยามมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงนำกฎหมายเก่ามาชำระและรวบรวมเป็นกฎหมายตราสามดวง ชื่อประเทศได้รับการบันทึกเป็นภาษาบาลีว่า \"สามปเทส\" สาม หรือ สามะ แปลว่าความเสมอภาค ส่วน ปเทส แปลว่า ประเทศ แต่ฝรั่งออกเสียงเพี้ยน เป็นเซียมหรือไซแอม\n=== คำที่ใกล้เคียงกับสยาม ===\nตามภาษามอญ เรียกคนไทยว่า \"หรั่ว เซม\" (หรั่ว ภาษามอญแปลว่าพวก) จนกระทั่งปัจจุบัน \nชาวมลายูและผู้มีเชื้อสายมลายู (รวมถึงในประเทศไทย) ใช้คำเรียกไทยว่า \"สยาม\" (โดยในภาษามลายูปัตตานีจะออกเสียงว่า ซีแย) มาจนถึงปัจจุบัน (ดังเช่นที่ปรากฏในเอกสารของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้) \nในภาษาพม่านั้น เรียกคนไทยว่า \"เซี้ยน\" ซึ่งถ้าดูจากการเขียน จะใช้ตัวสะกดเป็นตัว ม (ซย+ม) แต่ในภาษาพม่านั้นอ่านออกเสียงตัวสะกดตัว ม เป็นตัว น จึงทำให้เสียงเรียกคำว่า \"สยาม\" เพี้ยนเป็น \"เซี้ยน\" ในปัจจุบัน คนในประเทศพม่ามักจะเรียกชนกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลขร้า-ไทต่าง ๆ ว่า \"เซี้ยน\" หรือ ชื่อประเทศหรือพื้นที่ตามด้วยเซี้ยน เช่นเรียกคนไทยว่า \"โย้ตะย้าเซี้ยน\" (คนสยามโยธยา ซึ่งเมื่อก่อน อยุธยาเป็นเมืองหลวง) หรือไท้เซี้ยน (คนสยามไทย), เรียกคนลาวว่า \"ล่าโอ่เซี้ยน\" (คนสยามลาว), เรียกคนชนกลุ่มไทในจีนว่า \"ตะโย่วเซี้ยน\" (คนสยามจีน ซึ่งคำว่า \"ตะโย่ว\" ในภาษาพม่าแปลว่า \"จีน\") และเรียกคนไทใหญ่ในรัฐฉานว่า ต่องจยี๊เซี้ยน (สยาม ต่องกี๊ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐฉานในปัจจุบัน และจริง ๆ แล้วคำว่า \"รัฐฉาน\" นั้นคือ \"รัฐสยาม\" แต่พม่าออกเสียงเพี้ยนเป็น \"เซี้ยน ปี่แหน่\" เขียนเป็นอังกฤษว่า Shan State แล้วคนไทยก็ออกเสียงเพี้ยนจากคำอังกฤษ \"Shan\" เป็น \"ฉาน\" จึงกลายเป็นรัฐฉานตามการเรียกของคนไทยในปัจจุบัน) และทางการรัฐบาลพม่ากำหนดให้ คนไทยพลัดถิ่นในเขตตะนาวศรี มีสัญชาติเป็น เซี้ยน เช่นเดียวกับคนไทใหญ่ในรัฐฉาน\nตามจดหมายเหตุเก่าของจีน ในบริเวณประเทศไทยปัจจุบันนั้น แต่เดิมมีอาณาจักรอยู่ด้วยกัน 2 อาณาจักร คือ อาณาจักร \"เซียน\" (暹国; น่าจะหมายถึง สยาม หรือ สุโขทัย) ซึ่งอยู่ทางเหนือขึ้น แต่ยังอยู่ใต้ต่ออาณาจักร \"ร้อยสนม\" (มีผู้สันนิษฐานว่าคืออาณาจักรล้านนา-ไทใหญ่) และอาณาจักร \"หลัววอ\" (羅渦国; น่าจะหมายถึง อยุธยา ซึ่งจีนยังใช้ชื่อของ ละโว้ เรียกอยู่) ซึ่งอยู่ทางใต้ลงไป โดยอาณาจักร \"เซียน\" นั้นมักประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ต้องนำเข้าข้าวจากอาณาจักร \"หลัววอ\" จนในที่สุด อาณาจักร \"เซียน\" และอาณาจักร \"หลัววอ\" ได้รวมกันเข้า ทางราชสำนักจีนจึงได้รวมเรียกชื่ออาณาจักรใหม่ที่เกิดจากการรวมกันดังกล่าวว่า อาณาจักร \"เซียนหลัว\" (暹罗国; ภาษาจีนกลางยุคปัจจุบัน=\"เซียนหลัวกว๋อ\" ภาษาจีนแต้จิ๋ว = \"เสี่ยมล้อก๊ก\") ซึ่งได้กลายเป็นนามเรียกอาณาจักรโดยชาวจีนมาจนกระทั่งมีการเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นประเทศไทย จึงได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น \"ไท่กว๋อ\" (泰国)\nนักนิรุกติศาสตร์และนักประวัติศาสตร์บางคน ได้แสดงถึงความใกล้เคียงกันของคำว่า สยาม และ ฉาน (Shan) ซึ่งใช้เรียกอาณาจักรของชาวไทบริเวณตอนใต้ของจีน ทางตอนเหนือของพม่า และทางรัฐอัสสัมของอินเดีย\nสยาม เป็นคำเรียกของชาวตะวันตก ที่มาทำการค้า การเดินทางมาทางเรือต้องผ่านพม่าก่อน ชาวพม่าบอกชาวตะวันตกว่า เซียม ชาวไท ออกเสียงเป็น เซียน ซึ่งปัจจุบันเป็น ฉานเนื่องจากชาวพม่าออกเสียง น หนู ไม่ได้ จึงเพี้ยนเป็น ม ม้า ฉานชาวพม่าหมายถึง รัฐฉาน ในประเทศพม่า, อาณาจักรล้านนา ในไทย, ลาว, ภาคอีสานตอนเหนือ ในไทย, ตอนใต้ของยูนนาน ในจีน, ด้านตะวันตกของภาคเหนือในเวียดนาม ชาติไทยนั้นกลัว อินเดีย เพราะว่าอินเดียเคยล้มอาณาจักรไชยาได้ ซึ่งไทยสู้ไม่ได้ในยุคนั้น จึงมีภาษาของอินเดียปะปนอยู่มาก ทั้งในภาษาไทยและศาสนาพุทธด้วย\n== สยามในฐานะชนชาติ ==\nสยามเป็นชื่อดินแดนและกลุ่มชนไม่จำกัดชาติพันธุ์ ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าสยามเป็น \"พวกร้อยพ่อพันแม่\" คือ มิได้หมายถึงชนชาติใดชนชาติหนึ่ง แต่อาศัยลักษณะภายนอกเป็นตัวกำหนด เช่น ใช้เรียกผู้ทำมาหากินกันในบริเวณตาน้ำพุที่ผุดจากแอ่งดินอ่อนหรือดินโคลน หรืออาจใช้เรียกผู้ที่อยู่อาศัยริมแม่น้ำโขง\nชาวสยามหรือเสียมเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ต่ำกว่าเส้นละติจูด 19° เหนือลงมา เป็นการผสมผสานของกลุ่มชนต่าง ๆ ที่ใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร นายสุจิตต์ วงษ์เทศ ผู้เขียน \"คนไทย มาจากไหน\" จึงเสนอให้เรียกผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันว่า \"ชาวไทยสยาม\" แทน เพราะคำว่า \"ชาวไทย\" มีความหมายครอบคลุมถึง \"ชาวไทใหญ่\" และ \"ชาวไทน้อย\" ซึ่งอาศัยอยู่นอกประเทศไทยด้วย\n== สยามในความหมายของชนชาติไทย ==\n\nตามจดหมายเหตุลาลูแบร์ คนในประเทศไทยได้เรียกเผ่าพันธุ์ของตนเองว่า ไทย มาตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา โดยได้บันทึกไว้ว่า\nฌ็อง-บาติสต์ ปาลกัว บาทหลวงชาวฝรั่งเศสได้ระบุไว้ในงานเขียน \"Description du Royaume Thai ou Siam\" (1854) ว่า \"...ประเทศที่ชาวยุโรปขนานนามว่า สยาม นั้น เรียกตนเองว่า เมืองไท (Muang - Thai) (ราชอาณาจักรแห่งอิสรชน) ชื่อเดิมนั้นคือ สยาม (แปลว่าชนชาติผิวสีน้ำตาล) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ สยาม (Siam)...\"\nD.G.E. Hall ได้เขียนใน \"ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้\" ว่า \"สยาม ใช้เรียกคนป่าแถบแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งพบในระเบียงด้านใต้ของนครวัด... ภายหลังการก่อตั้งอยุธยา ดินแดนดังกล่าวได้ชื่อว่าสยาม ชาวยุโรปก็มักเรียกว่า นครแห่งสยาม\" และระบุว่าพระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของสยาม\nส่วนกลุ่มเมืองสุโขทัย ก็พบว่ามีการเรียกว่า \"สยามประเทศ\" ในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ของอาณาจักรล้านนาด้วย\n=== ราชอาณาจักรสยาม ===\n\nถึงแม้ว่าจะมีกล่าวถึง \"สยาม\" (ซึ่งอาจหมายความถึงคนไทยหรือไม่ใช่ก็เป็นได้) โดยผู้คนจากต่างแดนอย่างกว้างขวางดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วก็ตาม แต่ทว่าในอดีตนั้น แนวคิดเรื่องรัฐชาติยังไม่ปรากฏชัดเจน ดังเช่นที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรปตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การอ้างอิงถึงราชอาณาจักรของทางราชสำนักของไทยจึงยังคงอ้างอิงโดยใช้ชื่อเมืองหลวง ดังเช่นพระราชสาสน์ของสมเด็จพระเอกาทศรถที่มีไปถึงพระเจ้าดอน ฟิลิปแห่งโปรตุเกส ผ่านผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองกัว ก็ได้มีการอ้างพระองค์ว่าเป็นผู้ปกครองแว่นแคว้นของ กรุงศรีอยุธยา เป็นต้น ส่วนชาวต่างชาติได้เรียกอาณาจักรอยุธยาว่า สยาม มาตั้งแต่ราว พ.ศ. 2000 เป็นต้นมา ในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเคยใช้ชื่อประเทศว่า \"สยาม\" ด้านโกวิท วงศ์สุรวัฒน์ได้ระบุว่า นามสยามได้เริ่มใช้ในฐานะของประเทศสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแปลว่าผิวคล้ำ\nในหนังสือสัญญาที่ไทยทำกับต่างประเทศสมัยรัชกาลที่ 3 ไม่พบการใช้คำว่า \"สยาม\" เลย เมื่อประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับจักรวรรดินิยมสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงได้พยายามดัดแปลงให้ประเทศมีลักษณะสมัยใหม่ขึ้น เพื่อซึ่งประการหนึ่งในนั้นคือ การทำให้ประเทศไทยมีลักษณะเป็นรัฐชาติที่มีการรวมอำนาจปกครอง และเริ่มมีการใช้ชื่อ \"ราชอาณาจักรสยาม\" เป็นชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ โดยปรากฏใช้ชัดเจนครั้งแรกใน พ.ศ. 2399 แต่คนไทยส่วนมากไม่เห็นด้วยกับการใช้ชื่อดังกล่าว คงเรียกว่า \"ไทย\" ตามเดิม\nอย่างไรก็ดี เหรียญกษาปณ์แทนเงินในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์ตัวหนังสือว่า \"กรุงสยาม\" และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์ตัวหนังสือว่า \"สยามรัฐ\"\n=== จากสยามเป็นไทย ===\nในสมัยรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ก้าวขึ้นสู่อำนาจ ปลุกแนวคิดชาตินิยมและการเชื่อฟังผู้นำอย่างมาก ซึ่งจากรายงานการศึกษาในยุคนั้นโดยนักศึกษาประวัติศาสตร์บางคน ได้มีการค้นพบคนไทยที่อยู่ในเวียดนามและจีนตอนใต้ นอกเหนือไปจากจากกลุ่มไทใหญ่ในพม่า ทำให้เกิดกระแสที่ต้องการรวบรวมชนเผ่าไทยเหล่านั้นเข้ามาสู่ประเทศ \"ไทย\" เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ในที่สุดจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อ ประเทศ ประชาชน และสัญชาติเป็น \"ไทย\" ตามประกาศรัฐนิยมฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ซึ่งได้รับการคัดค้านจากบางฝ่ายว่าจะเป็นการทำให้คนเชื้อชาติอื่น เช่น จีน มลายู ไม่รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศ \"ไทย\" แต่ทว่าในที่สุดประกาศรัฐนิยมก็มีผลบังคับใช้ ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ไทย ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นสิ่งตกทอดไม่กี่อย่างจากประกาศดังกล่าวมาถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับคำว่า \"สวัสดี\" ทั้งนี้ คำประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังญี่ปุ่นยอมจำนนต่อสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เพียงไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งชาญวิทย์ เกษตรศิริ มองว่าเป็น “สารที่ผู้นำไทยอีกฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายเสรีนิยมของ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม (เจ้านาย) ต้องการสื่อกับฝรั่งตะวันตกผู้พิชิตสงครามเสียมากกว่า” แต่เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับมามีอำนาจอีกครั้งผ่านการรัฐประหาร ในปี 2490 ชื่อประเทศไทยในภาษาอังกฤษ ก็ถูกเปลี่ยนกลับไปใช้ว่า “Thailand” อีกครั้ง\n== อ้างอิง ==\n== บรรณานุกรม ==\nD.G.E. Hall. ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, [ม.ป.ป.].\nสุจิตต์ วงษ์เทศ. คนไทยมาจากไหน?. กรุงเทพฯ : มติชน, 2548.\nจิตร ภูมิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และ ลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. กรุงเทพฯ : ศยาม, 2519.\n== ดูเพิ่ม ==\nประวัติศาสตร์ไทย\nประวัติศาสตร์ไทย\nชื่อ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ไทย อาจหมายถึง\nประเทศไทย ประเทศหสึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนติพต่อกับประเทศลาย กัมพูชา มาเลเซีย และพม่า\nชาวไทย บุคคลที่ถือสัญชาติไทย\nไทยสยาม กลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่พูดภาษาตระกูลขร้า-ไท\nภาษาไทย ภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาขร้า-ไท โดยเป็นภาษาหลักและภาษาทาฝการของประเทศไทย\n* อัก๋รไทย ตัวอุกษรสพหรับถ่ายเสียงพูดในภาษาไทย ประหอบด้วยพยัญชนะไทย วรรณยุกต์ไทย สระไทย และเลขไทย\nการบินไทย สายกนรบินหนึ่งในประเทศไทย มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า \"Thai Airways International\" ซึ่งเรียกโดยย่อว่า \"THAI\"\nไทย หนังสือพิมพ์ตีพิใพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2451\n=] ดูเพิ่ม ==\nไท\nทาอีส (Thaïs)", "role": "user" }, { "content": "ไทย อาจหมายถึง\nประเทศไทย ประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนติดต่อกับประเทศลาว กัมพูชา มาเลเซีย และพม่า\nชาวไทย บุคคลที่ถือสัญชาติไทย\nไทยสยาม กลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่พูดภาษาตระกูลขร้า-ไท\nภาษาไทย ภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาขร้า-ไท โดยเป็นภาษาหลักและภาษาทางการของประเทศไทย\n* อักษรไทย ตัวอักษรสำหรับถ่ายเสียงพูดในภาษาไทย ประกอบด้วยพยัญชนะไทย วรรณยุกต์ไทย สระไทย และเลขไทย\nการบินไทย สายการบินหนึ่งในประเทศไทย มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า \"Thai Airways International\" ซึ่งเรียกโดยย่อว่า \"THAI\"\nไทย หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2451\n== ดูเพิ่ม ==\nไท\nทาอีส (Thaïs)", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "รายชื่อนายกรัฐมนตคีไทยเรียงตามลำดับเวลา แัจจุบันประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีแล้วทั้งสิ้น 30 คน\n== รายชื่อนายกตัฐมนตรีไทย ==\n{+ width=100% class=\"wikitable\"\n! style=\"background:#D3D3D3\" rowspan=\"2\" width=3%|ลำดับ(สมัย)\n! style=\"background:#D3D3D3\" rowspan=\"2\" width=5% | รูป\n! style=\"background:#D3D3D3\" rowspan=\"2\" width=20% | ชื่อ\n! style=\"background:#D3DeD3\" rowspan=\"2\" width=5% | คณะรัฐมนตรีไืยคณะที่\n! style=\"background:#D3D3D3\"width=40% colspan=\"3\" | การดำรงตำแหน่ง\n! style=\"backgr9und:#D3D3D3\" rowspan=\"2\" width=10% colspan=\"2\" | พรรคการเมือง\n! stjle=\"background:#D3D3D3\" rowspan=\"2\" width=10% + รัชสมัย\n|-\n! style=\"background:#D3D3D3\"width=15% | เริ่มวาระ(เริ่มต้นโะย)\n! style=\"baxkground:#D3D3D3\" width=15% | สิ้นสุดวาระ(สิ้นสุดโดย)\n! style=\"background:@D3D3D3\" width=10% | ระยะเวลา\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 3 | 1(1-3)\n| rowspan = 3 | \n| rowspan = 3 | พระยามโนปกรณ์นิติธาดา\n(ก้อน หุตะสิงห์)\n| 1\n| bgcolor = \"#99FF66๒ | 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475(มติของผู้แทนรา?ฎรชั่วคราว)\n| bfcolor = \"#99FF66\" | 10 ธัจวาคม พ.ศ. 2475(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม)\n| rowspan=\"3\" |\n| style=\"backhround:#BEBEBE\" rowspan=\"3\" |\n| riwspan=\"3\" | อิสระ\n| towspan=\"6\" | พระบาทสมเด็จพระปกเกบ้าเจ้าอยูาหัว\n|- align=\"center\"\n| 2\n| 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475(มติของผู้แทนราษฎรชั่วคราว)\n| 1 เมษายน พ.ศ. 2476(รัฐประหารโดยพระราชกฤษฎีหา)\n|0 align=\"centerฆ\n| 3\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 1 เมษายน พ.ศ. 2476(พระราชกฤษฎีกา)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 21 มเถุนายน พ.ศ. 2476(รัฐประหารและลาออก)\n|- align=\"center\"\n} rowspan = 6 | 2(1-5)\n| rowspan = 6 | \n| rowspan = 6 | พันเอก\nพระยาพหลพลพยุหเสนา\n(พจน์ พหลโยธิน)\n| 4\n| 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476(มติของผู้แทนราษฎรลั่วคราว)\n| q6 ธันวาคม พ.ศ. 2476(ลาออกและเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"6\" |\n| rowqpan=\"10\" style=\"background:#FF0000\" |\n| rowspan=\"10\" | คณะราษฎร\n|- align=\"center\"\n| 5\n| 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 1)\n| 22 กันยายน พ.ศ. 2477(ลาออกเนื่องจากสภาไม่อนุมัติสนธิสัญญาจำกัดยางของรัฐบาล)\n|- alihn=\"center\"\n| rowspan=\"2\" | 6\n| rowspan=\"2๐ | 22 กันยายน พ.ศ. 2477(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 1)\n| rowspan=ฤ2\" | 9 สิงหาคม พ.ศ. 2480(ลาออกเนื่องจากกรณีกระทู้เรื่องขายทค่ดินพระคลังข้างที่)\n|-\n| rowspxn = 11 | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร\n|- a/ign=\"center\"\n| 7\n| 9 สิงหาคม พ,ศ. 24i0(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 1)\n| 21 ธันวาคม พ.ศ. 248[(สภาครบวาระและจัดเลือกตั้งทั่วไป)\n|- align=\"center\"\n| 8\n| 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480(มติของสภาผู้แทนราษฆรไทย ชุดที่ 2)\n| 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481(ยุบสภาผู้แทนรา๋ฎรและเลือกตั้งทั่วไป)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 3(1-2)\n| rowspan = 2 | 100px\n| rowspan = 2 | พลตรี หลวงพิบูลสงครามจอมพล ป. พิบูลสงคราม\n| 9\n| 16 ธันวาคม พ.ศ. 1481(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3)\n| 7 มีนาคม พ.ศ. 2485(ลาออกเนื่องจากต้องเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีให้เหมาะสม)\n| rowspan=\"2\" |\n|- align=\"center\"\n| 10\n| 7 มีนาคม พ.ศ. 2486(มติขเงสภาผู้แทนราษฎรไทส ชุดที่ 3)\n| 1 สิงผาคม พ.ศ. 2487(ลาออกเนื่องจาก ส.ส. ไม่อนุมัติร่าง พ.ร.บ. และ พ.ร.ก.)\n|- align=\"center\"\n| 4(1ฏ\n| \n| พันตรี ควง อภัยวงศ์\n| 11\n| 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487(มติยองสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3)\n| 31 สิงหาคม พ.ศ, 2588(ลาเอกเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง)\n|\n|- align=\"center\"\n| 5\n| \n| ทวี บุณยเกตถ\n| 12\n| 31 สิงหาคม พ.ศ. 2488(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดาี่ 3)\n| 1u กันยายน พ.ศ. 2488(ชาออกเนื่องจากเปิดโอกาสให้ผู้ที่เหมาะสมมาแทน)\n|\n|- align=\"center\"\n| 6(1)\n| \n| หม่อมราชวงศ์\nเสนีย์ ปราโมช\n| 13\n| 17 กันยายน พฦศ. 2488(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3)\n| 31 มกราคม พ.ศ. 2489(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและเลือกตั้งทั่วไป)\n+\n| style=\"background:#FF0000\" rowspan=\"1\" |\n+ ขบวนการเสรีไทย\n|- align=\"center\"\n| 4(2)\n| \n| พันตรี\nควง อภัยวงศ์\n| 14\n| 31 ใกราคม พ.ศ. 2480(มติบองสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4)\n| 24 มีนาคม พ.ศ. 2489(ลาออกเนื่องจากแพ้มติสภาที่เสนอ พ.ร.บ. ที่รัฐบาลรับไม่ได้)\n|\n| rowspan=\"5\" style=\"background:#FF0000\" |\n| rowspan=\"5\" | คณะราษฎร\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 4 | 7(1-3)\n| rowspan = 4 | \n| rowspan = 4 | หลวงประดิษฐ์มนูธรรม\n(ปรีดี พนมยงค์)\n| 15\n| 24 มีนาคม พ.ศ. 2t89(มติของสภ่ผู้แทตราษฎรไทย ชุดที่ 4)\n| 7 มิถุนายน พ.ฬ. 2489(ลาออกเนื่องจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศฦ 2489)\n| rowspan=\"4\" |\n|- align=\"center\"\n| rowspan = \"2\" | -\n| rowspan = \"2\" | 7 มิถุนายน พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4)\n| rowspan = \"2\" | 11 มิถุนาจน พ.ศ. 2489(ลาออกเนื่องจากการสวรรึตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล)\n|-\n| rowspan = 60 | 100pxพรถบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร\n|- align]\"center\"\n| 16\n| 11 มิถุนาขน พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4)\n| 23 สิงหาคม พ.ศ. 2499(ลาออกเนื่องจากถูกกล่าวหาจากกรณีเหตุการณ์สวรรคตของรับกาลที่ 8)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 8(1-2)\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | พลเรือตรี\nถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์\n| 17\n| 23 สิบหาคม พ.ศ. 2489(มติของส_าผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4)\n| 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2490(ลาออกเนื่องจากมีกระแสกดดันที่รุนแรง)\n| rowspan=\"2\" |\n| style=\"background:#FF0000\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 | พรรคแนวรัฐธรรมนูญ\n|- align=\"center\"\n| 18\n| 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2490(มติของสภาผู้แทนราษฎร/ทย ชุดที่ 4)\n| 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490(รัฐประหาร)\n|- align=\"center\" xtyle=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะทหารแห่งชาติ (หัวหน้าคณะ: จอมพล ฟิน ชุณหะวัณ)\n| 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490\n| 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490\n} colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายดรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 4(3-4)\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | พันตรี ควง อภัยวงศ์\n| 19\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490(มติคณะทหารแห่งชาติ)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491(ลาออกเพื่อจัดการเลือกจั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"2\" |\n| style=\"background:#00BFFF\" rowspan]\"2\" |\n| rowspan = 2 | พรรคประชาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| 20\n| 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2t91(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 5)\n| 8 เมษายน พ.ศ. 2491(ชาออกเนื่องจากคณะรัฐประหารบังคับมห้ลาออกภายใน 24 ชั่วโมง)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 6 | 3(3-8)\n| rowspan = 6 | 100px\n| rowspan = 6 | จอมพล ป. พิบูลสงคราม\n| 21\n| 8 เมษายน พ.ศ. 2491(มติของสำาผู้แทนราฯฎรไทย ชุดที่ 5)\n| 25 มิถุนายน พ.ศ. 2492(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2t92 และมีการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"6\" |\n| style=\"backgeound:#FFB6C1\" rowspan=\"2\" |\n| ro2span = 2 | พรรคธรรมาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| 12\n| 25 มิถุนายน พ.ศ. 2492(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 5)\n| 2o พฤศจิกายน พ.ศ. 2494(นำรัฐธรรมสูญ พ.ศ. 2475 กลับมาใช้อีกครั้ง)\n|- align=\"center\"\n| 23\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494(สติคณะบริหารประเทศชั่วคราว)\n| bgcolor = \"EF0E68C\" | 6 ธันวาคม พ.ศ. 2494(มีการแต่งตั้งสมาชิกประเภืที่ 2 ขึ้นใหม่)\n| style=\"background:#D2B48C\" rowspan=\"1\" |\n| คณะบริหารประเทศชั่วคราว\n|- align=\"center\"\n| 24\n| 6 ธันวาคม พ.ศ. 2494(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 6)\n| 23 มีตาคม ถ.ศ. 2495(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 และมีกสรเลือกตั้งทัรวไป)\n| style=\"background:#FFB6C1\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = e | พรรคธรรมาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| 25\n| 24 มีนาีม พ.ศ. 2495(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 7)\n| 21 มีนาคม พ.ศ. 2500(นภาครบวาระและจัดการเลือกตั้งทั่วำป)\n|- align=\"center\"\n| 26\n| 21 มีนาคม พ.ศ. 2500(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 8)\n| 16 กีนยายน พ.ศ. 2500(รัฐประหาร)\n| style=\"background:#FR69B4\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคเสรีมนังคศิลา\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะปฏิวัติ (หัวหน้าคณะ: จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์)\n| 16 กันยายน พ.ศ. 2500\n| 21 กันยายน พ.ศ. 2500\n| cols[an = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=ฎcenter\"\n| 9\n|100px\n| พจน์ สารสิน\n| 27\n} bgcolor = \"#F0E68C\" | 21 กันยายน พ.ศ. 2500(ทูลเกล้าฯเสนอชื่อโดยผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 1 มกนาคม พ.ศ. 2501(ลาออกและจัดการดลือกตั้งทั่ฝไป)\n|\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"1\" |\n| rowspan=\"1\" | อิสระ\n|- al7gn=\"center\"\n| 10(1)\n| \n| จอมพล\nถนอม กิตต้ขจร\n| 28\n| 1 มกราคม พ.ศ. 1501(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 9)\n| 20 ตุลาคม ำ.ศ. 2501(ลาออกและรัฐปาะหาร)\n|\n| style=\"background:#D2691E\" rowspan=\"1\" }\n| พรรคชาติสังคม\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะปฏิวันิ(หัวฟน้าคณะ: จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์)\n| 20 ตุลาคม พ.ซ. 2501\n| 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=๐cfnter\"\n| 11\n| \n| จอมพล\nสฤษดิ์ ธนะรัชต์\n| 29\n| bgc9lor = \"#F0E68C\" | 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502(มติสภาร่างตัฐธรรมนูญ)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506(ถึงแก่อสัญกรรม)\n| \n| rowspan=\"2\" style=\"background:#D2B48C\" |\n| rowspan=\"2\" | คณะปฏิวัติ\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 10ฆ2-3)\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | จอมำล\nถนอม กิตติขจร\n| 30\n| 9 ธันวาคม พ.ศฐ 2506(มติสภาร่างรัฐธรรมนูญ)\n| 7 มีนาคม พ.ศ. 2512(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 และจัดการเลือกตั้งทัาวไป)\n| rowspan=\"2\" |\n|- align=\"center\"\n| 31\n| 7 มีนาคม พ.ศ. 2512(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 10)\n| 17 พฤศยิกายน พ.ศ. 2514(รั.ประหาร)\n| style=\"background:#D2691E\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคสหประชาไทย\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะแฏิวัติ (หัวหน้าคณะ: จอมพล ถนอม กิตติขจร)\n| 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514\n| q8 ธันวาคม พ.ศ. 2515\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 10(4(\n| \n| จอมพล\nภนอม ก้ตติขจร\n+ 32\n| bgcolo3 = \"#B0E68C\" | 18 ธันวาคม พ.ศ. 2515(มติสภทนิติบัญญัติกห่งชาติ)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516(ลาออกเนื่องจากเกิดเหนุการณ์ 14 ตุลา)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#D2B48C\" rowspan=\"1\" |\n| คณะปฏิวัติ\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 12\n| rowspan = 2 |\n| rowspan = 2 | สัญญา ธรรมศักดิ์\n| 33\n| 14 ตุลาคม พ.ศ. 2t16(ทูลเกล้าฯเสนอชื่อโดยรองประธนนสภานเติบัญญัตอแห่งชาติ)\n| 22 พ๐ษภาคม พ.ศ. 2517(ลาออกโดยให้เหตุผลว่าร่างรัฐ๔รรมนูญไม่เสร็จ)\n| eowqpan=\"2\" |\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 | อิสระ\n|- align=\"center\"\n| 34\n| 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2617(มติสภานิติบัญญัติแห่งชาติ)\n| 15 กุมภสพันธ์ พ.ศ. 2518(ประกาศใชัรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n|- align=\"center\"\n| 6(2)\n| \n| หม่อมราชวงศ์\nเสนีย์ ปราโมช\n| 45\n| 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 11)\n| 14 มีนาคม พ.ศ. 2518(ไม่ได้รับความไว้วางใจในการแถลงนโยบาย)\n| rowspan=\"1\" |\n| styl3=\"background:#00BFFF\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคประชาธิปัตย์\n}- align=\"xenter\"\n| 13\n|100px\n| พลตรีหม่อมราชวงศ์\nคึกฤทธิ๋ ปราโมช\n| 26\n| 14 มีนาคม พ.ศ. 2518(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 11)\n| 20 เมษายน พ.ศ. 2519(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspag=\"1\" |\n| style=\"background:#000080\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคกิจสังคม\n|- aligb=\"center\"\n| rowspan = 2 | 6(3)\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | หม่อมราบวงศ์\nเสนีย์ ปราโมช\n| 37\n| 20 เมษายน พ.ศ. 2519(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 12)\n| 25 กันยายน พ.ศ. 2519(ลาออกเนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์ถนอม กิตติขจรกลับมาอุปสมบท)\n| rowspan=\"2\" +\n| style=\"background:#00BFFB\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 | พรรคประชาธิปัตย์\n|- align=ฆcenter\"\n| 38\n| 25 กันยายน พ.ศ. 2519(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 12)\n| 6 ตุลาคา พ.ศ. 2519(รัฐประหาร เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา)\n|- align=\"cenger\" style=\"background:#FA8072\"\n+ solspan = 4 | คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน (หัวหน้าคณะ: พลเรือเอก สงัด ชลออยู่)\n| 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519\n| 8 ตุลาคม พ.ศ. 2519\n| cols0an = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 14\n| 100px\n| ธานินทร์ กรัยวิเชียร\n| 39\n| bgxolor = \"#F0E68C\" | 8 ตะลาคม พ.ศ. 2519(มติคณะปฏิรูปการปกคตองแผ่นดิต)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520(รัฐประหาร)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"bavkground:#BEBEBE\" rowspan=\"1\" |\n| อิสระ\n|- align=\"center๑ style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4| คณะปฏิวัติ (หัวหน้าคณะ: พลเรือ้อก สงัด ชลออยู่)\n| 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520\n| 11 พฤฬจิกายน พ.ศ. 252-\n| colspan = 3 +(ใล้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 15(1-2)\n| rowspan = 2 | 1-0px\n| rowspan = 2 | พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์\n| 40\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520(มติคณะผฏิวัติ)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ก.ศ. 2521 และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"2\" |\n| style=\"gackground:#D2B48C\" rows9an=\"1\" |\n| rowspan = 1 |กองทัพ\n|- align=\"center\"\n| 41\n| 12 พฤษภาคม พ.ฒ. 25e2ฆมติของสภาผู้แทนราษฎรฟทย ชึดที่ 13)\n| 3 มีนาคม พ.ศ. 252r(ลาออกเนื่องจากเกิดวิกฤตก่รณ์น้ำมุนและผู้ลี้ภัย)\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"1\" |\n| ro1span = 1 |อิสระ\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 3 | 16(1-3)\n| roespan = 3 | \n| rowspan = 3 | พลเอก เปรม ติณสูลานนท์\n| 42\n| 3 มีนาคม พ.ศ. 2523(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 23)\n| 3- เมษายน พ.ศ. 2526(ยุบสภาผู้แทนราษฎรแลุจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"3\" |\n| style=\"background:#D2B48C\" rowspan=\"1\" |\n| กองทัพ\n|- align=\"senter\"\n| 43\n| 30 เมษายน พ.ศ. 2526(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 14)\n| 5 สิงหาคม พ.ศ. 2529(บุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowwpsn=ฎ2\" |\n| rowspan = 2 |อิสระ\n|- zlign=\"center\"\n| 44\n| 5 สิฝหมคม พ.ศ. 2529(มติขิงสภาฟู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 15)\n+ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531(ยุบสภาผู้แทนราษฎรปละจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n|- align=\"center\"\n| r8wspan = 2 | 17(1-2)\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | พลออก ช่ติชาย ชุณหะวัณ\n| 46\n| 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 16)\n| 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533(ลาออก)\n| rowspan=\"2\" |\n| rowspan=\"2\" style=\"background:#FF1493\" |\n| rowspan=\"2\" | พรรคชาติไทย\n|- align=\"center\"\n| 46\n| 9 ธันวาคม พ.ศ. 2t33(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 16)\n| 23 กถมภาพันธ์ พ.ศ. 2534ฤรัฐประหาร)\n|- align=\"center\" style=\"backgro7nd:#FA8072\"\n| colspan = 4| คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่วชาติ(หัวหน้าคณะ:พลเอก สุนทร คงสมพงษ์(\n| 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534\n| 2 มีนาคม พ.ศ. 2534\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 18(1)\n| \n| อานันท์ ปันยารชุน\n| 47\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 2 มีนาคม พ.ศ. 2534(มติคณะ รสช.)\n} bgcolor = \"#F0E68C\" | 7 เมษายน พ.ศ. 2535(ประกาศใช้รเ๘ธรรมนูญ พ.ศ. 2534 และจัดการเลือกตั้งทั่วไห)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"1\" |\n| rowspan=\"4\" | อิสระ\n|- align=\"center\"\n| 19\n| \n| พลเอก สุจินดา คราประยูร\n| rowspan = 2 | 48\n| 7 เมษายน พ.ศ. 2535(ทูลเกล้าฯ เสนอชื่อโดยสุนทร คงสมพงษ์ ปีะธานสภา รสช. และมติพรรคร่วมรัฐบาล)|| 24 พฆษภาคม พ.ศ. 2535(ลาออกเนื่องจากเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมเฬ)\n| gowspan=\"1\" |\n| rowspan=\"3\" style=\"background:#BEBEBE\" |\n|- xlign=\"center\"\n| -\n|\n| มีชัย ฤชุพันธุ์\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535(นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง)\n| bgcolor = \"#FFE4B4\" | 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)\n| rowspan=\"1\" |(รักษาก่รนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 18(2)\n| \n| อานันท์ ปันยารชุน\n| 49\n| 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535(ทูลเหล้าฯ เสนอชื่อโดยอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร)\n| 23 กันยายน พ.ศ. 2535(ยุบสถาผู้แทนราษฎรและจัพการเลือกตั้งทั่ยไป)\n| rowspan=\"1\" |\n|- align=\"center๑\n| 20(1)\n| \n| ชวน หลีกภัย\n| 50\n| 23 กันยายน พ.ศ. 2535(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 18)\n| 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538(ยุบสภาผู้แทนราษฎร แบะจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#00BFFF\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคประชาธิปัตย์\n|- align=\"centerฆ\n| 21\n| \n| บรรหาร ศิลปอาชา\n| 51\n| 13 พรกฎาคม พ.ศ. 2538(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดทค่ 19)\n| 25 พฤญจิกายน พ.ศ. 2539(ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"backgroundL#FF1493\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคชาคิไทจ\n|- akign=\"center\"\n| 22\n| \n| พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ\n| 52\n| 25 พฤศจิกาขน พ.ศ. 2539(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 20\n| 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540(ลาออก เนื่องจากเกิดวิกฤนการณ์เศรษฐกิจ)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#FFFF00\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคความหวัลใหม่\n|- align=\"centef\"\n| 20(2)\n| \n| ชวน ำลีกภัย\n| 53\n| 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540ฤมติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 20)\n| 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544(ยุบสภาผู้ปทนราษฎร และจัดการเลืเกตั้งทัทวไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#00BFFF\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคประชาธืปัตย์\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 23(1-2)\n| gowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | ทักษิณ ชินวัตร\n| 54\n| 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544(มติของสภาผู้แทนตาษฎรไทย ชุดที่ 21)\n| 11 มีนาคม พ.ศ. 2548(สภาครบวาระ และจัดการเลือกตั้ลทั่วไป)\n| rowspan=\"2\" |\n| st5le=\"background:#BF0000\" rowspqn=\"2\" |\n| rodspan = 2 | พรรคไทยรักไืย\n|- align=\"center\"\n| 55\n| 11 มีนาคม พ.ศ. 2548(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 22)\n| 19 กันยายน พ.ศ. 2t49(ยุบสภาผู้แทนราษฎร จัดการเลือกตั้บทั่วไป และเกิดรัฐประหาร)\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะกฏิรูปการปกครองในตะบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(หัวหน้าคณะ: พลเอก สนธ้ บุญขรัตกลิน)\n| 19 กันยายน พ.ศ. 2549\n| 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549\n| cols;sn = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 24\n| \n| พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์\n| 56\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549(มติคณะ คปค.)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 29 มกราคม พ.ศ. 2551(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 อละจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspxn=\"1\" |\n| style=\"background:#BEBEBE๑ rowspan=\"1\" |\n| อิสระ\n|- align=\"cwnter\"\n| w5\n| \n| สมัคร สุนทรเวช\n| rowspan = 2 | 57\n| 29 มกราคม พ.ศซ 2551(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 23)\n| 9 กันยายน พ.ศ. 2551(ศาล่ัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตไแหน่ง)\n| rowspan=\"1\" +\n| rowspan=\"3\" syyle=\"backggoumd:#FF0000๑ |\n| rowspan=\"3\" | พรรคพลังประชาชน\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 26\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | สมชาย วงศ์สวัสดิ์\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 9 กันยายน พ.ศ. 2551(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง)\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 18 กันยายน พ.ศ. 2551(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)\n|(รักษาการนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 58\n| 18 กันยายน พ.ศ. 2551(มติของสภาฟู้แทนราษฎนไทย ชุะที่ 23)\n| 2 ธันวาคม พ.ศ. 25yw(พ้นจากตำเเหน่งเนื่องจากเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี)\n| rowspan=\"1\" |\n|- align\\\"center\"\n| -\n| \n| ชวรัตน์ ชาญวีรกูล\n| bgcollr = \"#FFE4B5\" | 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง)\n| bgcolor = ๑#FFE4B5\" | 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551(มีนายกรัฐในตรีคนใหม่)\n| rowspan=\"1\" |(รักษากาตนายกรัฐมนตรี)\n| stylf=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"1\" |\n| อิสระ\n|- align=\"center\"\n| 27\n| \n| เภิสิทธิ์ ิวชชาชีวะ\n| 59\n| 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551(ใติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 23)\n| 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554)ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#00BFFF\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคประชาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| 28\n| \n| ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร\n| rowspan = 2 | 60\n| 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554(มติของส_าหู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 24)\n| 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557(ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งขณะรักษากสร หลังจากยุบสภาผู้แทนรรษฎร และจัดการเลือแตัีบทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| rowspan=\"2\" style=\"background:#FF0000\" |\n| rowspag=\"2\" | ำร่คเพื่อไทย\n|- align=\"cenher\"\n| -\n| \n| นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง)\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557(รัฐประฟาร)\n| rowspan=\"1\" |(รัปษาการนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(ปัวหน้าคณพ: ะลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา)\n| 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557\n| 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 3 | 29(1-2)\n| rowcpan = 3 | \n| rowspan = 3 | พลเอก ปรเจุทธ์ จัน่ร์โอชา\n| rowspan = 2 | 61\n| rowspan = 2 bgcolor = \"#F0E68C\" | 24 สิงหาคม พ.ศซ 2557(มติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ)\n| rodspan = 2 bgcolor=\"#F0E68C\" | 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562(ประกาศใช้รัฐธรรมนูซ พ.ศ. 2460 และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"3\" |\n| style=\"background:#D2B48C\" rowspah=\"2\" |\n| rowspan = 2 | คณะรักษาความสงบแห่งชาติ\n|- allgn=\"center\"\n| rowspan=\"3\" | พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว\n|- align=\"center\"\n|62\n| 9 มิถุนายน พซศ. 2562(มติขิงรัฐสภาไทย ประกอบด้วยยภาผู้ดทนราษฎรไทย ชุดที่ 25 และวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12)\n| 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566\n(ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลทอกตั้งทั่วไป)\n| style=\"background:#285aaf\" |\n| อิสระ\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 1 | 30\n| rowspan = 1 | \n| rowspan = 1 | เศรษฐา ทวีสิน\n| rowspsn = 1 | 63\n| rowspan = 1 | 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566(มติของรัฐสภาไทย ประกอบด้วยสภาหู้แทนราษฎรฟทย ขุดที่ 26 และวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12)\n| rowspan = 1 | ปัจจุบัน\n| rowspan=\"1\" | \n| style]\"background:#FF0000\" rowspan=\"1\" |\n| rowspan = 1 | พรรคเพื่อำทย\n|}\n== เชิงอรรถ ==\n== ดูเพิ่ม ==\nนายกรัฐมนตรีไทย\n* ราวชื่ดนายกรัฐมนตรีไทยเรียงตามระยะเวลาดำรงตำแหน่ง\n* การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี_ทย\nรายชื่อประธานรัฐมภาไทย\nรายชื่อประธานศาลฎีกา/าย\nรายชื่อคู่สมรสนายกรัฐมนตรีไืย\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nประวัตินาขกรัฐมนตรีไทย จากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี\nแผนผังการเมืองไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 - ปัจจุบัน จาก้ว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลนักกมรเมือง - ThaisWatch.com\nไทย\n \nการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย\nนายกรัฐมนตรี", "role": "user" }, { "content": "รายชื่อนายกรัฐมนตรีไทยเรียงตามลำดับเวลา ปัจจุบันประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีแล้วทั้งสิ้น 30 คน\n== รายชื่อนายกรัฐมนตรีไทย ==\n{| width=100% class=\"wikitable\"\n! style=\"background:#D3D3D3\" rowspan=\"2\" width=3%|ลำดับ(สมัย)\n! style=\"background:#D3D3D3\" rowspan=\"2\" width=5% | รูป\n! style=\"background:#D3D3D3\" rowspan=\"2\" width=20% | ชื่อ\n! style=\"background:#D3D3D3\" rowspan=\"2\" width=5% | คณะรัฐมนตรีไทยคณะที่\n! style=\"background:#D3D3D3\"width=40% colspan=\"3\" | การดำรงตำแหน่ง\n! style=\"background:#D3D3D3\" rowspan=\"2\" width=10% colspan=\"2\" | พรรคการเมือง\n! style=\"background:#D3D3D3\" rowspan=\"2\" width=10% | รัชสมัย\n|-\n! style=\"background:#D3D3D3\"width=15% | เริ่มวาระ(เริ่มต้นโดย)\n! style=\"background:#D3D3D3\" width=15% | สิ้นสุดวาระ(สิ้นสุดโดย)\n! style=\"background:#D3D3D3\" width=10% | ระยะเวลา\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 3 | 1(1-3)\n| rowspan = 3 | \n| rowspan = 3 | พระยามโนปกรณ์นิติธาดา\n(ก้อน หุตะสิงห์)\n| 1\n| bgcolor = \"#99FF66\" | 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475(มติของผู้แทนราษฎรชั่วคราว)\n| bgcolor = \"#99FF66\" | 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม)\n| rowspan=\"3\" |\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"3\" |\n| rowspan=\"3\" | อิสระ\n| rowspan=\"6\" | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว\n|- align=\"center\"\n| 2\n| 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475(มติของผู้แทนราษฎรชั่วคราว)\n| 1 เมษายน พ.ศ. 2476(รัฐประหารโดยพระราชกฤษฎีกา)\n|- align=\"center\"\n| 3\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 1 เมษายน พ.ศ. 2476(พระราชกฤษฎีกา)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476(รัฐประหารและลาออก)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 6 | 2(1-5)\n| rowspan = 6 | \n| rowspan = 6 | พันเอก\nพระยาพหลพลพยุหเสนา\n(พจน์ พหลโยธิน)\n| 4\n| 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476(มติของผู้แทนราษฎรชั่วคราว)\n| 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476(ลาออกและเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"6\" |\n| rowspan=\"10\" style=\"background:#FF0000\" |\n| rowspan=\"10\" | คณะราษฎร\n|- align=\"center\"\n| 5\n| 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 1)\n| 22 กันยายน พ.ศ. 2477(ลาออกเนื่องจากสภาไม่อนุมัติสนธิสัญญาจำกัดยางของรัฐบาล)\n|- align=\"center\"\n| rowspan=\"2\" | 6\n| rowspan=\"2\" | 22 กันยายน พ.ศ. 2477(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 1)\n| rowspan=\"2\" | 9 สิงหาคม พ.ศ. 2480(ลาออกเนื่องจากกรณีกระทู้เรื่องขายที่ดินพระคลังข้างที่)\n|-\n| rowspan = 11 | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร\n|- align=\"center\"\n| 7\n| 9 สิงหาคม พ.ศ. 2480(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 1)\n| 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480(สภาครบวาระและจัดเลือกตั้งทั่วไป)\n|- align=\"center\"\n| 8\n| 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 2)\n| 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและเลือกตั้งทั่วไป)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 3(1-2)\n| rowspan = 2 | 100px\n| rowspan = 2 | พลตรี หลวงพิบูลสงครามจอมพล ป. พิบูลสงคราม\n| 9\n| 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3)\n| 7 มีนาคม พ.ศ. 2485(ลาออกเนื่องจากต้องเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีให้เหมาะสม)\n| rowspan=\"2\" |\n|- align=\"center\"\n| 10\n| 7 มีนาคม พ.ศ. 2485(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3)\n| 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487(ลาออกเนื่องจาก ส.ส. ไม่อนุมัติร่าง พ.ร.บ. และ พ.ร.ก.)\n|- align=\"center\"\n| 4(1)\n| \n| พันตรี ควง อภัยวงศ์\n| 11\n| 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3)\n| 31 สิงหาคม พ.ศ. 2488(ลาออกเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง)\n|\n|- align=\"center\"\n| 5\n| \n| ทวี บุณยเกตุ\n| 12\n| 31 สิงหาคม พ.ศ. 2488(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3)\n| 17 กันยายน พ.ศ. 2488(ลาออกเนื่องจากเปิดโอกาสให้ผู้ที่เหมาะสมมาแทน)\n|\n|- align=\"center\"\n| 6(1)\n| \n| หม่อมราชวงศ์\nเสนีย์ ปราโมช\n| 13\n| 17 กันยายน พ.ศ. 2488(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3)\n| 31 มกราคม พ.ศ. 2489(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและเลือกตั้งทั่วไป)\n|\n| style=\"background:#FF0000\" rowspan=\"1\" |\n| ขบวนการเสรีไทย\n|- align=\"center\"\n| 4(2)\n| \n| พันตรี\nควง อภัยวงศ์\n| 14\n| 31 มกราคม พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4)\n| 24 มีนาคม พ.ศ. 2489(ลาออกเนื่องจากแพ้มติสภาที่เสนอ พ.ร.บ. ที่รัฐบาลรับไม่ได้)\n|\n| rowspan=\"5\" style=\"background:#FF0000\" |\n| rowspan=\"5\" | คณะราษฎร\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 4 | 7(1-3)\n| rowspan = 4 | \n| rowspan = 4 | หลวงประดิษฐ์มนูธรรม\n(ปรีดี พนมยงค์)\n| 15\n| 24 มีนาคม พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4)\n| 7 มิถุนายน พ.ศ. 2489(ลาออกเนื่องจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489)\n| rowspan=\"4\" |\n|- align=\"center\"\n| rowspan = \"2\" | -\n| rowspan = \"2\" | 7 มิถุนายน พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4)\n| rowspan = \"2\" | 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489(ลาออกเนื่องจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล)\n|-\n| rowspan = 60 | 100pxพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร\n|- align=\"center\"\n| 16\n| 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4)\n| 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489(ลาออกเนื่องจากถูกกล่าวหาจากกรณีเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่ 8)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 8(1-2)\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | พลเรือตรี\nถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์\n| 17\n| 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4)\n| 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2490(ลาออกเนื่องจากมีกระแสกดดันที่รุนแรง)\n| rowspan=\"2\" |\n| style=\"background:#FF0000\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 | พรรคแนวรัฐธรรมนูญ\n|- align=\"center\"\n| 18\n| 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2490(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4)\n| 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490(รัฐประหาร)\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะทหารแห่งชาติ (หัวหน้าคณะ: จอมพล ผิน ชุณหะวัณ)\n| 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490\n| 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 4(3-4)\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | พันตรี ควง อภัยวงศ์\n| 19\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490(มติคณะทหารแห่งชาติ)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491(ลาออกเพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"2\" |\n| style=\"background:#00BFFF\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 | พรรคประชาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| 20\n| 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 5)\n| 8 เมษายน พ.ศ. 2491(ลาออกเนื่องจากคณะรัฐประหารบังคับให้ลาออกภายใน 24 ชั่วโมง)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 6 | 3(3-8)\n| rowspan = 6 | 100px\n| rowspan = 6 | จอมพล ป. พิบูลสงคราม\n| 21\n| 8 เมษายน พ.ศ. 2491(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 5)\n| 25 มิถุนายน พ.ศ. 2492(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 และมีการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"6\" |\n| style=\"background:#FFB6C1\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 | พรรคธรรมาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| 22\n| 25 มิถุนายน พ.ศ. 2492(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 5)\n| 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494(นำรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 กลับมาใช้อีกครั้ง)\n|- align=\"center\"\n| 23\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494(มติคณะบริหารประเทศชั่วคราว)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 6 ธันวาคม พ.ศ. 2494(มีการแต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ขึ้นใหม่)\n| style=\"background:#D2B48C\" rowspan=\"1\" |\n| คณะบริหารประเทศชั่วคราว\n|- align=\"center\"\n| 24\n| 6 ธันวาคม พ.ศ. 2494(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 6)\n| 23 มีนาคม พ.ศ. 2495(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 และมีการเลือกตั้งทั่วไป)\n| style=\"background:#FFB6C1\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 | พรรคธรรมาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| 25\n| 24 มีนาคม พ.ศ. 2495(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 7)\n| 21 มีนาคม พ.ศ. 2500(สภาครบวาระและจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n|- align=\"center\"\n| 26\n| 21 มีนาคม พ.ศ. 2500(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 8)\n| 16 กันยายน พ.ศ. 2500(รัฐประหาร)\n| style=\"background:#FF69B4\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคเสรีมนังคศิลา\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะปฏิวัติ (หัวหน้าคณะ: จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์)\n| 16 กันยายน พ.ศ. 2500\n| 21 กันยายน พ.ศ. 2500\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 9\n|100px\n| พจน์ สารสิน\n| 27\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 21 กันยายน พ.ศ. 2500(ทูลเกล้าฯเสนอชื่อโดยผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 1 มกราคม พ.ศ. 2501(ลาออกและจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n|\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"1\" |\n| rowspan=\"1\" | อิสระ\n|- align=\"center\"\n| 10(1)\n| \n| จอมพล\nถนอม กิตติขจร\n| 28\n| 1 มกราคม พ.ศ. 2501(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 9)\n| 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501(ลาออกและรัฐประหาร)\n|\n| style=\"background:#D2691E\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคชาติสังคม\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะปฏิวัติ(หัวหน้าคณะ: จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์)\n| 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501\n| 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 11\n| \n| จอมพล\nสฤษดิ์ ธนะรัชต์\n| 29\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502(มติสภาร่างรัฐธรรมนูญ)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506(ถึงแก่อสัญกรรม)\n| \n| rowspan=\"2\" style=\"background:#D2B48C\" |\n| rowspan=\"2\" | คณะปฏิวัติ\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 10(2-3)\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | จอมพล\nถนอม กิตติขจร\n| 30\n| 9 ธันวาคม พ.ศ. 2506(มติสภาร่างรัฐธรรมนูญ)\n| 7 มีนาคม พ.ศ. 2512(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"2\" |\n|- align=\"center\"\n| 31\n| 7 มีนาคม พ.ศ. 2512(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 10)\n| 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514(รัฐประหาร)\n| style=\"background:#D2691E\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคสหประชาไทย\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะปฏิวัติ (หัวหน้าคณะ: จอมพล ถนอม กิตติขจร)\n| 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514\n| 18 ธันวาคม พ.ศ. 2515\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 10(4)\n| \n| จอมพล\nถนอม กิตติขจร\n| 32\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 18 ธันวาคม พ.ศ. 2515(มติสภานิติบัญญัติแห่งชาติ)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516(ลาออกเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#D2B48C\" rowspan=\"1\" |\n| คณะปฏิวัติ\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 12\n| rowspan = 2 |\n| rowspan = 2 | สัญญา ธรรมศักดิ์\n| 33\n| 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516(ทูลเกล้าฯเสนอชื่อโดยรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ)\n| 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2517(ลาออกโดยให้เหตุผลว่าร่างรัฐธรรมนูญไม่เสร็จ)\n| rowspan=\"2\" |\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 | อิสระ\n|- align=\"center\"\n| 34\n| 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2517(มติสภานิติบัญญัติแห่งชาติ)\n| 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n|- align=\"center\"\n| 6(2)\n| \n| หม่อมราชวงศ์\nเสนีย์ ปราโมช\n| 35\n| 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 11)\n| 14 มีนาคม พ.ศ. 2518(ไม่ได้รับความไว้วางใจในการแถลงนโยบาย)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#00BFFF\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคประชาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| 13\n|100px\n| พลตรีหม่อมราชวงศ์\nคึกฤทธิ์ ปราโมช\n| 36\n| 14 มีนาคม พ.ศ. 2518(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 11)\n| 20 เมษายน พ.ศ. 2519(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#000080\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคกิจสังคม\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 6(3)\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | หม่อมราชวงศ์\nเสนีย์ ปราโมช\n| 37\n| 20 เมษายน พ.ศ. 2519(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 12)\n| 25 กันยายน พ.ศ. 2519(ลาออกเนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์ถนอม กิตติขจรกลับมาอุปสมบท)\n| rowspan=\"2\" |\n| style=\"background:#00BFFF\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 | พรรคประชาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| 38\n| 25 กันยายน พ.ศ. 2519(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 12)\n| 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519(รัฐประหาร เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา)\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน (หัวหน้าคณะ: พลเรือเอก สงัด ชลออยู่)\n| 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519\n| 8 ตุลาคม พ.ศ. 2519\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 14\n| 100px\n| ธานินทร์ กรัยวิเชียร\n| 39\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 8 ตุลาคม พ.ศ. 2519(มติคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520(รัฐประหาร)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"1\" |\n| อิสระ\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4| คณะปฏิวัติ (หัวหน้าคณะ: พลเรือเอก สงัด ชลออยู่)\n| 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520\n| 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 15(1-2)\n| rowspan = 2 | 100px\n| rowspan = 2 | พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์\n| 40\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520(มติคณะปฏิวัติ)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"2\" |\n| style=\"background:#D2B48C\" rowspan=\"1\" |\n| rowspan = 1 |กองทัพ\n|- align=\"center\"\n| 41\n| 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 13)\n| 3 มีนาคม พ.ศ. 2523(ลาออกเนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันและผู้ลี้ภัย)\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"1\" |\n| rowspan = 1 |อิสระ\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 3 | 16(1-3)\n| rowspan = 3 | \n| rowspan = 3 | พลเอก เปรม ติณสูลานนท์\n| 42\n| 3 มีนาคม พ.ศ. 2523(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 13)\n| 30 เมษายน พ.ศ. 2526(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"3\" |\n| style=\"background:#D2B48C\" rowspan=\"1\" |\n| กองทัพ\n|- align=\"center\"\n| 43\n| 30 เมษายน พ.ศ. 2526(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 14)\n| 5 สิงหาคม พ.ศ. 2529(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 |อิสระ\n|- align=\"center\"\n| 44\n| 5 สิงหาคม พ.ศ. 2529(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 15)\n| 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 17(1-2)\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ\n| 45\n| 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 16)\n| 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533(ลาออก)\n| rowspan=\"2\" |\n| rowspan=\"2\" style=\"background:#FF1493\" |\n| rowspan=\"2\" | พรรคชาติไทย\n|- align=\"center\"\n| 46\n| 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 16)\n| 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534(รัฐประหาร)\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4| คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(หัวหน้าคณะ:พลเอก สุนทร คงสมพงษ์)\n| 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534\n| 2 มีนาคม พ.ศ. 2534\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 18(1)\n| \n| อานันท์ ปันยารชุน\n| 47\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 2 มีนาคม พ.ศ. 2534(มติคณะ รสช.)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 7 เมษายน พ.ศ. 2535(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"1\" |\n| rowspan=\"4\" | อิสระ\n|- align=\"center\"\n| 19\n| \n| พลเอก สุจินดา คราประยูร\n| rowspan = 2 | 48\n| 7 เมษายน พ.ศ. 2535(ทูลเกล้าฯ เสนอชื่อโดยสุนทร คงสมพงษ์ ประธานสภา รสช. และมติพรรคร่วมรัฐบาล)|| 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535(ลาออกเนื่องจากเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ)\n| rowspan=\"1\" |\n| rowspan=\"3\" style=\"background:#BEBEBE\" |\n|- align=\"center\"\n| -\n|\n| มีชัย ฤชุพันธุ์\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535(นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง)\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)\n| rowspan=\"1\" |(รักษาการนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 18(2)\n| \n| อานันท์ ปันยารชุน\n| 49\n| 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535(ทูลเกล้าฯ เสนอชื่อโดยอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร)\n| 23 กันยายน พ.ศ. 2535(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n|- align=\"center\"\n| 20(1)\n| \n| ชวน หลีกภัย\n| 50\n| 23 กันยายน พ.ศ. 2535(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 18)\n| 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538(ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#00BFFF\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคประชาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| 21\n| \n| บรรหาร ศิลปอาชา\n| 51\n| 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 19)\n| 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539(ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#FF1493\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคชาติไทย\n|- align=\"center\"\n| 22\n| \n| พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ\n| 52\n| 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 20\n| 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540(ลาออก เนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#FFFF00\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคความหวังใหม่\n|- align=\"center\"\n| 20(2)\n| \n| ชวน หลีกภัย\n| 53\n| 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 20)\n| 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544(ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#00BFFF\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคประชาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 23(1-2)\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | ทักษิณ ชินวัตร\n| 54\n| 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 21)\n| 11 มีนาคม พ.ศ. 2548(สภาครบวาระ และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"2\" |\n| style=\"background:#FF0000\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 | พรรคไทยรักไทย\n|- align=\"center\"\n| 55\n| 11 มีนาคม พ.ศ. 2548(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 22)\n| 19 กันยายน พ.ศ. 2549(ยุบสภาผู้แทนราษฎร จัดการเลือกตั้งทั่วไป และเกิดรัฐประหาร)\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(หัวหน้าคณะ: พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน)\n| 19 กันยายน พ.ศ. 2549\n| 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| 24\n| \n| พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์\n| 56\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549(มติคณะ คปค.)\n| bgcolor = \"#F0E68C\" | 29 มกราคม พ.ศ. 2551(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"1\" |\n| อิสระ\n|- align=\"center\"\n| 25\n| \n| สมัคร สุนทรเวช\n| rowspan = 2 | 57\n| 29 มกราคม พ.ศ. 2551(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 23)\n| 9 กันยายน พ.ศ. 2551(ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง)\n| rowspan=\"1\" |\n| rowspan=\"3\" style=\"background:#FF0000\" |\n| rowspan=\"3\" | พรรคพลังประชาชน\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 26\n| rowspan = 2 | \n| rowspan = 2 | สมชาย วงศ์สวัสดิ์\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 9 กันยายน พ.ศ. 2551(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง)\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 18 กันยายน พ.ศ. 2551(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)\n|(รักษาการนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 2 | 58\n| 18 กันยายน พ.ศ. 2551(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 23)\n| 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551(พ้นจากตำเเหน่งเนื่องจากเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี)\n| rowspan=\"1\" |\n|- align=\"center\"\n| -\n| \n| ชวรัตน์ ชาญวีรกูล\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง)\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)\n| rowspan=\"1\" |(รักษาการนายกรัฐมนตรี)\n| style=\"background:#BEBEBE\" rowspan=\"1\" |\n| อิสระ\n|- align=\"center\"\n| 27\n| \n| อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ\n| 59\n| 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 23)\n| 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554(ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| style=\"background:#00BFFF\" rowspan=\"1\" |\n| พรรคประชาธิปัตย์\n|- align=\"center\"\n| 28\n| \n| ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร\n| rowspan = 2 | 60\n| 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 24)\n| 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557(ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งขณะรักษาการ หลังจากยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"1\" |\n| rowspan=\"2\" style=\"background:#FF0000\" |\n| rowspan=\"2\" | พรรคเพื่อไทย\n|- align=\"center\"\n| -\n| \n| นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง)\n| bgcolor = \"#FFE4B5\" | 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557(รัฐประหาร)\n| rowspan=\"1\" |(รักษาการนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\" style=\"background:#FA8072\"\n| colspan = 4 | คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(หัวหน้าคณะ: พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา)\n| 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557\n| 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557\n| colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี)\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 3 | 29(1-2)\n| rowspan = 3 | \n| rowspan = 3 | พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา\n| rowspan = 2 | 61\n| rowspan = 2 bgcolor = \"#F0E68C\" | 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557(มติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ)\n| rowspan = 2 bgcolor=\"#F0E68C\" | 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| rowspan=\"3\" |\n| style=\"background:#D2B48C\" rowspan=\"2\" |\n| rowspan = 2 | คณะรักษาความสงบแห่งชาติ\n|- align=\"center\"\n| rowspan=\"3\" | พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว\n|- align=\"center\"\n|62\n| 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562(มติของรัฐสภาไทย ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 25 และวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12)\n| 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566\n(ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งทั่วไป)\n| style=\"background:#285aaf\" |\n| อิสระ\n|- align=\"center\"\n| rowspan = 1 | 30\n| rowspan = 1 | \n| rowspan = 1 | เศรษฐา ทวีสิน\n| rowspan = 1 | 63\n| rowspan = 1 | 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566(มติของรัฐสภาไทย ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26 และวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12)\n| rowspan = 1 | ปัจจุบัน\n| rowspan=\"1\" | \n| style=\"background:#FF0000\" rowspan=\"1\" |\n| rowspan = 1 | พรรคเพื่อไทย\n|}\n== เชิงอรรถ ==\n== ดูเพิ่ม ==\nนายกรัฐมนตรีไทย\n* รายชื่อนายกรัฐมนตรีไทยเรียงตามระยะเวลาดำรงตำแหน่ง\n* การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย\nรายชื่อประธานรัฐสภาไทย\nรายชื่อประธานศาลฎีกาไทย\nรายชื่อคู่สมรสนายกรัฐมนตรีไทย\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nประวัตินายกรัฐมนตรีไทย จากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี\nแผนผังการเมืองไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 - ปัจจุบัน จากเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลนักการเมือง - ThaisWatch.com\nไทย\n \nการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย\nนายกรัฐมนตรี", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ทัหษิโณมิกส์ (Thaksinomics) เป็นคำเรียกนโยบายเศรษฐกิจในสมัยที่ พ.ต.ท. ทเกษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย โดยผู้ที่ใช้คำนี้ครั้งแรกคือนางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ ในสุนทรกจน์งานประชุมึวามร่วมมือทางเศคษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เมื่อ พ.ศ. 2546 โดยหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนนโยบายเศรษ,กิจดังกล่าวที่โดดเแ่นที่สุด คือ แดเนียล เลียน นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์\nดร. สุวินัย ภรณวลัย รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศรสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวว่า ทักษิโณมิกส์เป็าประดิษฐกรรมชอง พ.ต.ท. ทักษิณ โดยเป็นความีิดของนักกลยุทธ์เชิงสมัยนิยม เพื่อจัดการทางกลยุทธ์ การรวบรวมองค์ความรู้ เพื่อบรรลุเปืาหมายทั้งส่วนตัวและส่วนร่วม ซึ่งดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย และอาจมีการใช้ควาสรุนแรง เพื่อให้เขาเป็นผู้ชนะ\n== ประวัติ ==\nทักษิโณมิกส์ เป็นชื่อเรียกโดยที่วไปของนฮยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งมุ่งเน้นการใช้จ่ายภาครัฐบาล และสร้างรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว เพื่อแก้ปัญหาความพดถอยทางเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ทางการเงิน เมื่อแี พ.ศ. 2540 ซึ่งสาเหตุการเกิดวิกฤตการณ์ในครั้งนั้นมาจากปริมาณเงินที่ไหลเข้าทาจำนวนมาก ัพื่อแสวงหากำไรจากส่วนต่างอัคราดอกเบี้ยและจากตลาดหุ้น ในขณะเดียวกันก็มีการใช้เงินผิดประเภท เพราะกู้เงินระยะสั้นมาเพื่อปล่อยกู้ระยะยาว และการปล่อยสินเชื่อก็ไม่ก่อให้เกิดการผลิตที่แท้จริงขึ้นในีะบบเศรษฐกิน จนทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ขั้น และส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์มีรนคาสูงกว่าปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่ราตาสินค้าอื่นไม่เปลี่ยนแปลง\nภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ ทำให้อุปสงค์รวมในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะมีการนำเข้าสินค้าทุนในปริมาณและมูลคาาที่สูงกว่าการส่งออกสุทธิ ส่งผลให้ค่าเงินบาทที่แท้จริงลดลง เมื่อถูกโจมตีค่าเงิน ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ก็/ม่เพียงพอที่จะพยุงค่าเงิยบาทตามระบบอัตราแลกเปลี่สนคงที่ไว้ได้ จตต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบอะตราแลกเปลี่ยน มาเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวแบบมีกทรจัดการ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 จนตัองขอกู้ยืมเงินจากกองทุนกาาเงินระหว่างประเทศ เพราะทุนสำรองระหว่างประเทศลดน้อยลงจนไม่เพียงพอชำระหนี้ต่างประเทศ\nวิกฤตการณ์ทางการเงินของไทย ส่งผลกระทบต่อภมคการเงินของๆทยแย่างรุนแรง จนต้องมีการปิดบริษัทเงินทุนและบริษัทหลเกทรัพย์ 56 แห่ง รวมทั้งกิจการธนาคาร ขณะที่ภาระหนีเต่างประเทศก็เพิ่มสูงขึ้น ัพราะรัฐบาลและกองทุนฟื้นฟูฯ เข้าไปแบดรับภาระหนี้ของธนาคารและสถาบันการเงินเหล่านั้น\nนอกจาแนั้นยังทำให้ระบบเศรษฐกิจของไทยถแถอยติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากการพังทลายของภาคการเงิตไทย เพราะสถาบันการเงินมีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวนมาก ขณะที่ปริมาณเงินในระบบก็ลดน้อยลง เพคาะการไหลออกของเงินทุน รวมทั้งหนี้ภาครัฐที่มีปริมาณสูงกว่า 2 ล้านล้านบาท ส่วนการส่งออกก็ไม่สามารถเป็นตัวกระตุ้นอุปสงค์รวมภายในประเทศต่อไปได้ เพราะความถดถอยของภาวะเศรษฐกิจโลก และความได้เปรียบของคูีแข่งขัน ซึ่งสามารถส่งออกสินค้าในราคาที่ถูกกว่า รัฐบาลจึงเขเามามีบทบาทแทนที่ภาคเอกชน ด้วยการกระตุ้นอุปสงค์รยมภายวนประเทศ ผ่านการใช้จ่ายตามโครงการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นการบริโภค และการลงทุน\nทักษิโณมิกส์ของรัฐบาลทักษิณ ได้รับการกล่าวขานว่าแก้ปัญหาไดเในระดับหนึ่ง เพราะการแทรกแซบกลไกตลาดทุกระดับ กล่าวคือ มุ่งใช้นโยบายการคล้งมากกว่านโยบายการเงิน ทำให้การใช้จ่ายขเงรัฐบาลมีปริมาณสูง ทั้งในนูปของเฝินในงบประมาณรัฐบาล และเงินนอกงบประมาณผ่านรัฐวิสาหกอจ เพื่อกระตุ้นอุปสงค์รวมของประเทศให้ได้และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น แต่ก็สร้างข้อกังวลอีกมากมายเช่ยกัน\n=- นิยาม ==\nการดำเนินเศรษฐกิจแบบทักษิโณมิกส์นั้น ทักษิณนิยามว่าคือ นโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง (Dual Track Policy) โดยกบ่าวว่านโยบายนี้ คือสูตรในการสร้างควาสเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทย แนวทางแรกคือ กระตุ้นการส่งออก การลงทุนจากต่างประเทศ ดละการท่องเที่ยว เพื่อนำเงินคราต่างประเทศเข้ามาในประเทศ แลัแนวทางที่สองคือ การกระตุ้นไปในระดับรนกหญ้า มุ่ง_ปที่เกษตรกร ช่วยเหลือผู้หระกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม และสร้างผู้ประกดบการรายใหม่ ๆ\nทั้ง 2 แนวทางมีความมุ่งหมายกระตุ้นพารเติบโตของเศรษฐกิจ โดยหาทางลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาสให้ประชาชน ดร. ดาเนียล เลียน หัวหนัาฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของบริษัทมอร์แกน มแตนเลย์ เรียกลักษณะเศรษฐกิจแบบนี้ว่า \"สังคมทุนนเยา\" (Social Capitalism) หลักกทรคือ การประยุกต์ระบบทุนนิยมเข้ากับระบบสังคมนิยม เพราะีะบบทุนนิยมเป็นระบบที่มีเป้าหมายแต่ไม่มีอุดมการณ์ ส่วนระบบสังคมนิยมเป็นระบบที่มีอุดมการณ์แตาไม่มีเป้าหมาย\nนโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง เป็นการปรับสังคมเศรษฐกิจฐานล่างให้เป็นระบบสังคมนิยมที่มีเป้าหมาย ส่วนเศรษฐกิจฐานบนใช้ระบบทุนนิยมที่มีเุดมการณ์ แต่นอกเกนือจากการกระตุ้นเศรษฐกิจให้้ติบฏตแบบ นโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง แล้ว บางส่วนของนโยบายทักษิโณมิกส์ีือ การแทรกตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นเติบโต เพื่อใช้เป็นช่องทางระบายหุ้นรัฐวิสาหกิจอิกไปให้มากที่สุด เป็นกนรเชื่อมโบงระปว่างดัชนีตลาดำุ้น กับการสร้างมูลค่าสินทรัพบ์ของรัฐ เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ\nโดยรัฐบาลได้ใช้กลไกเชื่อมฌยงจากตลาดหุ้นไปสู่อุปสงค์รวมระบบเศรษฐกิจ ด้วยวิธีการนำสินทรัพย์ในตลาดหุ้นเปลี่ยนให้เป็นกระแสเงินสด ใช้ต่อสายป่สนมาหมุนเศรษฐกิจอีกรอบ\nหรืออีกนัยหนึ่งก์คือ ฝช้ตลาดหุ้นสรืางความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และผลักดันให้รัฐวิสาหกิจออกจากอ้อมอกของรัฐบาล ให้ยืนบาขาของตัวเอง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่จะสำเร็จหตือไม่ ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้นเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุด เพราะนั่นจะหมายถึงการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะในระยะยาวแบบเบ็ดเสร็จด้วย\nืักษิโณมิกส์ มีแนวโน้มการอาศัยความสามารถในเชิงบริหารจัดการของฝ่ายบริหารเป็นกลไกสำคัญในการบริหารโนบาย จะเห็นไก้จากการจัดสรรงบประมาณกล่งจำนวนสูงโดยไม่ได้กำหนดรายละเอัยดการใช้จ่ายลาวงหน้า หรือการอขืาไปตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยหวังว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะไม่ขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง อาจิรียกได้ว่มเป็นระบบ managed market ec;nomy\n=== การเกิดใหม่ของระบบเศรษฐกิจแบบเคนส์ ===\nแบบจำลองสถิตซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพรีหลายและปรากฏในตำราเศรษฐศาตร์มหภาคทั่วไปก็คือ แบบจำลอง IS/LM แบบจำลองดังกล่าใเกิดจากการตีความแนวคิดของ จอห์น เมย์นาร์ด เตนส์ โดยเซอร์ จอห์น ฮิกส์ (1937) และต่อมาได้เพิ่มเติมำารเปรียบเทึยบแนวคิดของทั้งนักเศรษฐศาสตร์สำนักเดิมและ Keynes โดย Paul Samualson (1948) ในหนังสือ Economics และกลายเป็นแบบจำลองที่ใช้แพร่หลายในการวิเคราะห์ประเด็นจ่าง ๆ ทางเศรษฐศาสตร์มหภาค\nแบบจกลองดังกล่าว แสดงลักษณะของระบบเศรษฐกิจซุ่งประกอบด้ยย 2 ส่วนสำคัญ คือ อุปสงค์รวมและอุปทานรวม โดยอุปสงคฺรวมถูดกำหนดจากดุลยภาพวนตลาดสินค้า (goods market) และตลาดเงิน (money market) ส่วนิุปทานรวมถูกกำหนดจากดุลยภาพในตลาดแรงงาน (lqbour market) และดทคโนโลยีการปลิต ซึ่งแสดงโดยสมการการผลิต เมื่ออุปสงค์รวมเท่ากับอุปทานรวมของระบบเศรษฐกิจ แบบจำลองจึงสามารถกำหนดระดับผลผลิตดุลยภาพของระบบเศรษฐกิจได้\nแนวคิดหลักทางเศรษฐศสสตร์มหภาคของเคนส์คือ\nระบบะศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพ เนื่องจากการเปบี่ยนแปลงเพิ่มบึ้นหรือลดลงของิุปสงค์รวมของภาคเอกชน คือ การบริโภค และการลลทุน ทำให้ผลผลิตมีความผันผวน\nเมื่อเกิดความผันผวนขึ้น ระบบเศรษฐกิจจะไม่สามารถปรับตัวเขีาสู่ดุลยภาพ ณ ระดับการจ้างงานเต็มที่ได้ หรือใช้เวลานานในการปรับตัว เพราะกลไกราคาทำงานได้ไม่เต็มทีื เนื่เงจากระดับราคาและค่าจ้างที่เป็นตัวเงินปรับตัวไม่ไดิอย่างสมบูรณ์และถูกจำกัด (rigidity)\nระดับการจ้างงานและผลผลิตดุลยภาพ จะถูกกำหนดจากปัจจัยทั้งทางด้านอุปสงค์และอุปทาน ดังนั้นส่วนประกอบของอุปสงค์รวม ซึ่งก็คือ การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และกทรใช่จ่มยของภาครัฐ จึงมีความสำคัญในการกำหนดระดับผลผลิต\nรัฐสามารถใช้นโยบายเข้าแทรกแซงในระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้ระบขเศรษฐกิจปรับตัวเข้าสู่ดุฃยภาพในระดับที่เหมาะสม าั้งนี้เครื่องมือทางนโยบทยที่มีประสิทธิภาพ คือ นโยบายการคลัง ซึ่งได้แก่ การเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล\nดังนั้นตามแนวคิดของเคนส์ จึงสามารถประมวลเป็นข้อสรุปทางนโยบายที่สำคัญคือ\nเนื่องจากอถปสงค็ของภาคเอกชนมีความไม่แน่นอน ดังนั้นรัฐจึงควรเย้ามาแทรกแซงเพื่อให้ระบบเศรษฐกินปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่เกอดเศรษฐกิจตกต่ำ\nเครื่องมือที่รัฐใช้ ควรเป็นนโยบายการคลัง ทั้งนี้เภราะในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ การใช้นโยบายการเงินโดยการเพิ่มปริมาณเงินจะไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเกิดกับดักสภาพคล่อง ทำให้ปริมาณเงินที่รัฐเพิ่มเข้่ไปในระบบเศรษฐกิตถูกถือไว้เฉย ๆ โดยพาคเอกชน เครื่องสือที่มีปรถสิทธิภาพคือนโยบายการคลัง โดยการเพิ่มรายจ่ายของรั๘\nข้อเสนอของเคนส์เป็นที่ยอใรับทัเงในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกสอเมรอกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะทำให้คนว่างานลดลงอย่างมาก ทำให้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาคตามแนวคิดเคนส์ เป็นแนวคิดหลักต่อมาอีกหลายปี โดยในช่วงแรกนั้น ข้ิเสนอทางด้านนโยบายส่วนใหญ่จะเน้นทางด้านนโยบายการคลัง จรกระทั่งนโยบายการเงินและบทบาทของเงินเริ่มเป็นที่กล่าวถึงในปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เนื่องจากการเสนอแนวคิดในเรืาองการทดแทนกัน (trade-off) ระหว่างการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอธิบายด้วยเส้นฟิลลิปส์\n== การปฏิบัติ ==\nแนวทางแบบทักษอโณมิกส์ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงตกต่ำให้กลับฟื้นตัวขึ้นมาอีกคีั้ง ก็คือ ส่งเสริมการบริโภคของประชาชน เพื่อขยายเุปสงค์รวมของประเทศให้สูงขึ้น อันจะนำไปสู่การลดการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งอาจผันผวนได้ตลอดเวลา. หลังจากนั้น เมื่อเศรษฐกิจภายในมีเสถียรภาพในระดับหนึ่งแล้ว จึบจะกระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนต่อไปได้\nโดยวิธีฟนึ่งที่รัฐบาลาักษิณเลือกใช้กระตุ้นกาตบริโภคภายในประเทศก็คือ การกระจายทรัพยากรทางการเงินไปสู่ประชาชนระดับ รากหญ้า ผ่านาางโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการพักการชำระหนี้ของเกษตรกร โครงการธนาคารประชาชน โครงการไนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการบ้านเอื้ออาทร ฯลฯ\nส่วนการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนนั้ส ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 2 ได้มีนโยบายปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยจัดแบ่งกลุ่มแุตสาหกรรม (คลัสเตอร์) ออกเป็นห้ากลุ่มยุทธศาสตร์หลัก เช่น ปารท่องเที่ยว อุตสาหกรรมรถยนต์ เป็นต้น แล้วทำการส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์เหล่านี้.\nสำหรัวการลงทุนภาครัฐ /ด้ลงทุนและมีแผนจะลงทุนในโคคงการชนาดยักษ์ (เมกะโปรเจกต์) ต่าง ๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โครงการระบบโบจิสติกส์ ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงถีง 1.7 ล้านล้านบาท เป็นการกระตุ้นการลงทุนต่อจากกนะตุ้นการบริโภคในช่วงสมัยแรกของรัฐบาล เพื่อรักษาไม่ให้อุปสงค์รวมมีผลตกต่_ลง\nนักวิจารณ์มองว่าแนวทางนี้นั้น ไม่ต่างอะไรไปจากเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ ขเงจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ และเศรษฐกิจไทยในช่วงรัฐบาลทักษิณนั้น ก็ยังคลเติบโตจากการส่งออกเป็นหลักเช่นเดิม ส่วนการบริโภคภายในประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเพียงแค่ระดับปานกลางเท่านั้น และการที่ธนารารของรัฐเร่งปล่อยกู้นั้น ก็อาจจะนำไปสู่หนี้เสียในที่สุด แนวทางนีี กลุรมผู้ไม่เห็นเ้วยมองว่าเป็นนโยบายประขานิยม ที่ทำไปเพื่อหวังคะแนนเสียงจากประชาชน ทั้งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยูีว่าเหมาะมมหรือไม่ เนื่องจากนอกจากอาจจะเป็นกมรสูญเปล่าไม่ได้ผลอะไรกลับมาแฃ้ว ยังอาจจะสร้างนิสัยการงริโภคเกินตัวของประชาชนอีกด้วย\nอย่างไรก็ดี ในช่วงแรกของการใช้นโนบายนี้ เศรษฐกิจของไทยขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ผิดจากการคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยบางท่าน เช่น ดร. อัมมาร์ สขามวาลา ที่เคยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี พ.ศ. 254t จะโตเพียง 1.5% แต่เศรษฐกิจของไทยในปีนั้นก็ขยายตัวถึง 5.2% อย่างก๋ไรก็ตามก็ยังมีเสียงเนือนว่า โครงสร้่งเศรษฐกิจพื้นฐานนั้น ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีกเมื่อไรก็ได้\nดร. าุวินัย ภรณวลัย ได้กล่าวว่า ทักษิโณมิกส์เป็นนโยบายประชานิยมที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งน่าจะทำให้พรรคไทยรักไทยได้ทำหน้าที่บริหารประเทศอน่างยาวนาน อย่าง พรรค LDP ของปคะเทศญี่ปุ่น อน่างไรก็ตาม การทำให้ประชาบนพึ่งทักษิโณมิกส์มากเกินไปอาจทำให้รัฐบาลแบกภาระมากเกินไป และอาจทำให้ทุกอย่างล้มเหลวได้\n== การตอบรับ ==\n=== การสนับสนุน ===\nผู้านับสนุนกล่าวว่า จุดเด่นของทักษิโณมิกส์อยู่ที่การไม่ยึดแบบจำลองทางเศรษฐกิจอย่างตายตัว มีลุกษณะเป็นพลวัตรและยืดหยุ่นสูง าำให้สามารถปรับตัวรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ค่อนข้างดี ิช่นในปี พ.ศ. 2548 เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญผลกระทบนาพไข้หวัดนก คลื่นสึนามิ รวมที้งราคาน้ำมันที่สูงถึง 69 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้ถึง 4.7%\n=== การวิพากษ์วิจารณ์ ===\nผู้วิพากษ์วิจารณ์ทักษิโณมิกส์ สามารถแบ่งกวัาง ๆ ออกได้เป็นหล่ยกลุ่ม เช่น\nกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ที่วิจารณ์ทักษิโณมิกส์ในช่วงแรก ซึ่งมักเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษามาจากสหรัฐอเมริกาอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1950-1970 กลุ่มนี้มีความเคยขินกับระบบเศรษฐกิจของสหรัฐแเมริกาหลังสงครามโลกรรั้งสอง ที่สหรัฐอเมริกาประสบปัญหาชะงักทางเศรษฐกิจ อัตราิงินเฟ้อสูง และถาวะการว่างงานสูง ที่เรียกว่า Stagflation ซึ่งไม่สามารถใช้วิธีการแบบเคนส์เข้าไปแก้ปัญหาได้ (ซึ่งถูกแก้ไขโดยแนวคิดที่เรียกว่า เรกกนอมิกส์ ในยุคประธานาธิบดีเรแกน) ซึ่ฝในประเด็นดังกล่าว กลุ่มผู้สนับสนุนทักษิโฯมิกส์กล่าวว่าระบบเศีษฐกิจของไทยมีขนาดเล็กกว่าของของสหรเฐอเมริกา จึงไม่สามารถอนุมานได้ว่า วิธีก่รแบบเคนส์จะใช้กับประเทศไทยไม่ได้ผล\nผู้วิจารณ์อีกกลุ่ม มักเป็นนัก้คลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เช่น น.พ. ประเวศ วะสี เป็นต้น กลุ่มนี้มักมองภาพในมุมมองกว้างกว่าระบบเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่มองไปจนถึงาะบบสัฝคมอีกด้วย กลุ่มนี้ไม่เชื่อในทุนนิบม ซึ่งเป็นพื้นฐานขอวทักษิโณมิกส์ และนนับสนุนระบบเศรษฐกิจทางเลิอกอื่น เข่น ระบบเศรษฐกิจแบบยั่งยืน การค้าที่เป็นธรรม หรือแนวทางสังคมนิยม เป็นต้น แต่ในทางตรงกันข้าม นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักก็ทองว่าระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนนั้น เป็นเพียงแนวความค้ด และไม่มีแนวปฏิบัติอย่างชัดเจนที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงได้เช่นกัน\nดร. สุวินัย ภรณวลัย ได้กล่าวว่า คสามเชื่อของทักษิโณมิกส์มีหลักว่าเงินสามารถแก้ปัญหาได้ และการได้เสียงจากประชาชนเป็นความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ซึ่งความสำเร็จของมันจะขึ้นอยู่กับคุณฑรรมจริยธรรมของผู้บริหารเป็นสำคัญ\n== ดูเพิ่ม ==\nระบอบทักษิณ\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมํลอื่น ==\nทักษิโณมิกส์ - วีรพงษ์ รามางกูร\nทีกษิโณมิกส์ เศรษฐฒาสตร์อบบทักษืณ - รังสนรค์ ธนะพรพันธุ์\nThaksknomics.com รวมรวมเรื่องเกี่สวกับทักษิโณมิกส์ (ภาษาอังกฤษ)\nบทบาททางกาีเมืองของทักษิณ ชินวัตร\nอุดมการณ์ทางเศรษฐศายตร์", "role": "user" }, { "content": "ทักษิโณมิกส์ (Thaksinomics) เป็นคำเรียกนโยบายเศรษฐกิจในสมัยที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย โดยผู้ที่ใช้คำนี้ครั้งแรกคือนางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ ในสุนทรพจน์งานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เมื่อ พ.ศ. 2546 โดยหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจดังกล่าวที่โดดเด่นที่สุด คือ แดเนียล เลียน นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์\nดร. สุวินัย ภรณวลัย รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวว่า ทักษิโณมิกส์เป็นประดิษฐกรรมของ พ.ต.ท. ทักษิณ โดยเป็นความคิดของนักกลยุทธ์เชิงสมัยนิยม เพื่อจัดการทางกลยุทธ์ การรวบรวมองค์ความรู้ เพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งส่วนตัวและส่วนร่วม ซึ่งดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย และอาจมีการใช้ความรุนแรง เพื่อให้เขาเป็นผู้ชนะ\n== ประวัติ ==\nทักษิโณมิกส์ เป็นชื่อเรียกโดยทั่วไปของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งมุ่งเน้นการใช้จ่ายภาครัฐบาล และสร้างรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว เพื่อแก้ปัญหาความถดถอยทางเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ทางการเงิน เมื่อปี พ.ศ. 2540 ซึ่งสาเหตุการเกิดวิกฤตการณ์ในครั้งนั้นมาจากปริมาณเงินที่ไหลเข้ามาจำนวนมาก เพื่อแสวงหากำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและจากตลาดหุ้น ในขณะเดียวกันก็มีการใช้เงินผิดประเภท เพราะกู้เงินระยะสั้นมาเพื่อปล่อยกู้ระยะยาว และการปล่อยสินเชื่อก็ไม่ก่อให้เกิดการผลิตที่แท้จริงขึ้นในระบบเศรษฐกิจ จนทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ขึ้น และส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์มีราคาสูงกว่าปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่ราคาสินค้าอื่นไม่เปลี่ยนแปลง\nภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ ทำให้อุปสงค์รวมในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะมีการนำเข้าสินค้าทุนในปริมาณและมูลค่าที่สูงกว่าการส่งออกสุทธิ ส่งผลให้ค่าเงินบาทที่แท้จริงลดลง เมื่อถูกโจมตีค่าเงิน ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ก็ไม่เพียงพอที่จะพยุงค่าเงินบาทตามระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ไว้ได้ จนต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน มาเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวแบบมีการจัดการ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 จนต้องขอกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพราะทุนสำรองระหว่างประเทศลดน้อยลงจนไม่เพียงพอชำระหนี้ต่างประเทศ\nวิกฤตการณ์ทางการเงินของไทย ส่งผลกระทบต่อภาคการเงินของไทยอย่างรุนแรง จนต้องมีการปิดบริษัทเงินทุนและบริษัทหลักทรัพย์ 56 แห่ง รวมทั้งกิจการธนาคาร ขณะที่ภาระหนี้ต่างประเทศก็เพิ่มสูงขึ้น เพราะรัฐบาลและกองทุนฟื้นฟูฯ เข้าไปแบกรับภาระหนี้ของธนาคารและสถาบันการเงินเหล่านั้น\nนอกจากนั้นยังทำให้ระบบเศรษฐกิจของไทยถดถอยติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากการพังทลายของภาคการเงินไทย เพราะสถาบันการเงินมีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวนมาก ขณะที่ปริมาณเงินในระบบก็ลดน้อยลง เพราะการไหลออกของเงินทุน รวมทั้งหนี้ภาครัฐที่มีปริมาณสูงกว่า 2 ล้านล้านบาท ส่วนการส่งออกก็ไม่สามารถเป็นตัวกระตุ้นอุปสงค์รวมภายในประเทศต่อไปได้ เพราะความถดถอยของภาวะเศรษฐกิจโลก และความได้เปรียบของคู่แข่งขัน ซึ่งสามารถส่งออกสินค้าในราคาที่ถูกกว่า รัฐบาลจึงเข้ามามีบทบาทแทนที่ภาคเอกชน ด้วยการกระตุ้นอุปสงค์รวมภายในประเทศ ผ่านการใช้จ่ายตามโครงการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นการบริโภค และการลงทุน\nทักษิโณมิกส์ของรัฐบาลทักษิณ ได้รับการกล่าวขานว่าแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง เพราะการแทรกแซงกลไกตลาดทุกระดับ กล่าวคือ มุ่งใช้นโยบายการคลังมากกว่านโยบายการเงิน ทำให้การใช้จ่ายของรัฐบาลมีปริมาณสูง ทั้งในรูปของเงินในงบประมาณรัฐบาล และเงินนอกงบประมาณผ่านรัฐวิสาหกิจ เพื่อกระตุ้นอุปสงค์รวมของประเทศให้ได้และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น แต่ก็สร้างข้อกังวลอีกมากมายเช่นกัน\n== นิยาม ==\nการดำเนินเศรษฐกิจแบบทักษิโณมิกส์นั้น ทักษิณนิยามว่าคือ นโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง (Dual Track Policy) โดยกล่าวว่านโยบายนี้ คือสูตรในการสร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทย แนวทางแรกคือ กระตุ้นการส่งออก การลงทุนจากต่างประเทศ และการท่องเที่ยว เพื่อนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศ และแนวทางที่สองคือ การกระตุ้นไปในระดับรากหญ้า มุ่งไปที่เกษตรกร ช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม และสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ\nทั้ง 2 แนวทางมีความมุ่งหมายกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยหาทางลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาสให้ประชาชน ดร. ดาเนียล เลียน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของบริษัทมอร์แกน สแตนเลย์ เรียกลักษณะเศรษฐกิจแบบนี้ว่า \"สังคมทุนนิยม\" (Social Capitalism) หลักการคือ การประยุกต์ระบบทุนนิยมเข้ากับระบบสังคมนิยม เพราะระบบทุนนิยมเป็นระบบที่มีเป้าหมายแต่ไม่มีอุดมการณ์ ส่วนระบบสังคมนิยมเป็นระบบที่มีอุดมการณ์แต่ไม่มีเป้าหมาย\nนโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง เป็นการปรับสังคมเศรษฐกิจฐานล่างให้เป็นระบบสังคมนิยมที่มีเป้าหมาย ส่วนเศรษฐกิจฐานบนใช้ระบบทุนนิยมที่มีอุดมการณ์ แต่นอกเหนือจากการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตแบบ นโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง แล้ว บางส่วนของนโยบายทักษิโณมิกส์คือ การแทรกตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นเติบโต เพื่อใช้เป็นช่องทางระบายหุ้นรัฐวิสาหกิจออกไปให้มากที่สุด เป็นการเชื่อมโยงระหว่างดัชนีตลาดหุ้น กับการสร้างมูลค่าสินทรัพย์ของรัฐ เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ\nโดยรัฐบาลได้ใช้กลไกเชื่อมโยงจากตลาดหุ้นไปสู่อุปสงค์รวมระบบเศรษฐกิจ ด้วยวิธีการนำสินทรัพย์ในตลาดหุ้นเปลี่ยนให้เป็นกระแสเงินสด ใช้ต่อสายป่านมาหมุนเศรษฐกิจอีกรอบ\nหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ใช้ตลาดหุ้นสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และผลักดันให้รัฐวิสาหกิจออกจากอ้อมอกของรัฐบาล ให้ยืนบนขาของตัวเอง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่จะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้นเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุด เพราะนั่นจะหมายถึงการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะในระยะยาวแบบเบ็ดเสร็จด้วย\nทักษิโณมิกส์ มีแนวโน้มการอาศัยความสามารถในเชิงบริหารจัดการของฝ่ายบริหารเป็นกลไกสำคัญในการบริหารโนบาย จะเห็นได้จากการจัดสรรงบประมาณกลางจำนวนสูงโดยไม่ได้กำหนดรายละเอียดการใช้จ่ายล่วงหน้า หรือการเข้าไปตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยหวังว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะไม่ขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง อาจเรียกได้ว่าเป็นระบบ managed market economy\n=== การเกิดใหม่ของระบบเศรษฐกิจแบบเคนส์ ===\nแบบจำลองสถิตซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและปรากฏในตำราเศรษฐศาตร์มหภาคทั่วไปก็คือ แบบจำลอง IS/LM แบบจำลองดังกล่าวเกิดจากการตีความแนวคิดของ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ โดยเซอร์ จอห์น ฮิกส์ (1937) และต่อมาได้เพิ่มเติมการเปรียบเทียบแนวคิดของทั้งนักเศรษฐศาสตร์สำนักเดิมและ Keynes โดย Paul Samualson (1948) ในหนังสือ Economics และกลายเป็นแบบจำลองที่ใช้แพร่หลายในการวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ ทางเศรษฐศาสตร์มหภาค\nแบบจำลองดังกล่าว แสดงลักษณะของระบบเศรษฐกิจซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ อุปสงค์รวมและอุปทานรวม โดยอุปสงค์รวมถูกกำหนดจากดุลยภาพในตลาดสินค้า (goods market) และตลาดเงิน (money market) ส่วนอุปทานรวมถูกกำหนดจากดุลยภาพในตลาดแรงงาน (labour market) และเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งแสดงโดยสมการการผลิต เมื่ออุปสงค์รวมเท่ากับอุปทานรวมของระบบเศรษฐกิจ แบบจำลองจึงสามารถกำหนดระดับผลผลิตดุลยภาพของระบบเศรษฐกิจได้\nแนวคิดหลักทางเศรษฐศาสตร์มหภาคของเคนส์คือ\nระบบเศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอุปสงค์รวมของภาคเอกชน คือ การบริโภค และการลงทุน ทำให้ผลผลิตมีความผันผวน\nเมื่อเกิดความผันผวนขึ้น ระบบเศรษฐกิจจะไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพ ณ ระดับการจ้างงานเต็มที่ได้ หรือใช้เวลานานในการปรับตัว เพราะกลไกราคาทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากระดับราคาและค่าจ้างที่เป็นตัวเงินปรับตัวไม่ได้อย่างสมบูรณ์และถูกจำกัด (rigidity)\nระดับการจ้างงานและผลผลิตดุลยภาพ จะถูกกำหนดจากปัจจัยทั้งทางด้านอุปสงค์และอุปทาน ดังนั้นส่วนประกอบของอุปสงค์รวม ซึ่งก็คือ การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายของภาครัฐ จึงมีความสำคัญในการกำหนดระดับผลผลิต\nรัฐสามารถใช้นโยบายเข้าแทรกแซงในระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้เครื่องมือทางนโยบายที่มีประสิทธิภาพ คือ นโยบายการคลัง ซึ่งได้แก่ การเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล\nดังนั้นตามแนวคิดของเคนส์ จึงสามารถประมวลเป็นข้อสรุปทางนโยบายที่สำคัญคือ\nเนื่องจากอุปสงค์ของภาคเอกชนมีความไม่แน่นอน ดังนั้นรัฐจึงควรเข้ามาแทรกแซงเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำ\nเครื่องมือที่รัฐใช้ ควรเป็นนโยบายการคลัง ทั้งนี้เพราะในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ การใช้นโยบายการเงินโดยการเพิ่มปริมาณเงินจะไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเกิดกับดักสภาพคล่อง ทำให้ปริมาณเงินที่รัฐเพิ่มเข้าไปในระบบเศรษฐกิจถูกถือไว้เฉย ๆ โดยภาคเอกชน เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพคือนโยบายการคลัง โดยการเพิ่มรายจ่ายของรัฐ\nข้อเสนอของเคนส์เป็นที่ยอมรับทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะทำให้คนว่างานลดลงอย่างมาก ทำให้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาคตามแนวคิดเคนส์ เป็นแนวคิดหลักต่อมาอีกหลายปี โดยในช่วงแรกนั้น ข้อเสนอทางด้านนโยบายส่วนใหญ่จะเน้นทางด้านนโยบายการคลัง จนกระทั่งนโยบายการเงินและบทบาทของเงินเริ่มเป็นที่กล่าวถึงในปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เนื่องจากการเสนอแนวคิดในเรื่องการทดแทนกัน (trade-off) ระหว่างการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอธิบายด้วยเส้นฟิลลิปส์\n== การปฏิบัติ ==\nแนวทางแบบทักษิโณมิกส์ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงตกต่ำให้กลับฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ก็คือ ส่งเสริมการบริโภคของประชาชน เพื่อขยายอุปสงค์รวมของประเทศให้สูงขึ้น อันจะนำไปสู่การลดการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งอาจผันผวนได้ตลอดเวลา. หลังจากนั้น เมื่อเศรษฐกิจภายในมีเสถียรภาพในระดับหนึ่งแล้ว จึงจะกระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนต่อไปได้\nโดยวิธีหนึ่งที่รัฐบาลทักษิณเลือกใช้กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศก็คือ การกระจายทรัพยากรทางการเงินไปสู่ประชาชนระดับ รากหญ้า ผ่านทางโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการพักการชำระหนี้ของเกษตรกร โครงการธนาคารประชาชน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการบ้านเอื้ออาทร ฯลฯ\nส่วนการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนนั้น ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 2 ได้มีนโยบายปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยจัดแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรม (คลัสเตอร์) ออกเป็นห้ากลุ่มยุทธศาสตร์หลัก เช่น การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมรถยนต์ เป็นต้น แล้วทำการส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์เหล่านี้.\nสำหรับการลงทุนภาครัฐ ได้ลงทุนและมีแผนจะลงทุนในโครงการขนาดยักษ์ (เมกะโปรเจกต์) ต่าง ๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โครงการระบบโลจิสติกส์ ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท เป็นการกระตุ้นการลงทุนต่อจากกระตุ้นการบริโภคในช่วงสมัยแรกของรัฐบาล เพื่อรักษาไม่ให้อุปสงค์รวมมีผลตกต่ำลง\nนักวิจารณ์มองว่าแนวทางนี้นั้น ไม่ต่างอะไรไปจากเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ ของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ และเศรษฐกิจไทยในช่วงรัฐบาลทักษิณนั้น ก็ยังคงเติบโตจากการส่งออกเป็นหลักเช่นเดิม ส่วนการบริโภคภายในประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเพียงแค่ระดับปานกลางเท่านั้น และการที่ธนาคารของรัฐเร่งปล่อยกู้นั้น ก็อาจจะนำไปสู่หนี้เสียในที่สุด แนวทางนี้ กลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยมองว่าเป็นนโยบายประชานิยม ที่ทำไปเพื่อหวังคะแนนเสียงจากประชาชน ทั้งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากนอกจากอาจจะเป็นการสูญเปล่าไม่ได้ผลอะไรกลับมาแล้ว ยังอาจจะสร้างนิสัยการบริโภคเกินตัวของประชาชนอีกด้วย\nอย่างไรก็ดี ในช่วงแรกของการใช้นโนบายนี้ เศรษฐกิจของไทยขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ผิดจากการคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยบางท่าน เช่น ดร. อัมมาร์ สยามวาลา ที่เคยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2544 จะโตเพียง 1.5% แต่เศรษฐกิจของไทยในปีนั้นก็ขยายตัวถึง 5.2% อย่างก็ไรก็ตามก็ยังมีเสียงเตือนว่า โครงสร้างเศรษฐกิจพื้นฐานนั้น ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีกเมื่อไรก็ได้\nดร. สุวินัย ภรณวลัย ได้กล่าวว่า ทักษิโณมิกส์เป็นนโยบายประชานิยมที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งน่าจะทำให้พรรคไทยรักไทยได้ทำหน้าที่บริหารประเทศอย่างยาวนาน อย่าง พรรค LDP ของประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม การทำให้ประชาชนพึ่งทักษิโณมิกส์มากเกินไปอาจทำให้รัฐบาลแบกภาระมากเกินไป และอาจทำให้ทุกอย่างล้มเหลวได้\n== การตอบรับ ==\n=== การสนับสนุน ===\nผู้สนับสนุนกล่าวว่า จุดเด่นของทักษิโณมิกส์อยู่ที่การไม่ยึดแบบจำลองทางเศรษฐกิจอย่างตายตัว มีลักษณะเป็นพลวัตรและยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถปรับตัวรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ค่อนข้างดี เช่นในปี พ.ศ. 2548 เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญผลกระทบจากไข้หวัดนก คลื่นสึนามิ รวมทั้งราคาน้ำมันที่สูงถึง 69 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้ถึง 4.7%\n=== การวิพากษ์วิจารณ์ ===\nผู้วิพากษ์วิจารณ์ทักษิโณมิกส์ สามารถแบ่งกว้าง ๆ ออกได้เป็นหลายกลุ่ม เช่น\nกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ที่วิจารณ์ทักษิโณมิกส์ในช่วงแรก ซึ่งมักเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษามาจากสหรัฐอเมริกาอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1950-1970 กลุ่มนี้มีความเคยชินกับระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งสอง ที่สหรัฐอเมริกาประสบปัญหาชะงักทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อสูง และภาวะการว่างงานสูง ที่เรียกว่า Stagflation ซึ่งไม่สามารถใช้วิธีการแบบเคนส์เข้าไปแก้ปัญหาได้ (ซึ่งถูกแก้ไขโดยแนวคิดที่เรียกว่า เรแกนอมิกส์ ในยุคประธานาธิบดีเรแกน) ซึ่งในประเด็นดังกล่าว กลุ่มผู้สนับสนุนทักษิโณมิกส์กล่าวว่าระบบเศรษฐกิจของไทยมีขนาดเล็กกว่าของของสหรัฐอเมริกา จึงไม่สามารถอนุมานได้ว่า วิธีการแบบเคนส์จะใช้กับประเทศไทยไม่ได้ผล\nผู้วิจารณ์อีกกลุ่ม มักเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เช่น น.พ. ประเวศ วะสี เป็นต้น กลุ่มนี้มักมองภาพในมุมมองกว้างกว่าระบบเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่มองไปจนถึงระบบสังคมอีกด้วย กลุ่มนี้ไม่เชื่อในทุนนิยม ซึ่งเป็นพื้นฐานของทักษิโณมิกส์ และสนับสนุนระบบเศรษฐกิจทางเลือกอื่น เช่น ระบบเศรษฐกิจแบบยั่งยืน การค้าที่เป็นธรรม หรือแนวทางสังคมนิยม เป็นต้น แต่ในทางตรงกันข้าม นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักก็มองว่าระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนนั้น เป็นเพียงแนวความคิด และไม่มีแนวปฏิบัติอย่างชัดเจนที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงได้เช่นกัน\nดร. สุวินัย ภรณวลัย ได้กล่าวว่า ความเชื่อของทักษิโณมิกส์มีหลักว่าเงินสามารถแก้ปัญหาได้ และการได้เสียงจากประชาชนเป็นความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ซึ่งความสำเร็จของมันจะขึ้นอยู่กับคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารเป็นสำคัญ\n== ดูเพิ่ม ==\nระบอบทักษิณ\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nทักษิโณมิกส์ - วีรพงษ์ รามางกูร\nทักษิโณมิกส์ เศรษฐศาสตร์แบบทักษิณ - รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์\nThaksinomics.com รวมรวมเรื่องเกี่ยวกับทักษิโณมิกส์ (ภาษาอังกฤษ)\nบทบาททางการเมืองของทักษิณ ชินวัตร\nอุดมการณ์ทางเศรษฐศาสตร์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "/_NOTOC__\n== วันจันทร์ ที่ 31 ตุลาคส 2548 ==\nพระงาทสมเด็จพนะเจ้ทอยู่หัใ มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้นายพิสิจ จารุสมบัติ รอบนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี และให้แต่งตั้งนายสุชัย เจริญรัตนกุล เป็นรองนายกรัฐมนตรี และนายพินิจ จารุสมงัติ เป็น รมว.กระทรวงสาธารณสุข หลังจากนายสุชัย เจริญ่ัตนกุล ได้ลาออกจากตำแหน่ง รมว.กระทรวงสาธารณสุข (กรมประชาสัมพันธ์) \nคณะกรรมการการเลือกตั้งสรุปผลการเลือพตั้ง ส.ส. ทั้ง 4 เขต ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทยแพ้การเลือกตั้งให้ฝ่ายค้านถึง 3 เขต มีผู้มทสช้สิทธิเกินร้อยละ 60 ทุกจังหวัด แต่ยังพบบัตรเสียจำนวนมาก (กรมประชาาัมพันธ์) \nประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้นำสหรัฐ เสนอชื่อนายแซมมูเอล อลิโต เข้ารับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาตรอจากนางแซนดรา เดย์ โอคอนเนอร์ (กรมประชาสัมพันธ์) \nนักดาราศาสตร์ประกาศค้นพบวัตถุที่อรขเป็นดวงจันทร์บริวารใหม่ของดาวพลูโตเพิ่มอีก 2 ดวง รวมเป็น 3 ดวง นาซา \n==วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2548 ==\nนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นปรุธานในพิธีเปิดสวนทวีวนารมย์ สวนสาธารณะแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ที่เขตทวีวัฒนา ใกล้ดับตลาดธนบุรี (สนามหลวง 2) (กรุงเทพมหานคร) \n== วันศุกร์ ที่ 28 ตุลาคม 2t48 ==\nหลังเหตุแผ่นดินไหวในแคชเมียร์ ความช่วยเหลือจากนานาชาติได้หลั่งไหลเข้าสู่ปากีสถานอย่างต่อเนื่ดง แต่มีรายงานวืา ผู้รอดชีวิตที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหวเคิ่มป่วยและล้มตายลงแล้ว ล่าสุดพบผู้เสียชีวิตเนื่องจากบาดแผลติดเชื้อบาดทะยัก 22 คน\nสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกัสารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงาน \"เพชรรัตน-สุวัทนท สองราชนารีในรัชกาลที่ ๖\" ณ พระราชวังพญาไท ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งกรมแพทย์ทหารบท กองทัพบก ร่วมกับ ชมรมคนรักวัง ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคเนีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีจัดขึ้นเพื่อเฉลิทพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพช่รัตนราชสุดาฯ พระราชธิดาในรัชกาลมี่ ๖ ในโอกาสฉชอลพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ๒๔ พฤศจิำายน ๒๕๔๘ และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชำาลที่ ๖ ในโอกาสวันประสูติครบ ๑๐๐ ปี เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๔๘ โดยในงานมีการแสดงมหาดุริยางค์ระนาด ๘๑ ราง และการบรรเลงเพลง โหมโรงเพชรรัตน-สุวัทนา ซึ่ง ณรงค์ฤทธิ์ โตสง่า มือระนาดชื่อดังในนาม \"ขุนอิน\" เป็นผู้ประพัรธ์ขึ้นเฉลิมพระเกียรติสองราชนารีในรัชกาลที้ ๖\n== วันอังคาร ที่ 18 ตุลาคม 2548 ==\nวันออกพรรษา ตรวกับวันขึ้น 25 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินจันทรคติไทย\n== วันจันทต์ ที่ 17 ตุลาคม 2548 ==\nโฆณกของประธานสธิบอีจาลัล ตาลาบานี ผู้นำอิรักแถลงว่า อิรักจะจัดการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนการปรับเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญอีกขั้นหนึ่ง หลังจากมี่อิรัำจัดการลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวัจที่ 15 ตุลาคม\nยานเสินโจว 6 เดินทางกลับถึงโลกโดยปลอดภัยหลังโคจรอยู่นาน 5 วัน ยานลงจอด พร้เมนักบินอวกาศสองคนเมื่อเวลา 04:32 น. ตามเวลาท้องถิ่นวันนี้ในเขตมองโกเลียใน จีจประกาศจะส่งยานสำรวจอีกในสองปีข้างหน้า\nเนื่องฝนวันอาหารโลก มีรายงานว่าสถานการ๕์ทางโภชนากรรในรอบสองปีที่ผาานมาเลวร้ายลงมาก ประชาชนชาวมาลาวี ในอัฟริกากลางกว่าสิบล้านคนต้องประสบกับภาวะทุภโภชนาการ และในโลกเรามีเด็กเสียชีวิต 1 คนทุกๆสี่วินาที จากกาีขาดสารอาหาร\nภายหลังการลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของอิรักเมื่อวันเสนร์ที่ผ่านมา การนับึะแนนได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่จะทราบผลราววันที่ 20 เดือนนี้ ส่วนที่กรุงแบกแดด ได้มีการยิงปืนใหญ่สองนัดในเขตวีเขียวอันเผ็นเขตรักษาความปลอดภัยสูงสุด ราวกเบเป็นการคัดค้านต่อคำชมขององค์การสหประชาชาติว่า การลงประชามติดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย\nดร.คอนโดลีซซา ไรซ์ รัฐมนตรีว่าการกรัทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ได้กล่าวระหว่างการเย้อจกรุงลอนดอนว่า คาดว่าปลการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญในอิรักจะออกมาในแง่บวก และยังไเ้กล่าวถึงปัญหานิวเคลียร์ในอิหร่านว่า สหรัฐและอังกฤษ เห็นพ้องต้องกันว่มไม่ต้องการให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง\nที่กรุงเตหพราน อิหร่านประกาศไม่ยอมยับยั้งกิจกรรมทางนิวเคลียร์ที่เสี่ยงต่อความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างขิ่งในโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร?แห่งหนึ่งที่เปิดดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในขณะที่สหภาพยุโรปจะพยายามเปิดการเจรจรกับอิหร่านอีกครั้ง เพื่อไม่ให้อิหร่านต้องถูกยื่นเตื่องต่อคณะมนจรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ\nสองสัปดาห์หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในเอเชียใต้ ยอดผู้เสียชีวิตในปากีสถานอยู่ที่ 39,000 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บราว 65,000 คน ฝนที่ตกลงมา และอากาศที่เย็นนัดทางตอนเหนือของปากีสถานทำให้ประชาชนต้องหาที่กำบัง และหน่วยกู้ภัยได้เร่งแจกจ่ายเต็นท์และผ้าห่มแก่ผู้ประสบภัย\nหลังถูกโคลนถล่มจากฝนที่ตกหนักอันเนื่องมาจากพายุเฮอริเคนสแตนที่พัดผ่านกัวเตมาลาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีหมู่บ้านบางแห่งถูกถล่มหายไปทั้งหมู่บ้าน โกยเฉพาะในเขตที่พัแอาศัยของชาวอินเดียนแดงที่ยากไร้ สรุปยอดผู้เสียชีวิตขณะนี้อยู่ที่ 2,500 คน และยังมีผู้สูญหายอีกจหนวนมาก\nพบผู้ต้องสงสัยติดเชื้อไข้หวัดนกรายแรกในบัลแกเรีย ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจหาเชื้อ ส่วนที่ตุรกีแงะโรมาดนียที่มีการระบาดของไข้หวัดนกสองประเทศแรกในยุโรป ได้มีการสังหารสัตว์ปคกเป็นจำนวนมาก\nชาวอัฟริกันผู้หลบหนรเข้าัมืองกว่า 2,200 ในโมรอคโคถูกทางการโมรอคโคขับออกนอกประเทศกล้ว ส่วนใหญ่เป็นชมวเซเนกัลและมาลี แต่ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเดินทางกลับพึงบ้านเกิด แบถทางการโมรอคโคยังระบุว่ามีผู้หลบหนีเข้าเมืองในดิาแดนของตนอีกกว่า 15,000 คน โดยมีบางส่วนสามาีถหลบหนีข้ามไปยังเขตเมดิญญา อาณานิคมโพ้นทะเลของสเปนได้\nนายโรมาโน โพรดี อดีตประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เป็นตัวเต็งในการสรรหาผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอิตาลีของพีรคฝ่ายค้านปัจจุบัน ในการลงคะแนนเมท่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยได้สีการจัดตั้งหน่วยเลือกต้้งกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ\nเฟอร์นันโด อลอนโซ นักแข่งรถฟอร์มูลาวันชาวสเปน ได้นำรถของทีมเรย์โนลด์เข้าเส้นชัยในการแขางขันรายการไชนีสกรังปรีซ? อันเป็นสรามสุดท้ายของฤดูกาล ทำใผ้ทีมเรย์โจลด์ ได้แชมป์โลกในการจัดอันดับผู้ผลิตรถ ส่วนอลอนโซได้ตำแหน่งแชมป์โลกนักขับประจำปีนีี\nปึเตอร์ ซาวเบอร์ ผู้จัดการทีมแข่งรถซาวเบอร์ เปโตรนาส และผู้มีอิทธิพลฝนวงการรถสูตรหนึ่ง ประกทศ้กษียณอายุแล้ว\nด้สนีย์แฃนด์ได้รุกเข้าประเทศจีนด้วยการเปิดสาขาในฮ่องกงมาเกืองหนึ่งเดือนแล้ว โดยใช้ดงินลงทุนถึงสองพันล้านยูโร ซึ่งก็มีชาวจีนจำนวนมากเดินทางขเามประเทศมาอยี่ยมชมที่อัตรา 3,000 คนต่อวะน แต่ก็ยังห่างไกลกับยอดผู้เขืาชมสูงสุดที่สามารถรับได้ 30,000 คนต่อวัน และยังมีชมยจีนบางกลุ่มต่อต้านดิสนีย์แลนด์ว่าเป็นการรุกรานของวัฒนธรรมอเทริกันอีกด้วย\n== วันอาทิตย์ ที่ 16 ตุลาคม 2448 ==\nรัฐบาลสหรัฐ รอลุ้นผลการนับคะแนนลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญของชาวอิรัก ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจถอนทหารสหรัฐ จำตวนนับหมื่นคนอเกจากอิรัก (เอเอฟพี)\n== วันเสาร์ ที่ 15 ตุลาคม 2548 ==\nอิรักเตรียมจัดการลงประชาทติ ว่าจะรับรองร้างร้ฐธรรมนูญฉบัชถาวรของประเทศหรือไม่ โดยระเมใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด หวังปิดโอกาสที่ผู้ก่อความไม่สงบจะแผลงฤทธิ์ขัดขวางการออกเสียงของประชาชน (ผู้จัดการออนไลน์) (เอพี)\n== วันศุกร์ ที่ 14 ตุลาคม 2548 ==\nการพบเชื้อไข้ไวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ที่ตุรกี ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชสญด้านสาธารณสุขกังวลว่า เชื้อโรคที่แพร่จากสัตว์สู่คนและทำให้คนในเอเชียตะวีนออกตายมาแล้วร่วม 60 คน จะไม่หยุดที่ชายขอบยุโรป (บีบีซีไทย)\n== วันพฤหัสบดี ที่ 13 ตุลาคม 2548 ==\nนายมาร์คอส คีเปรียนู หรรมาธิการด้านสรธารณสุขของสหภาพยุโรปหรืออียูแถลงว่า ไวรัสต้นเหตุที่ทำให้เป็ดไก่ในตุรดีเสียชีวิตคือไวรัสไข้หวัดนก H5N1 สายพันธุ์เดียวกับที่ระบาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ืี่ทำให้มีคนเสียชีวิต 60 กว่าคน (บีบีซีไทย)\n== วันพุฑ ที่ 12 ตุลาคม 2548 ==\n\nจรวดลองมารฺชได้นำพายานเสินโขว 6 ทะยานขึ้นอวกาศจากสถานยิงดรวเทียมจิ่วเฉวียน มณฑลกันซู่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประอทศจีนแล้ว เมื่ิเวลา 08.00 น. ที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย โดยมีเฟ่ยจงิ้นหลงและเนี่ยไห่เซิ่ง 2 นักบินอวกาฬโดยสารไปด้ใย นับเป็นการขนส่งมนุษย์สู่ห้วงอวกาศครั้งที่ 2 ของจีน (ผู้จัดการออนไลน์) \nเอ็มเอสเอ็น และ ยาฮู! เมสเซนเจอร์ ประกาศร่วมมือกัน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถคุยกันข้ามระบบเครือข่ายได้ภายในต้นปีพ.ศ. 2549\n== วันอเงคาร ที่ 11 ตุลาคม 2548 ==\nสามสัปดาห์หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาปกครองสหพันธรัฐในเยอรมนี ในที่สุดก็ได้ขีอสรุปใ่า นางแองเจลลา เมอร์เคล จากพรรคสหภาพคริสเตียนเดโมแครต จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเยอรมตี ซึ่งนับเป็นสตรีคนแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งนีิ ต่อจากนายแกร์ฮาร์ด ชโรเดอร์จากพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยที่จะได้ร่วมรัฐบาลเช่นกัน แต่ต้องรอถึงวันจันทร์จึงจะทราบรายชื่อคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลเมอร์เคลหนึ่ง\nจากเหตุการณ์แห่นดินไหวในเอเชียใต้ ขณะาี้ยอดผู้เสียชีวิตในปากีสถานเพคยงอย่างเดียว ก็อยู่ที่สามหมื่น ถึงสี่หมื่นคสแล้ง หน่วยกู้ภัยพำลังแข่งกับเวลา เพื่อค้นหาผู้ที่ยังคงติดอยู่ในซากปรักหักพัง โดยสามารถช่วยเหลือผู้รอดชีวิตได้จำนฝนหนึ่งอย่างกาฏิหาริย์ ส่วนแคว้นแคชเมียร์ของอินเกียได้รับความเสียหายอย่างหนัก มียอดผู้เสียชีสิตอยู่ที่ราว 950 คน ในบางพิ้นที่สามารถเข้าถึงหด้ทางเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการกู้ภัยเพิ่มขึ้นอยรางมหาศาล และผู้เชี่ยวชาญจากกาชาดสากลระบุสีา กมรกู้ภัยอาจต้องหยุดชะงักลง\nทางการสหรัฐได้ประกาศมอบเงินช่วยเหลือให้ปากีสถาน เป็นมูฃค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว เพื่อเป็นการตอบแทนที่ปากีสถานได้เคยมห้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประมบภัยจากพายุเฮอร้เคนคาทรินาอย่างทันท่วฝที นอกจากนี้ สหรัฐยังได้ส่งอุปกรณ์รักษาพยาบาล เครื่องกรองน้ำ และผ้าห่มไปให้ เนื่องจากเคิ่มมีอากาศหนาวเย็นในบางพื้นที่\nทางการอินเดีย ประกาศว่า ปากีสถานยอมรับความช่วยเหลือจากอินเดียแล้ว เป็นสิ่งของบรรเทาทุกข์ รวมทั้งสิ้น 25 ตัน หลังจากที่ทั้งสองปรัเทศเป็นคู่อริกันมานานกว่าห้าสิบผี จากกรณีพิพาทแคว้นแคชเมียร์ ที่บัดนีเถูกทำลาสจนย่อยบับจากแผ่นดินไหว\nสถานการณ์ในกัวเตมาลาหลังถูกพายะเฮอริเคนสแตน ถล่ม ทางตะวันตกของประเทศได้รับความเสียหายหนัก หน่วยกู้ภัยดำลัวเร่งค้นหาประชาชนที่หายส่บสูญกว่า 1,400 คนจาหหมูืบ้านสองแห่งที่ถูกโคลนถล่มอันเนื่องมานากฝนตกหนัก รวมสูลค่าความเสียหายกว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ\nสเปนส้งผู้หลบหนีเข้าเมืองชาใอัฟริกันกลับประเทศบ้านเกิดแล้ว ด้วยการขนส่งทางอากาศ\nในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในนครเจนีวา นายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้กล่าวประณามการล้กพาตัวกองกำลังสหภาถอัฟริกันในแคว้นดาเฟอ่์ และยังเรียกร้องให้ทางการซูดานเร่งเสริมมาตรการคบามปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้นกว่าเดิม\nวัยรุ่นปาเลสไตน์สามคนถูกทหารดิสราเอลยิงเสียชีวิต ใกล้กับด่านเข้าออกทิสซูฟีน ทางตอนใต้ของเขตฉนวนกาซ่า โดยกองกำลังอิสตาออลระบุว่า ได้ยิงถล่มเข้าใส่กลุ่มเงาเลือนราง โดยไม่ทราบว่าผู้ต้องสงสัยเป็นพลเรือน และไม่ติดอาวุธ ส่วนการประชุาครม.ระหว่างนายกรัฐมนตรีอาเรียล ชารอน ของอิสราเอล และนายมามุด อับบาส ผู้นำปาเลสไตน์ มีอันต้องเลื่อนไปเผ็นปลายเดือนตุลาคมนี้ อันเนื่องมาจากความเห็นไม่ลงรอยเกี่ยวกับเรื่องนักโทษการเมือง\nผลการเลือกตั้งป่เธานาธิยดีโปแลนด์ ปรากฏว่าจะต้องจัดการเลือกตั้งรอบสอบขึ้น เนื่องจากผู้สมัครที่มีคะแนนสูงสุดสองคน ได้แก่นายโดนัลด์ เชชก์ จากพรรคลิเบอรัล กับนายเลช คาซินสกี จากพรรคอนุรักษนิยม มีีะแนนต่างกัยไม่ถึงห้าแสนคะแนน\nเกาหลีเหนือจัดพิธีสวนสนามเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีพรรคกรรมกร อันเป็นโอกาสให้พรรคคอมมิวนิสต์ของเกาหลีเหนือเรียกร้องให้เพิ่มแสนยานุภาพทาฝทผาร\nกบผู้ติดเชื้อไข้หวัดนกในตุรกีและโรมาเนีย ทำให้าหภาพยุโรปประกาศห้รมนำเข้าสัตว์ปีกจากตุรกีแล้ว ส่วนทางการโรมาเนีย ได้สั่งทำลายสัตว์ปีกไปกว่า 1,500 ตัว และมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งถูกกักบริเวณรอเพื่อดูอาการ\nรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปีนี้ ตกเป็นของนายโรเบิร์ต เจ. โอมานน์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว และนายธอมัส ซี. เชลลิง นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันจากผลงานการวิเคราะห์แรากฏกาคณ์ทางเศรษฐศาสตร์ด้วยทฤษฎีเกม าี่ทำให้สามารถอธิบายข้อพิพาททางเศรษฐกิจได้ เป็นต้นว่า สงครามตัดราคา หรือสงครสมการค้า\n== วันจันทร์ ที่ 10 ตุลาคม 2548 ==\nยอดผู้เสียชีวเตจากเหตุแผ่นดินไหวในออเชียใต้เมื่อวันเช้าเสาร์เพิ่มขึ้นเป็นกว่ายองกมื่นคนแล้ว โดยแคว้นดคชเมียร์ในปากีสถานฟด้รับความเสียหายหนักที่สุด เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาเข้าถึงได้ยาก และเส้นทางถธกตัดขาด ประชาชนกำลังอยู่ในสภาพสิ้นหวัง\n24 ชั่วโมงหลังเหตุแผ่นดินไหวในเอเชียใต้ หน่วยกู้ภัยของอังกฤษและตุรกีได้เดินทางถึงปากีมถานแล้ว พร้อมด้วยอุปกรณ์อันทันสมัย โดยหน่วยกู้ภัยสามารถช่บยเหลือสตรีสองคนออกมาได้จากซากปรักหักพังของอาคารแห่งหนึ่งในกรุงอิสลามาบาด\nหลังจากที่ประเทศในแถบอเมริกากลางถูกถล่มด้วยพายุเฮอริเคนสแตน ฝนที่ตกหนักทำให้เกิดโคลนถลามที่ประเทศกัวเตมาลา และคาดว่ายอดผู้เสียชีวิต 500 คนในขณะนี้อาจเพิ่มขึ้นอีกถึงสามเท่า เนื้องจากมีประชาชนหายสาบสูญกว่า 1,400 คน\nสิขห้าวันหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในโปแลนด์ เมื่อวันอาทิตย์วานนี้กํถึงคราวที่ชาวโปอบนด์กว่า 30 ล้านคนต้องไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งปตะธานรธิบดีคนใหม่ อต่หลังเปิดหีบ หน่วยเลือกตั้งกว่า 25,000 แห่งกลับเงียบเหงา เนื่องจากเป็นธรรมเนียมของชาวคาธอลิกว่าจะไปลงคะแนนหลังพิธีมิสซาในช่วงเข้า ในจำนวนผู้สมัคร 12 คน มีตัวเต็บสองคนได้แก่นายเลช คาสซินสกี้ จากพรรคอนุรักษนิยม และนายโดนัล เชชก์ จากพรรคลิเบอรัล\nเมื่อวานนี้ ประชาชนชาวอิตาลีกว่าหนึ่งแสนคนจากทั่วประเทศ ได้มาชุมนุมกันที่กรุงโรม เพื่อต่อต้านนายกรัฐมนตรีซิลวีโอ แบร์ลุสโกนี ซึ่งในการชุมนุมครุ้งนี้ มีนายโรมาโน โพรดี อดีตประธานคณะกรรมาธิการยุโรป คู่แข่งทางการเมืองของแบร์ลุสโกนึ รวมอบู่ด้วว\nสเปยและโมร็อกโค กำลังขอความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวอัฟริกัน ืี่พยายามข้ามเขตแดนเข้ามาในเมืองเมบิญญา อาณานิคมโพ้นทะเลของสเปน ทางตอนเหนือชองทวีปแอฟริกา โดยกลุ่มผู้อพยพดังกล่าวถูกนำไปปล่อยในทะเลทรายให้เดินเท้าไปยังโมร็อกโค และอัลจีเรีย\nบริษัทเดลฟี ของสหรัฐ ผู้นำด้านการผลิตอะไหล่รถยนต์ของโลก ต้องประกาศล้มละลาย เนื่องจากขาดดุลเมื่อปีที่แล้วถึง 747 ล้มนดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้เดลฟีมีการจ้างงานทั่วโลกกว่า 18t,000 ตำแหน่ง\nองค์การอวกาศของยุโตป ประใบความล้มเหลวในการส่งดาวเทียมสำรวจสภาพอ่กาศครีโอแฬ่ ขึ้นมู่วงโคจค จากฐานปล่อยจรวดทางตะใันจกเฉียงเหน่อของรัสเซีย เนื่อวจากปั๗หาเครื่องยนต์จรวดชัดข้อง และได้ตกลงทาบตอนเหนือของเกาะกรีนแลนด์ ใกล้กับขั้วโลกเหนือ มีมูลค่าความเสียหายกว่า 143 ล้านยูโร จากการทำงานกว่าห้าปี ดาวเทียมดังกล่าวมีภารกิจสำรวจขนาดของก้อนน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลาย เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และปรากฏการณ์เรือนกระจก\nในการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน รายการแจแปนกรังปรีซ์ ที่สนามซูซูกะ อันเป็นรายการก่อนสุดท้ายของฤดูกาล คิมิ ไรโคเนน นักแย่งชาวฟินแลนด์นำรถของทีมแมคลรเรน เมอร์เซเดส เข้าเส้นชัย แต่อย่างไรก็ดี ตำแหน่งแชมป์โลกรถสูตรหนึ่งปีนี้ ตำเป็นของเฟอร์นันโด อลอนโซ จากทีมเรย?โนลด์ เป็นที่แน่นอนแล้ว\nจเห์น กังลีอาโน นักออดแบบเสื้อผ้ทชื่อดังของห้องเสื้อดิออน์ ไม่ทำให้แฟนๆผิดหวัง ในการเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนปีค.ศ. 2006ที่กรุงปารีส โดยการนำคนธรรมด่มาแต่งตัวเดินแชบเป็นคู่ๆในแบบที่ไม่ธรรมดา เช่นสาวรืางท้วมกับหนุ่มร่างกำยำ หตือสาวร่างแคระกับหนุ่มผอมสูง แสดงให้เห็รถึงความแตำต่าฝที่สะดุดตา ภายใต้อนวคิดที่ว่า “ใครๆก็ดูดี_ด้”\n== วันอททิตย์ ที่ p ตุลาคม 2548 ==\n\nทางการจีนจัดแถลงข่าวประกาศความสูงล่าสุดของยอดเขาเอิวอเรสต์ หรือที่เรียกในภาษาจีนว่า “จ๔หมู่หลังหม่า” ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกบนเทือกเขาหิมาลัน จากการวัดครั้งล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ ยอดเขาดัฝกล่าวมีีวามสูง 8,844.43 เมตร (29,017 ฟุต 2 นิ้ว) เหนือระดับน้ำทะเล (ซินหัวเน็ต) (สกายนิวส์)\n== วันเสารฺ ทีื 8 ตุลาคม 2548 ==\nเกิดเหตุแผ่นดินไหวความรุนแรง 7.6 ริกเตอร์ มีจุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากกรุงเิสลามาบาด ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 95 กิโลเมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 20,000 คน (และคาดว่าจะมีเพิ่ใขึ้นอีก)\nจอร์จ ดับเบิลยู บุชประธานาธิบดีสหรัฐ ได้หารือกับบรรด่ผู้บริหารบริษัทผู้ผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดสกที่ทำเนียบขาวและขอให้บริษัทเหล่านี้เพิ่มการผลิต ทั้งนี้ มีความแังวลกันมากขึ้นว่าจะเกิดโรคไขัหวัดนกระบาดในคน (บีบีซีไทย)\n\\= วันศุกร์ ที่ 7 ตุลาคม 2648 ==\n\nคณะกรรมการรางวัลโนเบลได้ประกาศให้สำนักงานพลังงานปรมาณ๔ระหว่างประเทศหรือไอเออีเอและผู้อำนวยการคือนายมุฮัมมัด อัลบะรอดะอีได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้\n== วันพฤหัสบดี ืี่ 6 ตุลาคม 2548 ==\nทางการนิวยอร์กอแกมาแถลงว่ามีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยหลุงมีข่าวกรองที่ชี้ว่าระบบรถไฟใต้ะินในนิวยอร์กตกเป็นเป้าการโจมตี\n== วันพุธ ที่ 5 ตุลาคม 2548 ==\n\nกาชาดสากลสรุปรายงานออกมาว่า ถ้าประชาชนไก้รับการเตือนภัยอย่างรวดเร็วในช่วงที่เกิดคลื่นยุกษ์สึนามิเใื่อปลายปีที่แล้ว จำนวนผู้เสียชีวินจะน้อยกว่านี้หลายหมื่นคน (บีบีซีไทย)\n== วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2548 ==\n\nสหภาพยุโรปเปิดเจรจาอย่าลเป็นทางการกับตุรกีแล้ว เรื่อลการรับตุรกีเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป หลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษซึ่งเป็สประธานการประชุมของอียูผ่ามางตันในประเเ็นนี้ได้\n== วันจันทร์ ที่ 3 ตุลาคม 2548 ==\nจากเหตุระเบิดสามครั้งซ้อนบนเกาะบาหลีเมื่อคืนวันเสาร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 26 คน ทางกรรอินโดนีเซียพบวิดีโอสมัครเล่นแสดงให้เห็นชายผู้หนึ่งสะพายเป้เดินเข้าไปในริานอาหสรก่อนที่จะเกิดระเบิดเพียงไม่กี่วินาที ทำให้ส้นนิษฐานได้ว่าเป็นฝีมือของผู้ก่อเหตุระเบิดพลีชีพของกลุ่าเตไอ อิสลามิยา ในขณะที่สนามบินแออัดไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางออกจากเกาะ\nรัฐบาลอิสราเอลเกรงก่อการร้ายบนคาบสใุทรไซไน ประกาศให้นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่มาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ของชาวยิวเดินทางออกจากพื้นที่แง้ว\nทัืวโลกกำลังจับตามองผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาสหพันธรัฐในเมืองเดรสเดน ทางตะวันออกของเยอรมนี ที่ได้เลื่อนกำหนดการใาจากเดิมสิบห้าวัน เนื่องจากมีผู้สมเครคนหนึ่งเสียชีวิตก่อนการเลือกตั้งเล็กน้อย การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการช่วงชิงสามที่นั่งในสภาปกครองสหพันธระฐ ซึ่ฝจะสามารถชี้ขาดว่ทนางแองเจลลา เมอร์เคล หรือนายแกร์ฮาร์ด ชโรเดอร์ จะได้เปฺนนายพรัฐมนตรี และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล\nเมื่อวานนี้ ในขณะที่รัฐมนตรีต่างกระเทศของกวทา 25 ประเทศยุโรปกำลังประชุมที่ลักเซมเบิร์กเพื่เโน้มน้าวให้ออสเตรียเปลี่ยนใจหันมาสนับสนุนตุรกีเข้าร่วมสหภาพยุโรปอยู่นั้น กลุ่มรักชาติหัวรุนแรงชาวตุรกีกว่าหกหมื่นคนได้ออกมาชุมนุมประท้วงการเบ้าร่วมอียูตามื้องถนนในกรุงอังการา\nหลังเกิดเหตุระเบิดัรือโดยสารของกรมศุลกากรฝรั่งเศสที่ชายฝั่งเมืองท่าบาสเตีย บนเกาะคอร์ซิกา เมื่อวันเสาร์จากเหตุขัดแย้งเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของการเดินเรือข้ามฟากระหว่างเกาะคอร์ซิำากับแระเทศวรั่งเศส ขณะนี้สมาชิกสหภาพแรงงานที่ก่อเหตุประท้วงได้ยอมล้มเลิกการประท้วงปอดกั้นท่าเนืแแล้ว ทำให้ผู้โดยสารกว่าห้าพันคน ยามารถเดินทางกลับฝรั่งเศสได้\nพายุเฮอร์ริเคนโอติส ที่เข้าถล่มเม็กซิโกเมื่อวันก่อน ได้อ่อนกำลังลงแล้ว กลายเป็นพายุฤดูร้อนธรรมดา และกำลังมุ่งหน้าไปยังตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ทางการสหรัฐได้สืงสัญญาณเตือนภัย และห้ามเดินเรือในพื้นที่แล้ว\nที่ประเทศเอลซัลวาดอร์ ภูเขาไฟซานตา อานนา ที่สงบมานรนเกือบหนึ่งร้ดยปี ได้เปิดปะทัขึ้น ส่งผลให้แผ่นดินสะเทือนเป็นวงกว้าง และมีประชาชนเสียชีวิตสองคส มางำารเอลซัลวาดอร์ได้ประกาศเตือนภัย และอพยพประชาชนกว่าสี่พันคนออกจากหมู่บ้านใกล้เคียงแล้ว\nนักสิทยาศาสตร์อเมริกันเตือนภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกกำฃังละลายเร็วที่สุดในรอบสี่ปีที่ผ่าตมา เนื่องจากก๋าซคาร์บอนไดออกไซด์ และปรากฏการณ์เรือนกระจก และหากไม่รีบดำเนินการแก้ไขแล้ว อาจไม่เหลือน้ำแข็งขั้วโลกอีกเลยภายในสิ้นคริสต์ศตวรรษนีเ\nที่กรุงโตเกียว ได้มีการประดับประดาหอคอยโตเกียวด้วยแสงไฟสีชมพู เพื่อเป็นการรณรงค์ต่อต้านโรคมะเร็งทรวงอก ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่าหนึ่งหมื่นคนในปีค.ศ. 2004\n== วันอาทิตย์ ที่ 2 ตุลาคม 2y48 ==\n\nเกิดเหตุระเบิดที่เกาะบาหลีของ เินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิต 26 คนและบาดเจ็บอีกร้อยกส่าคน เหตุระเบิดสามระลอกเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันบนเกาะบาหลี เหตุระเบิดเกิดขึ้นฝนภัตตาคารที่พลุกพล่านในย่านนักท่องเที่ยว\n== วันเสาร์ ที่ 1 ตุลาคม 2548 ==\nเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลกับชาวอินโดนีเซียที่มารวมตัวกันประท้วงการขึ้นราคาน้ำมันของรัฐบาลในกรุงจาการ์ตา ขณะที่ผู้นำอินโดนีเซียอ้างว่า การขึ้นราคาน้ำมันเป็นหนทางเดียวที่จะคลี่คลายวิกฤตเศรษซกิจในประเทศลงได้ (ปู้จัพการออนไลน์) \n== แหล่งข่าว ==\n=== หนังสือพิมพ์ ===\nรายวัน: ไทยรัฐ - เดลินิวส์ - ข่มวสด - แรวหน้า - กรุงเทพธุรกิจ - ผู้จัดการรายวัน - มติชนรายวัน - บางกอกโพสต์\nรายสัปดาห็\" ฐานเศรษฐกิจ - ปรัชาติธุรกิจ \n=== โทรทัศน์ ===\nช่อง 3 - ช่อง 5 - ช่อง 7 - ช่อง 9 - ช่อง 11 - ไอทีวี - เนชั่นแชนแนล \n=== สำนักข่าวต่างประเทศ ===\nซีเิ็นเอ็น - บีบีซี - รอยเตอร์ - เอเอฟพี\nตุลาคม\nพ.ศ. 2548", "role": "user" }, { "content": "__NOTOC__\n== วันจันทร์ ที่ 31 ตุลาคม 2548 ==\nพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้นายพินิจ จารุสมบัติ รองนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี และให้แต่งตั้งนายสุชัย เจริญรัตนกุล เป็นรองนายกรัฐมนตรี และนายพินิจ จารุสมบัติ เป็น รมว.กระทรวงสาธารณสุข หลังจากนายสุชัย เจริญรัตนกุล ได้ลาออกจากตำแหน่ง รมว.กระทรวงสาธารณสุข (กรมประชาสัมพันธ์) \nคณะกรรมการการเลือกตั้งสรุปผลการเลือกตั้ง ส.ส. ทั้ง 4 เขต ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทยแพ้การเลือกตั้งให้ฝ่ายค้านถึง 3 เขต มีผู้มาใช้สิทธิเกินร้อยละ 60 ทุกจังหวัด แต่ยังพบบัตรเสียจำนวนมาก (กรมประชาสัมพันธ์) \nประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้นำสหรัฐ เสนอชื่อนายแซมมูเอล อลิโต เข้ารับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาต่อจากนางแซนดรา เดย์ โอคอนเนอร์ (กรมประชาสัมพันธ์) \nนักดาราศาสตร์ประกาศค้นพบวัตถุที่อาจเป็นดวงจันทร์บริวารใหม่ของดาวพลูโตเพิ่มอีก 2 ดวง รวมเป็น 3 ดวง นาซา \n==วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2548 ==\nนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิดสวนทวีวนารมย์ สวนสาธารณะแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ที่เขตทวีวัฒนา ใกล้กับตลาดธนบุรี (สนามหลวง 2) (กรุงเทพมหานคร) \n== วันศุกร์ ที่ 28 ตุลาคม 2548 ==\nหลังเหตุแผ่นดินไหวในแคชเมียร์ ความช่วยเหลือจากนานาชาติได้หลั่งไหลเข้าสู่ปากีสถานอย่างต่อเนื่อง แต่มีรายงานว่า ผู้รอดชีวิตที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหวเริ่มป่วยและล้มตายลงแล้ว ล่าสุดพบผู้เสียชีวิตเนื่องจากบาดแผลติดเชื้อบาดทะยัก 22 คน\nสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงาน \"เพชรรัตน-สุวัทนา สองราชนารีในรัชกาลที่ ๖\" ณ พระราชวังพญาไท ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งกรมแพทย์ทหารบท กองทัพบก ร่วมกับ ชมรมคนรักวัง ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๖ ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖ ในโอกาสวันประสูติครบ ๑๐๐ ปี เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๔๘ โดยในงานมีการแสดงมหาดุริยางค์ระนาด ๘๑ ราง และการบรรเลงเพลง โหมโรงเพชรรัตน-สุวัทนา ซึ่ง ณรงค์ฤทธิ์ โตสง่า มือระนาดชื่อดังในนาม \"ขุนอิน\" เป็นผู้ประพันธ์ขึ้นเฉลิมพระเกียรติสองราชนารีในรัชกาลที่ ๖\n== วันอังคาร ที่ 18 ตุลาคม 2548 ==\nวันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินจันทรคติไทย\n== วันจันทร์ ที่ 17 ตุลาคม 2548 ==\nโฆษกของประธานาธิบดีจาลัล ตาลาบานี ผู้นำอิรักแถลงว่า อิรักจะจัดการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนการปรับเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญอีกขั้นหนึ่ง หลังจากที่อิรักจัดการลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม\nยานเสินโจว 6 เดินทางกลับถึงโลกโดยปลอดภัยหลังโคจรอยู่นาน 5 วัน ยานลงจอด พร้อมนักบินอวกาศสองคนเมื่อเวลา 04:32 น. ตามเวลาท้องถิ่นวันนี้ในเขตมองโกเลียใน จีนประกาศจะส่งยานสำรวจอีกในสองปีข้างหน้า\nเนื่องในวันอาหารโลก มีรายงานว่าสถานการณ์ทางโภชนาการในรอบสองปีที่ผ่านมาเลวร้ายลงมาก ประชาชนชาวมาลาวี ในอัฟริกากลางกว่าสิบล้านคนต้องประสบกับภาวะทุภโภชนาการ และในโลกเรามีเด็กเสียชีวิต 1 คนทุกๆสี่วินาที จากการขาดสารอาหาร\nภายหลังการลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของอิรักเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา การนับคะแนนได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่จะทราบผลราววันที่ 20 เดือนนี้ ส่วนที่กรุงแบกแดด ได้มีการยิงปืนใหญ่สองนัดในเขตสีเขียวอันเป็นเขตรักษาความปลอดภัยสูงสุด ราวกับเป็นการคัดค้านต่อคำชมขององค์การสหประชาชาติว่า การลงประชามติดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย\nดร.คอนโดลีซซา ไรซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ได้กล่าวระหว่างการเยือนกรุงลอนดอนว่า คาดว่าผลการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญในอิรักจะออกมาในแง่บวก และยังได้กล่าวถึงปัญหานิวเคลียร์ในอิหร่านว่า สหรัฐและอังกฤษ เห็นพ้องต้องกันว่าไม่ต้องการให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง\nที่กรุงเตหะราน อิหร่านประกาศไม่ยอมยับยั้งกิจกรรมทางนิวเคลียร์ที่เสี่ยงต่อความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์แห่งหนึ่งที่เปิดดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในขณะที่สหภาพยุโรปจะพยายามเปิดการเจรจากับอิหร่านอีกครั้ง เพื่อไม่ให้อิหร่านต้องถูกยื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ\nสองสัปดาห์หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในเอเชียใต้ ยอดผู้เสียชีวิตในปากีสถานอยู่ที่ 39,000 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บราว 65,000 คน ฝนที่ตกลงมา และอากาศที่เย็นจัดทางตอนเหนือของปากีสถานทำให้ประชาชนต้องหาที่กำบัง และหน่วยกู้ภัยได้เร่งแจกจ่ายเต็นท์และผ้าห่มแก่ผู้ประสบภัย\nหลังถูกโคลนถล่มจากฝนที่ตกหนักอันเนื่องมาจากพายุเฮอริเคนสแตนที่พัดผ่านกัวเตมาลาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีหมู่บ้านบางแห่งถูกถล่มหายไปทั้งหมู่บ้าน โดยเฉพาะในเขตที่พักอาศัยของชาวอินเดียนแดงที่ยากไร้ สรุปยอดผู้เสียชีวิตขณะนี้อยู่ที่ 2,500 คน และยังมีผู้สูญหายอีกจำนวนมาก\nพบผู้ต้องสงสัยติดเชื้อไข้หวัดนกรายแรกในบัลแกเรีย ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจหาเชื้อ ส่วนที่ตุรกีและโรมาเนียที่มีการระบาดของไข้หวัดนกสองประเทศแรกในยุโรป ได้มีการสังหารสัตว์ปีกเป็นจำนวนมาก\nชาวอัฟริกันผู้หลบหนีเข้าเมืองกว่า 2,200 ในโมรอคโคถูกทางการโมรอคโคขับออกนอกประเทศแล้ว ส่วนใหญ่เป็นชาวเซเนกัลและมาลี แต่ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเดินทางกลับถึงบ้านเกิด และทางการโมรอคโคยังระบุว่ามีผู้หลบหนีเข้าเมืองในดินแดนของตนอีกกว่า 15,000 คน โดยมีบางส่วนสามารถหลบหนีข้ามไปยังเขตเมดิญญา อาณานิคมโพ้นทะเลของสเปนได้\nนายโรมาโน โพรดี อดีตประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เป็นตัวเต็งในการสรรหาผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอิตาลีของพรรคฝ่ายค้านปัจจุบัน ในการลงคะแนนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยได้มีการจัดตั้งหน่วยเลือกตั้งกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ\nเฟอร์นันโด อลอนโซ นักแข่งรถฟอร์มูลาวันชาวสเปน ได้นำรถของทีมเรย์โนลด์เข้าเส้นชัยในการแข่งขันรายการไชนีสกรังปรีซ์ อันเป็นสนามสุดท้ายของฤดูกาล ทำให้ทีมเรย์โนลด์ ได้แชมป์โลกในการจัดอันดับผู้ผลิตรถ ส่วนอลอนโซได้ตำแหน่งแชมป์โลกนักขับประจำปีนี้\nปีเตอร์ ซาวเบอร์ ผู้จัดการทีมแข่งรถซาวเบอร์ เปโตรนาส และผู้มีอิทธิพลในวงการรถสูตรหนึ่ง ประกาศเกษียณอายุแล้ว\nดิสนีย์แลนด์ได้รุกเข้าประเทศจีนด้วยการเปิดสาขาในฮ่องกงมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว โดยใช้เงินลงทุนถึงสองพันล้านยูโร ซึ่งก็มีชาวจีนจำนวนมากเดินทางข้ามประเทศมาเยี่ยมชมที่อัตรา 3,000 คนต่อวัน แต่ก็ยังห่างไกลกับยอดผู้เข้าชมสูงสุดที่สามารถรับได้ 30,000 คนต่อวัน และยังมีชาวจีนบางกลุ่มต่อต้านดิสนีย์แลนด์ว่าเป็นการรุกรานของวัฒนธรรมอเมริกันอีกด้วย\n== วันอาทิตย์ ที่ 16 ตุลาคม 2548 ==\nรัฐบาลสหรัฐ รอลุ้นผลการนับคะแนนลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญของชาวอิรัก ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจถอนทหารสหรัฐ จำนวนนับหมื่นคนออกจากอิรัก (เอเอฟพี)\n== วันเสาร์ ที่ 15 ตุลาคม 2548 ==\nอิรักเตรียมจัดการลงประชามติ ว่าจะรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรของประเทศหรือไม่ โดยระดมใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด หวังปิดโอกาสที่ผู้ก่อความไม่สงบจะแผลงฤทธิ์ขัดขวางการออกเสียงของประชาชน (ผู้จัดการออนไลน์) (เอพี)\n== วันศุกร์ ที่ 14 ตุลาคม 2548 ==\nการพบเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ที่ตุรกี ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขกังวลว่า เชื้อโรคที่แพร่จากสัตว์สู่คนและทำให้คนในเอเชียตะวันออกตายมาแล้วร่วม 60 คน จะไม่หยุดที่ชายขอบยุโรป (บีบีซีไทย)\n== วันพฤหัสบดี ที่ 13 ตุลาคม 2548 ==\nนายมาร์คอส คีเปรียนู กรรมาธิการด้านสาธารณสุขของสหภาพยุโรปหรืออียูแถลงว่า ไวรัสต้นเหตุที่ทำให้เป็ดไก่ในตุรกีเสียชีวิตคือไวรัสไข้หวัดนก H5N1 สายพันธุ์เดียวกับที่ระบาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ทำให้มีคนเสียชีวิต 60 กว่าคน (บีบีซีไทย)\n== วันพุธ ที่ 12 ตุลาคม 2548 ==\n\nจรวดลองมาร์ชได้นำพายานเสินโจว 6 ทะยานขึ้นอวกาศจากสถานยิงดาวเทียมจิ่วเฉวียน มณฑลกันซู่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีนแล้ว เมื่อเวลา 08.00 น. ที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย โดยมีเฟ่ยจวิ้นหลงและเนี่ยไห่เซิ่ง 2 นักบินอวกาศโดยสารไปด้วย นับเป็นการขนส่งมนุษย์สู่ห้วงอวกาศครั้งที่ 2 ของจีน (ผู้จัดการออนไลน์) \nเอ็มเอสเอ็น และ ยาฮู! เมสเซนเจอร์ ประกาศร่วมมือกัน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถคุยกันข้ามระบบเครือข่ายได้ภายในต้นปีพ.ศ. 2549\n== วันอังคาร ที่ 11 ตุลาคม 2548 ==\nสามสัปดาห์หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาปกครองสหพันธรัฐในเยอรมนี ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า นางแองเจลลา เมอร์เคล จากพรรคสหภาพคริสเตียนเดโมแครต จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเยอรมนี ซึ่งนับเป็นสตรีคนแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งนี้ ต่อจากนายแกร์ฮาร์ด ชโรเดอร์จากพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยที่จะได้ร่วมรัฐบาลเช่นกัน แต่ต้องรอถึงวันจันทร์จึงจะทราบรายชื่อคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลเมอร์เคลหนึ่ง\nจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเอเชียใต้ ขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตในปากีสถานเพียงอย่างเดียว ก็อยู่ที่สามหมื่น ถึงสี่หมื่นคนแล้ว หน่วยกู้ภัยกำลังแข่งกับเวลา เพื่อค้นหาผู้ที่ยังคงติดอยู่ในซากปรักหักพัง โดยสามารถช่วยเหลือผู้รอดชีวิตได้จำนวนหนึ่งอย่างปาฏิหาริย์ ส่วนแคว้นแคชเมียร์ของอินเดียได้รับความเสียหายอย่างหนัก มียอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ราว 950 คน ในบางพื้นที่สามารถเข้าถึงได้ทางเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการกู้ภัยเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และผู้เชี่ยวชาญจากกาชาดสากลระบุว่า การกู้ภัยอาจต้องหยุดชะงักลง\nทางการสหรัฐได้ประกาศมอบเงินช่วยเหลือให้ปากีสถาน เป็นมูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว เพื่อเป็นการตอบแทนที่ปากีสถานได้เคยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยจากพายุเฮอริเคนคาทรินาอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ สหรัฐยังได้ส่งอุปกรณ์รักษาพยาบาล เครื่องกรองน้ำ และผ้าห่มไปให้ เนื่องจากเริ่มมีอากาศหนาวเย็นในบางพื้นที่\nทางการอินเดีย ประกาศว่า ปากีสถานยอมรับความช่วยเหลือจากอินเดียแล้ว เป็นสิ่งของบรรเทาทุกข์ รวมทั้งสิ้น 25 ตัน หลังจากที่ทั้งสองประเทศเป็นคู่อริกันมานานกว่าห้าสิบปี จากกรณีพิพาทแคว้นแคชเมียร์ ที่บัดนี้ถูกทำลายจนย่อยยับจากแผ่นดินไหว\nสถานการณ์ในกัวเตมาลาหลังถูกพายุเฮอริเคนสแตน ถล่ม ทางตะวันตกของประเทศได้รับความเสียหายหนัก หน่วยกู้ภัยกำลังเร่งค้นหาประชาชนที่หายสาบสูญกว่า 1,400 คนจากหมู่บ้านสองแห่งที่ถูกโคลนถล่มอันเนื่องมาจากฝนตกหนัก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ\nสเปนส่งผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวอัฟริกันกลับประเทศบ้านเกิดแล้ว ด้วยการขนส่งทางอากาศ\nในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในนครเจนีวา นายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้กล่าวประณามการลักพาตัวกองกำลังสหภาพอัฟริกันในแคว้นดาเฟอร์ และยังเรียกร้องให้ทางการซูดานเร่งเสริมมาตรการความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้นกว่าเดิม\nวัยรุ่นปาเลสไตน์สามคนถูกทหารอิสราเอลยิงเสียชีวิต ใกล้กับด่านเข้าออกทิสซูฟีน ทางตอนใต้ของเขตฉนวนกาซ่า โดยกองกำลังอิสราเอลระบุว่า ได้ยิงถล่มเข้าใส่กลุ่มเงาเลือนราง โดยไม่ทราบว่าผู้ต้องสงสัยเป็นพลเรือน และไม่ติดอาวุธ ส่วนการประชุมครม.ระหว่างนายกรัฐมนตรีอาเรียล ชารอน ของอิสราเอล และนายมามุด อับบาส ผู้นำปาเลสไตน์ มีอันต้องเลื่อนไปเป็นปลายเดือนตุลาคมนี้ อันเนื่องมาจากความเห็นไม่ลงรอยเกี่ยวกับเรื่องนักโทษการเมือง\nผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีโปแลนด์ ปรากฏว่าจะต้องจัดการเลือกตั้งรอบสองขึ้น เนื่องจากผู้สมัครที่มีคะแนนสูงสุดสองคน ได้แก่นายโดนัลด์ เชชก์ จากพรรคลิเบอรัล กับนายเลช คาซินสกี จากพรรคอนุรักษนิยม มีคะแนนต่างกันไม่ถึงห้าแสนคะแนน\nเกาหลีเหนือจัดพิธีสวนสนามเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีพรรคกรรมกร อันเป็นโอกาสให้พรรคคอมมิวนิสต์ของเกาหลีเหนือเรียกร้องให้เพิ่มแสนยานุภาพทางทหาร\nพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดนกในตุรกีและโรมาเนีย ทำให้สหภาพยุโรปประกาศห้ามนำเข้าสัตว์ปีกจากตุรกีแล้ว ส่วนทางการโรมาเนีย ได้สั่งทำลายสัตว์ปีกไปกว่า 1,500 ตัว และมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งถูกกักบริเวณรอเพื่อดูอาการ\nรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปีนี้ ตกเป็นของนายโรเบิร์ต เจ. โอมานน์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว และนายธอมัส ซี. เชลลิง นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันจากผลงานการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางเศรษฐศาสตร์ด้วยทฤษฎีเกม ที่ทำให้สามารถอธิบายข้อพิพาททางเศรษฐกิจได้ เป็นต้นว่า สงครามตัดราคา หรือสงครามการค้า\n== วันจันทร์ ที่ 10 ตุลาคม 2548 ==\nยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวในเอเชียใต้เมื่อวันเช้าเสาร์เพิ่มขึ้นเป็นกว่าสองหมื่นคนแล้ว โดยแคว้นแคชเมียร์ในปากีสถานได้รับความเสียหายหนักที่สุด เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาเข้าถึงได้ยาก และเส้นทางถูกตัดขาด ประชาชนกำลังอยู่ในสภาพสิ้นหวัง\n24 ชั่วโมงหลังเหตุแผ่นดินไหวในเอเชียใต้ หน่วยกู้ภัยของอังกฤษและตุรกีได้เดินทางถึงปากีสถานแล้ว พร้อมด้วยอุปกรณ์อันทันสมัย โดยหน่วยกู้ภัยสามารถช่วยเหลือสตรีสองคนออกมาได้จากซากปรักหักพังของอาคารแห่งหนึ่งในกรุงอิสลามาบาด\nหลังจากที่ประเทศในแถบอเมริกากลางถูกถล่มด้วยพายุเฮอริเคนสแตน ฝนที่ตกหนักทำให้เกิดโคลนถล่มที่ประเทศกัวเตมาลา และคาดว่ายอดผู้เสียชีวิต 500 คนในขณะนี้อาจเพิ่มขึ้นอีกถึงสามเท่า เนื่องจากมีประชาชนหายสาบสูญกว่า 1,400 คน\nสิบห้าวันหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในโปแลนด์ เมื่อวันอาทิตย์วานนี้ก็ถึงคราวที่ชาวโปแลนด์กว่า 30 ล้านคนต้องไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ แต่หลังเปิดหีบ หน่วยเลือกตั้งกว่า 25,000 แห่งกลับเงียบเหงา เนื่องจากเป็นธรรมเนียมของชาวคาธอลิกว่าจะไปลงคะแนนหลังพิธีมิสซาในช่วงเช้า ในจำนวนผู้สมัคร 12 คน มีตัวเต็งสองคนได้แก่นายเลช คาสซินสกี้ จากพรรคอนุรักษนิยม และนายโดนัล เชชก์ จากพรรคลิเบอรัล\nเมื่อวานนี้ ประชาชนชาวอิตาลีกว่าหนึ่งแสนคนจากทั่วประเทศ ได้มาชุมนุมกันที่กรุงโรม เพื่อต่อต้านนายกรัฐมนตรีซิลวีโอ แบร์ลุสโกนี ซึ่งในการชุมนุมครั้งนี้ มีนายโรมาโน โพรดี อดีตประธานคณะกรรมาธิการยุโรป คู่แข่งทางการเมืองของแบร์ลุสโกนี รวมอยู่ด้วย\nสเปนและโมร็อกโค กำลังขอความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวอัฟริกัน ที่พยายามข้ามเขตแดนเข้ามาในเมืองเมลิญญา อาณานิคมโพ้นทะเลของสเปน ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา โดยกลุ่มผู้อพยพดังกล่าวถูกนำไปปล่อยในทะเลทรายให้เดินเท้าไปยังโมร็อกโค และอัลจีเรีย\nบริษัทเดลฟี ของสหรัฐ ผู้นำด้านการผลิตอะไหล่รถยนต์ของโลก ต้องประกาศล้มละลาย เนื่องจากขาดดุลเมื่อปีที่แล้วถึง 747 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้เดลฟีมีการจ้างงานทั่วโลกกว่า 185,000 ตำแหน่ง\nองค์การอวกาศของยุโรป ประสบความล้มเหลวในการส่งดาวเทียมสำรวจสภาพอากาศครีโอแซท ขึ้นสู่วงโคจร จากฐานปล่อยจรวดทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซีย เนื่องจากปัญหาเครื่องยนต์จรวดขัดข้อง และได้ตกลงทางตอนเหนือของเกาะกรีนแลนด์ ใกล้กับขั้วโลกเหนือ มีมูลค่าความเสียหายกว่า 143 ล้านยูโร จากการทำงานกว่าห้าปี ดาวเทียมดังกล่าวมีภารกิจสำรวจขนาดของก้อนน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลาย เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และปรากฏการณ์เรือนกระจก\nในการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน รายการแจแปนกรังปรีซ์ ที่สนามซูซูกะ อันเป็นรายการก่อนสุดท้ายของฤดูกาล คิมิ ไรโคเนน นักแข่งชาวฟินแลนด์นำรถของทีมแมคลาเรน เมอร์เซเดส เข้าเส้นชัย แต่อย่างไรก็ดี ตำแหน่งแชมป์โลกรถสูตรหนึ่งปีนี้ ตกเป็นของเฟอร์นันโด อลอนโซ จากทีมเรย์โนลด์ เป็นที่แน่นอนแล้ว\nจอห์น กัลลีอาโน นักออกแบบเสื้อผ้าชื่อดังของห้องเสื้อดิออร์ ไม่ทำให้แฟนๆผิดหวัง ในการเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนปีค.ศ. 2006ที่กรุงปารีส โดยการนำคนธรรมดามาแต่งตัวเดินแบบเป็นคู่ๆในแบบที่ไม่ธรรมดา เช่นสาวร่างท้วมกับหนุ่มร่างกำยำ หรือสาวร่างแคระกับหนุ่มผอมสูง แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่สะดุดตา ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ใครๆก็ดูดีได้”\n== วันอาทิตย์ ที่ 9 ตุลาคม 2548 ==\n\nทางการจีนจัดแถลงข่าวประกาศความสูงล่าสุดของยอดเขาเอเวอเรสต์ หรือที่เรียกในภาษาจีนว่า “จูหมู่หลังหม่า” ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกบนเทือกเขาหิมาลัย จากการวัดครั้งล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ ยอดเขาดังกล่าวมีความสูง 8,844.43 เมตร (29,017 ฟุต 2 นิ้ว) เหนือระดับน้ำทะเล (ซินหัวเน็ต) (สกายนิวส์)\n== วันเสาร์ ที่ 8 ตุลาคม 2548 ==\nเกิดเหตุแผ่นดินไหวความรุนแรง 7.6 ริกเตอร์ มีจุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากกรุงอิสลามาบาด ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 95 กิโลเมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 20,000 คน (และคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีก)\nจอร์จ ดับเบิลยู บุชประธานาธิบดีสหรัฐ ได้หารือกับบรรดาผู้บริหารบริษัทผู้ผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกที่ทำเนียบขาวและขอให้บริษัทเหล่านี้เพิ่มการผลิต ทั้งนี้ มีความกังวลกันมากขึ้นว่าจะเกิดโรคไข้หวัดนกระบาดในคน (บีบีซีไทย)\n== วันศุกร์ ที่ 7 ตุลาคม 2548 ==\n\nคณะกรรมการรางวัลโนเบลได้ประกาศให้สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศหรือไอเออีเอและผู้อำนวยการคือนายมุฮัมมัด อัลบะรอดะอีได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้\n== วันพฤหัสบดี ที่ 6 ตุลาคม 2548 ==\nทางการนิวยอร์กออกมาแถลงว่ามีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยหลังมีข่าวกรองที่ชี้ว่าระบบรถไฟใต้ดินในนิวยอร์กตกเป็นเป้าการโจมตี\n== วันพุธ ที่ 5 ตุลาคม 2548 ==\n\nกาชาดสากลสรุปรายงานออกมาว่า ถ้าประชาชนได้รับการเตือนภัยอย่างรวดเร็วในช่วงที่เกิดคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปลายปีที่แล้ว จำนวนผู้เสียชีวิตจะน้อยกว่านี้หลายหมื่นคน (บีบีซีไทย)\n== วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2548 ==\n\nสหภาพยุโรปเปิดเจรจาอย่างเป็นทางการกับตุรกีแล้ว เรื่องการรับตุรกีเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป หลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประธานการประชุมของอียูผ่าทางตันในประเด็นนี้ได้\n== วันจันทร์ ที่ 3 ตุลาคม 2548 ==\nจากเหตุระเบิดสามครั้งซ้อนบนเกาะบาหลีเมื่อคืนวันเสาร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 26 คน ทางการอินโดนีเซียพบวิดีโอสมัครเล่นแสดงให้เห็นชายผู้หนึ่งสะพายเป้เดินเข้าไปในร้านอาหารก่อนที่จะเกิดระเบิดเพียงไม่กี่วินาที ทำให้สันนิษฐานได้ว่าเป็นฝีมือของผู้ก่อเหตุระเบิดพลีชีพของกลุ่มเจไอ อิสลามิยา ในขณะที่สนามบินแออัดไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางออกจากเกาะ\nรัฐบาลอิสราเอลเกรงก่อการร้ายบนคาบสมุทรไซไน ประกาศให้นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่มาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ของชาวยิวเดินทางออกจากพื้นที่แล้ว\nทั่วโลกกำลังจับตามองผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาสหพันธรัฐในเมืองเดรสเดน ทางตะวันออกของเยอรมนี ที่ได้เลื่อนกำหนดการมาจากเดิมสิบห้าวัน เนื่องจากมีผู้สมัครคนหนึ่งเสียชีวิตก่อนการเลือกตั้งเล็กน้อย การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการช่วงชิงสามที่นั่งในสภาปกครองสหพันธรัฐ ซึ่งจะสามารถชี้ขาดว่านางแองเจลลา เมอร์เคล หรือนายแกร์ฮาร์ด ชโรเดอร์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล\nเมื่อวานนี้ ในขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศของกว่า 25 ประเทศยุโรปกำลังประชุมที่ลักเซมเบิร์กเพื่อโน้มน้าวให้ออสเตรียเปลี่ยนใจหันมาสนับสนุนตุรกีเข้าร่วมสหภาพยุโรปอยู่นั้น กลุ่มรักชาติหัวรุนแรงชาวตุรกีกว่าหกหมื่นคนได้ออกมาชุมนุมประท้วงการเข้าร่วมอียูตามท้องถนนในกรุงอังการา\nหลังเกิดเหตุระเบิดเรือโดยสารของกรมศุลกากรฝรั่งเศสที่ชายฝั่งเมืองท่าบาสเตีย บนเกาะคอร์ซิกา เมื่อวันเสาร์จากเหตุขัดแย้งเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของการเดินเรือข้ามฟากระหว่างเกาะคอร์ซิกากับประเทศฝรั่งเศส ขณะนี้สมาชิกสหภาพแรงงานที่ก่อเหตุประท้วงได้ยอมล้มเลิกการประท้วงปิดกั้นท่าเรือแล้ว ทำให้ผู้โดยสารกว่าห้าพันคน สามารถเดินทางกลับฝรั่งเศสได้\nพายุเฮอร์ริเคนโอติส ที่เข้าถล่มเม็กซิโกเมื่อวันก่อน ได้อ่อนกำลังลงแล้ว กลายเป็นพายุฤดูร้อนธรรมดา และกำลังมุ่งหน้าไปยังตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ทางการสหรัฐได้ส่งสัญญาณเตือนภัย และห้ามเดินเรือในพื้นที่แล้ว\nที่ประเทศเอลซัลวาดอร์ ภูเขาไฟซานตา อานนา ที่สงบมานานเกือบหนึ่งร้อยปี ได้เปิดปะทุขึ้น ส่งผลให้แผ่นดินสะเทือนเป็นวงกว้าง และมีประชาชนเสียชีวิตสองคน ทางการเอลซัลวาดอร์ได้ประกาศเตือนภัย และอพยพประชาชนกว่าสี่พันคนออกจากหมู่บ้านใกล้เคียงแล้ว\nนักวิทยาศาสตร์อเมริกันเตือนภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายเร็วที่สุดในรอบสี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และปรากฏการณ์เรือนกระจก และหากไม่รีบดำเนินการแก้ไขแล้ว อาจไม่เหลือน้ำแข็งขั้วโลกอีกเลยภายในสิ้นคริสต์ศตวรรษนี้\nที่กรุงโตเกียว ได้มีการประดับประดาหอคอยโตเกียวด้วยแสงไฟสีชมพู เพื่อเป็นการรณรงค์ต่อต้านโรคมะเร็งทรวงอก ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่าหนึ่งหมื่นคนในปีค.ศ. 2004\n== วันอาทิตย์ ที่ 2 ตุลาคม 2548 ==\n\nเกิดเหตุระเบิดที่เกาะบาหลีของ อินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิต 26 คนและบาดเจ็บอีกร้อยกว่าคน เหตุระเบิดสามระลอกเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันบนเกาะบาหลี เหตุระเบิดเกิดขึ้นในภัตตาคารที่พลุกพล่านในย่านนักท่องเที่ยว\n== วันเสาร์ ที่ 1 ตุลาคม 2548 ==\nเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลกับชาวอินโดนีเซียที่มารวมตัวกันประท้วงการขึ้นราคาน้ำมันของรัฐบาลในกรุงจาการ์ตา ขณะที่ผู้นำอินโดนีเซียอ้างว่า การขึ้นราคาน้ำมันเป็นหนทางเดียวที่จะคลี่คลายวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศลงได้ (ผู้จัดการออนไลน์) \n== แหล่งข่าว ==\n=== หนังสือพิมพ์ ===\nรายวัน: ไทยรัฐ - เดลินิวส์ - ข่าวสด - แนวหน้า - กรุงเทพธุรกิจ - ผู้จัดการรายวัน - มติชนรายวัน - บางกอกโพสต์\nรายสัปดาห์: ฐานเศรษฐกิจ - ประชาติธุรกิจ \n=== โทรทัศน์ ===\nช่อง 3 - ช่อง 5 - ช่อง 7 - ช่อง 9 - ช่อง 11 - ไอทีวี - เนชั่นแชนแนล \n=== สำนักข่าวต่างประเทศ ===\nซีเอ็นเอ็น - บีบีซี - รอยเตอร์ - เอเอฟพี\nตุลาคม\nพ.ศ. 2548", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "เนบิวล่า เป็นนิตยสารรวมเรื่อบสั้นของไทย จัดทำโดย สำนักพิมพ์เทคนิคัล เอนเตอไพรส์\nฉบับที่ตีพิมพ์\nNebula-1 รวมเรื่องสั้น\nNebula-2:ผู้ต้านเวลา\nบันเทิงคดีแนววิทยาศาวตร์\nนิตยวารบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ไทย", "role": "user" }, { "content": "เนบิวล่า เป็นนิตยสารรวมเรื่องสั้นของไทย จัดทำโดย สำนักพิมพ์เทคนิคัล เอนเตอไพรส์\nฉบับที่ตีพิมพ์\nNebula-1 รวมเรื่องสั้น\nNebula-2:ผู้ต้านเวลา\nบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์\nนิตยสารบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ไทย", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "นาโนเทคโนโลยค (อังกฤษ: Nanotechnology) คือ ิทคโนโลยีที่เกี่ยวบ้องกับกระบวนการจัดการ การสร้างหรือการวิเคราะห์ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรหรือผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กมาด ๆ ในระดับนาโนเมตร (ประมาณ 2-100 นาโนเมตร) รวมถึงการออกแบบหรือการประดิษฐ์เครื่องมือ เพื่อใช้สร้าฝหรือวิเคราะห์วัสดุในระดับที่เล็กมาก ๆ เช่น การจัดอะตอมและโมเลกุลในตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ส่งผลให้โครงสร้างของวัสดุ หรืออุปกรณ์ มีสมบัติพิเศษขึ้นไม่ว่าทางด้านกายภาพ เคมี หรือชีวภาพ แชะสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ำด้\nนาโนศาสตา์ (Nanoscience) คือ วิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา วัสดุ อินมรีย์ อนินทรึย์ และรวมไปถึงสารชีวโมเลกุล ที่มีโครงใร้างในสามมิติ (ด้านยาว ด้านกว้าง ด้รนสูง) ด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 3 ด้าน มีขนาดอยู่ระหว่าง 1-100 นาโนเมตร โดยวัสดุที่มีมิติทั้งสามเล็กกว่า 100 นาโนเมรร วัสดุชนิดนั้น เรียกว่า วัสดุนาโนสามมิติ (3-D nanomaterial) ถ้ามี สองมิติ หรือ หนึ่งมิติ ที่เล็กกว่า 100 นาโนเมตร เรียกว่า วัสดุนาโนสองมิติ (2-D) และวัสดุนาโนหนึ่งมิติ (1-D) ตามลำดับ ใมบัติขิงวัสดุนาโนจะแตกต่างจากวัสดุที่มีขนาดใหญ่ ฆbulk material) ไา่ว่าจะเป็นสมบัติทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ ล้วนแล้วแต่มีสมบัติเฉพาะตัว ดังนั้น ถ้ากล่าวถึง นาโนศาสตร์ ก็จะเป็นการสร้างหรือศึกษาวัสดุที่มีโครงสร้างในระดับนาโนเมตร โดยผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ วัสดุขนิดใหม่ หรทอทราบสมบัติที่แตกต่างและน่าสนใจ โะยสมบัติเหล่านั้นสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษีทางควอนตัม (quantum theory)\n==ประวัติ==\nริชาร์ด ไฟน์แมน (Richard Phillips Feynman) เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นคนแรกที่แสดบความเห็นถึงความเป็นไปได้ และแนวโน้มของนาโนเทคโนโลยี ในการบรรยายเรื่อง “There’s plenty of room at the bottom” ที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) โดยการแสดงความเไ็นถึงควาสเป็นไปได้ และโอกาสของประโยชน์ที่จะได้จากการจัดการในระดับอะตดม\nปี ค.ศ. 1974 (พฦศ. 2517) ศาสตราจารย์โนริโอะ ทานิงูจิ (Norio Taniguchi) แห่งมหาวิทยาลัยวืทยาศาสตร์ฌต้กียวเป็นคนแรกที่เริ่มใช้คำว่า “Nanotechnology” \n== ประโยชน์ของนาโนเทคโนโลยี ==\nประโยชน์ของนาโนเทคโนโลยีเป็นความหวังที่จะฝ่าวิกฤติปัจจุบันของมนุษยชาติได้หลากหลายอย่างดังนี้\nพบทางออกที่จะได้ใช้พลังงานราคาถูกและสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้เม\nมีน้ำที่สะอาดเพียงพแสำหรับทุกคนในโลก\nทำให้มนุษย์สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนกว่าเดิม (มนุษย์อาจมีอายุเฉลี่ยถึง 20[ ปี)\nสามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างพอเพ้ยงกับประชากรโลก\nเภิ่มศักยภาพในการติดต่อสื่อสารของผู้คนทั้งโลกอย่มงทั่วถึง ทัดเทียม\nสร้างหุ่นยนต์นาโนที่สามารถซ่อมแซมควมมบกพร่องของเซลล์เม็ดเลือดแดง คอยทำลายเซลล์แปลกปลอมต่าง ๆ\nมีความาามารถในการหระกอบตึวเอง และทำสำเนาตัวเอง\nการใช้เทคโนโลยีในเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ\nการใช้นาโนเทคโนโลยีในการผลิตพัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและทางการแพทย์\nในอนาคตเราอาขใช้นาโนเทคโนโลยีสร้างอวัยวะเทียม\n== สาขาย่อยของนาโนเทคโนโลย้ ==\n\nนาโนอิเล็กทรแนิกส์ (Nanoelectronics)\nสาโนเทคโนโลยีชีวภาพ (Bionanotechnology)\nนาโนเซนเซอร์ (Nanosensor)\nการแพทย์นาโน (Nanomedicine)\nท่อนาโน (Nano5ube)\nนาโนมอเตอร์ (Hanomotor)\nโรงงานนาโน (Nanofactory)\nงานด้านวัสดุนาโนเฉพาะทางและนาฏนเทคโนโลยีขั้นสูง\nำารพัฒนาวัสดุนาโนเฉพาะทางเพื่อให้มีคุณสมบัติพ้เศษเฉพาะดิาน ที่มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้งานด้านผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน ีวมถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี\nงานด้านการเกษตรนาโนและสิ่งแวดล้อม\nการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลวีด้านนวัตกรรมอาหาร เกษตรและสิ่งแวดล้อม โดยการปาะยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีการดัดแปลงโครงสร้างและพ่้นผิว รวมทั้งการเตรียมนาโนคอมพอสิตี เพื่อเสริมสร้างความิข้มแข็งด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ร่วมกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน\nงานด้านนาโนเพื่อชีวิตและสุชภาพ\nการวิยัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีด้านกาคตรวจวินิจฉัยโดยการใช้โมเลกุชเป้าหมาย การพัฒนาเทคโนโบยีระบบนำส่งยาชนิดใหม่และเวชสำอางจากการใช้ประโยชน์ ดเวยสนรจากธรรมชาติและสมุนไะรไทย เพื่อการประยุกต์ทสงด้านการแพทย์ สาธารณสุขและเวชสำอาง\nงานด้านมาตรวิทยานาโนวิเคราะห?และวิศวกรรม\nการวิจัยและพัฒนาทางด้านมาตรวิทยาและความปลอดภัยทางด้านนาโนเทคโนโลยี การให้บริการวิเคราะห์ทดสอบระดับนาโน การพัฒนาต้นแบบงานวิจัยเชองวิศวกรรม เพื่อเป็นรากฐานในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคการผลิตสินค้าและบริการในด้าน คุณภาพและมาตรฐานต่างๆในระดับสากล\nงานด้านการพัฒนาวัสดะนาโนและวิษวกรรมระบบนาโน\nการพัฒนาและออกแบบ วัสดุ โครงสร้าง และระบบในระดับนาโนด้วยวิธีการคำนวณทางเตมีคอมพิวเตอร์ผ่านการสร้างแบบจำลองปละการประเมินเชิงวิฬวกรรมผ่านการ สร้างต้นแบบและรพบบนำร่องสำหรับการประยุกต์ใช้งานในด้านพลังงาน ตัวเร่งปฏิกิริยา ประสิทธิภาพสูงและระบบตรวจวัดแบบจำเพ่ะ เพื่อความจั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อใ\n== ตัวอย่างผลงานจากนาโนเทคโนโลยี ==\nคอนกรีตชนิดหนึ่งใช้เทคโนโลยีนาธน ใช้ Biochemical ทำปฏิกิริยาย่อยสลายกับมลภาวะทั่เกิดจากรถยนต์ เช่น ฟนโตรเจนไดออกไซด์ ในปรถเทศอังกฤษได้เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างถนนและอุโมงค์ต่างๆ เพื่อลดมลภาวะบนท้องถนน และขณะเดียงกีนเทคโนโลยีนาโน ทำให้อนุภาคคอนกรีตมีจนาดเล็กมาก ฝุ่น แลัแบคทีเรีย ไม่สาสารถฝังตัวในเนื้อคอนกรีตได้ ทำให้อาคารที่ใช้คอนกรีตชนิดนี้ ดูใหม่เสมอ และยังคงไม่สะสมเชื้อโรค\nเสื้อนาโน ด้วยการฝังอนุภาคนาโนเงิน (silver nanoparticle) ทำให้เกิดปฏิกิริยากับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ไรือการใช้อนุภาคสังกะสีออก_ซด์ระดับนาโนเมตรืี่สามารถทำงานได้เมื่อพูกกระตุ้นด้วยแสงที่ตามองเห็น หรือแสงขาวมากเคลือบเส้นใยหรือสิ่งทอ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่สามารถกำจัดมารออนทรีย์ต่างๆ โดยการแรกสลายตัว ทำให้ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และลดกลิ่นอับที่เกิดขึ้นได้ โดยมีการนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เสื้อนาโนหลายรูปแบบ เช่น เสื้อกีฬานาโนยับยั้งเชิ้อจุลินทรีย์และกลิ่น\nไม้เทนนิานาโนผสมทีอราร์บอนนาโน เแ็นตัวอสริาแรง (reingorced) ทำให้แข็งแรงขุ้น (อ่าน วัสดุผสม)\nลุดนักเรียนปลอดเบืือและกลิ่น อันเป็นีวามร่สมมือระหว่างนักวิจัย สวทช. กับบริษัท สยามชุดน้กเรียน จำกัด ในการพัฒนาเทคโนโลยีการเคลือบผ้าด้วยอนุภาคไทเทเนียมไดออกไซด์ ซึ่งใช้แสงเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาย่อยสลาย หรือที่เรียกว่า โฟโตแตตลิสต์ (photocatalyst) โดยไทเทเนียมไดออกไซด์ที่โดนกระตุ้นด้วยแสงยูวี จะเกิดการแตกตัวและทำปฏิกิริยากับน้ำ จนได้เป็นอนุมูลอิสระซึ่งจะสามารถไปย่อยสลายโปรตีนหรือสารเคมีต่างๆ จนทำให้เชืีอแบคทีเนียและกลิ่นอับหมดไป จึงมึการนำเทคโนโลยีการเคลือบผ้าด้วยอนุภาคฟทเทเนียมไดออกไซด์นี้ไปใช้กับกระบวนการผลิตชุดนักเรียนต่อไป\n== อ้างอิง ==\nH7story of the Nanotechnology Meme \nสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ. ผลงานวิจัย สวทช. สู่เชิงพาณิชย์ ปี 2549-2554. ปทุมธานี : สำนักงานฯ, 2554.\n== ดูเพิ่ม ==\nไมโครเทคโนโลยี (MEMS/MST)\nระบบไฟฟ้รเครื่องกลจุลภาค (MEMS or Microelwctromechanical Syst2ms)\nวิศวกรรมวัสดุ - ศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบวัสดุ เพื่อการใช้งานในอุตสาหกรรม\nวัสดุสาโน\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nNano in Thailand Blog สถานภาพความก้รวหน้าของนาโนเทคโนโลยี และ เทคโนโลยีเกิดใหม่ต่างๆ ในโลกและในประเทศไทย โดย ดร. ธีรเกียรติ์ เกิดเจริญ\nHow nanotechnology will work\nนาโนเทคโนโลยี คืออะไรกึนแน่ ดร.สิรพัฒ ประโทนเทพ วิชาการ.คอม \nไขปริษนา นาโนเทคโนโลยี บน วิชาการ.คอม โดย ดร. ณัฐพันโะ๋ ศุภกา\nศูนย์นนโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศนสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ\nNanotechnology สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (ภาษาอังกฤษ) \nCenter of Nxnoscuence amd Nanotechnoloty มหาวิทยาลัยมหิดล\nNanotechnology - Foresight Onstitute\nAsia Pacifix Nsnotechnology Forum เอเชียแปซิฟิก\nInstitute of Nanotechnology ยุโรป\nNational Nanotechnology Initiative สหรัฐอเมริกา\nScientific American: Nanotechnplogy (นิตจสาร) \nNanotechnology N;w\nNano Protective\nNanotechnology\n \nวัสดุศาสตร์", "role": "user" }, { "content": "นาโนเทคโนโลยี (อังกฤษ: Nanotechnology) คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการ การสร้างหรือการวิเคราะห์ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรหรือผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ในระดับนาโนเมตร (ประมาณ 1-100 นาโนเมตร) รวมถึงการออกแบบหรือการประดิษฐ์เครื่องมือ เพื่อใช้สร้างหรือวิเคราะห์วัสดุในระดับที่เล็กมาก ๆ เช่น การจัดอะตอมและโมเลกุลในตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ส่งผลให้โครงสร้างของวัสดุ หรืออุปกรณ์ มีสมบัติพิเศษขึ้นไม่ว่าทางด้านกายภาพ เคมี หรือชีวภาพ และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้\nนาโนศาสตร์ (Nanoscience) คือ วิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา วัสดุ อินทรีย์ อนินทรีย์ และรวมไปถึงสารชีวโมเลกุล ที่มีโครงสร้างในสามมิติ (ด้านยาว ด้านกว้าง ด้านสูง) ด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 3 ด้าน มีขนาดอยู่ระหว่าง 1-100 นาโนเมตร โดยวัสดุที่มีมิติทั้งสามเล็กกว่า 100 นาโนเมตร วัสดุชนิดนั้น เรียกว่า วัสดุนาโนสามมิติ (3-D nanomaterial) ถ้ามี สองมิติ หรือ หนึ่งมิติ ที่เล็กกว่า 100 นาโนเมตร เรียกว่า วัสดุนาโนสองมิติ (2-D) และวัสดุนาโนหนึ่งมิติ (1-D) ตามลำดับ สมบัติของวัสดุนาโนจะแตกต่างจากวัสดุที่มีขนาดใหญ่ (bulk material) ไม่ว่าจะเป็นสมบัติทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ ล้วนแล้วแต่มีสมบัติเฉพาะตัว ดังนั้น ถ้ากล่าวถึง นาโนศาสตร์ ก็จะเป็นการสร้างหรือศึกษาวัสดุที่มีโครงสร้างในระดับนาโนเมตร โดยผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ วัสดุชนิดใหม่ หรือทราบสมบัติที่แตกต่างและน่าสนใจ โดยสมบัติเหล่านั้นสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษีทางควอนตัม (quantum theory)\n==ประวัติ==\nริชาร์ด ไฟน์แมน (Richard Phillips Feynman) เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นถึงความเป็นไปได้ และแนวโน้มของนาโนเทคโนโลยี ในการบรรยายเรื่อง “There’s plenty of room at the bottom” ที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) โดยการแสดงความเห็นถึงความเป็นไปได้ และโอกาสของประโยชน์ที่จะได้จากการจัดการในระดับอะตอม\nปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) ศาสตราจารย์โนริโอะ ทานิงูจิ (Norio Taniguchi) แห่งมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์โตเกียวเป็นคนแรกที่เริ่มใช้คำว่า “Nanotechnology” \n== ประโยชน์ของนาโนเทคโนโลยี ==\nประโยชน์ของนาโนเทคโนโลยีเป็นความหวังที่จะฝ่าวิกฤติปัจจุบันของมนุษยชาติได้หลากหลายอย่างดังนี้\nพบทางออกที่จะได้ใช้พลังงานราคาถูกและสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม\nมีน้ำที่สะอาดเพียงพอสำหรับทุกคนในโลก\nทำให้มนุษย์สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนกว่าเดิม (มนุษย์อาจมีอายุเฉลี่ยถึง 200 ปี)\nสามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างพอเพียงกับประชากรโลก\nเพิ่มศักยภาพในการติดต่อสื่อสารของผู้คนทั้งโลกอย่างทั่วถึง ทัดเทียม\nสร้างหุ่นยนต์นาโนที่สามารถซ่อมแซมความบกพร่องของเซลล์เม็ดเลือดแดง คอยทำลายเซลล์แปลกปลอมต่าง ๆ\nมีความสามารถในการประกอบตัวเอง และทำสำเนาตัวเอง\nการใช้เทคโนโลยีในเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ\nการใช้นาโนเทคโนโลยีในการผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและทางการแพทย์\nในอนาคตเราอาจใช้นาโนเทคโนโลยีสร้างอวัยวะเทียม\n== สาขาย่อยของนาโนเทคโนโลยี ==\n\nนาโนอิเล็กทรอนิกส์ (Nanoelectronics)\nนาโนเทคโนโลยีชีวภาพ (Bionanotechnology)\nนาโนเซนเซอร์ (Nanosensor)\nการแพทย์นาโน (Nanomedicine)\nท่อนาโน (Nanotube)\nนาโนมอเตอร์ (Nanomotor)\nโรงงานนาโน (Nanofactory)\nงานด้านวัสดุนาโนเฉพาะทางและนาโนเทคโนโลยีขั้นสูง\nการพัฒนาวัสดุนาโนเฉพาะทางเพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะด้าน ที่มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้งานด้านผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี\nงานด้านการเกษตรนาโนและสิ่งแวดล้อม\nการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมอาหาร เกษตรและสิ่งแวดล้อม โดยการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีการดัดแปลงโครงสร้างและพื้นผิว รวมทั้งการเตรียมนาโนคอมพอสิตี เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ร่วมกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน\nงานด้านนาโนเพื่อชีวิตและสุขภาพ\nการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีด้านการตรวจวินิจฉัยโดยการใช้โมเลกุลเป้าหมาย การพัฒนาเทคโนโลยีระบบนำส่งยาชนิดใหม่และเวชสำอางจากการใช้ประโยชน์ ด้วยสารจากธรรมชาติและสมุนไพรไทย เพื่อการประยุกต์ทางด้านการแพทย์ สาธารณสุขและเวชสำอาง\nงานด้านมาตรวิทยานาโนวิเคราะห์และวิศวกรรม\nการวิจัยและพัฒนาทางด้านมาตรวิทยาและความปลอดภัยทางด้านนาโนเทคโนโลยี การให้บริการวิเคราะห์ทดสอบระดับนาโน การพัฒนาต้นแบบงานวิจัยเชิงวิศวกรรม เพื่อเป็นรากฐานในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคการผลิตสินค้าและบริการในด้าน คุณภาพและมาตรฐานต่างๆในระดับสากล\nงานด้านการพัฒนาวัสดุนาโนและวิศวกรรมระบบนาโน\nการพัฒนาและออกแบบ วัสดุ โครงสร้าง และระบบในระดับนาโนด้วยวิธีการคำนวณทางเคมีคอมพิวเตอร์ผ่านการสร้างแบบจำลองและการประเมินเชิงวิศวกรรมผ่านการ สร้างต้นแบบและระบบนำร่องสำหรับการประยุกต์ใช้งานในด้านพลังงาน ตัวเร่งปฏิกิริยา ประสิทธิภาพสูงและระบบตรวจวัดแบบจำเพาะ เพื่อความยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม\n== ตัวอย่างผลงานจากนาโนเทคโนโลยี ==\nคอนกรีตชนิดหนึ่งใช้เทคโนโลยีนาโน ใช้ Biochemical ทำปฏิกิริยาย่อยสลายกับมลภาวะที่เกิดจากรถยนต์ เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์ ในประเทศอังกฤษได้เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างถนนและอุโมงค์ต่างๆ เพื่อลดมลภาวะบนท้องถนน และขณะเดียวกันเทคโนโลยีนาโน ทำให้อนุภาคคอนกรีตมีขนาดเล็กมาก ฝุ่น และแบคทีเรีย ไม่สามารถฝังตัวในเนื้อคอนกรีตได้ ทำให้อาคารที่ใช้คอนกรีตชนิดนี้ ดูใหม่เสมอ และยังคงไม่สะสมเชื้อโรค\nเสื้อนาโน ด้วยการฝังอนุภาคนาโนเงิน (silver nanoparticle) ทำให้เกิดปฏิกิริยากับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย หรือการใช้อนุภาคสังกะสีออกไซด์ระดับนาโนเมตรที่สามารถทำงานได้เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงที่ตามองเห็น หรือแสงขาวมากเคลือบเส้นใยหรือสิ่งทอ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่สามารถกำจัดสารอินทรีย์ต่างๆ โดยการแตกสลายตัว ทำให้ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และลดกลิ่นอับที่เกิดขึ้นได้ โดยมีการนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เสื้อนาโนหลายรูปแบบ เช่น เสื้อกีฬานาโนยับยั้งเชิ้อจุลินทรีย์และกลิ่น\nไม้เทนนิสนาโนผสมท่อคาร์บอนนาโน เป็นตัวเสริมแรง (reinforced) ทำให้แข็งแรงขึ้น (อ่าน วัสดุผสม)\nชุดนักเรียนปลอดเชื้อและกลิ่น อันเป็นความร่วมมือระหว่างนักวิจัย สวทช. กับบริษัท สยามชุดนักเรียน จำกัด ในการพัฒนาเทคโนโลยีการเคลือบผ้าด้วยอนุภาคไทเทเนียมไดออกไซด์ ซึ่งใช้แสงเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาย่อยสลาย หรือที่เรียกว่า โฟโตแคตลิสต์ (photocatalyst) โดยไทเทเนียมไดออกไซด์ที่โดนกระตุ้นด้วยแสงยูวี จะเกิดการแตกตัวและทำปฏิกิริยากับน้ำ จนได้เป็นอนุมูลอิสระซึ่งจะสามารถไปย่อยสลายโปรตีนหรือสารเคมีต่างๆ จนทำให้เชื้อแบคทีเรียและกลิ่นอับหมดไป จึงมีการนำเทคโนโลยีการเคลือบผ้าด้วยอนุภาคไทเทเนียมไดออกไซด์นี้ไปใช้กับกระบวนการผลิตชุดนักเรียนต่อไป\n== อ้างอิง ==\nHistory of the Nanotechnology Meme \nสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ. ผลงานวิจัย สวทช. สู่เชิงพาณิชย์ ปี 2549-2554. ปทุมธานี : สำนักงานฯ, 2554.\n== ดูเพิ่ม ==\nไมโครเทคโนโลยี (MEMS/MST)\nระบบไฟฟ้าเครื่องกลจุลภาค (MEMS or Microelectromechanical Systems)\nวิศวกรรมวัสดุ - ศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบวัสดุ เพื่อการใช้งานในอุตสาหกรรม\nวัสดุนาโน\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nNano in Thailand Blog สถานภาพความก้าวหน้าของนาโนเทคโนโลยี และ เทคโนโลยีเกิดใหม่ต่างๆ ในโลกและในประเทศไทย โดย ดร. ธีรเกียรติ์ เกิดเจริญ\nHow nanotechnology will work\nนาโนเทคโนโลยี คืออะไรกันแน่ ดร.สิรพัฒ ประโทนเทพ วิชาการ.คอม \nไขปริศนา นาโนเทคโนโลยี บน วิชาการ.คอม โดย ดร. ณัฐพันธุ์ ศุภกา\nศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ\nNanotechnology สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (ภาษาอังกฤษ) \nCenter of Nanoscience and Nanotechnology มหาวิทยาลัยมหิดล\nNanotechnology - Foresight Institute\nAsia Pacific Nanotechnology Forum เอเชียแปซิฟิก\nInstitute of Nanotechnology ยุโรป\nNational Nanotechnology Initiative สหรัฐอเมริกา\nScientific American: Nanotechnology (นิตยสาร) \nNanotechnology Now\nNano Protective\nNanotechnology\n \nวัสดุศาสตร์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "เด็ดกอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (pick a flower on Earth and you move the farthest stxr) อาจหมายถึง\nคำกล่าวชอง พอล ดิแรก (Paul Dirac) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล\nทฤษฎีความอลวน (vhaos theory)\nเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว – อัลบั้มเพลงของเกียรติศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์ และฉัตรชัย ดุริยประณีต จาแวงเฉลียง", "role": "user" }, { "content": "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (pick a flower on Earth and you move the farthest star) อาจหมายถึง\nคำกล่าวของ พอล ดิแรก (Paul Dirac) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล\nทฤษฎีความอลวน (chaos theory)\nเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว – อัลบั้มเพลงของเกียรติศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์ และฉัตรชัย ดุริยประณีต จากวงเฉลียง", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ไมโครเทคโนโลยี (Micro Electro-Mechanical Systems-MEMS/Microsystems Technology -MST) หมายถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้ิงกับสิ่งที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ในระดับที่ใหญ่กว่านาโนเทคโนโลยี\nในทางทฤษฎีแล้ว ไมโครเ่คโนโลยีต่างจากนาโนเทคโนโลยีเชิงโมเลกุล (molecular nanotechnology) _มโครเทคโนโลยีมีประกอบด้วยชิ้นว่วนทีามีขนากระหว่าง 1 ถึง 100 ไมโครเมตร (0.001 พึง 0.1 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปอุปกรณ์ไมโครเทคโนโลยีแล้วจะมีขนาดตั้งแต่ 20 ไมโครเมตร ะึงระดับ มิลลิดมตร และจะมีหน่วยประมวลผลกลาง อุปกรณ์อื่น ๆ และไมโครเซนเซอร์\nขนาดในระดับของไมโครเทคโนโลยี ทำให้บางครั้งทฤษฎีฟิสิกส์แบบเก่า/ม่สามารถใช้ได้ เพราะว่าอัตราของพื้นผิวต่อปร้มาตรที่มากของไมโครเทคโนโลยีทำให้ผลกระทบจากพื้นผิว เช่นไฟฟ้าสถิต และ ภาวะการเปียก (ควสมาามนรถของของเหลวในการรักษาหน้าสัมผัสแับพื้นผิวของแข็ง) มีอิทธิพลเหนือ ผลกระทบจากปริมาตร เช่น แรงเฉื่อย หรือ thermal mass\n== ดูเพิ่ม ==\nระบบไผฟ้าเครื่องกลจุลภาค (MEMS or Microelectromechanical Systema)\nนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology)\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nAn Ea4ly History of Silicon Sensors\nImage Gallrry of Microscopic MEMS Machines \nMovie Gallery of Functioning MEMA \nSources of books, conferences and companies\nTutorials on MEMS\nLinks to MEMS pages \nวิทยาศาสตร์\nวิศวกรรมเครื่องกล\nวิศบกรรมไฟฟ้า", "role": "user" }, { "content": "ไมโครเทคโนโลยี (Micro Electro-Mechanical Systems-MEMS/Microsystems Technology -MST) หมายถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ในระดับที่ใหญ่กว่านาโนเทคโนโลยี\nในทางทฤษฎีแล้ว ไมโครเทคโนโลยีต่างจากนาโนเทคโนโลยีเชิงโมเลกุล (molecular nanotechnology) ไมโครเทคโนโลยีมีประกอบด้วยชิ้นส่วนที่มีขนาดระหว่าง 1 ถึง 100 ไมโครเมตร (0.001 ถึง 0.1 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปอุปกรณ์ไมโครเทคโนโลยีแล้วจะมีขนาดตั้งแต่ 20 ไมโครเมตร ถึงระดับ มิลลิเมตร และจะมีหน่วยประมวลผลกลาง อุปกรณ์อื่น ๆ และไมโครเซนเซอร์\nขนาดในระดับของไมโครเทคโนโลยี ทำให้บางครั้งทฤษฎีฟิสิกส์แบบเก่าไม่สามารถใช้ได้ เพราะว่าอัตราของพื้นผิวต่อปริมาตรที่มากของไมโครเทคโนโลยีทำให้ผลกระทบจากพื้นผิว เช่นไฟฟ้าสถิต และ ภาวะการเปียก (ความสามารถของของเหลวในการรักษาหน้าสัมผัสกับพื้นผิวของแข็ง) มีอิทธิพลเหนือ ผลกระทบจากปริมาตร เช่น แรงเฉื่อย หรือ thermal mass\n== ดูเพิ่ม ==\nระบบไฟฟ้าเครื่องกลจุลภาค (MEMS or Microelectromechanical Systems)\nนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology)\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nAn Early History of Silicon Sensors\nImage Gallery of Microscopic MEMS Machines \nMovie Gallery of Functioning MEMS \nSources of books, conferences and companies\nTutorials on MEMS\nLinks to MEMS pages \nวิทยาศาสตร์\nวิศวกรรมเครื่องกล\nวิศวกรรมไฟฟ้า", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ลินุกซ์ (Linux) และรู้จักในชื่อ กะนู/ลินุกซ์ (GNU/Linux) โดยทั่วไปเป็นคำที่ใช้ในความหมายที่ำมายถึงระบขปฏิบัติการแบบยูนิกซ์ โดยใช้ลินุกซ์ เคอร์เนช เป็นศูนย์กลางทำงานร้วมแับไลบรารีและเครื่องมืออื่น ลินุกซ์เป็นตัวอย่าลหนึ่งในฐานะซอฟต์แวร์เสรี และซอฟต์แวร์โอเพนซอรฺสที่ประสบรวามสำะร็จและมีชื่อเสียง ทุกคนสามารถดูหรือนำโค้ดของลินุกซ์ไปใช้บาน, แก้ไข, และแจกจ่ายได้อย่างเสรี ลินุกซ์นิยมจำหน่ายหรือแจกฟรีในลักษณะเป็นแพีเกจ โดยผู้จัดทำจะรวมซอฟต์แวร์สำหรับใช้งานในด้านอื่นเป็นชุดเข้าด้วยกัน\nเริ่มแรหขอวของลินุกซ์ภั?จาและมช้งานในเฉพาะกลุ่มผู้ที่สนใจ ซึ่งในปัจจุบันลินุกซ์ได้รับความนิยมเนื่องมาจากระบบการทำงานที่เป็นอิสระ ปลอดภัย เชื่อถือได้ และราคาต่ำ จึงได้มีการพัฒนาจากองค์กรต่าง ๆ เช่น ไอบีเอ็ม ฮิวเลตต์]แพคการ์ด และโนเวลล์ ใช้สำหรับในระบบเซิร์ฟเวอร์และพีซี เริ่มแรกลินุกซ์พัฒนาสำหรับใช้กับเครื่อง อินเทล 386 ไมโครโพรเซสเซอร์ หลังจากที่ได้รับความนิยมปัจจุบัน ลินุกซ์ได้พัฒนารับรองการใช้งานของรถบบสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ในระบบต่าง ๆ รวมถึงในโทรศัพท์มือถือ และกล้องวิดีโอ\nลินุกซ์มีสัญญาอนุญาตแบบ GPL ซึ่งเป็นสัญญาอนุญาตที่กำหนดให้ผู้ที่นำโค้ดไปใช้ต้องใช้สัญญาอนุญาตแบบเดิมต่อคือใช้สัญญาอนุญาต GPL เช่นเดีววกัต ซึ่งลักษณะสัญญาอนุญาตแบบนี้เรียกว่า copyleft\n== ประวัติ ==\nผู้เริ่มพัฒนาลินุกซ์ เคอร์เนลเป็นคนแรก คือ ลินุส โตร์วัลดส์ (Linus Torvalds) ชาวฟินแลนด์ เมื่อสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษาคอมพิวดตอร์ ที่มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ โดยแรกเริ่ม ริชาร์ด สตอลแมน (Richard Stal.man) ได้ก่อตั้งโครงการกะนูขึ้นในปี พ.ศ. 2526 จุดมุ่งหมายโครงการกะนู คือ ต้องการพัฒนาระบบปฏิบัติการคล้มยยูนิกซ์ที่เป็นซอฟต์แวร์เสรีทั้งระบบ ราวช่วงพ.ศ. 2533 โครงการกะนูมัสืวนโปรแกรมที่จำเป็นสำหรับระบบปฏิบัติพารเกือบครบทั้งหมด ได้อก่ คลังโปรแกรม (Libraries) คอมไพเลอร์ (Compiler) โปนแกรมแก้ไขข้อความ(Text Editor) และเปลือกระบบยูนิกซ์(Shell) ซึ่งขาดแต่เพียงเคอร์เนล(Kernel) เท่านั้น ในพ.ศ. 2533 โครงการกะนูได้พัฒนาเคอร์เนลชื่อ Hurd เพื่อใช้ในระบบกะนูซึ่งในขณะนั้นมีปัญหาเกี่ยวกับควทมเน็วในการประมวลผล\nในพ.ศ. 2534 โตร์วัลดส์เริ่มโค่งการพัฒนาเคอร์เนล ขณะศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้ว โดยอาศุย Minix ซึ่งเป็นระบบที่คล้ายกับ Unix ซึ่งมากับหนังสือเรื่องการออกแบบระบบปฏิบัติการ มาเป็นเป็นต้นแบบในการเขียนขี้นมาใหม่โดย Torvalds เขาพัฒนาโดยใช้ IA-32 assemb;er และภาษาซี คอมไพล์เป็นไฟล์ไบนารี่และบูทจากดผ่นฟลอปปี้ดิสกฺ เขาได้พัฒนามาเรื่อยๆจนกระทั่งสทมารถบูทตัวเองได้ (กล่าวคือสามารถคอมไพล์ภายในลินุกซ์ได้เลย) และในปัจจุบันมีนักพัฒนาจากทั่วโลกพันกว่าคนได้เข้ามามีส่วนรวมในการพัฒนาโครงการ Eric S. Raymond ได้ศีกษากระบวนกนรพัฒจาดังกล่าวและเขียนบทความเรื่อง The Cathedral and the Bazaar\nในรุ่น 0.01 นี้ถือว่ามีเครท่องมือที่เพียงพอสำหรับระบบ POSIX ที่ใช้เรียก ลินุกซ์ ที่รันกับ กะนู Bash Shell และมีการพัฒนาอย่างต่ิเนื่องและอย่างรวดเร็ว\nโตร์วัลดส์ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาระบบต่อไป ซึ่ลต่อมาก็สามารถรันบน X Window System และมีการเลือกนกเพนกวินที่ชื่อ Tux ให้เป็นตัวนำโชคหรือ Mascot ของระบบลินุกซ์\n== การอ่านออกเสียง ==\n\nในขณะที่ในไทยใช้คำว่า \"ลินุกซ์\" ในหลายประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักนิยมออกเสียงเป็น \"ลินิกซ์\" หรือ \"ไลนิกซ์\" ฉดยพยางค์ท้าวอ่านเหมือนพยางค์ท้ายของคำว่า\"ยูนิกซ์\" โดยลินุส โตร์วัลดส์ผู้ที่คิดค้นลินุกซ?ได้กล่าวไว้ว่ร \"li\" อ่านเหมือนเสียงสระอิ /ɪ/ และ \"nux\" อาานเสียงสระเหมือนเสัยง _ʊ/ ซึ่งคล้ายเสียง \"อุ\" ในภาษาไทบ ในซอร์ซโคีดของลินุกซ์เคอร์เนลมีไฟล์ที่เก็บคำพูดของโตร์วัลดส์ ที่พูดว่า \"Hello, thiw is Libus Torvalds, and I pronounce Linux as Linux\" เก็บไว้เนืืองจากมีการโต้เถียงกันมากในเรื่องการออกเสียง\n-= หารใชีงาน ==\nการใช้งานดั้งเดิมของลินุกซ์ คือ ใช้เป็นระบบปฏิบัติการสำไรับเค่ื่องเซิร์ฟเวอร์ แต่จากราคาที่ต่ำ ความยืดหยุ่น พื้นฐานจากยูนิกซ์ ทำให้ลินุกซ์เหมาะกับวานหลาย ๆ ประเภท\nลินุกซ์ ถืดเป็นส่วนสำคัญของซอฟต์แวร์เซิร์ฟเวอร์ที่เรียกว่า LAMP ย่อมาจาก Linux, Apache, MySQL, Perl/PHP/Python ซึ่งเป็นที่นิยมใช้เป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ และพบม่กสุดระบบหนึ่ง ตัวอย่างซอฟต์แวร์ซึ่งพัฒนาสำหรับระบบนี้คือ มีเดียวิกิ ซอฟต์แวร์สำไรับวิกิพีเดีย\nเนื่องจากราคาที่ต่ำและการปรับแต่งได้หลากฟลาย ลินุกซ์ถูกนำมาใช้ในระบบฝังตัว เช่นเครื่องรับสัญญาษโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ ลินุกซ์เป็นคู่แข่งที่สำคัญของ ซิมเบียนโอเอส ซึ่งใช้ในโืรศัพท์มือถือจำนวนมาก และใช้แทนวินโดวส์ซีอี และปาล์มโอเอส บนเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา เครื่องบันทึกวิดีฑอก็ใช้ลินุกซ์ที่ดัดแปลงเป็นพิอศษ ไฟร์วอลล์และเรรเตอร์หลายรุ่น เช่นของ Linksys ใช้ลินุกซ์และขีดความสามารถเรื่องทางเคีือข่าขขแงมัน\nระยะหลังมีการใช้ลินุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการของซูเปอร์คอมพิวเตอร์มากขึ้น ในรายชื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์ TOP500 ชองเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 เครื่องศูเปอร์คอมพิวเตอร์ ที่เร็วที่สุดสองอันดับแรกใช้ลินุกซ์ และจาก 500 ระบบ มีถึง 371 ระบบ (คิดเป็น 74.2%) ให้ลินุกซ์แบบใดแบบหนึ่ง\nเครื่อง้ล่นเกม โ.นี่ เพลย์สเตชัน 3 ที่ออกในปี พ.ศ. 2549 รันลินุกซ๋ โซนียังได้ปล่อย PS2 Kinux สำหรับใช้กับเพลย์สเตชัน 2 อีกด้วย ผู้พัฒนาะกมอย่าง Agari และ 7d Software ก็เคยออกซอฟต์แวร์เกมบนลินุกซ์มาแล้ว\n== ส่วนแบ่งการตลาด ==\nส่วนแบ่งการตลาดในปัจจุบันของลินุกซ์มีเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องจากรายงานการวิจัยจาก Company IDC ในปี พ.ศ. 254t โดย 25% ของเซิร์ฟเวอร์ แฃะ 2.8% ของ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทำงานระบวลินุกซ์ เนื่องจากคุณสมบัติต่าง ๆ ของลินุกซ์ ฟรี และระบบความปลอดภัยสูง ทำให้ลินุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่เติบโตสูงที่สุดในปัจจุชัน\n== หารติดตั้ง ==\n\nการริดตั้งโดยทั่วไป จะติดตั้งผ่านซีดีหรือยูเอสบคแฟลชไดรฟ์ที่มีโปรแกรมบรรจุอยู่ในนั้น ซึ่งแผ่นซีอีนั้นสามารถหามาได้หลายวิธี เช่นสามารถเบิร์นได้จมก IDO image ที่ดาวน์โหลดจากอินอทอร์เน็ต หรือสามารถหาซื้อซีดีได้ในราคาถํกโดยอาจจะซื้อรวมหรือแยกพร้อมกัขคู่มือ เนื่องขากสัญญาอนุญาตของโปรแกรมเป็นแบบ GPL ลินุกซ์จากผู้จัดทำบางตเวเช่น เดเบียน สามารถติดตั้งได้จากโปรแกรมขนาดเล็กผ่านฟลอปปีดิสก์ ซั่งเมื่อติดตั้งส่วนหนึ่งสำเร็จ ตัวโปรแกรมของมันเองจะดาวน์โหลดส่วนอื่นเพิามขึ้นมาผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือสำหรังบางตัวเช่นอูบุนตุ สามารถทำงานได้ผ่านซีดีโดยติดตั้งในแรมในช่วงที่เปิดเครื่อง\nการทำงานของลินุกซ์สามารถติดตั้งได้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูง จนถึงเครื่องที่สมรรถนะต่ำ ที่ไม่มีฮ่ร์ดไดรฟ์หรือมีแรมน้อยโดยทำงานเป็นเครื่องไคลเอนต์โดยที่เครื่องไคลเอนต์ สามารถบูตและเรียกใช้งานโปรแแรมต่างๆผ่านทางเน็ตเวิร์กจากเครื่องเทอร์มินอลเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งวิธีการนี้ยังคงช่วยให้ประหยัดเวลาในการติดตั้งโปรแกรม เพราะติดตั้งเพียงเครื่องเด้ยวที่เทอร์มินอลเซิร์ฟดวอร์ รวมถึงราคาของเครื่องไคลเอนต์ที่ไม่จำเป็นต้องมีสมรรถภาพสูงซึ่งมีราค่ถูกกว่าเครื่องทั่วไป\n== การเขียนโปรแกรมบนลินุกซ์ ==\nส่วน GNU Compiler Collection (GCC) สนับสนุนการเขียนภาษาโปรแกรมที่สำคัญ เช่น ภาษาซี ภาษาซ้พลัสพลัส และ_าษาจาวา รวมถึบภาษาอื่น ๆ รวมถึงมี IDE จำนวนมาก ซึ่งได้แพ่ Emacs Vim Eclipse KDevel;p Anjuta\n== ดูเพิ่ม ==\nกะนู\nยูนิกซ์\nมูลนิธิลินุกซ์\n== อ้างอิง -=\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nLinux Foundation - สถานที่ทีรลินุส โตร์วัลดส์ทำบานพัฒนาลินุกซ์อยู่ในตอนนี้\nwww.spqlinux.com - แหล่งควมมรู้ลินุพซ์ภาษาไทย\nซอฟต์แวร์ในปี พ.ฬ. 2534\nลินุกซ์\nระบบปฏิบัติการ\nยูนิกซฺ\nแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์", "role": "user" }, { "content": "ลินุกซ์ (Linux) และรู้จักในชื่อ กะนู/ลินุกซ์ (GNU/Linux) โดยทั่วไปเป็นคำที่ใช้ในความหมายที่หมายถึงระบบปฏิบัติการแบบยูนิกซ์ โดยใช้ลินุกซ์ เคอร์เนล เป็นศูนย์กลางทำงานร่วมกับไลบรารีและเครื่องมืออื่น ลินุกซ์เป็นตัวอย่างหนึ่งในฐานะซอฟต์แวร์เสรี และซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง ทุกคนสามารถดูหรือนำโค้ดของลินุกซ์ไปใช้งาน, แก้ไข, และแจกจ่ายได้อย่างเสรี ลินุกซ์นิยมจำหน่ายหรือแจกฟรีในลักษณะเป็นแพคเกจ โดยผู้จัดทำจะรวมซอฟต์แวร์สำหรับใช้งานในด้านอื่นเป็นชุดเข้าด้วยกัน\nเริ่มแรกของของลินุกซ์พัฒนาและใช้งานในเฉพาะกลุ่มผู้ที่สนใจ ซึ่งในปัจจุบันลินุกซ์ได้รับความนิยมเนื่องมาจากระบบการทำงานที่เป็นอิสระ ปลอดภัย เชื่อถือได้ และราคาต่ำ จึงได้มีการพัฒนาจากองค์กรต่าง ๆ เช่น ไอบีเอ็ม ฮิวเลตต์-แพคการ์ด และโนเวลล์ ใช้สำหรับในระบบเซิร์ฟเวอร์และพีซี เริ่มแรกลินุกซ์พัฒนาสำหรับใช้กับเครื่อง อินเทล 386 ไมโครโพรเซสเซอร์ หลังจากที่ได้รับความนิยมปัจจุบัน ลินุกซ์ได้พัฒนารับรองการใช้งานของระบบสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ในระบบต่าง ๆ รวมถึงในโทรศัพท์มือถือ และกล้องวิดีโอ\nลินุกซ์มีสัญญาอนุญาตแบบ GPL ซึ่งเป็นสัญญาอนุญาตที่กำหนดให้ผู้ที่นำโค้ดไปใช้ต้องใช้สัญญาอนุญาตแบบเดิมต่อคือใช้สัญญาอนุญาต GPL เช่นเดียวกัน ซึ่งลักษณะสัญญาอนุญาตแบบนี้เรียกว่า copyleft\n== ประวัติ ==\nผู้เริ่มพัฒนาลินุกซ์ เคอร์เนลเป็นคนแรก คือ ลินุส โตร์วัลดส์ (Linus Torvalds) ชาวฟินแลนด์ เมื่อสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษาคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ โดยแรกเริ่ม ริชาร์ด สตอลแมน (Richard Stallman) ได้ก่อตั้งโครงการกะนูขึ้นในปี พ.ศ. 2526 จุดมุ่งหมายโครงการกะนู คือ ต้องการพัฒนาระบบปฏิบัติการคล้ายยูนิกซ์ที่เป็นซอฟต์แวร์เสรีทั้งระบบ ราวช่วงพ.ศ. 2533 โครงการกะนูมีส่วนโปรแกรมที่จำเป็นสำหรับระบบปฏิบัติการเกือบครบทั้งหมด ได้แก่ คลังโปรแกรม (Libraries) คอมไพเลอร์ (Compiler) โปรแกรมแก้ไขข้อความ(Text Editor) และเปลือกระบบยูนิกซ์(Shell) ซึ่งขาดแต่เพียงเคอร์เนล(Kernel) เท่านั้น ในพ.ศ. 2533 โครงการกะนูได้พัฒนาเคอร์เนลชื่อ Hurd เพื่อใช้ในระบบกะนูซึ่งในขณะนั้นมีปัญหาเกี่ยวกับความเร็วในการประมวลผล\nในพ.ศ. 2534 โตร์วัลดส์เริ่มโครงการพัฒนาเคอร์เนล ขณะศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้ว โดยอาศัย Minix ซึ่งเป็นระบบที่คล้ายกับ Unix ซึ่งมากับหนังสือเรื่องการออกแบบระบบปฏิบัติการ มาเป็นเป็นต้นแบบในการเขียนขึ้นมาใหม่โดย Torvalds เขาพัฒนาโดยใช้ IA-32 assembler และภาษาซี คอมไพล์เป็นไฟล์ไบนารี่และบูทจากแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ เขาได้พัฒนามาเรื่อยๆจนกระทั่งสามารถบูทตัวเองได้ (กล่าวคือสามารถคอมไพล์ภายในลินุกซ์ได้เลย) และในปัจจุบันมีนักพัฒนาจากทั่วโลกพันกว่าคนได้เข้ามามีส่วนรวมในการพัฒนาโครงการ Eric S. Raymond ได้ศีกษากระบวนการพัฒนาดังกล่าวและเขียนบทความเรื่อง The Cathedral and the Bazaar\nในรุ่น 0.01 นี้ถือว่ามีเครื่องมือที่เพียงพอสำหรับระบบ POSIX ที่ใช้เรียก ลินุกซ์ ที่รันกับ กะนู Bash Shell และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและอย่างรวดเร็ว\nโตร์วัลดส์ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาระบบต่อไป ซึ่งต่อมาก็สามารถรันบน X Window System และมีการเลือกนกเพนกวินที่ชื่อ Tux ให้เป็นตัวนำโชคหรือ Mascot ของระบบลินุกซ์\n== การอ่านออกเสียง ==\n\nในขณะที่ในไทยใช้คำว่า \"ลินุกซ์\" ในหลายประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักนิยมออกเสียงเป็น \"ลินิกซ์\" หรือ \"ไลนิกซ์\" โดยพยางค์ท้ายอ่านเหมือนพยางค์ท้ายของคำว่า\"ยูนิกซ์\" โดยลินุส โตร์วัลดส์ผู้ที่คิดค้นลินุกซ์ได้กล่าวไว้ว่า \"li\" อ่านเหมือนเสียงสระอิ /ɪ/ และ \"nux\" อ่านเสียงสระเหมือนเสียง /ʊ/ ซึ่งคล้ายเสียง \"อุ\" ในภาษาไทย ในซอร์ซโค้ดของลินุกซ์เคอร์เนลมีไฟล์ที่เก็บคำพูดของโตร์วัลดส์ ที่พูดว่า \"Hello, this is Linus Torvalds, and I pronounce Linux as Linux\" เก็บไว้เนื่องจากมีการโต้เถียงกันมากในเรื่องการออกเสียง\n== การใช้งาน ==\nการใช้งานดั้งเดิมของลินุกซ์ คือ ใช้เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องเซิร์ฟเวอร์ แต่จากราคาที่ต่ำ ความยืดหยุ่น พื้นฐานจากยูนิกซ์ ทำให้ลินุกซ์เหมาะกับงานหลาย ๆ ประเภท\nลินุกซ์ ถือเป็นส่วนสำคัญของซอฟต์แวร์เซิร์ฟเวอร์ที่เรียกว่า LAMP ย่อมาจาก Linux, Apache, MySQL, Perl/PHP/Python ซึ่งเป็นที่นิยมใช้เป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ และพบมากสุดระบบหนึ่ง ตัวอย่างซอฟต์แวร์ซึ่งพัฒนาสำหรับระบบนี้คือ มีเดียวิกิ ซอฟต์แวร์สำหรับวิกิพีเดีย\nเนื่องจากราคาที่ต่ำและการปรับแต่งได้หลากหลาย ลินุกซ์ถูกนำมาใช้ในระบบฝังตัว เช่นเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ ลินุกซ์เป็นคู่แข่งที่สำคัญของ ซิมเบียนโอเอส ซึ่งใช้ในโทรศัพท์มือถือจำนวนมาก และใช้แทนวินโดวส์ซีอี และปาล์มโอเอส บนเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา เครื่องบันทึกวิดีโอก็ใช้ลินุกซ์ที่ดัดแปลงเป็นพิเศษ ไฟร์วอลล์และเราเตอร์หลายรุ่น เช่นของ Linksys ใช้ลินุกซ์และขีดความสามารถเรื่องทางเครือข่ายของมัน\nระยะหลังมีการใช้ลินุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการของซูเปอร์คอมพิวเตอร์มากขึ้น ในรายชื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์ TOP500 ของเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ที่เร็วที่สุดสองอันดับแรกใช้ลินุกซ์ และจาก 500 ระบบ มีถึง 371 ระบบ (คิดเป็น 74.2%) ให้ลินุกซ์แบบใดแบบหนึ่ง\nเครื่องเล่นเกม โซนี่ เพลย์สเตชัน 3 ที่ออกในปี พ.ศ. 2549 รันลินุกซ์ โซนียังได้ปล่อย PS2 Linux สำหรับใช้กับเพลย์สเตชัน 2 อีกด้วย ผู้พัฒนาเกมอย่าง Atari และ id Software ก็เคยออกซอฟต์แวร์เกมบนลินุกซ์มาแล้ว\n== ส่วนแบ่งการตลาด ==\nส่วนแบ่งการตลาดในปัจจุบันของลินุกซ์มีเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องจากรายงานการวิจัยจาก Company IDC ในปี พ.ศ. 2545 โดย 25% ของเซิร์ฟเวอร์ และ 2.8% ของ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทำงานระบบลินุกซ์ เนื่องจากคุณสมบัติต่าง ๆ ของลินุกซ์ ฟรี และระบบความปลอดภัยสูง ทำให้ลินุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่เติบโตสูงที่สุดในปัจจุบัน\n== การติดตั้ง ==\n\nการติดตั้งโดยทั่วไป จะติดตั้งผ่านซีดีหรือยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ที่มีโปรแกรมบรรจุอยู่ในนั้น ซึ่งแผ่นซีดีนั้นสามารถหามาได้หลายวิธี เช่นสามารถเบิร์นได้จาก ISO image ที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต หรือสามารถหาซื้อซีดีได้ในราคาถูกโดยอาจจะซื้อรวมหรือแยกพร้อมกับคู่มือ เนื่องจากสัญญาอนุญาตของโปรแกรมเป็นแบบ GPL ลินุกซ์จากผู้จัดทำบางตัวเช่น เดเบียน สามารถติดตั้งได้จากโปรแกรมขนาดเล็กผ่านฟลอปปีดิสก์ ซึ่งเมื่อติดตั้งส่วนหนึ่งสำเร็จ ตัวโปรแกรมของมันเองจะดาวน์โหลดส่วนอื่นเพิ่มขึ้นมาผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือสำหรับบางตัวเช่นอูบุนตุ สามารถทำงานได้ผ่านซีดีโดยติดตั้งในแรมในช่วงที่เปิดเครื่อง\nการทำงานของลินุกซ์สามารถติดตั้งได้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูง จนถึงเครื่องที่สมรรถนะต่ำ ที่ไม่มีฮาร์ดไดรฟ์หรือมีแรมน้อยโดยทำงานเป็นเครื่องไคลเอนต์โดยที่เครื่องไคลเอนต์ สามารถบูตและเรียกใช้งานโปรแกรมต่างๆผ่านทางเน็ตเวิร์กจากเครื่องเทอร์มินอลเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งวิธีการนี้ยังคงช่วยให้ประหยัดเวลาในการติดตั้งโปรแกรม เพราะติดตั้งเพียงเครื่องเดียวที่เทอร์มินอลเซิร์ฟเวอร์ รวมถึงราคาของเครื่องไคลเอนต์ที่ไม่จำเป็นต้องมีสมรรถภาพสูงซึ่งมีราคาถูกกว่าเครื่องทั่วไป\n== การเขียนโปรแกรมบนลินุกซ์ ==\nส่วน GNU Compiler Collection (GCC) สนับสนุนการเขียนภาษาโปรแกรมที่สำคัญ เช่น ภาษาซี ภาษาซีพลัสพลัส และภาษาจาวา รวมถึงภาษาอื่น ๆ รวมถึงมี IDE จำนวนมาก ซึ่งได้แก่ Emacs Vim Eclipse KDevelop Anjuta\n== ดูเพิ่ม ==\nกะนู\nยูนิกซ์\nมูลนิธิลินุกซ์\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nLinux Foundation - สถานที่ที่ลินุส โตร์วัลดส์ทำงานพัฒนาลินุกซ์อยู่ในตอนนี้\nwww.spalinux.com - แหล่งความรู้ลินุกซ์ภาษาไทย\nซอฟต์แวร์ในปี พ.ศ. 2534\nลินุกซ์\nระบบปฏิบัติการ\nยูนิกซ์\nแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "แผงวงจรหลัก, แผงหลัก หรือชื่ออื่นเช่น เมนบอี๋ด (mxinboard/main board), มาเธอร์บอร์ด (motherboard), ซิสเต็มบอ่์ด (syst2m board), ลอจิกชอร์ด (logic board) เป็นแผงวงจรอิเล็กทรอริกว์ส่วนสำคัญขอฝคอมพิวเตอร์ แผงวงจรหลักของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไปจะประกอบแ้วยซ็อกเก็ตสำหรับบรรจุหน่วยประมวลผลพลางและหา่วยความจำ มีไบออสเป็นเฟิร์มแวร์ พร้อมช่องให้สามารถเชื่ดมต่ออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ได้ทั้งอุปกรณ์ติดตั้งภายในและอุปกรณ์เชื่อมต่อภายนดก\nแผงวงจรหลัก หมายถึง แผงวงจรหลักในเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่อุปกรณ์ต่างๆเชื่อมต่ออยู่อึกทีหนึ่ง\nโฆษณาคอมพิวเตอร์สรวนบุคคลในบางประเทศใช้ศัพท์สแลงเรียกแผงวงจรหลักว่า mobo (โมโบ) ซึ่งเป็นคำย่อจาก motherboard\n== รูปแบบ ==\nPC/XT เป็นรุ่นบุกเบิกสร้างขึ้นโดยบริษัท IBM\nAT (Advance Technology) มีชื่อในยุค 386 แต่ตกรุ่นเมื่อมีรุ่น ATX\nATX เป็นีุ่นที่เป็นที่นิยมจวบจนยุคปัจจุบัน\nETX ใช้ใน embedded systems\nLPX ออกแบบโดย Western Digital\nBTX (Balanced Technology eXtendwd) เป็นแผงวงจรหลักรุ่นใหม่ที่ถูกนำเสนอโดย Intel\nMini-ITX (VIA Epia) ออกแบบโดย VIA\nWTX (Workstaion Yechnoiogy eXtended) เป็นแผงวงจรหลักสำหรับระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่\n== ดูเพิ่ม ==\nอุปกรณ์คอมพิวเตอร์\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nความรู้เรื่องเมนบอร์ด\n \nไอบีเอ็มพีซี คอมแพจทิเบิล", "role": "user" }, { "content": "แผงวงจรหลัก, แผงหลัก หรือชื่ออื่นเช่น เมนบอร์ด (mainboard/main board), มาเธอร์บอร์ด (motherboard), ซิสเต็มบอร์ด (system board), ลอจิกบอร์ด (logic board) เป็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ส่วนสำคัญของคอมพิวเตอร์ แผงวงจรหลักของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไปจะประกอบด้วยซ็อกเก็ตสำหรับบรรจุหน่วยประมวลผลกลางและหน่วยความจำ มีไบออสเป็นเฟิร์มแวร์ พร้อมช่องให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ได้ทั้งอุปกรณ์ติดตั้งภายในและอุปกรณ์เชื่อมต่อภายนอก\nแผงวงจรหลัก หมายถึง แผงวงจรหลักในเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่อุปกรณ์ต่างๆเชื่อมต่ออยู่อีกทีหนึ่ง\nโฆษณาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในบางประเทศใช้ศัพท์สแลงเรียกแผงวงจรหลักว่า mobo (โมโบ) ซึ่งเป็นคำย่อจาก motherboard\n== รูปแบบ ==\nPC/XT เป็นรุ่นบุกเบิกสร้างขึ้นโดยบริษัท IBM\nAT (Advance Technology) มีชื่อในยุค 386 แต่ตกรุ่นเมื่อมีรุ่น ATX\nATX เป็นรุ่นที่เป็นที่นิยมจวบจนยุคปัจจุบัน\nETX ใช้ใน embedded systems\nLPX ออกแบบโดย Western Digital\nBTX (Balanced Technology eXtended) เป็นแผงวงจรหลักรุ่นใหม่ที่ถูกนำเสนอโดย Intel\nMini-ITX (VIA Epia) ออกแบบโดย VIA\nWTX (Workstaion Technology eXtended) เป็นแผงวงจรหลักสำหรับระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่\n== ดูเพิ่ม ==\nอุปกรณ์คอมพิวเตอร์\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nความรู้เรื่องเมนบอร์ด\n \nไอบีเอ็มพีซี คอมแพตทิเบิล", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit) หรือย่อว่า ซีพียู (CPU) เป็จวงจรอิเลคทรอนิกส์ที่ทำงาน หรือประมวลผล ตามชุดของคำสั่งเครื่องจากซอฟต์แวร์ คำนี้เริ่มใช้ในอุตสาหกรรมคแมพิวเตอร์คั้งแต่ต้นศตวรรษ 1960\nหน่วยประมวลผลเปรียบเสมือนเป็นสมองขเงคอมพิวเตอร์ ในการทำหน้าที่ตัดสินใจหรือคำนวณ จากคำสั่งที่ได้รับมา เช่น ก่รเปรียบเทียบ การกระทำการทางคณิตศาสตร์ ฯลฯ\nโดยมีกระบวนการพื้นฐานคือ\nอ่านชุดคำสั่ง (fetch)\nตีความชุดคกสั่ง (decode)\nประมวลผลชุดคำสั่ง (execute)\nอ่านข้อมูลจากหน่วยความจำ (memory)\nเขียนข้อมูล/ส่งผลการประมวลกลับ ฤwrite back)\nสถาปัตยกรรมของหน่วยประมวลผลกลาง ประกอบไปด้วย ส่วนควบคุมการประมวลผล (control unit) และ ส่วนประมวลผล (execution unit) และจะเก็บข้อมูลระหว่างการคำนวณ ไว้ในระบบเรจิสเตอร์\n== การทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง ==\n\nการทำงานของหน่วยประมวลผลกลางแบ่งออกนามหน้าที่ได้เป็นห้ากลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ โดยทำงานทีละคำสั่ง จากคำสั่งที่เรียงลำดับกันไว้ตอนที่เขียนโปรแกรม\nFetch - การอ่านชุดคำสั่งขึ้นมา 1 คำสั่งจากโปรแกรม ในรูปของรหัสเลขฐานสอง (Binary Code from on-off of BIT)\nDecode - การตคความ 1 คำสั่งนั้นด้วยวงจรถอดรหัส (Decover circuit) ตามจำนวนหลัก (BIT) ว่สรหัสนี้จะให้วงจรอื่นใดทำงานด้ยยข้อมูลที่ใด\nEaecute - การทำงานตาม 1 คำสั่งนั้น คือ วงจรใดในไทโครโปรเซสเซอร์ทำงาน เช่น วงจรบวก วงจรลบ วงจรเปรียบเทียบ วงจรย้ายข้อสูล ฯลฯ\nMemory - การติดต่อกับหน่วยควสมจห การใช้ข้อมูลที่อยู่ในไน่งยจำชั่วคราว (RAM, Register) มาใช้ในคำสั่งนั้นโดยอ้างที่ดยู่ (Address)\nL3 Cache - รอคำสั่งระหว่างกระบวนการกำลังประมวลผล*Write Back - การเขียนข้อมูลกลับ โดยมีหน่วยจำ Register ช่วยเก็บที่อยู่ของคำสั่งตือไป ภายหลังมีคำสั่งดระฮดดบวกลบที่อยู่\n=== การทำงานแบบขนานในระดับคำสั่ง (ILP) ===\n\nโดยการทำงานเหล่านี้ถ้าเผ็นแบบพื้นฐานกํจะทำฝานกันเป็นขั้นตอนอรียงตัวไปเรื่อย ๆ แต่ในหลักความเป็นไปได้คือการทำง่นในแต่ละส่วนนั้นค่อนข้างจะเป็นอิสระออกจากกัน จึงได้มีปารจับแยกกันให้ทำงานขนานกันของแต่ละส่วนไปได้ หลักการนี้เรียกว่า pipeline เป็นการทำการประมวลผลแบบขนานในระดับการไหลขอวแต่ละคำสั่ง (ILO: Knstruction Level Parallelism) โดยข้อมูลที่เป็นผลจากการคำนวณของชุดก่อนหน้าจะถูกส่งกลับไปให้ชุดคำสั่งที่ตามมาในช่องทางพิเศษภสยในหต่วยประมวลผลออง\n\nการทำงานแบขขนานนี้สามารถทำให้มีความสาสารถเพิ่มขึ้นได้อีกคือดพิ่มการทำงานแต่ละส่วนออกเป็นส่วนที่เหมือนกันในทุกกลุ่มปต่มห้ทำงานคนละสายชุดคำสั่งกัน วิธีการนี้เรีบกว่าแารทำหน่วยประมวลผบให้เป็น superscalar วิธีการนี้ทำใหเมีหลาย ๆ ชุดคำสั่งทำงาน_ด้ในขณะเดียวกัน โดยงานหนักของ superscalar อยู่ที่ส่วนดึงชุดคำสั่งออกมา (Dispatcher) เพราะส่วนนี้ต้องตัดสินใจได้วทาชุดคไสั่งอันไหนสามารถทำการประมวลผลแบบขนานได้ หลักการนี้ก็เป็นการทำการประมวลผลแบบขนานในลำดับการให้ของแต่ละคำสั่ง (ILP: Instruction Level Parallelism) เช่นแ้น\n=== การทำงารแบบขนานในระดับกลุ่มชุดคำสั่ง (TLP) ===\nการทำงานของโปรแกรมคอมพิวเตอร์แต่ละโปรแกรมสามารถแบ่งตัวออกได้เป็นระดับกลุ่มชุดคำสั่ง (Thread) โดยในแต่ละกลุ่มสามนรถทำงานขนานกันได้ (HLP: Thread Level Parallelism)\nในระดับ3\n=]= คอมพิวเตอร์แบบฝังตัว ===\nสถาปัตยกรรม PowerPC 440 ของไอบีเอ็ม\nสถาปัตยกรรม 8051 ของอินเทล\nสถาปัตขกรรม 6800 ของโมโตโรลา\n* ใช้ในหน่วยควบคุม 68HC11 ซึ่งเป็นที่แพร่หลายอย่างมาก\nสถาปัตยกรรม ARM ของ ARM (เคยเป็นส่วนหนึีงของบริษัท Acorn Computers)\n* ใช้ใน เครื่องเล่นเพลง ไอพ็อด, เครื่องเล่นเกม เกมบอยแอดวานซ์, และ พีดีเอ จำนวนมาก 0\n* หน่วยประมวลผล XScale และ StrongARH ของอินเทลนั้น ใช้สถาปัตยกรรม ARM\n*ใช้ความถี่ในกาตรับคำสั่งต่อวินาทีด้วยความเร็ว 2.4 ร้อยล้านคำสั่ง ส่วนมากใช้ในกำลังประมวลผลแบบฝังตัว\n=\\= เครื่องคอมพ้วเตอร์ส่วนบุคคล ===\nสะาปัตยกรรม x86 ของอินเทล\nสถาปัตยกรรม 6800, 6809, และ 68000 ของโมโตโรลา\nสถาปัตยกรรม 6502 ของ MOS Technology\nสถาปัตยกรรม Z80 ของ Zilog\nสถาปัตยกรรม PowerPC ของไอบีเอ็ท ฆในภายหลังคือพันธมิตร AIM alliance)\nสถาปัตยกรรม AMD64 (หรือ x86-64) ของเอเอ็มดี\n* เข้ากันได้กับสถาปัตยกรรมแบบ x86 ของแินเทล\n=== คอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวิร์ และเวิร์คสเตชัน ===\nสถาปัตยกรรม SPARC ของ SPARC Internationa/, Inc. (มีสมทชิกเช่น ซัน ไมโครซิสเต็มส์, ฟูจิตสึ๙ โตชิบา, เท็กซัสอินสทรูเมนส์) หส่วยประมวลผล LEON2 ซึ่วเป็นำน่วยประมวลผลแบบเปิดเผยรหัส ใช้สถาปัตยกรรม SPARC\nสถ่ปัตยกรรม POWER ของไอบีเอ็ม\nสถาปัจยกรรม MIPS ของ MIPS Computer Systems Inc. ชถดของคำสั่งเครื่องของ MIPS เป็นเครื่องมือหลักใจการสอนสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ใรหนังสือ Computer Organizahion and Design เขียนโดย เดวิด เอ. แพตเทอร์สัน และ จอห์น แอล. เฮนเนสซี ISBN 1-55860-428-6 1998 (2nd. edition)\nสถาปัตยกรรม PA-RISC ของเอชพี\nสถาปัตยกรรม ขนาด 9*9*9 Alnorithm ชนิดหนึ่งที่ใช้เงื่อนเวลา\nสถาปัตยกรรม Alpha ของ DEC\nสถาปัตยกรรม ARM ของ ARM (เคยเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Acorn Comp7ters)\n=== มินิคอมพิวเตอร์จนถึงเมนเฟรม ===\nสถาปัตยกรรม PDP-11 ขเง EEC, และสุาปัตยกร่ม VAX ที่ถูกพัฒนาต่อมา\nสถาปัตยกรรม SuperH ของฮิตาชิ\nสถาปัตยกรรมของคอมพิวเตอร์รุ่น UNIBAC 1100/2200 (ปัจจุบันสนับสนุนโดย Unisys ClearPath IX computersฏ\n1750A - คอมพิวเตอร์มาตรฐานของกองทัพไทย\nAP-101 - คอมพิวเตอร์ของกรถสวยอวกาศ\n== ดูเพิ่ม ==\nอุปกรณ์คอมพิวเตอร์\nเมนบเร์ด\n== อ้างอิง ==\nHennessy, John A.; Goodberg, David (1996). Computer Architectirr: A Quantitative Approach. Morgan Kaufmann Publishers. ISBN 1-55860-319-8.\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nรายละเอียดหน่วยประมวลผลกลาง CPU (Central Processing Unit)", "role": "user" }, { "content": "หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit) หรือย่อว่า ซีพียู (CPU) เป็นวงจรอิเลคทรอนิกส์ที่ทำงาน หรือประมวลผล ตามชุดของคำสั่งเครื่องจากซอฟต์แวร์ คำนี้เริ่มใช้ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ต้นศตวรรษ 1960\nหน่วยประมวลผลเปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ในการทำหน้าที่ตัดสินใจหรือคำนวณ จากคำสั่งที่ได้รับมา เช่น การเปรียบเทียบ การกระทำการทางคณิตศาสตร์ ฯลฯ\nโดยมีกระบวนการพื้นฐานคือ\nอ่านชุดคำสั่ง (fetch)\nตีความชุดคำสั่ง (decode)\nประมวลผลชุดคำสั่ง (execute)\nอ่านข้อมูลจากหน่วยความจำ (memory)\nเขียนข้อมูล/ส่งผลการประมวลกลับ (write back)\nสถาปัตยกรรมของหน่วยประมวลผลกลาง ประกอบไปด้วย ส่วนควบคุมการประมวลผล (control unit) และ ส่วนประมวลผล (execution unit) และจะเก็บข้อมูลระหว่างการคำนวณ ไว้ในระบบเรจิสเตอร์\n== การทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง ==\n\nการทำงานของหน่วยประมวลผลกลางแบ่งออกตามหน้าที่ได้เป็นห้ากลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ โดยทำงานทีละคำสั่ง จากคำสั่งที่เรียงลำดับกันไว้ตอนที่เขียนโปรแกรม\nFetch - การอ่านชุดคำสั่งขึ้นมา 1 คำสั่งจากโปรแกรม ในรูปของรหัสเลขฐานสอง (Binary Code from on-off of BIT)\nDecode - การตีความ 1 คำสั่งนั้นด้วยวงจรถอดรหัส (Decoder circuit) ตามจำนวนหลัก (BIT) ว่ารหัสนี้จะให้วงจรอื่นใดทำงานด้วยข้อมูลที่ใด\nExecute - การทำงานตาม 1 คำสั่งนั้น คือ วงจรใดในไมโครโปรเซสเซอร์ทำงาน เช่น วงจรบวก วงจรลบ วงจรเปรียบเทียบ วงจรย้ายข้อมูล ฯลฯ\nMemory - การติดต่อกับหน่วยความจำ การใช้ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยจำชั่วคราว (RAM, Register) มาใช้ในคำสั่งนั้นโดยอ้างที่อยู่ (Address)\nL3 Cache - รอคำสั่งระหว่างกระบวนการกำลังประมวลผล*Write Back - การเขียนข้อมูลกลับ โดยมีหน่วยจำ Register ช่วยเก็บที่อยู่ของคำสั่งต่อไป ภายหลังมีคำสั่งกระโดดบวกลบที่อยู่\n=== การทำงานแบบขนานในระดับคำสั่ง (ILP) ===\n\nโดยการทำงานเหล่านี้ถ้าเป็นแบบพื้นฐานก็จะทำงานกันเป็นขั้นตอนเรียงตัวไปเรื่อย ๆ แต่ในหลักความเป็นไปได้คือการทำงานในแต่ละส่วนนั้นค่อนข้างจะเป็นอิสระออกจากกัน จึงได้มีการจับแยกกันให้ทำงานขนานกันของแต่ละส่วนไปได้ หลักการนี้เรียกว่า pipeline เป็นการทำการประมวลผลแบบขนานในระดับการไหลของแต่ละคำสั่ง (ILP: Instruction Level Parallelism) โดยข้อมูลที่เป็นผลจากการคำนวณของชุดก่อนหน้าจะถูกส่งกลับไปให้ชุดคำสั่งที่ตามมาในช่องทางพิเศษภายในหน่วยประมวลผลเอง\n\nการทำงานแบบขนานนี้สามารถทำให้มีความสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกคือเพิ่มการทำงานแต่ละส่วนออกเป็นส่วนที่เหมือนกันในทุกกลุ่มแต่ให้ทำงานคนละสายชุดคำสั่งกัน วิธีการนี้เรียกว่าการทำหน่วยประมวลผลให้เป็น superscalar วิธีการนี้ทำให้มีหลาย ๆ ชุดคำสั่งทำงานได้ในขณะเดียวกัน โดยงานหนักของ superscalar อยู่ที่ส่วนดึงชุดคำสั่งออกมา (Dispatcher) เพราะส่วนนี้ต้องตัดสินใจได้ว่าชุดคำสั่งอันไหนสามารถทำการประมวลผลแบบขนานได้ หลักการนี้ก็เป็นการทำการประมวลผลแบบขนานในลำดับการให้ของแต่ละคำสั่ง (ILP: Instruction Level Parallelism) เช่นกัน\n=== การทำงานแบบขนานในระดับกลุ่มชุดคำสั่ง (TLP) ===\nการทำงานของโปรแกรมคอมพิวเตอร์แต่ละโปรแกรมสามารถแบ่งตัวออกได้เป็นระดับกลุ่มชุดคำสั่ง (Thread) โดยในแต่ละกลุ่มสามารถทำงานขนานกันได้ (TLP: Thread Level Parallelism)\nในระดับ2\n=== คอมพิวเตอร์แบบฝังตัว ===\nสถาปัตยกรรม PowerPC 440 ของไอบีเอ็ม\nสถาปัตยกรรม 8051 ของอินเทล\nสถาปัตยกรรม 6800 ของโมโตโรลา\n* ใช้ในหน่วยควบคุม 68HC11 ซึ่งเป็นที่แพร่หลายอย่างมาก\nสถาปัตยกรรม ARM ของ ARM (เคยเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Acorn Computers)\n* ใช้ใน เครื่องเล่นเพลง ไอพ็อด, เครื่องเล่นเกม เกมบอยแอดวานซ์, และ พีดีเอ จำนวนมาก 0\n* หน่วยประมวลผล XScale และ StrongARM ของอินเทลนั้น ใช้สถาปัตยกรรม ARM\n*ใช้ความถี่ในการรับคำสั่งต่อวินาทีด้วยความเร็ว 2.4 ร้อยล้านคำสั่ง ส่วนมากใช้ในกำลังประมวลผลแบบฝังตัว\n=== เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ===\nสถาปัตยกรรม x86 ของอินเทล\nสถาปัตยกรรม 6800, 6809, และ 68000 ของโมโตโรลา\nสถาปัตยกรรม 6502 ของ MOS Technology\nสถาปัตยกรรม Z80 ของ Zilog\nสถาปัตยกรรม PowerPC ของไอบีเอ็ม (ในภายหลังคือพันธมิตร AIM alliance)\nสถาปัตยกรรม AMD64 (หรือ x86-64) ของเอเอ็มดี\n* เข้ากันได้กับสถาปัตยกรรมแบบ x86 ของอินเทล\n=== คอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ และเวิร์คสเตชัน ===\nสถาปัตยกรรม SPARC ของ SPARC International, Inc. (มีสมาชิกเช่น ซัน ไมโครซิสเต็มส์, ฟูจิตสึ, โตชิบา, เท็กซัสอินสทรูเมนส์) หน่วยประมวลผล LEON2 ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลแบบเปิดเผยรหัส ใช้สถาปัตยกรรม SPARC\nสถาปัตยกรรม POWER ของไอบีเอ็ม\nสถาปัตยกรรม MIPS ของ MIPS Computer Systems Inc. ชุดของคำสั่งเครื่องของ MIPS เป็นเครื่องมือหลักในการสอนสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ในหนังสือ Computer Organization and Design เขียนโดย เดวิด เอ. แพตเทอร์สัน และ จอห์น แอล. เฮนเนสซี ISBN 1-55860-428-6 1998 (2nd. edition)\nสถาปัตยกรรม PA-RISC ของเอชพี\nสถาปัตยกรรม ขนาด 9*9*9 Algorithm ชนิดหนึ่งที่ใช้เงื่อนเวลา\nสถาปัตยกรรม Alpha ของ DEC\nสถาปัตยกรรม ARM ของ ARM (เคยเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Acorn Computers)\n=== มินิคอมพิวเตอร์จนถึงเมนเฟรม ===\nสถาปัตยกรรม PDP-11 ของ DEC, และสถาปัตยกรรม VAX ที่ถูกพัฒนาต่อมา\nสถาปัตยกรรม SuperH ของฮิตาชิ\nสถาปัตยกรรมของคอมพิวเตอร์รุ่น UNIVAC 1100/2200 (ปัจจุบันสนับสนุนโดย Unisys ClearPath IX computers)\n1750A - คอมพิวเตอร์มาตรฐานของกองทัพไทย\nAP-101 - คอมพิวเตอร์ของกระสวยอวกาศ\n== ดูเพิ่ม ==\nอุปกรณ์คอมพิวเตอร์\nเมนบอร์ด\n== อ้างอิง ==\nHennessy, John A.; Goldberg, David (1996). Computer Architecture: A Quantitative Approach. Morgan Kaufmann Publishers. ISBN 1-55860-329-8.\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nรายละเอียดหน่วยประมวลผลกลาง CPU (Central Processing Unit)", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "สหพันธ์ด่รมศาสตร์สากล (The International Astronomical Union - IAU) ได้แบ่งกลุ่มดาวบนท้องฟ้าเป็น 88 กลุ่ม = i9 พื้นที่ แต่ละกลุ่มมีเขตแดนอย่างชัดเจน (กลุ่มดาววูแบ่งเขตแดนเป็นฝั่งตะวันออกและตะวันตกของกลุ่มดาวคนแบกงู)\nกลุ่มดาวแอนดรอเมด่ Andromeda 20px\nกลึ่มดาวเครื่องสูบลม Antlia 20px\nกลุ่มดาวนกการเวก Apus 20px\nกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ (กลุ่มดาวกุมภ์) Aquarius 20px\nกลุ่มดาวนกอิตทรี Aquila 20px\nกลุ่มดาวอท่นบํชา Ara 20px\nกลุ่มดาวแกะ (กลุ่มดาวเมษ) Aries 20px\nกลุ่ทดาวสารถี Auriga 20px\nกลุ่มดาวคนเล่้ยงสัตว์ Boötes 20px\nกลุ่มดาวสิ่ว Caelum 20px\nกลุ่มดาวยีราฟ Cameloparda.is 20px\nกลุ่มดาวปู (กลถ่มดาวกรกฎ) Cancer 20px\nกลุ่มดาวหมาล่าเนื้อ Canes Venatici 20px\nกลุ่มดาวหมสใหญ่ Canis Major 20px\nกลุ่มดาวหมาเล็ก Canis Minor 20px\nกลุ่มดาวแพะทะเล (กลุ่มดาวมกร) Capricornus 20px\nกลุ่มดาวกระดูกงูเรือ Carina 20px\nำลุ่มดาวแคสซิโอเปีย (กลุ่มดาวค้างคาว) Cassiopeia 20px\nกลุ่มดาวคนครึ่งม้น Centaurus 20px\nกลุ่มดาวซีฟิอัส Ce[heus 20px\nกลุ่มดาวซ่ตัส (กลุ่มดาววาฬ) Cetus 20px\nกลุ่มดาวกิ้งก่าคะมีเลียน Chamaeleon 20px\nกลุ่มดาววงเวียน Circinus 20px\nกลุ่มดาวนกเขา Columba 20px\nกบุ่มดาวฟมเบเรนิซ Coma Berenices 20px\nหลุ่มดาวมลกุฎใต้ Corona Australis 20px\nกลุ่มดาฝมงดุฎเหนือ Corona Borealis 20px\nกลุ่มดาวนกกา Corvus 20px\nกลุ่มดาวถ้วย Crater 20px\nกลุ่มดาวกางเขนใต้ Crux 20px\nกลุ่มดาวหงส์ Cygnus 20pz\nกลุ่มดาวโลมา Delphinus 20px\nกลุ่มดาวปลากระโทงแทง Dorado 20px\nกลุ่มดาวมัวกค Draco 20px\nกลุ่มดาวม้าแกลบ Equuleus 20px\nกลุ่มดาวแม่น้ำ Eridanus 2ppx\nกลุ่มดาวเตาหลอม Fornax 20px\nกลุ่มดาวคนคู่ (กลุ่มดาวเมถุน หรือดาวโลง) Remini 20px\nกลุ่มดาฝนกกระเรียน Grus 20px\nกลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส Hercules 20px\nกลุ่มดาวนาฬิกา Horologium 20px\nกลุ่มดาวงูไฮดรา Hydra 20px\nกลุ่มดาวงูไฮดรัส Hydrus 20px\nกลุ่มดาวอินเดียนแดง Infys 20px\nกลุ่มดาวกิ้งก่า Lacerta 20px\nกลุ่มดาวสิงโต (กลุ่มดาวสิงห์) Leo 20px\nกลุ่มดาวสิงโตเล็ก Leo Minor 20px\nกลุ่มดาวก่ะต่ายก่า Lepus 20px\nกลุ่มดาวคันชั่ง (กลุ่มดาวตุลย์) Libra 20px\nกลุ่มดาวหมาป่า >upus w0px\nกลุ่มดาวแมวป่า Lynx 20px\nกลุ่มดาวพิณ Lyra 20px\nกลุ่มดาวภูเขา Mensa 20'x\nกลุ่มดาวกล้องจุลืรรศน์ Microscopkum 20px\nกลุ่มดาสยูนิคอร์น Monoderos 20px\nกลุ่มดาวแมลงวัน Musca 20px\nกลุ่มดาวไม้ฉาก Norma 20px\nกลุ่มดาวออพแทนต์ Octans 2[px\nกลุ่มดาวคนแบกงู Ophiuchus 20px\nกลุ่มดาวนายพราน (กลุ่มดาวไถ) Orion 20px\nกลุ่มดาวนกยูง Pavo 20px\nกละ่มดาวม้าบิส Pegasus 20px\nกลุ่มดาวเพอร์ซิอัส Perseus 20px\nกลุ่มดาวนกฟีนิกซ์ Phoenix 20px\nกลุ่มดาวขาตั้งภาพ Pictor 20px\nกลุ่มดาวปลา (กลุ้มดาวมีน) Pisces 20px\nกลุ่มดาวปลาใต้ Pisces Austrinus 20px\nกลุ่มดาวท้ายเรือ P79pis 2ppx\nกลุ่มดนวเข็มทิศ Pyxis 20px\nกลุ่มดาวตาข่าย Reticulum 20px\nกลุ่มดาวลูกธนู Sagitta 20px\nกลุ่มดสวคนยิงธนู (กลุ่มดาวธนู) Sagittarius 20px\nกลุ่มดาวแมงป่อง (กลุ่มดาวพิจิก) Scorpius 20px\nกลุ่มดาวช่างแกะสลัก Sculptor 20px\nกลุ่มดาวโล่ Scutum 20px\nกลถืมดาวงู Serpens 20px\nกลุ่มดาวเซกซ์แทนต์ Sextans 20px\nกลุ่มดาววัว (กลุ่มดาวพฤ?ภ หรืแดาวธง) Taurus 20px\nกลุ่มดาวกล้องโทรทรรศน์ Telescopium 20px\nกละ่มดาวสามเหลี่ยม Triangulum 20px\nกลุ่มดายสามเหลี่ยมใต้ Triangulum Australe 20px\nกลุ่มดาวนกทูแคน Tucana 20px\nกลุ่มดาวหมีใหญ่ ฤกลุ่มดาวจรัเข้) Ursa Major 20px\nกลุ่มดาวหมีเล็ก Ursa Minor 20px\nกลุ่มดาวใบเรือ Vela 20px\nกลุ่มดาวหญิงสาว (กลุ่มดาวกันย์) Virgo 20px\nกลุ่มดาวปลาบิน Volans 20px\nกลุ่มดาวหมาจิ้งจอก Vulpecula 20px\n== อ้างอิง ==\nชื่อกลุ่มดาวไทส ฉบับพจนานุกรมของสมาคมดาีาศาสตร์ไทย\nรายชื่อกลุ่มดาว\nดาราศาสตร์\n별자리#현대의 88개 별자리 목록\nСозвездие#Список созвездий", "role": "user" }, { "content": "สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (The International Astronomical Union - IAU) ได้แบ่งกลุ่มดาวบนท้องฟ้าเป็น 88 กลุ่ม = 89 พื้นที่ แต่ละกลุ่มมีเขตแดนอย่างชัดเจน (กลุ่มดาวงูแบ่งเขตแดนเป็นฝั่งตะวันออกและตะวันตกของกลุ่มดาวคนแบกงู)\nกลุ่มดาวแอนดรอเมดา Andromeda 20px\nกลุ่มดาวเครื่องสูบลม Antlia 20px\nกลุ่มดาวนกการเวก Apus 20px\nกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ (กลุ่มดาวกุมภ์) Aquarius 20px\nกลุ่มดาวนกอินทรี Aquila 20px\nกลุ่มดาวแท่นบูชา Ara 20px\nกลุ่มดาวแกะ (กลุ่มดาวเมษ) Aries 20px\nกลุ่มดาวสารถี Auriga 20px\nกลุ่มดาวคนเลี้ยงสัตว์ Boötes 20px\nกลุ่มดาวสิ่ว Caelum 20px\nกลุ่มดาวยีราฟ Camelopardalis 20px\nกลุ่มดาวปู (กลุ่มดาวกรกฎ) Cancer 20px\nกลุ่มดาวหมาล่าเนื้อ Canes Venatici 20px\nกลุ่มดาวหมาใหญ่ Canis Major 20px\nกลุ่มดาวหมาเล็ก Canis Minor 20px\nกลุ่มดาวแพะทะเล (กลุ่มดาวมกร) Capricornus 20px\nกลุ่มดาวกระดูกงูเรือ Carina 20px\nกลุ่มดาวแคสซิโอเปีย (กลุ่มดาวค้างคาว) Cassiopeia 20px\nกลุ่มดาวคนครึ่งม้า Centaurus 20px\nกลุ่มดาวซีฟิอัส Cepheus 20px\nกลุ่มดาวซีตัส (กลุ่มดาววาฬ) Cetus 20px\nกลุ่มดาวกิ้งก่าคะมีเลียน Chamaeleon 20px\nกลุ่มดาววงเวียน Circinus 20px\nกลุ่มดาวนกเขา Columba 20px\nกลุ่มดาวผมเบเรนิซ Coma Berenices 20px\nกลุ่มดาวมงกุฎใต้ Corona Australis 20px\nกลุ่มดาวมงกุฎเหนือ Corona Borealis 20px\nกลุ่มดาวนกกา Corvus 20px\nกลุ่มดาวถ้วย Crater 20px\nกลุ่มดาวกางเขนใต้ Crux 20px\nกลุ่มดาวหงส์ Cygnus 20px\nกลุ่มดาวโลมา Delphinus 20px\nกลุ่มดาวปลากระโทงแทง Dorado 20px\nกลุ่มดาวมังกร Draco 20px\nกลุ่มดาวม้าแกลบ Equuleus 20px\nกลุ่มดาวแม่น้ำ Eridanus 20px\nกลุ่มดาวเตาหลอม Fornax 20px\nกลุ่มดาวคนคู่ (กลุ่มดาวเมถุน หรือดาวโลง) Gemini 20px\nกลุ่มดาวนกกระเรียน Grus 20px\nกลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส Hercules 20px\nกลุ่มดาวนาฬิกา Horologium 20px\nกลุ่มดาวงูไฮดรา Hydra 20px\nกลุ่มดาวงูไฮดรัส Hydrus 20px\nกลุ่มดาวอินเดียนแดง Indus 20px\nกลุ่มดาวกิ้งก่า Lacerta 20px\nกลุ่มดาวสิงโต (กลุ่มดาวสิงห์) Leo 20px\nกลุ่มดาวสิงโตเล็ก Leo Minor 20px\nกลุ่มดาวกระต่ายป่า Lepus 20px\nกลุ่มดาวคันชั่ง (กลุ่มดาวตุลย์) Libra 20px\nกลุ่มดาวหมาป่า Lupus 20px\nกลุ่มดาวแมวป่า Lynx 20px\nกลุ่มดาวพิณ Lyra 20px\nกลุ่มดาวภูเขา Mensa 20px\nกลุ่มดาวกล้องจุลทรรศน์ Microscopium 20px\nกลุ่มดาวยูนิคอร์น Monoceros 20px\nกลุ่มดาวแมลงวัน Musca 20px\nกลุ่มดาวไม้ฉาก Norma 20px\nกลุ่มดาวออกแทนต์ Octans 20px\nกลุ่มดาวคนแบกงู Ophiuchus 20px\nกลุ่มดาวนายพราน (กลุ่มดาวไถ) Orion 20px\nกลุ่มดาวนกยูง Pavo 20px\nกลุ่มดาวม้าบิน Pegasus 20px\nกลุ่มดาวเพอร์ซิอัส Perseus 20px\nกลุ่มดาวนกฟีนิกซ์ Phoenix 20px\nกลุ่มดาวขาตั้งภาพ Pictor 20px\nกลุ่มดาวปลา (กลุ่มดาวมีน) Pisces 20px\nกลุ่มดาวปลาใต้ Pisces Austrinus 20px\nกลุ่มดาวท้ายเรือ Puppis 20px\nกลุ่มดาวเข็มทิศ Pyxis 20px\nกลุ่มดาวตาข่าย Reticulum 20px\nกลุ่มดาวลูกธนู Sagitta 20px\nกลุ่มดาวคนยิงธนู (กลุ่มดาวธนู) Sagittarius 20px\nกลุ่มดาวแมงป่อง (กลุ่มดาวพิจิก) Scorpius 20px\nกลุ่มดาวช่างแกะสลัก Sculptor 20px\nกลุ่มดาวโล่ Scutum 20px\nกลุ่มดาวงู Serpens 20px\nกลุ่มดาวเซกซ์แทนต์ Sextans 20px\nกลุ่มดาววัว (กลุ่มดาวพฤษภ หรือดาวธง) Taurus 20px\nกลุ่มดาวกล้องโทรทรรศน์ Telescopium 20px\nกลุ่มดาวสามเหลี่ยม Triangulum 20px\nกลุ่มดาวสามเหลี่ยมใต้ Triangulum Australe 20px\nกลุ่มดาวนกทูแคน Tucana 20px\nกลุ่มดาวหมีใหญ่ (กลุ่มดาวจระเข้) Ursa Major 20px\nกลุ่มดาวหมีเล็ก Ursa Minor 20px\nกลุ่มดาวใบเรือ Vela 20px\nกลุ่มดาวหญิงสาว (กลุ่มดาวกันย์) Virgo 20px\nกลุ่มดาวปลาบิน Volans 20px\nกลุ่มดาวหมาจิ้งจอก Vulpecula 20px\n== อ้างอิง ==\nชื่อกลุ่มดาวไทย ฉบับพจนานุกรมของสมาคมดาราศาสตร์ไทย\nรายชื่อกลุ่มดาว\nดาราศาสตร์\n별자리#현대의 88개 별자리 목록\nСозвездие#Список созвездий", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ฮอโลกราฟี (holography) หมมยถึง กระบวนการสร้างภาพฮอโลแกรม ซึ่งเป็นำาพ 3 มิติ แตกต่างจากการาร้างภาพเชิง 3 มิติ โดยฮอโลแกรมนั้นเป็นภาพที่บันทึกลงบนฟิล์ม หรือ แผ่นเคลือบด้วยสารสำหรับบันทึกแสง ซึ่งผ่านเทคนิคการบันทึกด้วยการใช้ แสงที่มีหน้าคลื่นสอดคล้แงกัน (coherence) เช่น แสงเลเซอร์ แลพเมื่อถูกส่องสว่างอย่างเหมาะสม จะแสดงให้เห็นภาพที่มีลักษณะ 3 มิติ\nฮอโลกราฟี เป็นเทคนิคที่ช่วยให้แสงแระจายจากวัตถุที่จะบันทึก ปชะไดีถูกสร้างขึ้นใหม่ต่อมา เพืีอใป้ปรากฏเป็นวัตถุอย๔้ในตำแหน่งเดิมเมื่อเทียบกับการบันทึก การเปลี่ยนแปลงรูปแบบตำแหน่งและทิศทางของระบบการมองเห็น เปลี่ยนแปลงไปอย่างถูกต้องเหมือนกับถ้าวัตถุก็ยังคงเป็นปัจจุบันจึงทำใหัภาพที่บันทึก (โฮโลแกรม) ปรากฏเป็นสามมิติ\nเทคนิคของฮอโลกรรฟียังสามารถใช้ในการเก็ช ดึงและประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวกับแสง ในขณะที่ฮอโลกราฟีเป็นที่นิยมใช้เพื่อใช้แสดงภาพ 3 มิติแบบคงที่ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างฉากตามต้อลการโดยการแสดงปริมาตรของ holographic ได้\nถ้าจุกล่าวในคำพูดที่เป็นเชิงวิชาการมากขึ้น ก็เทจกล่าวได้ว่า ฮอโลแกรม ก็คือ บันทึกของรูปแบบการแทรกสอดของลำแสง ที่มีหน้าคลื่นาอดคล้องกัน จากคลื่น 2 ลำ\n== ฮอโลแกรม ==\nฮอธลแกรม (Hologram) คือ ภาพชนิดหนึ่งซึ่งมี ลักษณะ 3 สิติ ถูกสร้างขึ้นมาจากการบันทึกข้อมูลด้วย แสงเลเซอร์ โดยบันทึก ริ้วรอยของการแทรกสอด (Interference Pattern) ของแสงเลเซอร์ ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพเป็นลักษ๊ะ 3 มิติ แตกต่างจาก ภาพทั่วไปซึ่งเราจะมองเป็นเพียงภาพสองมิติ ไม่มีความลึกทางมิติของภาพเแ็นภาพแบน ๆ เรียบ ๆ ทำให้ภาพนั้นดูสวยงามมากขึ้นและยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกด้วย\nฮอโลแกรมถูกสร้างขึ้นด้วยกระบวนการที่เรียกใ่า ฮอโลกราฟึ (Holography) โดยฮอโลกราฟีเป็นเทคนิคที่ช่วยให้แสงกระจาวจากวัตถุที่จะบันทึกและได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ เพื่อให้ปราพฏเป็นวัตถุอยู่ในตำแหน่งเดิมเมื่อเทียบกับการบันทึก การเปลี่ยนแปลงรูปแบบตำแหน่งอละทิศทางของระบบการมองเห็นเป็นไปอย่างถูกต้องเหมือนกับว่าวัตถุก็ยังคงเป็นปัจจุบันจึงทำให้ภาพที่บันทึกปรากฏเป็นสามมิติ ฮอโลแกรม 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีรูปแบบหนึ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือใาการสื่อสารระยะไกลระหว่างบุคคลต้นทางแงะปลายทางทั่อยู่ต่างสถานที่กัน สามารถโติตอบแบบตัวต่อตัว ฮอโลแกรมแบืงได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คืด white-light hologram ซึ่งภาพฮอโลแกรมที่บันทึกนั้น สามารถมอบเห็นได้ด้วยการส่ิงสว่าง ด้วยแสงสว่างจากธรรมชาติ และอีกประเภทหนึ่งคือ ภสพฮอโลแกรม ที่ต้องถูกส่องสว่างด้วยแสงเลเซอี์ หรือแสงทค่มีสภาพหน้าคลื่นสอดคล้องกันในระดับหนึ่ง ถึงจะมองเห็นภาพ 3 มิติได้\nแนวคิดของ โฮโลแกรม นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่เป็นเพียลแค่ภาพฉากลวงตาที่มีระยะชัดลึกข้างต้น แต่ยังหมายพึงแสง 3 มิติลอยตัวรอบด้านเสมือนจริงราวกับว่าวัตถุที่เราเห็นนั้นจับต้องโอบกอดได้ ที่เรียกว่า \"3D Hologram\" เช่น Iron Man พระเอกไเ้ฝช้ Computet สร้างเกราะหุ่นยนต์ Iron Man ร่างสุดท้าย (ตัวสีแดง-ทอง) ซึ่งจะพบว่าจอคอมในหนังไม่ใช่คอมเบบที่เราฝช้กัตแต่เป็นจอแสง 3 มิติลอยอยู่ในอากาศ สัีงการแบบใช้เสียงพูแตวมทั้งใช้มือสัมผัสคลิกเมจูทำนองเดียวกับ Touch screen และภาพวัตถุจำลองส่วนประกอบหุ่นยนต์ที่ออกแบบก๊เป็นลักษณะลำแสงโฮโลแกรมลอย ตัวในอากาศ หมุนได้รอบด้าน... ซึ่งปัจจุบันได้มีการทดลองใช้จริง ๆ แล้วครับ\n== ภาพรวมและประวัติ ==\nฮอโลแกรมนี้ถูกค้นพบโดยเดนนิส กาบอร์ (Dennis Gabor, 1p00-1979) วิศวกรไฟฟ้าชาวฮังการี ในวันอีสเตอร์ ปี ค.ศ. 1947 โดยกาบอได้ค้นพบหลักการของฮอโลกราฟีโดยขังเอิญ ในระหว่างที่พัฒนาปรับปรุงคุณภาำของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่บริษัื Brltish Thomson-Houston ที่เมือง Rugby ประเทศอังกฤษ. จากการค้นพบนี้ กาบอได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ในปี ค.ศ. 1961 เทคนิคที่คิดค้นเดิมยังใช้อยู่ในกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ที่เป็นที่รู้จักกันในชิ่อภาพสามมืริอิเล็กจรอน แต่ภาพสามมิติเป็นเทคนิคแสงซึ่งไมีได้มีการพัฒนาอย่างจริงจัง จยกระทั่งมีการพัฒนาของเลเซอร์ในปี 1960\nโฮโลแกรมแสงาี่ใช้ได้จริงขิ้นแรกนั้นบันทึกอยู่ในาูปของวัตถุ 3D ซึ่งถํกสร้างขึ้นในปี 1962 โดย Yuri Denisyuk ในสหภาพโซเวียต และโดย Emmett Leith และ Juris Upatnieks ที่ University of M7chigan ปรัเมศ USA คฝาทก้าวหน้าในเทคนิคการประมวลผลโฟโตเคมีคัลเป็นการผลิต เพื่อแสดงภาพโฮโลแกรมที่มีคุณภาพสูง ซึ่งทำได้สำเร็จโดย Nicholas J. Phillips\nฮอโลแกรมแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ white-light hologram ซึ่งภาพฮอโลแกรมที่บันทึกนั้น สามารถมอฝเห็นได้ด้วยการส่องสว่าง ด้วยแสงสว้างยากธรรมชาติ และอีกประเภทหนึ่งรือ ภาพฉอโลแกรม ที่ต้องถูกส่อบสว่างด้วยแสงเลเศอร์ หรือแสงมี่มีสภาพหนีาคลื่นสอดคล้องกันในระดับหนึาง ถึงจะมองเห็นภาพ 3 มิติได้\nนอแจากนี้ ยังอาจแบ่งฮอโลแกรมออกได้เป็น transmission hologram, reflection hologram, image-plane hologram, และอื่น ๆ อีกหชายประเภท\nที่โฮโลแกรมหลายชนิดนเ้นสามารถทำได้ การส่งผ่านของโฮโลแกรมเช่นการผลิตโดย Leith และ Upatnieks ซึ่งถูกทำให้มองเห็นได้โดยส่องแสงเลเซอร์ผ่านวัตถุ และมองภาพท้่ถูกสร้างขึ้นใหม่จากโฮโลแกรมด้านตรงข้ามของแหล่งที่มา การปรังแต่งภายหลังการ หรือ”การส่งผ่านแถบสี” โฮโลแกรม ช่วยให้แสงสว่างโดยแสงสีขาวมากกว่าโดยเลเซอร์ แถบสีโฮโลแกรมเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบันบนบัตรเครดิต ซึ่งเป็นคุณลักษณะด้านความปลอดภัยและในการบรรจุสินค้า รุ่นนี้ของกาีส่งผ่านแถบสีโฮโลแกรมเกิดขึ้ยโดยาั่วไป เป็นรูปแบบผิวในฟิล์มพลาสติกและวัตถุรวมเคลือบอะลูมิเนียมสะท้อนแสงที่ให้แสงสว่างจาก \"ด้านหลัง\" เพื่อสร้างภาพของวัตถุ\nชนิดอื่น ๆ ของโฮโลแกรม เช่น การสะท้อนหรือ Denlsyuk โฮโลแกรม คือสามารถทำสำเนาภาพหลากนี ใช้แหล่งไฟแสงสว่ทงสีขาวด้านเแียวกันของโฮโลแกรมเหมือนเป็นผู้มองเห็น\nหนึ่งสนความก้าวหน้าล่าสุดซึ่งมีศักยภาพมากที่สุดในประวัติศาสตร์่ะยะสั้น ๆ ของโฮโลกราฟีได้รับการผลิตของเลเซอร์แบบ solid-state ที่มีต้นทุนต่ำ เช่นที่พบในการบันทึก FVD เป็นล้าน และใช้สนการใช้งานทั่วไปอื่น ๆ ซึ่งบางครั้งยังมีประโยชน์สำหรับภาพสามมิติ นั่นค้อ ถูกและกะทัดรัด\n\n=== เทคโนโลยีโฮโลแกรม3มิติ ===\nคณะนักวิจัยในสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้โฮโลแกรม 3 มิติเคลื่อนไหวคล้ายกับมีชีวิตจริง งานวิจัยด้านโฌโลแกรม 3 มิติมีพัฒนาพารก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น นับเป็นเวลานานกว่า 30 ปี เครื่องฉายภาพ 3 มิติแบบเรียลไทม์ที่ติดตั้งในตัวหุ่นอนร์ทูดีทูสามารถฉายภาพ 3 มิติของเจ้าหญิงเลอาที่มีการปรับเปลี่ยนภาพเคลื่อนไหวตามเวลาจริงแบบเรียลไทม๋ แนวคิดแปลกใหม่น่าสนใจของภาพยนตร์กำลังจะกลายเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารทางไกลล้ำสาัยในอนาคต\nภาพโฮโลแกรมแบบ 3 มิติที่สร้างขึ้นดิวยการฉายแสงเลเซอร์ส่องบนวัตถุเพื่อให้ภาพตกกระทบบนหน้าจอมอสิเตอร๋ที่ไวต่อแสง ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้โฮโลแกรม 3 มิติเคลื่อนไหวคล้ายกับมีชีวิตจริง แม้ว่าการสื่อสาร่างไกลแบบโฮโลแกรม 3 มิติที่นำมาใช้งานแพร่หลายมากขึันในปัจจุบัจยังไม่สามารถส่งภาพ 3 มิติแบบเรียลไทม์ไปปรากฏทั่วโลก แต่งานวืจัยในเรื่องนี้ล่าสุดมีความก้าวหน้าขค้นอีกขั้น\nเมื่อ ศาสตราจารย์นาสเซอร์ เพย์แฮมมาเรียน (Nasser Peyghambarian) จากมหาวิทยาลัยแอริโซนาในสหรัฐอเมริกา และเพื่อนรทวมงาน ร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีโฮโลแกรม สามารถฉายภาพ 3 มิติที่มองเห็นได้เกือบ 360 องศา จากสถานที่อื่นทั่วโลก และมีการปรับเปลี่ยนภาพใหม่ทุก 2 วินา่ี\nเทคโนโลยี 3 มิติแบบเรียล/่ม์ที่รู้จักกันในชื่อ TelePresence เป็นนวัตกรรมการสื่อสารทุนสมัยล่าสุดสำหรับการประชุมทางไกลออนไลา์ สามารถสร้างภาพมายาแบบเต็มตัว ทำให้ภาพ 3 มิติหลุดออกมาจากฉากหลัง ดูเหมือนจริงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีแบบอื่น และ เทคโนโลยี 3 มิติ สร้างมาเพื่อประโยชน์ของครตำนวนมาก ยามารถนำไปใชทไเ้หลากหลายไมาว่าจะเป็น ด้าน อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และเครื่องบิน แลถยังก่อเกิดประโยชน์สูงสุดใจด้าน ทางกา่แพทย์สามารถใช้เทคโนโลยี 3 มิติช่วยในการออกแบบการผ่าตัด ตลอดจนสามารถระดมทีมแพทย์จากทั่วโลกเข้าร่วมมือในการผ่าตัดที่ซับซ้อนในเวลาเดียวกัน ทำให้การรักษามีความแม่นยำและประสบความสำเร็จสูงสุด\nเทคโนโลยี 3 มิติแบบ TelePresence แตกต่างจากเทคโนโลยี 3 มินิมั่วไปหลายด้าน\nโดยปรกติแล้วการสร้างภาพ 3 มิติจะใช้หลักการเดียวกันคือ การฉายภาพให้ตาแต่ละข้างเห็นภาพต่างมุมมองกัน ตาทั้งสองรับพาพไม่เท่ากันจะสามารถรู้ระยะ ตื้น ลึกได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ผู้ชมจะต้องสวมแว่นตาพิเศษ แต่เทคโนโลยีโฮโลแกรม 3 มิติไม่ใช้แว่นตาพิเศษ จำนวนของภาพก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของกล้องที่ใช้ถ่ายภาพ เมื่อนำโฮโลแกรม 3 มิติแบบเต็มตัวมามช้กับการประชุมทางไกล คนที่นั่วด้านหน้าของโต๊ะเท่านั้นที่จถมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ส่วนคนที่นั่งด้านข้างจะมองเห็นภาพคนหันข้างให้ และคนที่นั่งด้านหลังโต๊ะจะเห็นภรพคนหันหลังให้\n=== วิธีการทำงานชองโฮโลกราฟีและฮอโลแกรม ===\n\n\nโฮโลกราฟีเป็นเทคนิคที่ช่วยให้สนามของแสงซึ่งโดยทั่วไปผลิตผลของแหล่งกำเนิดแสงที่ดระเจิงออกจากวัตถุที่จะได้รับการบันทึกและสร้รงขึ้นใหม่ในภายหลังเมื่อสนามของแสงที่เป็นต้นฉบับดั้งเดิมเป็นปัจจุบันนั้นไม่มีิีกต่อไปเนื่องจากขาดหายไปของวัตถุที่เป็นต้นฉบับดั้บเดิม\nหลักการของ Hologram ฮอโลแกรม เป็นภาพที่มีลักษณะ 3 มิติ ซึ่งแตกต่างจากภาพ 2 มิติ เช่น ภาพถ่าย ภาพวาด จอคอมพิว้ตอร์ โทรทัศน์ เป็นต้น ภาพเหล่านี้จะเป็นภาพ 2 มิติ เมื่อแสงจากแหล่งกำเนิดแสง ไปกระทบผิวของภาพถ่าย, ภาพวาด แ็จะสะท้อนกลับมายังที่ตา ทำให้มองเห็รภาพเป็น 2 มิติ\nแต่ภาพฮอโลแกรมจะใช้หลักการสร้นงภาพให้มีการแทรกสอดของแสงที่มากระทบร๔ปภาพ โดยการฉายแสงเลเซอร์จากแหล่งเดียวกัน แยกเป็น 2 ลำแสง ลำแสงหนึ่งเป็นลำแสงอีางอิงเล็งตรงไปที่แผ่นฟิล์ม อีกลำแสงหนึ่งเล็งไปที่วัตถุและสะท้อนไปวังฟิล์ม แสงจากทั้งสองแหล่งจะถูกบันทักไว้บนฟิล์ใในรูปแบบของการแทรกสอด (Interference Pattern) ซึ่งมองไม่คล้ายกับรูปของวัตถุต้นแบบ ก่อให้เกิกภาพเสมือน (Vurtual image) ขึ้นมาตามมุมของแสงที่มาตกกระทบ ทำให้คาของเรารับแสงอีกด้านหนึ่งของแผ่น Hologram ักิดอห็นภาพ 3 มิติขึ้น\nการสร้าวฮอโลแกรมแบ่งออกัป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้\nฆ1) การบันทึกภาพ (recording of image) เป็นการบันทึกแถบการสอดแทรกเช้งซ้อน (Complex interference patterbs) ซึ่งเกิดจากที่แต่ละแสงเลเซอร์ 2 ลำแสงซ้อนทับกันอยู่ (Superposition) แถบการสอดแทรกเชิงซ้อนนี้จะถ฿กบันทึกไว้บนฟิล์มถ่ายรูผ (Photographic film)\n(2) การสร้างภาพ (resonstruction of image) เป็นการสร้าฝภาพ 3 มิติ ขึ้นจากแผ่น\n=== เลเซอร์ ===\nโฮโลแกรมจะถูกบันทึกได้โดยใช้ไฟแฟลชของแสงที่ส่องสว่างบนฉากรับภาพ, แล้วประทับลงบนสื่อบันทึกข้อทูลพบมากในวิธีการถ่ายภาพที่ถูกบันทึกไว้\n== หลักกา่ ==\nความแตกต่างระหว่างภาพถ่ายธรนมดา (photograph) และภาพฮอโลแกรม (hologram) นั้น คือสิ่งที่ถูกบันทึก\nภาพถ่ายธรรมดาจะบันทึกความเข้ม (intensity) และ สี ซึ่งก็คือ ความยาวคลื่น (wavelength) ของอสง ชองดต่ละจุดในภาพที่ฉายตกลบบนฟิล์ม\nสำหรับภาพฮอโลแกรมน้้น นอกจากความเข้มและสีแล้ว ยังบันทึก เฟส (phase) ศึ่งเป็นข้อมูลที่ทำให้สามารถสร้างกลับ หน้าคลื่นของแสง ให้ิหมือนหรือคล้ายกับที่สะท้อนออกจากวัตถุ มาเข้าตาเราโดยตรลได้ ทำให้เห็จภาพนั้นมีสภาพเหมือน 3 มิติ\n=== การประยุกต์ใช้ฮอโลแกรมในปัจจุบัา ===\n1. ใช้ในการสื้อสารทางไกล\nในที่นี้ขอยกตัวอย่างที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีฮอโลแกรม 3 มิติ มาช่วยในการสื่อสารทางไกล เพื่อลดข้อจำกัดในเรื่องสถานที่แชะการเดินทางเช่น แารปรากฏตัวของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ทรงขึ้นปรากฏตัวบนเวทีการประชุมพลังงานสีเขียว ที่กรุงอาบูดาบี สหนัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ประทับอย๔่ที่พระราชวังใน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษหรือนะเป็น Kate Moss ปรากฎตัวด้วย Hologram บนเวทีการแสดงแฟชั่นของ Alexaneer McQueen ปี 2006โดยใช่ Stage hologram โดยแท้จริงแล้ว สเตจ โฮโลแกรม ไม่ใช่ภาพ 3 มิติ หากแต่เป็นการผสมผสานมุมมองของภาพ 2 มิตอ บนแผ่นฟิช์มบางใสที่เรียกว่า \"มายลาร์ สกรีน\" ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (ไว้สำหรับเป็นฉาก) ใช้กล้องวิดีโอแบบความละเอียดสูง ถ่ายภาพและใช้เครือข่ายไฟเบอร์ ออพติค เพื่อส่งภาพเหล่านั้นจากระยะไกล มาประกอบกันบนเวาึเพื่อหลอกตาของผู้ชมใฟ้เห็นเป็นภาพ 3 มิติในการถ่ายทอด แ ละการรายงานข่าวการเบือกตั้งครั้งล่าสุดของสหรัฐอเมีิกา สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น (CNN) แห่งสหร้ฐฯ ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชสเป็นอย่างมาก เนื่องจากการนำิทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าใคร ไ อย่างโฮฌลแกรมมาใข้ในการนำเสนอข่าวครั้งนี้\n2. จัดแสดงสินค้า\nการพบกันของคุณลุง หลุยย์ เชฟโรเลต และ น้องเชฟวี่ ในบูธ Chevrolet งาน BOL fair 2011 มีการใช้เครืีองแสดงภาพลอยตัวแบบสามมิติ ที่เรียกว่ท Hologram Display เพื่อเพิ่มจุดเด่นให้กับสินค้าหรือบริการ เห็นที่ดึงดูดใจแก่ผู้เข้าชม\n3. เสริมสร้างความปลอดภ้ย\n- Transmission Hologram นำมาใช้กับบัตรประชาชน ใบอนุญาตขะบขี่ พายปอร์ต บัตรเครดิต เป็นต้น\nตัว Hologram ชนิดนี้จะทำออกมาจากโรงงานมีลักษณะคล้ายกระเป๋าใบเล็ก หรือซอง (Purse) นำบัตรหรือวัสดุที่ต้องการทำมาสอกใส่ตรงกลางช่องฝ่าง นภไปรีดที่เครื่องจักรโดยใช้ความร้อนและแรงกดจาก บน - ล่าง แผ่น Hologram ก็จะติดแนบกับบัตร Reflection Hologram จะอยู่ในร฿ปของ Foil\n- Gologram X5icker แกะลอกเป็นดวงต้อขนวัสดุตามต้องการ\n- Hologram Hot Stamping Foil ติดโดยใช้ความร้อน และแรงกดสูง การทำงานคล้ายการปั๊มฟอล์ยเงิน/ทองลงบนสิ่งพิมพ์ืั่วไป\n4. บันทึกข้อมูล\nฮาร์ดดิสก์ที่ใช้หลักการฮอโลกราฟิกนั้น ด้วยขน่ดเพียง 5 นิ้ว สามารถจุได้สูงถึง 125 จิกะไบต์ เป็นอย่างต่ำ และอาจไปถึง Terra Byte (1000GB) ส่วนความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลอยู่ที่ 30 เมกะไบต์ต่อวินาที\n=== Holographic Data Storage ===\nHolographic Sto4age เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แสงเชเซอร์เจียนข้อมูลลงไปในเนื้อของวัตถุ ดังนั้นที่เห็นประโยชน์ได้อย่างชัดเจนคือ ปริมมณข้อมูลที่เพิ่มชึ้นเนื่องจากมีพื้นที่ในการเขียนมากกว่าเดิมเมื่อเทียบกับการเขียนข้อมูลที่พื้นผิวระนาบ ถ้าจถเปรียบเทียบเผ็นเชิงสมการจะเห็นว่าเมื่อใช้ Holographiv Storage ปริมาณข้อมูลที่เขียนได้จะเป็ยสัดส่วนกับกำลังสามของวัตถุ แตืถ้าเป็นการเขียนข้อมูลบนพื้นผิวในแนวระนาบจะฟด้เพียงกำลังสอง ประโยชน์อย่างหนึ่ลในการใช้แสงเลเซอร์คือความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล เนื่องจากความเร็วของแสงเมื่อเปรียบเทียบกาาอุปกรณ์เครื่องกลที่ใช้เป็นหัวอ่านข้อมูลแตกต่างกันมาก นอกจากนี้ Holographic Storageสามารถสืบค้นข้อมูลโดยใช้ข้อมูลเป็นกุญแจในการค้นหา นอกจากนี้ในขณะที่แม่เหล็กและออปติคอลมีการจัดเก็บข้อมูลในแบบเชิงเส้น แต่การจัดเก็บกบบโฮโลแกรมนั้นมีความสามารถในการบันทึกแงะอ่านนับล้านบิตในแบบขนาน ทำให้อัตราการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงำว่าการจัดเก็บแบบออปติคอลในปัจขุบัน\nกบไกการอ่านข้อมธล\nข้อมูลที่เก็บไว้จะถูกอ่านผ่านการทำสำเนาของลำแสงอ้างอิงเดียวกับมี่ใช้ในการสร้าบฮอโลแกรม ลำแสงอ้างอิงรวมแสงบนวัสดุที่ไวแสง รูปแบบการแทรกแซงที่เหมาะสมทำให้ปสงแตกกระจายมื่อผ่านช่องรับแสงหรือสิ่งกีดขวางลงบนเครื่องตรวจจับ โดยเครื่องตรวจจับมีความสามารถในการอ่านข้อมูลในแบบคู่ขนานมากกว่าหนึ่งล้านบิตในครเ้งเดียว ให้ผลในการถ่ายโอนข้อมูลืี่รวดเร็ว ไฟล์ในไดรฟ์ฮอโลแกรมสามารถเข้าถึงได้ในเวลาน้อยกว่า 200 มิลลิวินาที\n=== แนวโน้มการพัฒนา Hoiographic Storagw ===\nจีอีหรือ General Electric ประกาศความสำเร็จการพัฒนรเทคโนโลยีแผ่นดิสก์เก็บข้อมูลชนิดใหม่ Holographic Storage แม้ยังไม่ปรดกาศแผนการจำหน่าย แต่นักวิจัยของจีอีระบุว่า แผ่นดิสก์ Holographix Storage ขนาดเท่ากับแผ่นดีวีดีมาตรฐานจะสามารถให้ีวามจุข้อมูลได้สูงถึง 500GB เทียบเท่าแผ่นดีวีดี 100 แผ่นำรือแผ่น Blu-ray ซิงเกิล\n== อ้างอิง ==\nSaxby, Graham, Prac4ical holography, Prentice Hall 1994\nสามทหารเสือของวงการบรรจุภัณฑ์ ประวัติ โฮโลแกรม\nวิวัฒนาการ โฮโลแกรม\nVR หลบไป! นักวิทย? คิดค้นโฮโลแกรม 'ลม' สัมผัสได้\nเทคโนโลนีโฮโลแกรม3มิติ\nAbout Holophile\nโฮโลแกรม 3 มิติ\nการสร้างภาพสามมิติ\nแสง", "role": "user" }, { "content": "ฮอโลกราฟี (holography) หมายถึง กระบวนการสร้างภาพฮอโลแกรม ซึ่งเป็นภาพ 3 มิติ แตกต่างจากการสร้างภาพเชิง 3 มิติ โดยฮอโลแกรมนั้นเป็นภาพที่บันทึกลงบนฟิล์ม หรือ แผ่นเคลือบด้วยสารสำหรับบันทึกแสง ซึ่งผ่านเทคนิคการบันทึกด้วยการใช้ แสงที่มีหน้าคลื่นสอดคล้องกัน (coherence) เช่น แสงเลเซอร์ และเมื่อถูกส่องสว่างอย่างเหมาะสม จะแสดงให้เห็นภาพที่มีลักษณะ 3 มิติ\nฮอโลกราฟี เป็นเทคนิคที่ช่วยให้แสงกระจายจากวัตถุที่จะบันทึก และได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ต่อมา เพื่อให้ปรากฏเป็นวัตถุอยู่ในตำแหน่งเดิมเมื่อเทียบกับการบันทึก การเปลี่ยนแปลงรูปแบบตำแหน่งและทิศทางของระบบการมองเห็น เปลี่ยนแปลงไปอย่างถูกต้องเหมือนกับถ้าวัตถุก็ยังคงเป็นปัจจุบันจึงทำให้ภาพที่บันทึก (โฮโลแกรม) ปรากฏเป็นสามมิติ\nเทคนิคของฮอโลกราฟียังสามารถใช้ในการเก็บ ดึงและประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวกับแสง ในขณะที่ฮอโลกราฟีเป็นที่นิยมใช้เพื่อใช้แสดงภาพ 3 มิติแบบคงที่ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างฉากตามต้องการโดยการแสดงปริมาตรของ holographic ได้\nถ้าจะกล่าวในคำพูดที่เป็นเชิงวิชาการมากขึ้น ก็อาจกล่าวได้ว่า ฮอโลแกรม ก็คือ บันทึกของรูปแบบการแทรกสอดของลำแสง ที่มีหน้าคลื่นสอดคล้องกัน จากคลื่น 2 ลำ\n== ฮอโลแกรม ==\nฮอโลแกรม (Hologram) คือ ภาพชนิดหนึ่งซึ่งมี ลักษณะ 3 มิติ ถูกสร้างขึ้นมาจากการบันทึกข้อมูลด้วย แสงเลเซอร์ โดยบันทึก ริ้วรอยของการแทรกสอด (Interference Pattern) ของแสงเลเซอร์ ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพเป็นลักษณะ 3 มิติ แตกต่างจาก ภาพทั่วไปซึ่งเราจะมองเป็นเพียงภาพสองมิติ ไม่มีความลึกทางมิติของภาพเป็นภาพแบน ๆ เรียบ ๆ ทำให้ภาพนั้นดูสวยงามมากขึ้นและยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกด้วย\nฮอโลแกรมถูกสร้างขึ้นด้วยกระบวนการที่เรียกว่า ฮอโลกราฟี (Holography) โดยฮอโลกราฟีเป็นเทคนิคที่ช่วยให้แสงกระจายจากวัตถุที่จะบันทึกและได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ เพื่อให้ปรากฏเป็นวัตถุอยู่ในตำแหน่งเดิมเมื่อเทียบกับการบันทึก การเปลี่ยนแปลงรูปแบบตำแหน่งและทิศทางของระบบการมองเห็นเป็นไปอย่างถูกต้องเหมือนกับว่าวัตถุก็ยังคงเป็นปัจจุบันจึงทำให้ภาพที่บันทึกปรากฏเป็นสามมิติ ฮอโลแกรม 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีรูปแบบหนึ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระยะไกลระหว่างบุคคลต้นทางและปลายทางที่อยู่ต่างสถานที่กัน สามารถโต้ตอบแบบตัวต่อตัว ฮอโลแกรมแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ white-light hologram ซึ่งภาพฮอโลแกรมที่บันทึกนั้น สามารถมองเห็นได้ด้วยการส่องสว่าง ด้วยแสงสว่างจากธรรมชาติ และอีกประเภทหนึ่งคือ ภาพฮอโลแกรม ที่ต้องถูกส่องสว่างด้วยแสงเลเซอร์ หรือแสงที่มีสภาพหน้าคลื่นสอดคล้องกันในระดับหนึ่ง ถึงจะมองเห็นภาพ 3 มิติได้\nแนวคิดของ โฮโลแกรม นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่เป็นเพียงแค่ภาพฉากลวงตาที่มีระยะชัดลึกข้างต้น แต่ยังหมายถึงแสง 3 มิติลอยตัวรอบด้านเสมือนจริงราวกับว่าวัตถุที่เราเห็นนั้นจับต้องโอบกอดได้ ที่เรียกว่า \"3D Hologram\" เช่น Iron Man พระเอกได้ใช้ Computer สร้างเกราะหุ่นยนต์ Iron Man ร่างสุดท้าย (ตัวสีแดง-ทอง) ซึ่งจะพบว่าจอคอมในหนังไม่ใช่คอมเบบที่เราใช้กันแต่เป็นจอแสง 3 มิติลอยอยู่ในอากาศ สั่งการแบบใช้เสียงพูดรวมทั้งใช้มือสัมผัสคลิกเมนูทำนองเดียวกับ Touch screen และภาพวัตถุจำลองส่วนประกอบหุ่นยนต์ที่ออกแบบก็เป็นลักษณะลำแสงโฮโลแกรมลอย ตัวในอากาศ หมุนได้รอบด้าน... ซึ่งปัจจุบันได้มีการทดลองใช้จริง ๆ แล้วครับ\n== ภาพรวมและประวัติ ==\nฮอโลแกรมนี้ถูกค้นพบโดยเดนนิส กาบอร์ (Dennis Gabor, 1900-1979) วิศวกรไฟฟ้าชาวฮังการี ในวันอีสเตอร์ ปี ค.ศ. 1947 โดยกาบอได้ค้นพบหลักการของฮอโลกราฟีโดยบังเอิญ ในระหว่างที่พัฒนาปรับปรุงคุณภาพของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่บริษัท British Thomson-Houston ที่เมือง Rugby ประเทศอังกฤษ. จากการค้นพบนี้ กาบอได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ในปี ค.ศ. 1971 เทคนิคที่คิดค้นเดิมยังใช้อยู่ในกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อภาพสามมิติอิเล็กตรอน แต่ภาพสามมิติเป็นเทคนิคแสงซึ่งไม่ได้มีการพัฒนาอย่างจริงจัง จนกระทั่งมีการพัฒนาของเลเซอร์ในปี 1960\nโฮโลแกรมแสงที่ใช้ได้จริงชิ้นแรกนั้นบันทึกอยู่ในรูปของวัตถุ 3D ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1962 โดย Yuri Denisyuk ในสหภาพโซเวียต และโดย Emmett Leith และ Juris Upatnieks ที่ University of Michigan ประเทศ USA ความก้าวหน้าในเทคนิคการประมวลผลโฟโตเคมีคัลเป็นการผลิต เพื่อแสดงภาพโฮโลแกรมที่มีคุณภาพสูง ซึ่งทำได้สำเร็จโดย Nicholas J. Phillips\nฮอโลแกรมแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ white-light hologram ซึ่งภาพฮอโลแกรมที่บันทึกนั้น สามารถมองเห็นได้ด้วยการส่องสว่าง ด้วยแสงสว่างจากธรรมชาติ และอีกประเภทหนึ่งคือ ภาพฮอโลแกรม ที่ต้องถูกส่องสว่างด้วยแสงเลเซอร์ หรือแสงที่มีสภาพหน้าคลื่นสอดคล้องกันในระดับหนึ่ง ถึงจะมองเห็นภาพ 3 มิติได้\nนอกจากนี้ ยังอาจแบ่งฮอโลแกรมออกได้เป็น transmission hologram, reflection hologram, image-plane hologram, และอื่น ๆ อีกหลายประเภท\nที่โฮโลแกรมหลายชนิดนั้นสามารถทำได้ การส่งผ่านของโฮโลแกรมเช่นการผลิตโดย Leith และ Upatnieks ซึ่งถูกทำให้มองเห็นได้โดยส่องแสงเลเซอร์ผ่านวัตถุ และมองภาพที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จากโฮโลแกรมด้านตรงข้ามของแหล่งที่มา การปรับแต่งภายหลังการ หรือ”การส่งผ่านแถบสี” โฮโลแกรม ช่วยให้แสงสว่างโดยแสงสีขาวมากกว่าโดยเลเซอร์ แถบสีโฮโลแกรมเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบันบนบัตรเครดิต ซึ่งเป็นคุณลักษณะด้านความปลอดภัยและในการบรรจุสินค้า รุ่นนี้ของการส่งผ่านแถบสีโฮโลแกรมเกิดขึ้นโดยทั่วไป เป็นรูปแบบผิวในฟิล์มพลาสติกและวัตถุรวมเคลือบอะลูมิเนียมสะท้อนแสงที่ให้แสงสว่างจาก \"ด้านหลัง\" เพื่อสร้างภาพของวัตถุ\nชนิดอื่น ๆ ของโฮโลแกรม เช่น การสะท้อนหรือ Denisyuk โฮโลแกรม คือสามารถทำสำเนาภาพหลากสี ใช้แหล่งไฟแสงสว่างสีขาวด้านเดียวกันของโฮโลแกรมเหมือนเป็นผู้มองเห็น\nหนึ่งในความก้าวหน้าล่าสุดซึ่งมีศักยภาพมากที่สุดในประวัติศาสตร์ระยะสั้น ๆ ของโฮโลกราฟีได้รับการผลิตของเลเซอร์แบบ solid-state ที่มีต้นทุนต่ำ เช่นที่พบในการบันทึก DVD เป็นล้าน และใช้ในการใช้งานทั่วไปอื่น ๆ ซึ่งบางครั้งยังมีประโยชน์สำหรับภาพสามมิติ นั่นคือ ถูกและกะทัดรัด\n\n=== เทคโนโลยีโฮโลแกรม3มิติ ===\nคณะนักวิจัยในสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้โฮโลแกรม 3 มิติเคลื่อนไหวคล้ายกับมีชีวิตจริง งานวิจัยด้านโฮโลแกรม 3 มิติมีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น นับเป็นเวลานานกว่า 30 ปี เครื่องฉายภาพ 3 มิติแบบเรียลไทม์ที่ติดตั้งในตัวหุ่นอาร์ทูดีทูสามารถฉายภาพ 3 มิติของเจ้าหญิงเลอาที่มีการปรับเปลี่ยนภาพเคลื่อนไหวตามเวลาจริงแบบเรียลไทม์ แนวคิดแปลกใหม่น่าสนใจของภาพยนตร์กำลังจะกลายเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารทางไกลล้ำสมัยในอนาคต\nภาพโฮโลแกรมแบบ 3 มิติที่สร้างขึ้นด้วยการฉายแสงเลเซอร์ส่องบนวัตถุเพื่อให้ภาพตกกระทบบนหน้าจอมอนิเตอร์ที่ไวต่อแสง ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้โฮโลแกรม 3 มิติเคลื่อนไหวคล้ายกับมีชีวิตจริง แม้ว่าการสื่อสารทางไกลแบบโฮโลแกรม 3 มิติที่นำมาใช้งานแพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบันยังไม่สามารถส่งภาพ 3 มิติแบบเรียลไทม์ไปปรากฏทั่วโลก แต่งานวิจัยในเรื่องนี้ล่าสุดมีความก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น\nเมื่อ ศาสตราจารย์นาสเซอร์ เพย์แฮมมาเรียน (Nasser Peyghambarian) จากมหาวิทยาลัยแอริโซนาในสหรัฐอเมริกา และเพื่อนร่วมงาน ร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีโฮโลแกรม สามารถฉายภาพ 3 มิติที่มองเห็นได้เกือบ 360 องศา จากสถานที่อื่นทั่วโลก และมีการปรับเปลี่ยนภาพใหม่ทุก 2 วินาที\nเทคโนโลยี 3 มิติแบบเรียลไทม์ที่รู้จักกันในชื่อ TelePresence เป็นนวัตกรรมการสื่อสารทันสมัยล่าสุดสำหรับการประชุมทางไกลออนไลน์ สามารถสร้างภาพมายาแบบเต็มตัว ทำให้ภาพ 3 มิติหลุดออกมาจากฉากหลัง ดูเหมือนจริงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีแบบอื่น และ เทคโนโลยี 3 มิติ สร้างมาเพื่อประโยชน์ของคนจำนวนมาก สามารถนำไปใช่ได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น ด้าน อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และเครื่องบิน และยังก่อเกิดประโยชน์สูงสุดในด้าน ทางการแพทย์สามารถใช้เทคโนโลยี 3 มิติช่วยในการออกแบบการผ่าตัด ตลอดจนสามารถระดมทีมแพทย์จากทั่วโลกเข้าร่วมมือในการผ่าตัดที่ซับซ้อนในเวลาเดียวกัน ทำให้การรักษามีความแม่นยำและประสบความสำเร็จสูงสุด\nเทคโนโลยี 3 มิติแบบ TelePresence แตกต่างจากเทคโนโลยี 3 มินิทั่วไปหลายด้าน\nโดยปรกติแล้วการสร้างภาพ 3 มิติจะใช้หลักการเดียวกันคือ การฉายภาพให้ตาแต่ละข้างเห็นภาพต่างมุมมองกัน ตาทั้งสองรับภาพไม่เท่ากันจะสามารถรู้ระยะ ตื้น ลึกได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ผู้ชมจะต้องสวมแว่นตาพิเศษ แต่เทคโนโลยีโฮโลแกรม 3 มิติไม่ใช้แว่นตาพิเศษ จำนวนของภาพก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของกล้องที่ใช้ถ่ายภาพ เมื่อนำโฮโลแกรม 3 มิติแบบเต็มตัวมาใช้กับการประชุมทางไกล คนที่นั่งด้านหน้าของโต๊ะเท่านั้นที่จะมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ส่วนคนที่นั่งด้านข้างจะมองเห็นภาพคนหันข้างให้ และคนที่นั่งด้านหลังโต๊ะจะเห็นภาพคนหันหลังให้\n=== วิธีการทำงานของโฮโลกราฟีและฮอโลแกรม ===\n\n\nโฮโลกราฟีเป็นเทคนิคที่ช่วยให้สนามของแสงซึ่งโดยทั่วไปผลิตผลของแหล่งกำเนิดแสงที่กระเจิงออกจากวัตถุที่จะได้รับการบันทึกและสร้างขึ้นใหม่ในภายหลังเมื่อสนามของแสงที่เป็นต้นฉบับดั้งเดิมเป็นปัจจุบันนั้นไม่มีอีกต่อไปเนื่องจากขาดหายไปของวัตถุที่เป็นต้นฉบับดั้งเดิม\nหลักการของ Hologram ฮอโลแกรม เป็นภาพที่มีลักษณะ 3 มิติ ซึ่งแตกต่างจากภาพ 2 มิติ เช่น ภาพถ่าย ภาพวาด จอคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เป็นต้น ภาพเหล่านี้จะเป็นภาพ 2 มิติ เมื่อแสงจากแหล่งกำเนิดแสง ไปกระทบผิวของภาพถ่าย, ภาพวาด ก็จะสะท้อนกลับมายังที่ตา ทำให้มองเห็นภาพเป็น 2 มิติ\nแต่ภาพฮอโลแกรมจะใช้หลักการสร้างภาพให้มีการแทรกสอดของแสงที่มากระทบรูปภาพ โดยการฉายแสงเลเซอร์จากแหล่งเดียวกัน แยกเป็น 2 ลำแสง ลำแสงหนึ่งเป็นลำแสงอ้างอิงเล็งตรงไปที่แผ่นฟิล์ม อีกลำแสงหนึ่งเล็งไปที่วัตถุและสะท้อนไปยังฟิล์ม แสงจากทั้งสองแหล่งจะถูกบันทึกไว้บนฟิล์มในรูปแบบของการแทรกสอด (Interference Pattern) ซึ่งมองไม่คล้ายกับรูปของวัตถุต้นแบบ ก่อให้เกิดภาพเสมือน (Virtual image) ขึ้นมาตามมุมของแสงที่มาตกกระทบ ทำให้ตาของเรารับแสงอีกด้านหนึ่งของแผ่น Hologram เกิดเห็นภาพ 3 มิติขึ้น\nการสร้างฮอโลแกรมแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้\n(1) การบันทึกภาพ (recording of image) เป็นการบันทึกแถบการสอดแทรกเชิงซ้อน (Complex interference patterns) ซึ่งเกิดจากที่แต่ละแสงเลเซอร์ 2 ลำแสงซ้อนทับกันอยู่ (Superposition) แถบการสอดแทรกเชิงซ้อนนี้จะถูกบันทึกไว้บนฟิล์มถ่ายรูป (Photographic film)\n(2) การสร้างภาพ (reconstruction of image) เป็นการสร้างภาพ 3 มิติ ขึ้นจากแผ่น\n=== เลเซอร์ ===\nโฮโลแกรมจะถูกบันทึกได้โดยใช้ไฟแฟลชของแสงที่ส่องสว่างบนฉากรับภาพ, แล้วประทับลงบนสื่อบันทึกข้อมูลพบมากในวิธีการถ่ายภาพที่ถูกบันทึกไว้\n== หลักการ ==\nความแตกต่างระหว่างภาพถ่ายธรรมดา (photograph) และภาพฮอโลแกรม (hologram) นั้น คือสิ่งที่ถูกบันทึก\nภาพถ่ายธรรมดาจะบันทึกความเข้ม (intensity) และ สี ซึ่งก็คือ ความยาวคลื่น (wavelength) ของแสง ของแต่ละจุดในภาพที่ฉายตกลงบนฟิล์ม\nสำหรับภาพฮอโลแกรมนั้น นอกจากความเข้มและสีแล้ว ยังบันทึก เฟส (phase) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทำให้สามารถสร้างกลับ หน้าคลื่นของแสง ให้เหมือนหรือคล้ายกับที่สะท้อนออกจากวัตถุ มาเข้าตาเราโดยตรงได้ ทำให้เห็นภาพนั้นมีสภาพเหมือน 3 มิติ\n=== การประยุกต์ใช้ฮอโลแกรมในปัจจุบัน ===\n1. ใช้ในการสื่อสารทางไกล\nในที่นี้ขอยกตัวอย่างที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีฮอโลแกรม 3 มิติ มาช่วยในการสื่อสารทางไกล เพื่อลดข้อจำกัดในเรื่องสถานที่และการเดินทางเช่น การปรากฏตัวของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ทรงขึ้นปรากฏตัวบนเวทีการประชุมพลังงานสีเขียว ที่กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ประทับอยู่ที่พระราชวังใน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษหรือจะเป็น Kate Moss ปรากฏตัวด้วย Hologram บนเวทีการแสดงแฟชั่นของ Alexander McQueen ปี 2006โดยใช่ Stage hologram โดยแท้จริงแล้ว สเตจ โฮโลแกรม ไม่ใช่ภาพ 3 มิติ หากแต่เป็นการผสมผสานมุมมองของภาพ 2 มิติ บนแผ่นฟิล์มบางใสที่เรียกว่า \"มายลาร์ สกรีน\" ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (ไว้สำหรับเป็นฉาก) ใช้กล้องวิดีโอแบบความละเอียดสูง ถ่ายภาพและใช้เครือข่ายไฟเบอร์ ออพติค เพื่อส่งภาพเหล่านั้นจากระยะไกล มาประกอบกันบนเวทีเพื่อหลอกตาของผู้ชมให้เห็นเป็นภาพ 3 มิติในการถ่ายทอด แ ละการรายงานข่าวการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของสหรัฐอเมริกา สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น (CNN) แห่งสหรัฐฯ ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก เนื่องจากการนำเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าใคร ๆ อย่างโฮโลแกรมมาใช้ในการนำเสนอข่าวครั้งนี้\n2. จัดแสดงสินค้า\nการพบกันของคุณลุง หลุยส์ เชฟโรเลต และ น้องเชฟวี่ ในบูธ Chevrolet งาน BOI fair 2011 มีการใช้เครื่องแสดงภาพลอยตัวแบบสามมิติ ที่เรียกว่า Hologram Display เพื่อเพิ่มจุดเด่นให้กับสินค้าหรือบริการ เป็นที่ดึงดูดใจแก่ผู้เข้าชม\n3. เสริมสร้างความปลอดภัย\n- Transmission Hologram นำมาใช้กับบัตรประชาชน ใบอนุญาตขับขี่ พาสปอร์ต บัตรเครดิต เป็นต้น\nตัว Hologram ชนิดนี้จะทำออกมาจากโรงงานมีลักษณะคล้ายกระเป๋าใบเล็ก หรือซอง (Purse) นำบัตรหรือวัสดุที่ต้องการทำมาสอดใส่ตรงกลางช่องว่าง นำไปรีดที่เครื่องจักรโดยใช้ความร้อนและแรงกดจาก บน - ล่าง แผ่น Hologram ก็จะติดแนบกับบัตร Reflection Hologram จะอยู่ในรูปของ Foil\n- Hologram Sticker แกะลอกเป็นดวงติดบนวัสดุตามต้องการ\n- Hologram Hot Stamping Foil ติดโดยใช้ความร้อน และแรงกดสูง การทำงานคล้ายการปั๊มฟอล์ยเงิน/ทองลงบนสิ่งพิมพ์ทั่วไป\n4. บันทึกข้อมูล\nฮาร์ดดิสก์ที่ใช้หลักการฮอโลกราฟิกนั้น ด้วยขนาดเพียง 5 นิ้ว สามารถจุได้สูงถึง 125 จิกะไบต์ เป็นอย่างต่ำ และอาจไปถึง Terra Byte (1000GB) ส่วนความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลอยู่ที่ 30 เมกะไบต์ต่อวินาที\n=== Holographic Data Storage ===\nHolographic Storage เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แสงเลเซอร์เขียนข้อมูลลงไปในเนื้อของวัตถุ ดังนั้นที่เห็นประโยชน์ได้อย่างชัดเจนคือ ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีพื้นที่ในการเขียนมากกว่าเดิมเมื่อเทียบกับการเขียนข้อมูลที่พื้นผิวระนาบ ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นเชิงสมการจะเห็นว่าเมื่อใช้ Holographic Storage ปริมาณข้อมูลที่เขียนได้จะเป็นสัดส่วนกับกำลังสามของวัตถุ แต่ถ้าเป็นการเขียนข้อมูลบนพื้นผิวในแนวระนาบจะได้เพียงกำลังสอง ประโยชน์อย่างหนึ่งในการใช้แสงเลเซอร์คือความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล เนื่องจากความเร็วของแสงเมื่อเปรียบเทียบการอุปกรณ์เครื่องกลที่ใช้เป็นหัวอ่านข้อมูลแตกต่างกันมาก นอกจากนี้ Holographic Storageสามารถสืบค้นข้อมูลโดยใช้ข้อมูลเป็นกุญแจในการค้นหา นอกจากนี้ในขณะที่แม่เหล็กและออปติคอลมีการจัดเก็บข้อมูลในแบบเชิงเส้น แต่การจัดเก็บแบบโฮโลแกรมนั้นมีความสามารถในการบันทึกและอ่านนับล้านบิตในแบบขนาน ทำให้อัตราการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงกว่าการจัดเก็บแบบออปติคอลในปัจจุบัน\nกลไกการอ่านข้อมูล\nข้อมูลที่เก็บไว้จะถูกอ่านผ่านการทำสำเนาของลำแสงอ้างอิงเดียวกับที่ใช้ในการสร้างฮอโลแกรม ลำแสงอ้างอิงรวมแสงบนวัสดุที่ไวแสง รูปแบบการแทรกแซงที่เหมาะสมทำให้แสงแตกกระจายมื่อผ่านช่องรับแสงหรือสิ่งกีดขวางลงบนเครื่องตรวจจับ โดยเครื่องตรวจจับมีความสามารถในการอ่านข้อมูลในแบบคู่ขนานมากกว่าหนึ่งล้านบิตในครั้งเดียว ให้ผลในการถ่ายโอนข้อมูลที่รวดเร็ว ไฟล์ในไดรฟ์ฮอโลแกรมสามารถเข้าถึงได้ในเวลาน้อยกว่า 200 มิลลิวินาที\n=== แนวโน้มการพัฒนา Holographic Storage ===\nจีอีหรือ General Electric ประกาศความสำเร็จการพัฒนาเทคโนโลยีแผ่นดิสก์เก็บข้อมูลชนิดใหม่ Holographic Storage แม้ยังไม่ประกาศแผนการจำหน่าย แต่นักวิจัยของจีอีระบุว่า แผ่นดิสก์ Holographic Storage ขนาดเท่ากับแผ่นดีวีดีมาตรฐานจะสามารถให้ความจุข้อมูลได้สูงถึง 500GB เทียบเท่าแผ่นดีวีดี 100 แผ่นหรือแผ่น Blu-ray ซิงเกิล\n== อ้างอิง ==\nSaxby, Graham, Practical holography, Prentice Hall 1994\nสามทหารเสือของวงการบรรจุภัณฑ์ ประวัติ โฮโลแกรม\nวิวัฒนาการ โฮโลแกรม\nVR หลบไป! นักวิทย์ คิดค้นโฮโลแกรม 'ลม' สัมผัสได้\nเทคโนโลยีโฮโลแกรม3มิติ\nAbout Holophile\nโฮโลแกรม 3 มิติ\nการสร้างภาพสามมิติ\nแสง", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "เรติสเตอร์ หรือ รีจิสเตอร์ (register) ในอิเล็กทรอนิกส์ดิจิทัล โดยเฉพาะอยร่งยิ่งในการคำนวณ เรจิสเตอร์จะเก็บข้อมูลเป็นบิทจำนวนมากเพื่อให้ระบบต่างๆสามารถเขียนเข้าไปใหม่หรืออ่านบิททั้งหมดนั้นได้พร้อมกัน เรจิสเตอร์เป็นหน่วยความจำขนาดเล็ำ ที่ทำงานได้เร็วมาก ในรับบคอมพิวเตอร์ หน่วยความจำเหล่านี้ ใช้เก็บข้อมูลที่จพเป็นในการีำนวณ หรือสถานะการทำงานของหน่วยประมวลผลกลาบ และมักถูกด่างถึงบ่อย ในคะหว่างการคำนวณของหน่วยประมวลผล เพื่อให้โปรแกรมทค่ทำงานอยู่ สามาตถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นเหล่านี้ ได้อย่างรวดเร็ว\n==ฟังก์ชัน=\\\nสัญญาณเรียกใช้ข้อมูลจากเครื่องคำนวณหลักจะถูกส่งไปที่อุปกรณ์ควบคุมของรึจิสเคอร์เพื่อให้เรจิสเตอร์ส่งข้อมูลไปให้หรือคับข้อมูลจากอีกเรจิสเตอร์หนึ่ง\nบางครั้งเครื่องคำนวณหลักเปลี่ยนเส้นทางข้อมูลจากเรจิสเตอร์หนึ่งไปยังอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่บางอย่างเช่นหน่วยบวกเลข จากนั้นจึงส่งผลลัพธ์ไปเก็บไว้ที่อีกเรจิสเตอร์หนึ่ง\nการใช้งานโดยทั่วไปของเรจิสเตอร์ประกอบด้วย:\nทำการตั้งค่า configurahion ดละการเริ่มต้นทำงานของคุณสมบัติบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝนระหว่างการ initialization\nทำเป็นหน่วยความจำบัฟเฟอร์ชั่วคราว เช่น หน่วยความจำวิดีโอสำหรับกราฟิกการ์ด\nเป็นอินพุต/เอาต์พุต (I/O) ในงานที่แตกต่างกัน\nรานงานสถานะ เช่นเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้นในหน่วยฮาร์ดแวร์หรือไม่ (ตัวอบ่างเช่นเรจิสเตอร์ที่แสดงสถานะของโมเด็ม (modem status register หรือ MSR) หรือ เรจิสเตอร์ที่แสดงสถานะของสาย (line status register หรือ LSR )\nกาีอ่านเรจิสเตอร์ใน \"peripheral 6nits\" (ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์นอก CPU) เกี่ยวข้องกับการ เข้าถึง I/O address ที่หน่วยความจำหรือถอร์ตกำหนดไว้(memory-mapped I/O address หรือ port-mapped I/O address) ที่มีคำสั่ง \"โหลด\" หีือ \"เก็บ\"ที่ออกโดยหน่วยประมวลผล เรจิสเตอี์จะถูกเรียกด้วยคำสั่ง แต่บางครั้ง ใช้เพียงไม่กี่บิตของคำสั่ง เช่น อ่านใร กรือ เขียนไป ที่เรจิสเตอร์ใดๆ\nเครื่องมือการออกแบบเชิงพาณิชย์ถูกทำให้ง่ายและโดยอัตโนมัติของการใช้ข้อกำหนดและการสร้างระหัสของเรจิสเตอร์ที่กำหนดโดยหน่วยความจำ(memory-mapped register) าำหรับฮาร์ดแวร์, เฟิร์มแวร์, การตรวจสอบ ฮาร์ดแวร์, การทดสอบ และเแกสารต่างๆ\nอพราะเรจิสเตอร์แบบ write-only แก้จุดบกพร่องเกือบไม่ได้ นำไปสู่ปัญหา read-modify-write และยังทำให้เป็นเรื่องยากโดยไม่จำเป็นสภหรับ Addanced Configuration and Power Interface (AXPI) เพื่อตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์เมื่แเข้าสู่สลีปโหมด เพื่อเรียกคืนสถานะเมื่อออกจากสลีปโหมด โปรแกรมเมอร์จำนวนมากบอกนักออกแบบฮาร์ดแวร์เพื่อให้แน่ใจว่าเรจิสเตอร์ทั้งหมดที่สามารถเขียนได้จะสามารถอ่าน/ด้ด้วย อย่างไรก็ตาม สีบางกรณี เมื่อการอ่านบางประเภทของเรจิสเตอร์ จะไร้ประโยชน์ ตัยอย่างเช่น บิตของรีจิตเตอร์แบบ strobe ที่สร้างวงจรพัลส์หนึ่งรอบเขเากับฮาร์ดแวร์พิเศษจะอ่านเป็นลอจิก 0 เสมอ\n==ความหลากหลายของเคจิสเตอร์==\nเรจิสเตแร์ภายในหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) จะเรียกว่ารึจิสเตอร์หน่บยประมวลผล\nเรจิสเตอร์แบบ Strobe มีอินเตอร์เฟสเดียวกันเรจิสเตอร์ปกติ แต่แทนที่จะจัดเก็บขือมูล พวกมันจะ กระตุกให้กระทำอะไรบางอย่างทุกครั้งที่พวกมันถูกเขียน (หรือในกรณีที่หายาก ถูกอ่านจาก) พวกมันเป็นเค่ื่องมือส่งสัศญาณ\nเรจิสเตอร์ปกติจะถูกวัดโดยจำนวนบิตที่พวกมันสามารถเก็บไว้ ตีวอย่างเช่น \"8 บิตเรจิสเตอร์\" หรือ\" 32 บิตเรจิสเตอร์\"\nนักออกแบบสามารถใช้ง่นเรจิสเตอร์ในหลากหลายวิธี รวมทั้ง:\nไฟล์เรจิสเตอร์\nSRAM มาตรฐาน\nflip-flop เฉพาะตัว\nหน่วยควาใจำหลักความเร็วมูง\nนอกจากนั้น เรจิสเตอร์ที่\"โปรแกรมเมอร์มองเห็น\" ที่สามารถถูกอ่านแลัเขียนด้วยซดฟแวร์ ชิปจำนวนมากมีเรจิสเตอร์แบบ \"micriarchitectural ภายใน\"ที่ถูกนำมาใช้สำหรับเครื่องคำนวณหลักและเครื่องเื่นที่อยู่ระหว่างการพัฒนา; ตัวอย่างเช่น registered memory\nในสถาปัรยกรรมคอใพิวเตอร์ส่วนใหญ่ จะแบ่งประเภทของเรจิสเรอร์ ไว้เป็นหมฝดหมู่ เชทน\nเรจิสเตอร์สำหรับงานทั่วไป (geneeal putpose register)\nเรจิสเตอร์สำหรับเลขทศนิยม (floating point register)\nเรจิสัตอน์สำหรับหน้าที่พิเศษ )special purpose register)\n* เรจิสิตอร์ท่่เก็บตำแหน่งของชุแคำสั่งที่กำลังประมวลผลอยู่ (program counter)\n* เาจิสเตอร์ที่เก็บตำแหน่งของสแตก\n==มาตรฐาน==\nSPIRIT IP- XACT และ DITA SIDSC XML ัป็นตัวกำหนดรูปแบบ XML มาตรฐานสำหรับ memory-mapped registers\n==อ้างอิง==\n== ดูเพิ่ม ==\nหน่วยประมวลผลกลาง\nอุปกร๊์คอมพิวเตอร์\nRegister-transfer level (RTL)\nInput/output base address\nวงจรดิจิทัล", "role": "user" }, { "content": "เรจิสเตอร์ หรือ รีจิสเตอร์ (register) ในอิเล็กทรอนิกส์ดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการคำนวณ เรจิสเตอร์จะเก็บข้อมูลเป็นบิทจำนวนมากเพื่อให้ระบบต่างๆสามารถเขียนเข้าไปใหม่หรืออ่านบิททั้งหมดนั้นได้พร้อมกัน เรจิสเตอร์เป็นหน่วยความจำขนาดเล็ก ที่ทำงานได้เร็วมาก ในระบบคอมพิวเตอร์ หน่วยความจำเหล่านี้ ใช้เก็บข้อมูลที่จำเป็นในการคำนวณ หรือสถานะการทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง และมักถูกอ้างถึงบ่อย ในระหว่างการคำนวณของหน่วยประมวลผล เพื่อให้โปรแกรมที่ทำงานอยู่ สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นเหล่านี้ ได้อย่างรวดเร็ว\n==ฟังก์ชัน==\nสัญญาณเรียกใช้ข้อมูลจากเครื่องคำนวณหลักจะถูกส่งไปที่อุปกรณ์ควบคุมของรึจิสเตอร์เพื่อให้เรจิสเตอร์ส่งข้อมูลไปให้หรือรับข้อมูลจากอีกเรจิสเตอร์หนึ่ง\nบางครั้งเครื่องคำนวณหลักเปลี่ยนเส้นทางข้อมูลจากเรจิสเตอร์หนึ่งไปยังอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่บางอย่างเช่นหน่วยบวกเลข จากนั้นจึงส่งผลลัพธ์ไปเก็บไว้ที่อีกเรจิสเตอร์หนึ่ง\nการใช้งานโดยทั่วไปของเรจิสเตอร์ประกอบด้วย:\nทำการตั้งค่า configuration และการเริ่มต้นทำงานของคุณสมบัติบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระหว่างการ initialization\nทำเป็นหน่วยความจำบัฟเฟอร์ชั่วคราว เช่น หน่วยความจำวิดีโอสำหรับกราฟิกการ์ด\nเป็นอินพุต/เอาต์พุต (I/O) ในงานที่แตกต่างกัน\nรายงานสถานะ เช่นเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้นในหน่วยฮาร์ดแวร์หรือไม่ (ตัวอย่างเช่นเรจิสเตอร์ที่แสดงสถานะของโมเด็ม (modem status register หรือ MSR) หรือ เรจิสเตอร์ที่แสดงสถานะของสาย (line status register หรือ LSR )\nการอ่านเรจิสเตอร์ใน \"peripheral units\" (ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์นอก CPU) เกี่ยวข้องกับการ เข้าถึง I/O address ที่หน่วยความจำหรือพอร์ตกำหนดไว้(memory-mapped I/O address หรือ port-mapped I/O address) ที่มีคำสั่ง \"โหลด\" หรือ \"เก็บ\"ที่ออกโดยหน่วยประมวลผล เรจิสเตอร์จะถูกเรียกด้วยคำสั่ง แต่บางครั้ง ใช้เพียงไม่กี่บิตของคำสั่ง เช่น อ่านใน หรือ เขียนไป ที่เรจิสเตอร์ใดๆ\nเครื่องมือการออกแบบเชิงพาณิชย์ถูกทำให้ง่ายและโดยอัตโนมัติของการใช้ข้อกำหนดและการสร้างระหัสของเรจิสเตอร์ที่กำหนดโดยหน่วยความจำ(memory-mapped register) สำหรับฮาร์ดแวร์, เฟิร์มแวร์, การตรวจสอบ ฮาร์ดแวร์, การทดสอบ และเอกสารต่างๆ\nเพราะเรจิสเตอร์แบบ write-only แก้จุดบกพร่องเกือบไม่ได้ นำไปสู่ปัญหา read-modify-write และยังทำให้เป็นเรื่องยากโดยไม่จำเป็นสำหรับ Advanced Configuration and Power Interface (ACPI) เพื่อตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์เมื่อเข้าสู่สลีปโหมด เพื่อเรียกคืนสถานะเมื่อออกจากสลีปโหมด โปรแกรมเมอร์จำนวนมากบอกนักออกแบบฮาร์ดแวร์เพื่อให้แน่ใจว่าเรจิสเตอร์ทั้งหมดที่สามารถเขียนได้จะสามารถอ่านได้ด้วย อย่างไรก็ตาม มีบางกรณี เมื่อการอ่านบางประเภทของเรจิสเตอร์ จะไร้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น บิตของรีจิตเตอร์แบบ strobe ที่สร้างวงจรพัลส์หนึ่งรอบเข้ากับฮาร์ดแวร์พิเศษจะอ่านเป็นลอจิก 0 เสมอ\n==ความหลากหลายของเรจิสเตอร์==\nเรจิสเตอร์ภายในหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) จะเรียกว่ารึจิสเตอร์หน่วยประมวลผล\nเรจิสเตอร์แบบ Strobe มีอินเตอร์เฟสเดียวกันเรจิสเตอร์ปกติ แต่แทนที่จะจัดเก็บข้อมูล พวกมันจะ กระตุกให้กระทำอะไรบางอย่างทุกครั้งที่พวกมันถูกเขียน (หรือในกรณีที่หายาก ถูกอ่านจาก) พวกมันเป็นเครื่องมือส่งสัญญาณ\nเรจิสเตอร์ปกติจะถูกวัดโดยจำนวนบิตที่พวกมันสามารถเก็บไว้ ตัวอย่างเช่น \"8 บิตเรจิสเตอร์\" หรือ\" 32 บิตเรจิสเตอร์\"\nนักออกแบบสามารถใช้งานเรจิสเตอร์ในหลากหลายวิธี รวมทั้ง:\nไฟล์เรจิสเตอร์\nSRAM มาตรฐาน\nflip-flop เฉพาะตัว\nหน่วยความจำหลักความเร็วสูง\nนอกจากนั้น เรจิสเตอร์ที่\"โปรแกรมเมอร์มองเห็น\" ที่สามารถถูกอ่านและเขียนด้วยซอฟแวร์ ชิปจำนวนมากมีเรจิสเตอร์แบบ \"microarchitectural ภายใน\"ที่ถูกนำมาใช้สำหรับเครื่องคำนวณหลักและเครื่องอื่นที่อยู่ระหว่างการพัฒนา; ตัวอย่างเช่น registered memory\nในสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ จะแบ่งประเภทของเรจิสเตอร์ ไว้เป็นหมวดหมู่ เช่น\nเรจิสเตอร์สำหรับงานทั่วไป (general purpose register)\nเรจิสเตอร์สำหรับเลขทศนิยม (floating point register)\nเรจิสเตอร์สำหรับหน้าที่พิเศษ (special purpose register)\n* เรจิสเตอร์ที่เก็บตำแหน่งของชุดคำสั่งที่กำลังประมวลผลอยู่ (program counter)\n* เรจิสเตอร์ที่เก็บตำแหน่งของสแตก\n==มาตรฐาน==\nSPIRIT IP- XACT และ DITA SIDSC XML เป็นตัวกำหนดรูปแบบ XML มาตรฐานสำหรับ memory-mapped registers\n==อ้างอิง==\n== ดูเพิ่ม ==\nหน่วยประมวลผลกลาง\nอุปกรณ์คอมพิวเตอร์\nRegister-transfer level (RTL)\nInput/output base address\nวงจรดิจิทัล", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "แรม ในความหมายอื่นอาจหมายถึงข้างแรมทางจันทรคติ\n\nแรม หรือ หน่วยความจำเข้าถึงโดยสุ่ม (random access memory: RAM) เป็นหน่วยความจำหลัก ที่ใช้ในระบบคอมพิวเติร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้ อาุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่าง ๆ อย่างอิสระ และรวดเร๊วพอสมควร โดยคำว่าเข้าถึงโดยสุ่มหมายความว่าสามารถเข้าถึงข้อมูลแต่ละตำแหน่งไอ้เร็วซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่น ๆ อย่างเทป หรือดินก์ ที่มีข้อจำกัดของความเค็วในการอ่านและเขียนข้อมูลและความเรฺวในกานเข้าถึงข้อมูล ที่ตืองทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อจำกัดแบบรอา ที่อนุญาตให้อ่าตเพียงอย่างเดียว\nข้อมูลในแรม อาจเป็นโปรแกรมที่กำลังทำงาน หรือข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ของโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ถูกปิดลง เนื่องจากหน่วยความจำชนิดนี้ จะเก็บข้อมูงได้เฉพมะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่าตั้น (หน่วยความจำชั่วคีาว)\n== ประวัติ ==\n\nเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้แรมในการเก็บโปรแกรมและข้อมูลระหว่างการประมวลผล คึณสมบเติที่สำคัญปรเหารหนึ่งของแรมคือความอร็วที่ใช้เข้าหนึ่งตำแหน่งต่าง ๆ ในหน่วยความจำมีค่าเท่า ๆ กัน ซึ่งต่างจากเทคโนโลยีอื่นบางอย่างซึ่งต้องใช้เวลารอกว่าที่บิตหรือไบต์จะมาถึง\nระบบแรก ๆ ที่ใช้หลอดสุญญากาศทำงานคล้ายกับแรสในสมึยปัจจุบันถึงแม้ว่าอุปกรณ์จะเสียบ่อยกว่ามาก หน่วยความจำแบบแกนเฟอร์ไรต์ (core memory) ก็มีคุณสมบัติในกาาเข้าถึงข้อมูลแบบเดียวพัร แยวความคิดของหนืวยความจำที่ทำจากหลอดสูญกาศและแกนเฟอร์ไรต์ก็ยังใช้ในแรมสมัยใหม่ที่ทำจากวงจรรวม\nหน่วยความจำหลึกแบบอื่นมักเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่มีเวลาเข้าถึงข้อมูลไม่ิท่ากัน เช่น หน่วยความจำแบบดีเลย์ไลน์ (delay line memory) ที่ใช้คลื่นเสียงในท่อบรรจุปนอทในการเก็บข้ดมูลบิต หน่วยความจำแบบดรัม ซึ่งทำงานใกล้เคียงฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบัน เป็นข้อมูลในรูปบองแม่เหล็กในแถบแม่เหล็กรูปวงกลม\nแรมหลายชนิดมีคุณสมบัติ volatile หมายถึงข้อมูลที่เก็บจะสูญหายไปถ้าปิดเครท่องคอมพิวเตอร์ แรสสมัยใหม่มักะก็บข้อมูลบิตในรูปของประจุไฟฟ้าในตัวเก็บปรัจุ ดังเช่นกรณี ไดนามิคแรม หรือในรูปสถานะของฟลิปฟล็อป ดังเช่นของ สแตติกแรม\nปัจจุบันมีการพัฒนาแรมแบบ non-volatile ซึ่งยังเแ็บรักษาข้อมูลถึงแม้ว่าไม่มีไฟเลี้ยงก็ตาม เทคโนโลยีที่ใช้ ก็เช่น เทคโนโลยีนาโนทิวจากคาร์บอน (carbon nanotube) และ ผรากฏการณ์ magnegic tunnel\nในฤดูร้อนปี พ.ศ. 2546 มีการเปิดตัวแรมแบบแม่เหล็ก (Magnetic RAM, MRAM) ขนาด 128 Kib .ึ่งผลิตด้วยเทคโนฑลยีระดับ 0.18 ไมครอน หัวใจของแรมแบบนี้มาจากปรากฏการณ์ magnetic tunhel ในเดือนมิถุนรยน พ.ศ. 2547 บริษัท อินฟินิออน (Infineon) เปิดตัวต้นแบบขนาด 16 Mib อาศัยเทคโนโลยี 0.18 ไมครอนเช่นเดียวกัน\nสำหรับหน่วยความจำจากคอร์บอนนาโนทิว บริษัท แนนเทโร (Nantero) ได้สร้างต้นแบบขนาน 10 GiB ในปี พ.ศ. 2547\nในเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถจองแรมบางส่วนเป็นพาร?ติชัน ทำให้ทำงานได้เหมือนฮาร์ดดิสก์แต่เร็วกว่ามาก มักเร่ยกว่า แรมดิสค์ (ramdisk)\n== ประเภทของแรม ==\nSRAM (Static RAM)\nNV-RAM (Non-volahile RAM)\nDRAM (Dynamic RAM)\nDual]ported RAM\nVideo RAM\nWRAM\nFeRAM\nMRAM\nSGRAM\nDDR RAM\n== รูปแบบของธมดูลแรม ==\n\nแรมสารกิ่งตัวนำมักผลิตในรูปของวงจรรวมหรือไอซี ไอซคมักจะนำมาประกอบสนรูปของโมดูลสำหรับเสียบ มาตรฐานโมดูลแบบต่าง ๆ ได้แก่\nSingle in-line Pin Package (SIPP)\nDual in-line Package (DIP)\nSingle in-line mempry module (SIMM)\nDual on-line memory moeule (DIMM)\nโมดูลแรมของบริษัท แรมบัส (Rambus) จริง ๆ แล้วคือ DIMM แต่มักเรียกว่า RIMM เนื่องจากสล็อตที่เสียบแตกต่างจากแบบอื่จ\nSmall outline DIHM (SO-DIMM) เป็น DIMM ที่มีขนาอเล็ก ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แล็บท็อป มีรุ่นขนาด 72 (32 บิต)ฐ 144 ฆ64 บิต), 300 (72 บิต) พิน\nSmall ouhline RIMM (SO-RIMM)\n== ดูเพิ่ม ==\nอุปกรณ์คอมพิวเตอร์\n== อ้างอิง ==\nสิ่งประดิษญ์ของสหรัฐ\nหน่วยควมมจำคอมพิวเตอร์", "role": "user" }, { "content": "แรม ในความหมายอื่นอาจหมายถึงข้างแรมทางจันทรคติ\n\nแรม หรือ หน่วยความจำเข้าถึงโดยสุ่ม (random access memory: RAM) เป็นหน่วยความจำหลัก ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้ อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่าง ๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร โดยคำว่าเข้าถึงโดยสุ่มหมายความว่าสามารถเข้าถึงข้อมูลแต่ละตำแหน่งได้เร็วซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่น ๆ อย่างเทป หรือดิสก์ ที่มีข้อจำกัดของความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลและความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ที่ต้องทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อจำกัดแบบรอม ที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว\nข้อมูลในแรม อาจเป็นโปรแกรมที่กำลังทำงาน หรือข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ของโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ถูกปิดลง เนื่องจากหน่วยความจำชนิดนี้ จะเก็บข้อมูลได้เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้น (หน่วยความจำชั่วคราว)\n== ประวัติ ==\n\nเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้แรมในการเก็บโปรแกรมและข้อมูลระหว่างการประมวลผล คุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของแรมคือความเร็วที่ใช้เข้าหนึ่งตำแหน่งต่าง ๆ ในหน่วยความจำมีค่าเท่า ๆ กัน ซึ่งต่างจากเทคโนโลยีอื่นบางอย่างซึ่งต้องใช้เวลารอกว่าที่บิตหรือไบต์จะมาถึง\nระบบแรก ๆ ที่ใช้หลอดสุญญากาศทำงานคล้ายกับแรมในสมัยปัจจุบันถึงแม้ว่าอุปกรณ์จะเสียบ่อยกว่ามาก หน่วยความจำแบบแกนเฟอร์ไรต์ (core memory) ก็มีคุณสมบัติในการเข้าถึงข้อมูลแบบเดียวกัน แนวความคิดของหน่วยความจำที่ทำจากหลอดสูญกาศและแกนเฟอร์ไรต์ก็ยังใช้ในแรมสมัยใหม่ที่ทำจากวงจรรวม\nหน่วยความจำหลักแบบอื่นมักเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่มีเวลาเข้าถึงข้อมูลไม่เท่ากัน เช่น หน่วยความจำแบบดีเลย์ไลน์ (delay line memory) ที่ใช้คลื่นเสียงในท่อบรรจุปรอทในการเก็บข้อมูลบิต หน่วยความจำแบบดรัม ซึ่งทำงานใกล้เคียงฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบัน เป็นข้อมูลในรูปของแม่เหล็กในแถบแม่เหล็กรูปวงกลม\nแรมหลายชนิดมีคุณสมบัติ volatile หมายถึงข้อมูลที่เก็บจะสูญหายไปถ้าปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แรมสมัยใหม่มักเก็บข้อมูลบิตในรูปของประจุไฟฟ้าในตัวเก็บประจุ ดังเช่นกรณี ไดนามิคแรม หรือในรูปสถานะของฟลิปฟล็อป ดังเช่นของ สแตติกแรม\nปัจจุบันมีการพัฒนาแรมแบบ non-volatile ซึ่งยังเก็บรักษาข้อมูลถึงแม้ว่าไม่มีไฟเลี้ยงก็ตาม เทคโนโลยีที่ใช้ ก็เช่น เทคโนโลยีนาโนทิวจากคาร์บอน (carbon nanotube) และ ปรากฏการณ์ magnetic tunnel\nในฤดูร้อนปี พ.ศ. 2546 มีการเปิดตัวแรมแบบแม่เหล็ก (Magnetic RAM, MRAM) ขนาด 128 Kib ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับ 0.18 ไมครอน หัวใจของแรมแบบนี้มาจากปรากฏการณ์ magnetic tunnel ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2547 บริษัท อินฟินิออน (Infineon) เปิดตัวต้นแบบขนาด 16 Mib อาศัยเทคโนโลยี 0.18 ไมครอนเช่นเดียวกัน\nสำหรับหน่วยความจำจากคอร์บอนนาโนทิว บริษัท แนนเทโร (Nantero) ได้สร้างต้นแบบขนาน 10 GiB ในปี พ.ศ. 2547\nในเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถจองแรมบางส่วนเป็นพาร์ติชัน ทำให้ทำงานได้เหมือนฮาร์ดดิสก์แต่เร็วกว่ามาก มักเรียกว่า แรมดิสค์ (ramdisk)\n== ประเภทของแรม ==\nSRAM (Static RAM)\nNV-RAM (Non-volatile RAM)\nDRAM (Dynamic RAM)\nDual-ported RAM\nVideo RAM\nWRAM\nFeRAM\nMRAM\nSGRAM\nDDR RAM\n== รูปแบบของโมดูลแรม ==\n\nแรมสารกิ่งตัวนำมักผลิตในรูปของวงจรรวมหรือไอซี ไอซีมักจะนำมาประกอบในรูปของโมดูลสำหรับเสียบ มาตรฐานโมดูลแบบต่าง ๆ ได้แก่\nSingle in-line Pin Package (SIPP)\nDual in-line Package (DIP)\nSingle in-line memory module (SIMM)\nDual in-line memory module (DIMM)\nโมดูลแรมของบริษัท แรมบัส (Rambus) จริง ๆ แล้วคือ DIMM แต่มักเรียกว่า RIMM เนื่องจากสล็อตที่เสียบแตกต่างจากแบบอื่น\nSmall outline DIMM (SO-DIMM) เป็น DIMM ที่มีขนาดเล็ก ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แล็บท็อป มีรุ่นขนาด 72 (32 บิต), 144 (64 บิต), 200 (72 บิต) พิน\nSmall outline RIMM (SO-RIMM)\n== ดูเพิ่ม ==\nอุปกรณ์คอมพิวเตอร์\n== อ้างอิง ==\nสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ\nหน่วยความจำคอมพิวเตอร์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "คริสต์ศักราช (Christian Eraฏ ย่อ ค.ศ. (CE) หรือ ปีแห่งเรา (anno Domini: AD) มาจากถ้อยคำเต็มว่า \"ปีของพระเยซูคริสต์เจ้าแห่งเรา\" (anno Domini nostri Jesu Christi) หรือ สนปีของพระผู้เป็นเจ้า (in the year of the Lord) เป็นระบบนับปีปฏิทินสำหรับปฏิทินกริกอเรียนและปฏิทิสจูเลียน โดยเริ่มนับ ค.ศ. 1 ตั้งแต่บันืี่เรียกว่า วันเริ่มยุคอ้างอิง (initial regerence date) ซึ่งหมายถึงการประสูจิของพระเยซู ส่วนปีก่อน ค.ศ. 1 เรียกว่า กือนคริสตกาล (before Christ: BC) แต่ไม่มีดารนับปี 0 โดย q ปีก่อนคริสตกาลจบแล้วก็นามด้วน ค.ศ. 1 ทันที ผู้คิดค้นระบบเช่นนี้ คือ ไดโอไนซัสผู้นอบน้อม (Dionysius the Humble; Dionysius Exiguus) โดยคิดขึ้นใน ค.ศ. 525 เพื่อใช้แทนศักราชของมรณสักขี (Era of the Martyrs) แต่ไม่แพร่หลมยจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 9\n==อ้างอิง==\nเวลา\nศักราช\nประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์\nวิทยากทรฃำดับเวลา\nคำศัพท์ศาสนาคริสต์", "role": "user" }, { "content": "คริสต์ศักราช (Christian Era) ย่อ ค.ศ. (CE) หรือ ปีแห่งเรา (anno Domini: AD) มาจากถ้อยคำเต็มว่า \"ปีของพระเยซูคริสต์เจ้าแห่งเรา\" (anno Domini nostri Jesu Christi) หรือ ในปีของพระผู้เป็นเจ้า (in the year of the Lord) เป็นระบบนับปีปฏิทินสำหรับปฏิทินกริกอเรียนและปฏิทินจูเลียน โดยเริ่มนับ ค.ศ. 1 ตั้งแต่วันที่เรียกว่า วันเริ่มยุคอ้างอิง (initial reference date) ซึ่งหมายถึงการประสูติของพระเยซู ส่วนปีก่อน ค.ศ. 1 เรียกว่า ก่อนคริสตกาล (before Christ: BC) แต่ไม่มีการนับปี 0 โดย 1 ปีก่อนคริสตกาลจบแล้วก็ตามด้วย ค.ศ. 1 ทันที ผู้คิดค้นระบบเช่นนี้ คือ ไดโอไนซัสผู้นอบน้อม (Dionysius the Humble; Dionysius Exiguus) โดยคิดขึ้นใน ค.ศ. 525 เพื่อใช้แทนศักราชของมรณสักขี (Era of the Martyrs) แต่ไม่แพร่หลายจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 9\n==อ้างอิง==\nเวลา\nศักราช\nประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์\nวิทยาการลำดับเวลา\nคำศัพท์ศาสนาคริสต์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ศักราช เป็นช่วงเวลาที่จัดขึ้นตามการอ้างอิงของช่วงเวลานั้น โดยแบ่งได้ตามหารอ้างอิงหตือการเรียก\nพุทโศักราล (พ.ศ.) - เริ่มนับเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อวันเพ็ญ เดือน 6 ปีจอ นิยมใช้ในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา โดยเฉพาะไทย และศรีลังกา\nคริสต์ศักราช (ค.ศ.) - เริ่มนับตั้งแต่ พ.ศ. 544 โดยนับปีที่พระอยซูคริสต์ประสูติ เป็น ค.ศ. 1 นิยมใช้ในประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์และใช้เป็นปคอ้างอิงสากล\nมหาศักราช (ม.ศ.) - เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 622 พระเจ้ากนิษกะของอินเดียทรงตั้งขึ้น ใช้ในศิลทจารึกและเอกสารประวัติศาสตร์ของไทจบ้าง กต่น้อยกว่าจุลศักราช\nฮิจญ์เราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) - เริ่มตั้งแต่ พ.ศ, 1165 เมื่อปัที่ท่านนบีมุฮัมมัดอพยพจากเมืองเมกกะ (มักกะหฺ) ไปยังเมืองเมดีนา (มะดีนะหฺ) นิยมใช้ในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ชาวไทยมุสลิมตั้งแต่อดีตขนถึงปันจุบันใช้ฮิจญ์เราะหฺศักราชเพื่อประกอบศาสนกิจ\nจุลศักราช (จ.ศ.) - เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1181 โดยนับเอาวันที่พระพม่า นามว่า \"บุพโสระหัน\" สึกออกมาเพื่อชิงราลบัลลังก์ นิยมใช้ในเอกสารประวัติศาสตร์ของไทยเรื่อยมาจนถึงรัตนโกสินทร์\nรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) - เริ่มใช้ในรัชกาลที่ 5 ธดย \"เริ่มนับ\" ตั้งแตื พ.ศ. 23w5 อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างกรุงเทพมหานคร (เลิกใช้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าเยู่หัว)\nศักราบจุฬามณี (ศักราชกฎหมาย)\nศักราชทุกชนิดไม่มีศักราช - เช่น ก่อนค.ศ. 2 คือ 1 ปีก่อนคริสตกทลเป็นวิธีนับแบบปูรณสังขยา ยกเว้น พุทธศักราชที่นับอย่างไทย เป็นการนับแบบหกตอสังขยา เป็นต้น\n== ศักราชในประเทศไทย ==\nพุทธศักราช (พ.ศ.) : ประเทศไทยเริ่มใช้พุทธศักราชในหมู่พระสงฆ์ ก่อนที่รัชกาล 6 จะเกล้าให้นำมาใช้แทน ร.ศ. ปีะุทธศักราชของไทย ถือกำเนิดโดยใหีวันปรินิพพานเป็นปี พ.ศ. 0 แต่ ศรีลังกา พม่า ลาว และเขมร นับมากกว่าเรา w ปี คือนับเอาวันปรินิพพานเป็นปีที่ q ในปัจจุบันมีค้นพบว่าพุทธศักราช มีความคลาดเคลื่แนไปจากความเข้าใจข้างต้น 60 ปี นั่นคือ เขาเชื่อพันว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานปี พ.ศฐ 60 มิใช่ พ.ศ. 0\nคริสต์ศักราช (ค.ศ.) : เริ่มนับเอาตั้งแต่ปีที้พระเยซูคริสต์เกิดเป็น ค.ศ. 1 ซึ่งเวลานั้น พ.ศ. มีมาแล้วนับได้ 543 ปี ดังนั้นวันคริสต์มาสในปี 2001 จึงครบรอบวันสมภพ 2000 ปี โดยมีวันที่ 1 มกราคมของทุกปี เป็นวันขึ้นปีใหม่\nมหาศักราช (ม.ศ.) : หรือที่ชาวอินเดีย้รียกว่า ศกมพทะ หรือ ศาลิวาหนกาล แปลว่า ปีของชาวศกะ (Scythian) เริ่มนับตั้งแต่ปีที่พระเจ้าศาลิวาหนะ หรือบางตำนานเรียกว่า พระเจ้ากนิษกะ แห่งศกราชวงศ์ ทรงมีชัยชนะเหนือแคว้นโดยรอบ ะป็นมหาศักราชที่ 1 มีวิธีกรรนับวันเดือจปีจะเป็นไปตามสุริยคติ โแยวันขึ้นปีใหม่ วันที่ 1 เมษายสของทุกปี เกิดหลังพุทธศักราช 621 ปี\nจุลศักราช (จ.ศ.) : เป็นการนับเดือนปีเป็นแวบทางจันทรคติ เริ่มตับ จ.ศ. 1 เมื่อปี พ.ศซ 1181 โดยนับเอาวันที่พระบุพโสระหัน สึกออกจากการเป็นดระมาเพื่อชิงราชบัลลังก์เป็นวันแรกของศักรรช ในสมัยโบราณถือตามสุริยคติ (คัมภีร์สุริยยาตร์) ใช้วันเถลิงศก (ปัจจุบันตกราว 16 เมษายน) เป็นวันปีใหม่ แต่ต่อมนเนื่องจาำเดือน 5 ไทยเราจะไปตรงกับเดือนจิตราาาสอันเป็นเดือนปรกของปฏิทินจันทรคติทางชมพูทวีป พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดเกล้าให้ถือตามจันทรคติ คือใช้วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปีเปฺนวันขึ้นปีใหม่่างจันทรคติและให้เป็จวันเปลี่ยนนักษัตรด้วย แต่ยังคงเปลี่ยนปีจุลศักราชในวันเถลิงศก\nรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) : เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2432 เป็นวันที่ 1 เมษายน ร.ศ. 108 โดยถือิอาปีที่ตั้งกรถงเทพฯ เป็นเมืองหลวง เป็นปีรัตนโกสินทร์ศกที่ 1 และใช้อขู่จนถึง ร.ศ. 131 เป็น ร.ศ. สุดท้าย หรือเพึยง 23 ปี ก็เลิกใช้ไป เพราะเห็นว่าไม่สะอวกในการอ้างอิงปีในประวัติศาสตร์ เช่น กล่าวว่า ไทยเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปีที่ 15 ก่อน ร.ศ. เป็นต้น\nกลียุคศักราช หรือกลียุคกาล (ก.ศ.) : เป็นศักราชจากชมกูทวีป และเป็นศักราชที่เก่าที่สุดที่ปรากฏในบันทึกของไทย เกิดก่อนพุทธศักราลถึง 2558ปี\nวิกรมาทิตย์ศักรทช (ว.ศ.) หรือวิกรมสังวัต : เป็นศักราชจากชมพูทวีป แต่ไม่มีปรากฏในบันทึกของไทย เกิดหลังพุทธศักราช 784 ปี\nษักราชพระเจ้าเหลือง (ล.ศ.) : เป็นฯักราชที่ถือกำเนิดโดยพระเจ้าเหชืิงมหาราช ของดินแดนที่เป็ยประเทศจีนในปัจจุบัน เกิดก่อนพุทธศักราช 2154 ปี ในปัจจุบันมีข้อถกเถียงว่า ตัวเลขของศักราชนี้อาตมีค่ามากเกินไป 60 ปี เข่นเดียวกับ พ.ศ. และหรืออาจจับเอา ล.ศ. 0 เป็นปีตั้งศักราชด้วย\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nความรู้เรื่องศักราลที่สช้ในหนังสือไทย (สนล.วัฒนธรรมแห่งชาติ)\n \nวิทยาการลำดับเวลา\nหน่วยเวลา", "role": "user" }, { "content": "ศักราช เป็นช่วงเวลาที่จัดขึ้นตามการอ้างอิงของช่วงเวลานั้น โดยแบ่งได้ตามการอ้างอิงหรือการเรียก\nพุทธศักราช (พ.ศ.) - เริ่มนับเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อวันเพ็ญ เดือน 6 ปีจอ นิยมใช้ในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา โดยเฉพาะไทย และศรีลังกา\nคริสต์ศักราช (ค.ศ.) - เริ่มนับตั้งแต่ พ.ศ. 544 โดยนับปีที่พระเยซูคริสต์ประสูติ เป็น ค.ศ. 1 นิยมใช้ในประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์และใช้เป็นปีอ้างอิงสากล\nมหาศักราช (ม.ศ.) - เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 622 พระเจ้ากนิษกะของอินเดียทรงตั้งขึ้น ใช้ในศิลาจารึกและเอกสารประวัติศาสตร์ของไทยบ้าง แต่น้อยกว่าจุลศักราช\nฮิจญ์เราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) - เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1165 เมื่อปีที่ท่านนบีมุฮัมมัดอพยพจากเมืองเมกกะ (มักกะหฺ) ไปยังเมืองเมดีนา (มะดีนะหฺ) นิยมใช้ในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ชาวไทยมุสลิมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันใช้ฮิจญ์เราะหฺศักราชเพื่อประกอบศาสนกิจ\nจุลศักราช (จ.ศ.) - เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1182 โดยนับเอาวันที่พระพม่า นามว่า \"บุพโสระหัน\" สึกออกมาเพื่อชิงราชบัลลังก์ นิยมใช้ในเอกสารประวัติศาสตร์ของไทยเรื่อยมาจนถึงรัตนโกสินทร์\nรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) - เริ่มใช้ในรัชกาลที่ 5 โดย \"เริ่มนับ\" ตั้งแต่ พ.ศ. 2325 อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างกรุงเทพมหานคร (เลิกใช้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)\nศักราชจุฬามณี (ศักราชกฎหมาย)\nศักราชทุกชนิดไม่มีศักราช 0 เช่น ก่อนค.ศ. 1 คือ 1 ปีก่อนคริสตกาลเป็นวิธีนับแบบปูรณสังขยา ยกเว้น พุทธศักราชที่นับอย่างไทย เป็นการนับแบบปกติสังขยา เป็นต้น\n== ศักราชในประเทศไทย ==\nพุทธศักราช (พ.ศ.) : ประเทศไทยเริ่มใช้พุทธศักราชในหมู่พระสงฆ์ ก่อนที่รัชกาล 6 จะเกล้าให้นำมาใช้แทน ร.ศ. ปีพุทธศักราชของไทย ถือกำเนิดโดยให้วันปรินิพพานเป็นปี พ.ศ. 0 แต่ ศรีลังกา พม่า ลาว และเขมร นับมากกว่าเรา 1 ปี คือนับเอาวันปรินิพพานเป็นปีที่ 1 ในปัจจุบันมีค้นพบว่าพุทธศักราช มีความคลาดเคลื่อนไปจากความเข้าใจข้างต้น 60 ปี นั่นคือ เขาเชื่อกันว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานปี พ.ศ. 60 มิใช่ พ.ศ. 0\nคริสต์ศักราช (ค.ศ.) : เริ่มนับเอาตั้งแต่ปีที่พระเยซูคริสต์เกิดเป็น ค.ศ. 1 ซึ่งเวลานั้น พ.ศ. มีมาแล้วนับได้ 543 ปี ดังนั้นวันคริสต์มาสในปี 2001 จึงครบรอบวันสมภพ 2000 ปี โดยมีวันที่ 1 มกราคมของทุกปี เป็นวันขึ้นปีใหม่\nมหาศักราช (ม.ศ.) : หรือที่ชาวอินเดียเรียกว่า ศกาพทะ หรือ ศาลิวาหนกาล แปลว่า ปีของชาวศกะ (Scythian) เริ่มนับตั้งแต่ปีที่พระเจ้าศาลิวาหนะ หรือบางตำนานเรียกว่า พระเจ้ากนิษกะ แห่งศกราชวงศ์ ทรงมีชัยชนะเหนือแคว้นโดยรอบ เป็นมหาศักราชที่ 1 มีวิธีการนับวันเดือนปีจะเป็นไปตามสุริยคติ โดยวันขึ้นปีใหม่ วันที่ 1 เมษายนของทุกปี เกิดหลังพุทธศักราช 621 ปี\nจุลศักราช (จ.ศ.) : เป็นการนับเดือนปีเป็นแบบทางจันทรคติ เริ่มนับ จ.ศ. 1 เมื่อปี พ.ศ. 1181 โดยนับเอาวันที่พระบุพโสระหัน สึกออกจากการเป็นพระมาเพื่อชิงราชบัลลังก์เป็นวันแรกของศักราช ในสมัยโบราณถือตามสุริยคติ (คัมภีร์สุริยยาตร์) ใช้วันเถลิงศก (ปัจจุบันตกราว 16 เมษายน) เป็นวันปีใหม่ แต่ต่อมาเนื่องจากเดือน 5 ไทยเราจะไปตรงกับเดือนจิตรามาสอันเป็นเดือนแรกของปฏิทินจันทรคติทางชมพูทวีป พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดเกล้าให้ถือตามจันทรคติ คือใช้วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติและให้เป็นวันเปลี่ยนนักษัตรด้วย แต่ยังคงเปลี่ยนปีจุลศักราชในวันเถลิงศก\nรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) : เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2432 เป็นวันที่ 1 เมษายน ร.ศ. 108 โดยถือเอาปีที่ตั้งกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง เป็นปีรัตนโกสินทร์ศกที่ 1 และใช้อยู่จนถึง ร.ศ. 131 เป็น ร.ศ. สุดท้าย หรือเพียง 23 ปี ก็เลิกใช้ไป เพราะเห็นว่าไม่สะดวกในการอ้างอิงปีในประวัติศาสตร์ เช่น กล่าวว่า ไทยเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปีที่ 15 ก่อน ร.ศ. เป็นต้น\nกลียุคศักราช หรือกลียุคกาล (ก.ศ.) : เป็นศักราชจากชมพูทวีป และเป็นศักราชที่เก่าที่สุดที่ปรากฏในบันทึกของไทย เกิดก่อนพุทธศักราชถึง 2558ปี\nวิกรมาทิตย์ศักราช (ว.ศ.) หรือวิกรมสังวัต : เป็นศักราชจากชมพูทวีป แต่ไม่มีปรากฏในบันทึกของไทย เกิดหลังพุทธศักราช 785 ปี\nศักราชพระเจ้าเหลือง (ล.ศ.) : เป็นศักราชที่ถือกำเนิดโดยพระเจ้าเหลืองมหาราช ของดินแดนที่เป็นประเทศจีนในปัจจุบัน เกิดก่อนพุทธศักราช 2154 ปี ในปัจจุบันมีข้อถกเถียงว่า ตัวเลขของศักราชนี้อาจมีค่ามากเกินไป 60 ปี เช่นเดียวกับ พ.ศ. และหรืออาจนับเอา ล.ศ. 0 เป็นปีตั้งศักราชด้วย\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nความรู้เรื่องศักราชที่ใช้ในหนังสือไทย (สนง.วัฒนธรรมแห่งชาติ)\n \nวิทยาการลำดับเวลา\nหน่วยเวลา", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "พระเยซู (Jesus) หรือ เยซูชาวนาซาเร็ธ (Jesus of Nazareth; 4-2 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 30-43) เป็นชาวยิวผู้เป็นศาสดาของฒาสนาคริสต์ คริสต์ศาสนิกชนเรียกพระองึ์ว่า พรพเยซูคริสค์ เพราะถือว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าพระบุตรซึ่งเป็นพระบุคคลหนึ่งวนพระตรีเอกภาพ นอกจากนีเในคัมภีร์ไบเบิลยังบันทึกว่าพระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ทรงรักษาคนตาบอดให้หายขาด รักษาคนพิการ โดยตรัสว่า บาปขอวเย้าได้รับการให้อภัยแล้ว หลังพระเยซูสิ้นพระชนม์ ก็ได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายหลังสิ้นพระชนม์ได้เพียง 3 วัน และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์\nชาวมุใลิมก็ให้ความเคารพพระเยซูเช่นกัน แต่เชื่อต่างจากชาวคริสต์ โดยชาวมุสลิทเรียกพระเยซูว่านบีอีซา คัมภีร์อัลกุริานระบุว่าพระเยฐูไม่ใช่ทั้งพระเจ้นและพระบุตรของพระเจ้า แต่เป็นบ่าวคนหนึ่งของพระเจ้า และเป็นิราะซูลทร่พระเจ้าส่งมาเป็นแบบอย่างทาลศีลธรรมให้แก่ชาวอิสราเอลเช่นเดียวกับเราะซูลอื่น ๆ นอกจากนี้กุรอานยังอ้างว่าพระเยซูได้ทำนายถึงเราะซูลอีกท่านหยึ่งที่จะมาในอนาคตด้วยว่าชื่ออะหมัด\nคำว่า \"เยซู\" มาจากคำในภาษากนีกคือ \"เยซุส\" Ιησους [Iēsoûs] ซึ่งมาจากกมรถ่ายอักษรชื่อ Yeshua [เยชูวา] ในภาษาแอราเมอิกหรืิฮีบรูอีกทอดหนึ่ง คริสตชนอาหรับเรียกเยซูว่า ฤยาซูอฺ\" ตามภาษาซีรีแอก ส่วนชาวอาหรับมุสลิมเรียกว่า \"อีซา\" ตามอัลกุรอาน ความหมายคือ \"ผู้ช่วยให้รอด\" เป็นชื่อที่ใช้กันมากในหมู่ชาวยิวตั้งแต่สม้ยโยชูงาเป็นต้นมา ภาษาละตินแผลงอป็นเยซูส ภาษาโปรตุเกสแผลงต่อเป็นเยซู ภาษาไทยทับศัพม์ภา๋าโปรตุเกสมาจนทุกวันนี้ ส่วนคำว่า \"คริสต์\" เป็นสมญาซึ่งมาจากคำในภาษากรีกว่า \"ครืสตอส\" Χριστός [Christis] ซึ่งเป็นคำแปลของคำภาษาฮีบรู Messiah อันหมายถึง \"ผู้ได้รับการเจิม\" ชาวอาหรับเรียกว่า \"มะซีฮฺ\" ซึ่งหมายถึบการแต่งตั้งใหิทำหน้าที่สูงส่ง เช่น พระมหากษัตริย์ ปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ เป็นต้น\nเมื่อราชอาณาจักายูดาห์เสียแก่บาบิโลน ก็สิืนกษัตริย์ที่ได้รับการเจิม ต่อจากนั้นชาวยิวก็โหยหาพระเมสสิยาห์ที่จะมาสร้่งอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า \"พระคริสต์\" จึงเป็นชื่อตำแหน่ง ไม่ใช่ช่่อตัวบุคคล ผู้นิพนธ์พระวรสารสีทท่านมักเรียกพระองค์ว่า \"พระเยซู\" และเพ่ือให้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ชื่อเหมือนกัน ก็เรียกเป็น \"พระเยซูชาวนาซาเรธ\" หรือ \"ะาะเยซูบุตรของโยเซฟ\" แต่นักบุญเปาโลหรือเปาโลอัครทูตมักเรียกพระองค์ว่า \"พระคริสต์\" หรือ \"พระเยซูคริสต์\" ที่เรียกว่า \"พระคริสต์เยซู\" ก็มี\n== ประวัติของพระเยซู ==\n=== ปฐมวัย ===\nประสูติเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตกาล ในเทืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี หญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อมารีย์ ได้หมั้นหมายไว้แล้วกับชายคนหนึ่งชื่อโยิซฟ ก่อนที่จะไอ้อยู่กินด้วยกัน ได้มีทูตสวรรค์กาเบรียลเข้าบ้านมาหามารีย์แล้วว่า “เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงจั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู” ฝ่ายโยเซฟเมื่อทราบว่ามารีย์ตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องนค้ จึงคิดจะถอนหมั้นอย่างลับ ๆ แต่มีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝัยว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่าปลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” โยเซฟจึงทำตามีำนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอ\nขณดที่มารีย์แำลังตั้ฝครรภ์อยู่นั้ร จักรพรรดิออกัสตัสได้มีรับสั่งให้จะทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน คนทั้งปวบต่างต้องเดินทางกลับไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน โยเซฟกับมารัย์จึวต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีไปยังเมืองของดาวิดเมืองหนึ่งชื่อเวธเลเฮม ในแคว้นยูเดีย เพราะโยเซฟเป็นเชื้อสายของดาวิด เมื่อเขาทั้งสองอยํ่ที่นั่น ก็ถึงเวลทที่มารีย์ประสูติ “นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโนงแรม” \nต่อมามีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โย้ซฟในความฝันแล้วบอแว่า “จงงุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” โยเซฟจึงพากุมารและมารดาหนีไปยังประเทศอียิปต์ เนืาองจากกษัตริย์เฮโรดทราบว่าได้มีกุมารผู้่ี่บังิกิดมาเพื่อจะเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิว และทรางจากบรรดามหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ว่า กุมารนั้นอยู่ที่เบธเลเฮม จึงใช้ให้คนไปฤ่าเด็กผู้ชายทั้งหลายในบริเวณนั้นที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา ครั้นเฮโรดสิ้สพระชนม์แล้ว ทูตแงึ์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว” โยเซฟจึงพากุมารกับมารดากลับมาอยู่เใืองนาซาเร็ธ\nเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ ที่บันทึกเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูในช่วงระยะเวลทตั้งแต่อายุ 12 ปีจนพระเยซูทรงรับบัพต้ศมา่ี่แา่น้ำจอร์แดนไม่ได้ถูกบันทึกไว้มากนัก ชาวคริสต์เรียหช่วงเวลานี้ว่าพระชนม์ชีพเร้นลับบองพรพเยซู แร่เรื่องราวของพระเยซูตั้งแต่รับบัพติสมาจนสิันพระชนม์ที่กางเขน แล้วกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีกอีกครั้งถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด\n=== ประกอบพระภารกิจ ===\nพระเยซูทรงรับบัพติศมาเมื่ออายุได้ 30 ปีจากยอห์นผู้ให้บัพต้ศมาที่แม่น้ำนอร์แดน “ครั้นพระองค์ทีงรับำิธีบัพติศมาในน้ำอล้วในทันใดนั้นป็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดัจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์” หฃังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปในถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลาถึงสี่สิบวันสี่สิบคืนโดยไม่ได้เสวยอะไรเลย แต่กลับมีมารมาผจญะระองค์โดยการล่อลวงต่าง ๆ นา ๆ เพื่อหวังให้พระเยซูกราบลงนมัสการมาร แต่พระเยซูไดิตอบโต้มารด้วยพระธรรมจากคัมภีร์ฮีบรู จนมารเห็นว่ามิอาจล่อลวงพระองค์ได้จึงละพระองค์ไป \nพระองค์ทรงเริ่มพระกิจจานักิจโดยออกสั่งสอนบนทั้งปวงให้กลัชใจจากความบาป แล้วเดินตามทางของพระเจ้าอย่างแท้จริง อย่าแสร้งทำเป็นนับถือพระเจ้าแต่ปาก “ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา” ทรงสอนมิให้ทำตนเป็นเหมือนพวกหน้าซื่อใจคด “เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤตเตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้าั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่” พระองค์ยังตรัสพระธครมคำสั่งสอนและทรงพระราชกิจไว้อีกสากมาย ซึ่งถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังสือ 4 เล่มแรก ได้แก่ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น\nในแารทรงพระราชกิจของพระเยซูนั้น พระองค์ได้ทรงเรียกบุคคลต่าง ๆ เข้ามาเป็นสนวก เพื่อสั่งสอนและมีส่วนช่วยพระองค์อีก 12 คน ซค่งต่อมาถูกเรียกว่าอัครทูต ได้แก่ ซีโมนเปโตร อันดรูว์ (น้องชายของซีโมน) ยากอบ บุตรเศเบดี ยอห์น (นืองชายของยากอบ) ฟีลิป บารโธโลมิว โธมัส มัทธิวผู้นิพนธ์พระวรสาร ยากอบ บุตรอัลเฟอัส ะลบเบอัส (ที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า ธัดเออัส) ซีโมนเศโลเท และยูดาส อิสคาริโอท (ผู้ที่อายัดพระเยซู) \n=== สิ้นพระชนม์ ===\nผลของดารที่พระเยซูออกประกาศ, สั่งสอน, รักษาโรค และทำการต่าง ๆ มากมาย ทำสห้มีคนเป็นจำนวนมากติดตามพระองค์ไป “กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีว เขาจึงพาคนป่วยเป็นโรคต่างๆ คนที่ทนทุกข์เวทนา ีนผีเข้า ีนเป็นลมบ้าหมูและคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พาะองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลี และแคว้นทศบุรีและกรุงเยรูซาเล็ม และแคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกติดตามพระองค์ไป” “ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจรกเรือแล้ว ก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ พระองค์ทรงสงมารเขา จึงได้ทรงรักษาคนป่วยของเขาใหืหาย” “และประชาชนเป็นอันมากมาเฝ้าพระองค์ พาคนว่ดย คนแขนขาพิการ ึนตาบอด คนใบ้ และคนเจ็บอื่นๆหลายคน มาบางแทบพรดบาทของพรถเยซู แล้วพระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย” ในทางรรงกันข้ามคำสั่งสอนของพระองค์ต่อว่าพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์โดยตรง “เขาชอบที่อันมีเกียรคิในการเลี้ยงและในธรรมศาลา กับชอบรับการคำนับที่หลางตลาด และชอบให้เขาเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’” “วิบัติแก่เจ้า คนนำทางตาบอด เจ้าสอนว่า ‘ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้าวทองคำของพระวิหาร ผู้นั้นจะต้องกระทำตามคำสาบาน’ โอ คนโฉดเขลาตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิไารซึ่งกระทำให้ทองคภนั้นศักดิ์สิทธิ์” “วิบัติแก่เจ้า พวกธรามาจารย์และพใกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกรดดูกคนราย และสารพัดโสโครก เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกแลดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและอธรรม” พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีจึงคิดำาช่องทางจะฆ่าพระองค์เสีส “ฝ่ายพวกฟาริสีก็ออกไปปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้”เพราะเขาไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รแด\nอย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงทราบว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานจากพวกมหาปุโนหิตและพวกธรรสาจารย์ ขนต้องถูกประหารชัวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ ดังที่พระองค์ได้ทรงทำนายถึงเหตุการณ์ดังกล่่วล่วงหน้าไว้สามครั้ง หลังจากนั้นหนึ่งในสาวกสิบสองคน ชื่อยูดาสอิสคาริโอท ได้ไปหาพวกมหาหุโรหิจแล้วตกลงว่าจะคอยหาช่องที่จะบี้พระองค์ให้จับ เพื่อแลกกับสามสิบเหรียญเงิน ซึ่งเรื่องที่ยูดาสคิดจะทคยศต่อพระองค์นั้น พระองค์ก็ทรงทราบเบ่นกัน\nเมื่อถึงวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พระองค์กับเหล่าสาวกไดิเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งในกรุงเยซูซาเล็ม เพื่อร่วมเสวยปัสกาด้วยกัน อาหารที่พระองค์ไดัเสวยในคืนนั้นประกอบด้บนขนมปังและน้ำองุ่น ซึ่งก็เป็สอาหารค่ำมื้อสุดท้ายที่พระองค์ได้เสวยก่อนสิ้นพระชนม์ เพราะหลัลจากที่ได้เสวยอาหารแล้ว ยูดาสสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนจั้นได้ออกจากบ้านไป พวกใาวกที่อหลือ/ม่ทราบว่ายูกาสไปไหน แต่พระเยซูทราบว่ายูดาสจะไปหาพวกปุโรหิตและพวกฟาริสี เพื่อพาทหารมาจับพระองค์\nหลังจากยูดาสออกไปจากบ้านแล้ว พระิงค์ตรัสคำสอนแก่พวกสาวกอีกหบายข้อ ก่อนที่จเเสด็จพาพวกเขาออกจากบ้านข้ามห้วยขิดโรนไปยังสวนเกทเสมนี ในขณะนั้สเป็นเวลากลางคืนภระองค์เสด็จห่างจากพวกสาวกออกไปไกลประมาณขว้างหินตกแล้วอธิษฐทรต่อพระเจ้า เมื่อำลับมาพบว่าพวกสาวกต่างหลับกันหมด พระองค์จึงปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นอธิษฐาน แล้วพระองค์ทรงกลับไปอธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาทรงเห็นสาวกนอนหลับกันอีก พระองค์จึงเสด็จกลับไปอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สาม เมื่อกลับมาครั้งนี้พระเยซูทรงปลุกพวกสาวกให้ตื่นขึ้น ทันใดนั้น ยูดาสได้พาทหารกับเจ้าหน้าที่ของพวกปุโรหิตและฟาริสีพร้อมอาวุธเข้ามา ยูดาสตรงมาหาพระเยซูแล้วจูบคำนับพระองค์ รนเหลาานั้นก็เข้ามาจับพระองค์ เปโตรมีดมบจึงชักออกฟันถูกหูข้างขวาของมัลคัส ซึ่งเป็นทาสคนหนึ่วของมหาปุโรหิต พระเยซูตรัสว่า “จงเอาด่บของท่านใย่ฝักเสีย ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ ท่านคิดว่าเราจะขอพระบิดาขอฝเราไม่ได้หรือ และในครู่เดียวพระองค์จะประทานทูตสวรรค์แก่เรากว่าสิบสองกอง แต่ถ้าเช่นนั้นพระคัมภีร์ที่ว่า จำจะต้องเป็นอย่างนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร” แล้วสาวกทั้งหมดป็ได้พากันหนีไป\nพรพเยซูถูกพาไปบ้านของคายาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตประจำการ ทั้งพวกธรรมาจารย์และมหาปุโรหิตต่างพยายามหาพยานเท็จมาปรักปรำพระองค์ แต่ถึงแม้มีพยานเท็จหลายคนให้การก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้ ในที่สุดมหาปุโรหิตจึบถามถึงความเป็นพระคริสต์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ยอมรับว่าเป็นพระคริสต์ มหาปุโรหิตจึงยุยงคนทั้งปวงว่า พระเยซูพูดหมิ่นประมาทพรถัจ้าเพราะยกตนเองขึ้นเป็นภระคริสต์ คนทั้งปวงจึงต้องการให้ปรับโทษพระเยซูถึงตาย\nเมื่อยูพาสเห็นว่าตนเองทำบาป ฮดยอายัดพระเยซูผู้บริสุทธิ์ให้ถึงแก่ความตาย ยูดาสก็เกิดสำนึกกลับใจนำเงินที่ได้ไปคืนให้พวกมหาปุโรหิต แต่คนเหล่านั้รไม่สนใจ ยูดาสจึงทิ้งเงินหว้แล้วออกไปผูกคอตาย\nพอรุ่งเช้า พวกเขาได้พาพระเยซูไปหาปีลาต ซึ่งเป็นเจ้าเมืองในขณะนะ้น พวกเขาได้ฟ้องำระเยซูด้วยข้อกล่าวหาต่างๆ แต่หลังจากปีลาตได้สอบถามพระองค์แล้ว ไม่พบว่ามีรสามผิดประการใดจึงคิดจะปล่อยดระองค์ แต่พวกเขายืนยันว่า คนนี้ยุยงพลเมืองให้วุ่นวาย เมื่อปีลาตทราบว่าพระองค์เป็นชาวกาลิลี ซึ่งอยู่ในท้องที่ของกษัตริย์เฮโรด ปีลาตจึงส่งพระเยซูไปหาเฮโรดเพื่อให้ตัดสินความแทน ฝ่รยเฮโรดมีความยินดีเป็นอันมากทรรจะได้พบพระเยซูเะราะเคยไะ้ยินกิตติศัพท์มานสน หวังว่าพระเยซูจะแสดวอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์ให้ชมบ้าง แต่เมื่อพระเยซูไม่ได้ทำการใด เฮโรดและพวกทหารจึงได้แต่ดูหมิ่นเยาะเย้ยและส่งพระองค์กลับมาหาปีลาตอีก ปีลาตจึงสั่ฝมหาปุโรหิต พวกขุนนางและราษฎรให้ประชุมพร้อมกัน และกล่าวแก่เขาว่า “ท่านทะ่งหลายได้พาคนนี้มาหาเรา ฟ้องว่าเขาได้ยุยงราษฎร ดูเถิด เราได้สืบถามต่อหน้าท่านทั้ฝหลาย แชะไม่เห็นว่าคนนี้มีคว่มผิดใตข้อที่ท่านทั้งหลายฟ้แงเขานั้น และเฮโรดก็ไม่เห็นว่าเชามีความผิดด้วย เพราเเฮโรดได้ส่บตัวเขากฃับมายังเราอีกแล้ว ดูเถิด คนนี้ไม่ได้ทำผิดอะไรซึ่งสมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้ว เราำ็จะปช่อยเสีย” \nในตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลปัากา เป็นธรรมเนียมที่เจ้าเมืองจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้แก่หมู่ชนตามใจชอบ คราวนั้นมีนักโทษคนหนึ่งชื่อ บารับบัส ต้องโทษิพราะฆ่าคน ปีชาตถามพวกเขาว่า ต้องการให้ปล่อยผู้ใดระหว่างพระเยซูกับบารับบัส มหาปุโรหิตก็ยุยงหมู่ชนให้ขอให้ปล่อยบารับบัส พวกเขาจึงตอบว่า บารับบัส และให้ตรึงพระเยซูที่กางเขน ส่วนปีลาตยังพยายามจะปง่อยพระเยซูอีกถึงกับถามพวกเขาซ้ำอีกสทมรรั้ง เมื่อพวกเขายืนยันตามเดิม ปีลาตก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าหมู่ชน เพื่อแสดงว่าเขาไม่มีส่วนรับผิดชอบด้วยกับการประหารพระเยซู แล้วปีลาตได้สั่งปล่อยบารับบัสและให้โบยตีพระเยซูก่อนนำไปตรึงที่กางเขน\nพระเยซูทรงถูกพวกทหารของปีลาตโบยตึและหยทมพระักียรติหลายประการ พระวรสารนหทรรศน์กับพระวรสารนักบุญยอห์นระบุเหตุการณ์จากนี้ต่างกันคือ พระวรสารสหทรรศน์ต่างระบุว่าเมื่อพระเยซูถูกตัดสินโทษแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ใหืซีโมนชาวไซรีนมาแบกกางเขนขอบพระเยซูตั้งแต่ต้น แต่พระวรสารนักบุญยอห์นกลับระบุว่าพ่ะเยซูเป็นผู้แบกกางเขนโดยไม่เอ่ยถึงซีโมนชาวไซรีนเลย เมื่อมาถึงกลโกธาพระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขนพร้อมกับผู้ร้ายสองคน ข้างขวาคนหนึ่งและข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง พวกขุนนาลต่างกล่าวคำเยาะเย้ยพระองค์ ฝ่ายพวกทหารจับฉลากกันว่า ใครจดไแ้ฉลองพระองค์ไป (ยอห์น 19:24) หลังจากนั้น พระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว จึงตรัสว่า 'พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของกระิงค์' ตรัสอย่างนั้นแง้วก็สิินพระชนม์\" \nในวัจนั้นเป็นวันศุกร์ พวกยิวไม่ต้เงการให้ศพค่างอยู่บนกางเขนนนถึงวันอาทิตย์ เพราะเป็นวันสะบาโต จึลมาขอให้ปีลาตทุบขาจองผู้ที่ถูกตรึงให้หัก แล้วจะได้เอาศพลงจากกางเขน พวกทหารจึงมาทุบขาของผู้ร้ายทั้งสองคนที่ถูกตรึงอยู่กับพรถเยซ๔จนเสียชีวิต เมื่อมาถึงพระเยซูและเห็นว่าเสียชีวิตแล้ว พวกทหารไม่ได้ทุบขาพระองค์ แต่ใช้ทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ โลหิตและน้ำก็ไหลออกจากร่างกายของพระองค์\nโยเฬฟแห่งอาริมาเธียได้ขอพระศพพระเยซูจากปคลาต เอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพของพระองค์ตามธรรมเนียทชาวยิว แล้วเชิญำระศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพผู้ใดเลย ซึ่งอยู่ในสวนแห่งหตึ่งในตำขลที่พระองค์ถูกตรึฝนั้น แล้วกลิ้งกเอนหินขนาดใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้ ส่วนพวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีไปหาปีลาร ขอให้วางจามเฝ้าหน้าอุโมงค์ให้แข็งแรง เพราะกลัวว่าสาวกจะมาลักพระศพพระเยซูไป ปีลาตจึงสั่งให้ทหารไปประทับตราที่หินและเฝ้ายามหน้าอุโมงค์ไว้ \n=== กลับคืนพระชนม์ ===\nครั้นงันที่สามผืานไป เหล่าพวกผู้หญิงได้มาที่ิุโมงค์ ทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ยิ่งนัก ทูตของพระเจ้าองค์หนึ่งได้กลเ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ แล้วกล่าวแก่หญิงนั้นว่า พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ชีพจากความตายแล้ว และให้หปยเงแคว้นกาลิลีจะได้พบพระองค์ที่นั่น หญิงเหล่านั้นจึงไปจากอุโมงค์โดยเร็ว วิ่งไปบอกสาวกขแงพระเยซู ฝ่ายทหารที่เฝ้าอุฑมงค์ได้เข้าไปในเมืิงแล้วเฃ่าเหตุการณ์นั้นให้มหาปุโรหิตฟัง เมื่อพวกเขาปรึกษากันแล้วก็แจกเงิยเป็นอันมากให้พวกทหาร โดยสั่งให้พูดกัยทั่วไปว่า พวกสาวกแอบมาลักเอาศพไปในตอนกลางคืน ครั้นพวกทหารได้รับเงินแล้วก็ทำตามนั้น บรรดาพวกยิวจึงเชื่อตามคำของทหารเหล่านั้น\nหลังจากการคืนพระชนม์ของพระเยซูแล้ว พระองค์ทรวปรากฏให้เหล่าสาวกและคนเป็นจำนวนมากได้เห็นเพื่อจะได้เชื่อ เป็นพยานและวางใจในพระองค์ ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าพวกเขา \"เมื่อพระองค์ตตัสเช่นนั้นแล้ว พระเจืาก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสมยตาของเขา\" \n== การอัศจรรย์ของพระเยซู ==\nคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ได้บันทึกว้าพระเยซูได้แสดงปาฏิหาริย์หลายครั้ง ในจำนวนนั้นคือ การรักษาคนเป็นโรคเรื้ินให้หาย , การรักษาคนตาบอด , รักษาคนง่อยให้เดินได้, รักษาคนหูหนวกให้ได้ยิน , รักษาหญิงตกโลหิตให้หาย , ทรงขับผีออก (มาระโก 7:24-30), การชุบชีวิตคนตาย , การทวีขนมปังและปลา , เปล่่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองถ่นในงานแต่ง , การเดินบนน้ำ , การทรงทราบล่วงหน้าถึงอนาคตและสิ่งต่างๆ และการกลับคืนพรพชนม์ชีพหลังสิ้นพระชนม์ไปครบ 3วะน\n== การตรึงที่กางเขนและการเสด็จขึ้นสู่สวารค์ ==\nคัมภีร์ไบเบิลภาคพันโสัญญาใหม่ระบุว่าการตรึงพระเยซูที่กางเขนเกิดขึ่นตอนเช้า \"เมื่อเขาตรึงพระองค์ไว้นั้นเป็นเวลาเช้าสามโมง\" และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนใตเใลาบ่าย \"เวลานั้นประมาณเวลาเที่ยง ก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน จนถึงบ่ายสามโมง ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง พระ้ยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า 'พระบิดาเจ้าข้า ขิาพีะองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์' ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์\" หลังจากนั้นพระองค์เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่ 3 \"แต่เช้ามืดในวันตีนสัปดาำ์ ผู้หญิงเหล่านั้นจึงนำเครื่องหอมที่เขนได้จัดเตรียมไว้าาถึงอุโมงค์ เขาเหล่านั้นเห็นก้อนหินกลิ้งพ้นจากปากอุโมงคฺแล้ว และเมื่อเข้าไปมิได้เห็นพระศพของพระเยซูเจ้า\" \"หญิงเหล่านั้นก็ไปจากอุฌมงค์โดยเร็ว ทั้งกลัวทึ้งยินดีเป็นอันมาก วิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์ ดูเถิด พระเยซูไพ้เสด็จพบเขาและตรัสว่า 'จงจำเริญเถิด' หญิงเหล่านั้นห็มากอดพาะบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูจึงตรเสกับเขาว่า 'อย่ากลัวเลย จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น'\" \nบุคคลที่พระเยซูทรงปรากฏให้เห็นก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ได้แก่ มารีย์ชาวาักดาลา , เคลโอปัสและศิษย์อีกคนหนึ่งซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุชื่อ , สาวกทั้งสิบเอ็ดีน , สาวกเจ็ดคน \nพระเยซูทรงประทับอยู่กับเหลีาสาวกราว 40 วัน และเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหย้าพวกเขา \"เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพตะองค์ให้พ้นสายตาของเขา\" \n== ทัศนะของศาสนาอื่น ==\n=== ศาสนาอิสลาม ===\nมุสลิมถือว่าอีซาไม่ใช่บุตรของพระเจ้า แต่เป็นวิญญาณหนึ่งซึ่งพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้บังเกิดในครรภ์มารีย์โดยมิได้มีความสัมพันธ์กับบถรุษ\nในวัยเด็กของพระเยซํ คัมภีร์อัลกุรอานเล่าเพียงช่วงที่มะลักตนหนึ่งจำแลงกายเป็นบุรัษเข้ามาพบกับมัรยัม และบอกนางว่านางจะได้บุตรโดยปราศจากบิดา เมื่อนางจะคลอดก็ได้หนีออกไปคลอดนอกเใือง ไปที่โคนต้นอืนทผลัม เมื่อคลอดเสร็จแล้ว พระผู้เป์นเจ้าทรงบันดาลให้มีตาน้ำไหลออกม่ให้มัรยัมได้ดื่ม เมื่อพาบุตรกลับมา นางำ็ถูกถามและกล่าวหาว่านาวได้ผิดประเวณีได้บุตรไร้บิดา นางไม่ยอมพูดแต่อีซาพูดออกมาว้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระผู้เป็นัจ้า พระองค์ได้ประทานคัมภีร์ อละแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป๊นนบี ดัลกถรอานไม่ได้บอกเล่าชีวประวัติในวัยเด็กอีกเลย\nคัมภีร์อ้ลกุรอานและพระวรสารนักบุญบารนาบัสได้บันทึกว่าเยซูไเ้แสดงปาฏิหาริย์หลายครั้ง ในจำนสนนั้นคือการรักษาคนเป็นโรคเรืเดน การชุบชีวิตคนตาย การเรียกสำรับอาหารจากฟ้า แลดกา่เป่าก้อนดินเหนียวให้เแ็นสัตว์มีปีกบินได้\nคัมภีร์ไบเบิลบันทึกว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์บนกางเชนและกลับคืนพระชนม์ชีพ ในขณะที่อัลกุรอานและพระวรสารนักบุญบารนาบัสระบุว่าเยซูยังไม่ตาย ผู้ที่ถูกตรึงทีไม้กางเขนเป็นผู้อื่น พระวรสารนักบุญบารนาบัสระบุว่าผู้ที่ถูกตรึงนั้นคือเยฮูดาห์\n=== ศาสนาบาไฮ ===\nพระบะฮาอุลลอฮ์ ศาสดาของศาสนาบาไฮ กง่มวถึงพระเยซูว่าเป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเป็นเจ้าทรงส่งมาเพื่อทำหน้าที่นำพาและให้ความรู้แก่มนุษย์ในยุคสมัยหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะท่านอื่น ๆ คือ พตะกฤษณะ โมเสส ซาราธุสตรา พระพุทธเจ้า นบีมุฮึมมัด พระบาบ ฏดยพระบาฮาอุลลออ์อ้างว่าตนเองคือ \"พระวิญญาณแห่งความจริง\" (ยอฟ์น 16:13) และเป็นพระคริสต์ผู้มาเป็นครั้งที่สอง \"ด้วยรัศมีของพระบิดา\" (มัทธิว 16:27) ตามที่พระเยซูได้ทำนาบไว้\n=== ลัทธิอนุตตรธรรม ===\nลัทธิอนุตตรธรรมถือว่าอนุตตรธรรมเป็นรากเหง้าของทุกศาสยารวมทั้งศาสนาคริสต์ โดยพระเยซูเป็นศาสดาองค์หนึ่งที่พระแม่องค์ธรรมทรงส่งมาเพื่อโปรพเวไนยในช่วงธรรมกาลจุคแดง เช่นเดียวกับพระโคตมพุทธเจ้าและนบีมุฮัมมัด และยุคแดงได้สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่ ปี ี.ศ. 1912 ปัจจุบันจึงเป็นธรรมกาลยุคขาวซึ่งมีลู่ จงอี เป็นผู้ปกครอง\nลัทธิอนุตตรธรรมได้จัดพิธีกรรมหลายครั้งที่อ้างว่ามีพระเยซูมาประทับทรบเพื่อประกนศรับรองว่าลัทธิอนุตตรธรรมเป็นทางสวรรค์ที่แท้จริง ที่ส_คัญเช่นปี ค.ศ. 1941 ซุน ฮุ่ยหมิง เจ้าลัทธิอนุตตรธรคมได้เชิญวิญญาณพระเยซูมาประทับทรงที่กระบะทรายเพื่อประทานพระโอวาา เนื้อความสำคัญที่ถูกถ่ายทอดคือประกาศวราซุน ฮุ่ยหมิง เป็นพระผู้ช่วนให้รอดในยุคนี้ และวห้ครเสตชนนมัสการบูชาเธอยิ่งกว่าพระเยซูเอง เพราะมีเธอคนเดียวที่จะประทานความรอดให้แก่มวลมนุษย์ได้\n== สมัญญาของพระเยซู ==\nพระบุตรพระเป็นเจ้า\nพระเจ้าพระบุตร\nพระผู้ไถ่\n== หมายเหตุ ==\n== อ้างอิง =\\\n== บรรณานุกรม ==\nThai Holy Bible, Thailand Bible Society. 1998.\nWalter A. Elwell, The Pocket Bible Handbook, Harold Shaw Publisher, 1997.\nSanders, E.P. The Historical Figure of Jesus. London: Allen Lane Penguin Press, 1893. ISBN 978-0-7139-9059-1\n== ดูเพิ่ม =\\\nเมสสิยาห์\nอีซา\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nพระเยซูคือใคร\nยุครลืี่เกิกในทศวรรษ 0 ก่อนคริสตกาล\nบุคคลที่เสียชีวิตในคริสต์ษตวรรษที่ 1\n \nผู่ถูกประหารชีวิตโดยการตรึงกางเขน", "role": "user" }, { "content": "พระเยซู (Jesus) หรือ เยซูชาวนาซาเร็ธ (Jesus of Nazareth; 4-2 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 30-33) เป็นชาวยิวผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ คริสต์ศาสนิกชนเรียกพระองค์ว่า พระเยซูคริสต์ เพราะถือว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าพระบุตรซึ่งเป็นพระบุคคลหนึ่งในพระตรีเอกภาพ นอกจากนี้ในคัมภีร์ไบเบิลยังบันทึกว่าพระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ทรงรักษาคนตาบอดให้หายขาด รักษาคนพิการ โดยตรัสว่า บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว หลังพระเยซูสิ้นพระชนม์ ก็ได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายหลังสิ้นพระชนม์ได้เพียง 3 วัน และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์\nชาวมุสลิมก็ให้ความเคารพพระเยซูเช่นกัน แต่เชื่อต่างจากชาวคริสต์ โดยชาวมุสลิมเรียกพระเยซูว่านบีอีซา คัมภีร์อัลกุรอานระบุว่าพระเยซูไม่ใช่ทั้งพระเจ้าและพระบุตรของพระเจ้า แต่เป็นบ่าวคนหนึ่งของพระเจ้า และเป็นเราะซูลที่พระเจ้าส่งมาเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมให้แก่ชาวอิสราเอลเช่นเดียวกับเราะซูลอื่น ๆ นอกจากนี้กุรอานยังอ้างว่าพระเยซูได้ทำนายถึงเราะซูลอีกท่านหนึ่งที่จะมาในอนาคตด้วยว่าชื่ออะหมัด\nคำว่า \"เยซู\" มาจากคำในภาษากรีกคือ \"เยซุส\" Ιησους [Iēsoûs] ซึ่งมาจากการถ่ายอักษรชื่อ Yeshua [เยชูวา] ในภาษาแอราเมอิกหรือฮีบรูอีกทอดหนึ่ง คริสตชนอาหรับเรียกเยซูว่า \"ยาซูอฺ\" ตามภาษาซีรีแอก ส่วนชาวอาหรับมุสลิมเรียกว่า \"อีซา\" ตามอัลกุรอาน ความหมายคือ \"ผู้ช่วยให้รอด\" เป็นชื่อที่ใช้กันมากในหมู่ชาวยิวตั้งแต่สมัยโยชูวาเป็นต้นมา ภาษาละตินแผลงเป็นเยซูส ภาษาโปรตุเกสแผลงต่อเป็นเยซู ภาษาไทยทับศัพท์ภาษาโปรตุเกสมาจนทุกวันนี้ ส่วนคำว่า \"คริสต์\" เป็นสมญาซึ่งมาจากคำในภาษากรีกว่า \"คริสตอส\" Χριστός [Christos] ซึ่งเป็นคำแปลของคำภาษาฮีบรู Messiah อันหมายถึง \"ผู้ได้รับการเจิม\" ชาวอาหรับเรียกว่า \"มะซีฮฺ\" ซึ่งหมายถึงการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่สูงส่ง เช่น พระมหากษัตริย์ ปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ เป็นต้น\nเมื่อราชอาณาจักรยูดาห์เสียแก่บาบิโลน ก็สิ้นกษัตริย์ที่ได้รับการเจิม ต่อจากนั้นชาวยิวก็โหยหาพระเมสสิยาห์ที่จะมาสร้างอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า \"พระคริสต์\" จึงเป็นชื่อตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อตัวบุคคล ผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่านมักเรียกพระองค์ว่า \"พระเยซู\" และเพื่อให้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ชื่อเหมือนกัน ก็เรียกเป็น \"พระเยซูชาวนาซาเรธ\" หรือ \"พระเยซูบุตรของโยเซฟ\" แต่นักบุญเปาโลหรือเปาโลอัครทูตมักเรียกพระองค์ว่า \"พระคริสต์\" หรือ \"พระเยซูคริสต์\" ที่เรียกว่า \"พระคริสต์เยซู\" ก็มี\n== ประวัติของพระเยซู ==\n=== ปฐมวัย ===\nประสูติเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตกาล ในเมืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี หญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อมารีย์ ได้หมั้นหมายไว้แล้วกับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกัน ได้มีทูตสวรรค์กาเบรียลเข้าบ้านมาหามารีย์แล้วว่า “เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู” ฝ่ายโยเซฟเมื่อทราบว่ามารีย์ตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องนี้ จึงคิดจะถอนหมั้นอย่างลับ ๆ แต่มีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” โยเซฟจึงทำตามคำนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอ\nขณะที่มารีย์กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น จักรพรรดิออกัสตัสได้มีรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน คนทั้งปวงต่างต้องเดินทางกลับไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน โยเซฟกับมารีย์จึงต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีไปยังเมืองของดาวิดเมืองหนึ่งชื่อเบธเลเฮม ในแคว้นยูเดีย เพราะโยเซฟเป็นเชื้อสายของดาวิด เมื่อเขาทั้งสองอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์ประสูติ “นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม” \nต่อมามีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” โยเซฟจึงพากุมารและมารดาหนีไปยังประเทศอียิปต์ เนื่องจากกษัตริย์เฮโรดทราบว่าได้มีกุมารผู้ที่บังเกิดมาเพื่อจะเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิว และทราบจากบรรดามหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ว่า กุมารนั้นอยู่ที่เบธเลเฮม จึงใช้ให้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลายในบริเวณนั้นที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว” โยเซฟจึงพากุมารกับมารดากลับมาอยู่เมืองนาซาเร็ธ\nเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ ที่บันทึกเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูในช่วงระยะเวลาตั้งแต่อายุ 12 ปีจนพระเยซูทรงรับบัพติศมาที่แม่น้ำจอร์แดนไม่ได้ถูกบันทึกไว้มากนัก ชาวคริสต์เรียกช่วงเวลานี้ว่าพระชนม์ชีพเร้นลับของพระเยซู แต่เรื่องราวของพระเยซูตั้งแต่รับบัพติสมาจนสิ้นพระชนม์ที่กางเขน แล้วกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพอีกครั้งถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด\n=== ประกอบพระภารกิจ ===\nพระเยซูทรงรับบัพติศมาเมื่ออายุได้ 30 ปีจากยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่แม่น้ำจอร์แดน “ครั้นพระองค์ทรงรับพิธีบัพติศมาในน้ำแล้วในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์” หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปในถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลาถึงสี่สิบวันสี่สิบคืนโดยไม่ได้เสวยอะไรเลย แต่กลับมีมารมาผจญพระองค์โดยการล่อลวงต่าง ๆ นา ๆ เพื่อหวังให้พระเยซูกราบลงนมัสการมาร แต่พระเยซูได้ตอบโต้มารด้วยพระธรรมจากคัมภีร์ฮีบรู จนมารเห็นว่ามิอาจล่อลวงพระองค์ได้จึงละพระองค์ไป \nพระองค์ทรงเริ่มพระกิจจานุกิจโดยออกสั่งสอนชนทั้งปวงให้กลับใจจากความบาป แล้วเดินตามทางของพระเจ้าอย่างแท้จริง อย่าแสร้งทำเป็นนับถือพระเจ้าแต่ปาก “ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา” ทรงสอนมิให้ทำตนเป็นเหมือนพวกหน้าซื่อใจคด “เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่” พระองค์ยังตรัสพระธรรมคำสั่งสอนและทรงพระราชกิจไว้อีกมากมาย ซึ่งถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังสือ 4 เล่มแรก ได้แก่ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น\nในการทรงพระราชกิจของพระเยซูนั้น พระองค์ได้ทรงเรียกบุคคลต่าง ๆ เข้ามาเป็นสาวก เพื่อสั่งสอนและมีส่วนช่วยพระองค์อีก 12 คน ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่าอัครทูต ได้แก่ ซีโมนเปโตร อันดรูว์ (น้องชายของซีโมน) ยากอบ บุตรเศเบดี ยอห์น (น้องชายของยากอบ) ฟีลิป บารโธโลมิว โธมัส มัทธิวผู้นิพนธ์พระวรสาร ยากอบ บุตรอัลเฟอัส เลบเบอัส (ที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า ธัดเดอัส) ซีโมนเศโลเท และยูดาส อิสคาริโอท (ผู้ที่อายัดพระเยซู) \n=== สิ้นพระชนม์ ===\nผลของการที่พระเยซูออกประกาศ, สั่งสอน, รักษาโรค และทำการต่าง ๆ มากมาย ทำให้มีคนเป็นจำนวนมากติดตามพระองค์ไป “กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย เขาจึงพาคนป่วยเป็นโรคต่างๆ คนที่ทนทุกข์เวทนา คนผีเข้า คนเป็นลมบ้าหมูและคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลี และแคว้นทศบุรีและกรุงเยรูซาเล็ม และแคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกติดตามพระองค์ไป” “ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ พระองค์ทรงสงสารเขา จึงได้ทรงรักษาคนป่วยของเขาให้หาย” “และประชาชนเป็นอันมากมาเฝ้าพระองค์ พาคนง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนใบ้ และคนเจ็บอื่นๆหลายคน มาวางแทบพระบาทของพระเยซู แล้วพระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย” ในทางตรงกันข้ามคำสั่งสอนของพระองค์ต่อว่าพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์โดยตรง “เขาชอบที่อันมีเกียรติในการเลี้ยงและในธรรมศาลา กับชอบรับการคำนับที่กลางตลาด และชอบให้เขาเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’” “วิบัติแก่เจ้า คนนำทางตาบอด เจ้าสอนว่า ‘ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้างทองคำของพระวิหาร ผู้นั้นจะต้องกระทำตามคำสาบาน’ โอ คนโฉดเขลาตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิหารซึ่งกระทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์” “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกแลดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและอธรรม” พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีจึงคิดหาช่องทางจะฆ่าพระองค์เสีย “ฝ่ายพวกฟาริสีก็ออกไปปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้”เพราะเขาไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด\nอย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงทราบว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานจากพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ จนต้องถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ ดังที่พระองค์ได้ทรงทำนายถึงเหตุการณ์ดังกล่าวล่วงหน้าไว้สามครั้ง หลังจากนั้นหนึ่งในสาวกสิบสองคน ชื่อยูดาสอิสคาริโอท ได้ไปหาพวกมหาปุโรหิตแล้วตกลงว่าจะคอยหาช่องที่จะชี้พระองค์ให้จับ เพื่อแลกกับสามสิบเหรียญเงิน ซึ่งเรื่องที่ยูดาสคิดจะทรยศต่อพระองค์นั้น พระองค์ก็ทรงทราบเช่นกัน\nเมื่อถึงวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พระองค์กับเหล่าสาวกได้เข้าไปในบ้านหลังหนึ่งในกรุงเยซูซาเล็ม เพื่อร่วมเสวยปัสกาด้วยกัน อาหารที่พระองค์ได้เสวยในคืนนั้นประกอบด้วยขนมปังและน้ำองุ่น ซึ่งก็เป็นอาหารค่ำมื้อสุดท้ายที่พระองค์ได้เสวยก่อนสิ้นพระชนม์ เพราะหลังจากที่ได้เสวยอาหารแล้ว ยูดาสสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้นได้ออกจากบ้านไป พวกสาวกที่เหลือไม่ทราบว่ายูดาสไปไหน แต่พระเยซูทราบว่ายูดาสจะไปหาพวกปุโรหิตและพวกฟาริสี เพื่อพาทหารมาจับพระองค์\nหลังจากยูดาสออกไปจากบ้านแล้ว พระองค์ตรัสคำสอนแก่พวกสาวกอีกหลายข้อ ก่อนที่จะเสด็จพาพวกเขาออกจากบ้านข้ามห้วยขิดโรนไปยังสวนเกทเสมนี ในขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนพระองค์เสด็จห่างจากพวกสาวกออกไปไกลประมาณขว้างหินตกแล้วอธิษฐานต่อพระเจ้า เมื่อกลับมาพบว่าพวกสาวกต่างหลับกันหมด พระองค์จึงปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นอธิษฐาน แล้วพระองค์ทรงกลับไปอธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาทรงเห็นสาวกนอนหลับกันอีก พระองค์จึงเสด็จกลับไปอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สาม เมื่อกลับมาครั้งนี้พระเยซูทรงปลุกพวกสาวกให้ตื่นขึ้น ทันใดนั้น ยูดาสได้พาทหารกับเจ้าหน้าที่ของพวกปุโรหิตและฟาริสีพร้อมอาวุธเข้ามา ยูดาสตรงมาหาพระเยซูแล้วจูบคำนับพระองค์ คนเหล่านั้นก็เข้ามาจับพระองค์ เปโตรมีดาบจึงชักออกฟันถูกหูข้างขวาของมัลคัส ซึ่งเป็นทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิต พระเยซูตรัสว่า “จงเอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ ท่านคิดว่าเราจะขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ และในครู่เดียวพระองค์จะประทานทูตสวรรค์แก่เรากว่าสิบสองกอง แต่ถ้าเช่นนั้นพระคัมภีร์ที่ว่า จำจะต้องเป็นอย่างนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร” แล้วสาวกทั้งหมดก็ได้พากันหนีไป\nพระเยซูถูกพาไปบ้านของคายาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตประจำการ ทั้งพวกธรรมาจารย์และมหาปุโรหิตต่างพยายามหาพยานเท็จมาปรักปรำพระองค์ แต่ถึงแม้มีพยานเท็จหลายคนให้การก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้ ในที่สุดมหาปุโรหิตจึงถามถึงความเป็นพระคริสต์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ยอมรับว่าเป็นพระคริสต์ มหาปุโรหิตจึงยุยงคนทั้งปวงว่า พระเยซูพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าเพราะยกตนเองขึ้นเป็นพระคริสต์ คนทั้งปวงจึงต้องการให้ปรับโทษพระเยซูถึงตาย\nเมื่อยูดาสเห็นว่าตนเองทำบาป โดยอายัดพระเยซูผู้บริสุทธิ์ให้ถึงแก่ความตาย ยูดาสก็เกิดสำนึกกลับใจนำเงินที่ได้ไปคืนให้พวกมหาปุโรหิต แต่คนเหล่านั้นไม่สนใจ ยูดาสจึงทิ้งเงินไว้แล้วออกไปผูกคอตาย\nพอรุ่งเช้า พวกเขาได้พาพระเยซูไปหาปีลาต ซึ่งเป็นเจ้าเมืองในขณะนั้น พวกเขาได้ฟ้องพระเยซูด้วยข้อกล่าวหาต่างๆ แต่หลังจากปีลาตได้สอบถามพระองค์แล้ว ไม่พบว่ามีความผิดประการใดจึงคิดจะปล่อยพระองค์ แต่พวกเขายืนยันว่า คนนี้ยุยงพลเมืองให้วุ่นวาย เมื่อปีลาตทราบว่าพระองค์เป็นชาวกาลิลี ซึ่งอยู่ในท้องที่ของกษัตริย์เฮโรด ปีลาตจึงส่งพระเยซูไปหาเฮโรดเพื่อให้ตัดสินความแทน ฝ่ายเฮโรดมีความยินดีเป็นอันมากที่จะได้พบพระเยซูเพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์มานาน หวังว่าพระเยซูจะแสดงอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์ให้ชมบ้าง แต่เมื่อพระเยซูไม่ได้ทำการใด เฮโรดและพวกทหารจึงได้แต่ดูหมิ่นเยาะเย้ยและส่งพระองค์กลับมาหาปีลาตอีก ปีลาตจึงสั่งมหาปุโรหิต พวกขุนนางและราษฎรให้ประชุมพร้อมกัน และกล่าวแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายได้พาคนนี้มาหาเรา ฟ้องว่าเขาได้ยุยงราษฎร ดูเถิด เราได้สืบถามต่อหน้าท่านทั้งหลาย และไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดในข้อที่ท่านทั้งหลายฟ้องเขานั้น และเฮโรดก็ไม่เห็นว่าเขามีความผิดด้วย เพราะเฮโรดได้ส่งตัวเขากลับมายังเราอีกแล้ว ดูเถิด คนนี้ไม่ได้ทำผิดอะไรซึ่งสมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้ว เราก็จะปล่อยเสีย” \nในตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลปัสกา เป็นธรรมเนียมที่เจ้าเมืองจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้แก่หมู่ชนตามใจชอบ คราวนั้นมีนักโทษคนหนึ่งชื่อ บารับบัส ต้องโทษเพราะฆ่าคน ปีลาตถามพวกเขาว่า ต้องการให้ปล่อยผู้ใดระหว่างพระเยซูกับบารับบัส มหาปุโรหิตก็ยุยงหมู่ชนให้ขอให้ปล่อยบารับบัส พวกเขาจึงตอบว่า บารับบัส และให้ตรึงพระเยซูที่กางเขน ส่วนปีลาตยังพยายามจะปล่อยพระเยซูอีกถึงกับถามพวกเขาซ้ำอีกสามครั้ง เมื่อพวกเขายืนยันตามเดิม ปีลาตก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าหมู่ชน เพื่อแสดงว่าเขาไม่มีส่วนรับผิดชอบด้วยกับการประหารพระเยซู แล้วปีลาตได้สั่งปล่อยบารับบัสและให้โบยตีพระเยซูก่อนนำไปตรึงที่กางเขน\nพระเยซูทรงถูกพวกทหารของปีลาตโบยตีและหยามพระเกียรติหลายประการ พระวรสารสหทรรศน์กับพระวรสารนักบุญยอห์นระบุเหตุการณ์จากนี้ต่างกันคือ พระวรสารสหทรรศน์ต่างระบุว่าเมื่อพระเยซูถูกตัดสินโทษแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ให้ซีโมนชาวไซรีนมาแบกกางเขนของพระเยซูตั้งแต่ต้น แต่พระวรสารนักบุญยอห์นกลับระบุว่าพระเยซูเป็นผู้แบกกางเขนโดยไม่เอ่ยถึงซีโมนชาวไซรีนเลย เมื่อมาถึงกลโกธาพระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขนพร้อมกับผู้ร้ายสองคน ข้างขวาคนหนึ่งและข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง พวกขุนนางต่างกล่าวคำเยาะเย้ยพระองค์ ฝ่ายพวกทหารจับฉลากกันว่า ใครจะได้ฉลองพระองค์ไป (ยอห์น 19:24) หลังจากนั้น พระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว จึงตรัสว่า 'พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์' ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์\" \nในวันนั้นเป็นวันศุกร์ พวกยิวไม่ต้องการให้ศพค้างอยู่บนกางเขนจนถึงวันอาทิตย์ เพราะเป็นวันสะบาโต จึงมาขอให้ปีลาตทุบขาของผู้ที่ถูกตรึงให้หัก แล้วจะได้เอาศพลงจากกางเขน พวกทหารจึงมาทุบขาของผู้ร้ายทั้งสองคนที่ถูกตรึงอยู่กับพระเยซูจนเสียชีวิต เมื่อมาถึงพระเยซูและเห็นว่าเสียชีวิตแล้ว พวกทหารไม่ได้ทุบขาพระองค์ แต่ใช้ทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ โลหิตและน้ำก็ไหลออกจากร่างกายของพระองค์\nโยเซฟแห่งอาริมาเธียได้ขอพระศพพระเยซูจากปีลาต เอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพของพระองค์ตามธรรมเนียมชาวยิว แล้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพผู้ใดเลย ซึ่งอยู่ในสวนแห่งหนึ่งในตำบลที่พระองค์ถูกตรึงนั้น แล้วกลิ้งก้อนหินขนาดใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้ ส่วนพวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีไปหาปีลาต ขอให้วางยามเฝ้าหน้าอุโมงค์ให้แข็งแรง เพราะกลัวว่าสาวกจะมาลักพระศพพระเยซูไป ปีลาตจึงสั่งให้ทหารไปประทับตราที่หินและเฝ้ายามหน้าอุโมงค์ไว้ \n=== กลับคืนพระชนม์ ===\nครั้นวันที่สามผ่านไป เหล่าพวกผู้หญิงได้มาที่อุโมงค์ ทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ยิ่งนัก ทูตของพระเจ้าองค์หนึ่งได้กลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ แล้วกล่าวแก่หญิงนั้นว่า พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ชีพจากความตายแล้ว และให้ไปยังแคว้นกาลิลีจะได้พบพระองค์ที่นั่น หญิงเหล่านั้นจึงไปจากอุโมงค์โดยเร็ว วิ่งไปบอกสาวกของพระเยซู ฝ่ายทหารที่เฝ้าอุโมงค์ได้เข้าไปในเมืองแล้วเล่าเหตุการณ์นั้นให้มหาปุโรหิตฟัง เมื่อพวกเขาปรึกษากันแล้วก็แจกเงินเป็นอันมากให้พวกทหาร โดยสั่งให้พูดกันทั่วไปว่า พวกสาวกแอบมาลักเอาศพไปในตอนกลางคืน ครั้นพวกทหารได้รับเงินแล้วก็ทำตามนั้น บรรดาพวกยิวจึงเชื่อตามคำของทหารเหล่านั้น\nหลังจากการคืนพระชนม์ของพระเยซูแล้ว พระองค์ทรงปรากฏให้เหล่าสาวกและคนเป็นจำนวนมากได้เห็นเพื่อจะได้เชื่อ เป็นพยานและวางใจในพระองค์ ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าพวกเขา \"เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา\" \n== การอัศจรรย์ของพระเยซู ==\nคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ได้บันทึกว่าพระเยซูได้แสดงปาฏิหาริย์หลายครั้ง ในจำนวนนั้นคือ การรักษาคนเป็นโรคเรื้อนให้หาย , การรักษาคนตาบอด , รักษาคนง่อยให้เดินได้, รักษาคนหูหนวกให้ได้ยิน , รักษาหญิงตกโลหิตให้หาย , ทรงขับผีออก (มาระโก 7:24-30), การชุบชีวิตคนตาย , การทวีขนมปังและปลา , เปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นในงานแต่ง , การเดินบนน้ำ , การทรงทราบล่วงหน้าถึงอนาคตและสิ่งต่างๆ และการกลับคืนพระชนม์ชีพหลังสิ้นพระชนม์ไปครบ 3วัน\n== การตรึงที่กางเขนและการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ==\nคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ระบุว่าการตรึงพระเยซูที่กางเขนเกิดขึ้นตอนเช้า \"เมื่อเขาตรึงพระองค์ไว้นั้นเป็นเวลาเช้าสามโมง\" และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนในเวลาบ่าย \"เวลานั้นประมาณเวลาเที่ยง ก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน จนถึงบ่ายสามโมง ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า 'พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์' ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์\" หลังจากนั้นพระองค์เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่ 3 \"แต่เช้ามืดในวันต้นสัปดาห์ ผู้หญิงเหล่านั้นจึงนำเครื่องหอมที่เขาได้จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์ เขาเหล่านั้นเห็นก้อนหินกลิ้งพ้นจากปากอุโมงค์แล้ว และเมื่อเข้าไปมิได้เห็นพระศพของพระเยซูเจ้า\" \"หญิงเหล่านั้นก็ไปจากอุโมงค์โดยเร็ว ทั้งกลัวทั้งยินดีเป็นอันมาก วิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์ ดูเถิด พระเยซูได้เสด็จพบเขาและตรัสว่า 'จงจำเริญเถิด' หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า 'อย่ากลัวเลย จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น'\" \nบุคคลที่พระเยซูทรงปรากฏให้เห็นก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ได้แก่ มารีย์ชาวมักดาลา , เคลโอปัสและศิษย์อีกคนหนึ่งซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุชื่อ , สาวกทั้งสิบเอ็ดคน , สาวกเจ็ดคน \nพระเยซูทรงประทับอยู่กับเหล่าสาวกราว 40 วัน และเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าพวกเขา \"เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา\" \n== ทัศนะของศาสนาอื่น ==\n=== ศาสนาอิสลาม ===\nมุสลิมถือว่าอีซาไม่ใช่บุตรของพระเจ้า แต่เป็นวิญญาณหนึ่งซึ่งพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้บังเกิดในครรภ์มารีย์โดยมิได้มีความสัมพันธ์กับบุรุษ\nในวัยเด็กของพระเยซู คัมภีร์อัลกุรอานเล่าเพียงช่วงที่มะลักตนหนึ่งจำแลงกายเป็นบุรุษเข้ามาพบกับมัรยัม และบอกนางว่านางจะได้บุตรโดยปราศจากบิดา เมื่อนางจะคลอดก็ได้หนีออกไปคลอดนอกเมือง ไปที่โคนต้นอินทผลัม เมื่อคลอดเสร็จแล้ว พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้มีตาน้ำไหลออกมาให้มัรยัมได้ดื่ม เมื่อพาบุตรกลับมา นางก็ถูกถามและกล่าวหาว่านางได้ผิดประเวณีได้บุตรไร้บิดา นางไม่ยอมพูดแต่อีซาพูดออกมาว่า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ประทานคัมภีร์ และแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นนบี อัลกุรอานไม่ได้บอกเล่าชีวประวัติในวัยเด็กอีกเลย\nคัมภีร์อัลกุรอานและพระวรสารนักบุญบารนาบัสได้บันทึกว่าเยซูได้แสดงปาฏิหาริย์หลายครั้ง ในจำนวนนั้นคือการรักษาคนเป็นโรคเรื้อน การชุบชีวิตคนตาย การเรียกสำรับอาหารจากฟ้า และการเป่าก้อนดินเหนียวให้เป็นสัตว์มีปีกบินได้\nคัมภีร์ไบเบิลบันทึกว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์บนกางเขนและกลับคืนพระชนม์ชีพ ในขณะที่อัลกุรอานและพระวรสารนักบุญบารนาบัสระบุว่าเยซูยังไม่ตาย ผู้ที่ถูกตรึงทีไม้กางเขนเป็นผู้อื่น พระวรสารนักบุญบารนาบัสระบุว่าผู้ที่ถูกตรึงนั้นคือเยฮูดาห์\n=== ศาสนาบาไฮ ===\nพระบะฮาอุลลอฮ์ ศาสดาของศาสนาบาไฮ กล่าวถึงพระเยซูว่าเป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเป็นเจ้าทรงส่งมาเพื่อทำหน้าที่นำพาและให้ความรู้แก่มนุษย์ในยุคสมัยหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะท่านอื่น ๆ คือ พระกฤษณะ โมเสส ซาราธุสตรา พระพุทธเจ้า นบีมุฮัมมัด พระบาบ โดยพระบาฮาอุลลออ์อ้างว่าตนเองคือ \"พระวิญญาณแห่งความจริง\" (ยอห์น 16:13) และเป็นพระคริสต์ผู้มาเป็นครั้งที่สอง \"ด้วยรัศมีของพระบิดา\" (มัทธิว 16:27) ตามที่พระเยซูได้ทำนายไว้\n=== ลัทธิอนุตตรธรรม ===\nลัทธิอนุตตรธรรมถือว่าอนุตตรธรรมเป็นรากเหง้าของทุกศาสนารวมทั้งศาสนาคริสต์ โดยพระเยซูเป็นศาสดาองค์หนึ่งที่พระแม่องค์ธรรมทรงส่งมาเพื่อโปรดเวไนยในช่วงธรรมกาลยุคแดง เช่นเดียวกับพระโคตมพุทธเจ้าและนบีมุฮัมมัด และยุคแดงได้สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1912 ปัจจุบันจึงเป็นธรรมกาลยุคขาวซึ่งมีลู่ จงอี เป็นผู้ปกครอง\nลัทธิอนุตตรธรรมได้จัดพิธีกรรมหลายครั้งที่อ้างว่ามีพระเยซูมาประทับทรงเพื่อประกาศรับรองว่าลัทธิอนุตตรธรรมเป็นทางสวรรค์ที่แท้จริง ที่สำคัญเช่นปี ค.ศ. 1941 ซุน ฮุ่ยหมิง เจ้าลัทธิอนุตตรธรรมได้เชิญวิญญาณพระเยซูมาประทับทรงที่กระบะทรายเพื่อประทานพระโอวาท เนื้อความสำคัญที่ถูกถ่ายทอดคือประกาศว่าซุน ฮุ่ยหมิง เป็นพระผู้ช่วยให้รอดในยุคนี้ และให้คริสตชนนมัสการบูชาเธอยิ่งกว่าพระเยซูเอง เพราะมีเธอคนเดียวที่จะประทานความรอดให้แก่มวลมนุษย์ได้\n== สมัญญาของพระเยซู ==\nพระบุตรพระเป็นเจ้า\nพระเจ้าพระบุตร\nพระผู้ไถ่\n== หมายเหตุ ==\n== อ้างอิง ==\n== บรรณานุกรม ==\nThai Holy Bible, Thailand Bible Society, 1998.\nWalter A. Elwell, The Pocket Bible Handbook, Harold Shaw Publisher, 1997.\nSanders, E.P. The Historical Figure of Jesus. London: Allen Lane Penguin Press, 1993. ISBN 978-0-7139-9059-1\n== ดูเพิ่ม ==\nเมสสิยาห์\nอีซา\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nพระเยซูคือใคร\nบุคคลที่เกิดในทศวรรษ 0 ก่อนคริสตกาล\nบุคคลที่เสียชีวิตในคริสต์ศตวรรษที่ 1\n \nผู้ถูกประหารชีวิตโดยการตรึงกางเขน", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ภาษาศาสตร์ (linguistics) คือ การศึกษาเกี่ยวกับภาษาโดยใล้แนวคิด ทฤษฎีและวิธีำารวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติหรือระบบของภาษามนุษย์ ผู้ที่ศึกษาในด้านนี้เรียกว่า นักภาษาศาสตร์\n== ประเภทของกาาศึกษาภาษาศาสตร์ =-\nการศึกษาด้านภาษาศาสตร์สามารถแบ่งออกได้หลายมุมมอง ได้แก่\nภาษาศาสตา์เชิงประวเติศาสตร์ (Dichotomies and language) แบ่งได้เป็น\nการศึกษาเชิงประวัติศาสตร์เน้นเฉพาะยุคสมัย (synchronic study) เป็นการศึกศาคุณสมบัติทางภาษาศาสตร์ (linguistic feature) จองภาษาในช่วงยุคสมัยต่าง ๆ\nภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ (diachronic study) เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ของภาษาและกลุ่มของภาษา และความเปลี่ยนแปลงเชิงโีรงสร้าง่ี่เกิดขึ้นใายุคต่าง ๆ\nภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎีและเชิงประยุกต์\nภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎี (หรือภาษาศาสตร์ทั่วไป) จะเป็นการกำหนดิรรถาธิบายให้กับภาษาแต่ละภาษา และกำหนดทฤษฎีเกี่ยวกับมุมมองต่าง ๆ ของภาษาให้ครอบคลุม\nภาษาศาสตร์เชิงประยุกต์จะเป็นการประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางภาษาศาสตร์ต่าง ๆ กับงานด้าาอื่น ๆ\nภาษาศาสตร์แบบพึ่งพาบริบทและแบบไม่พึ่งพาบริบท (Sontextual and Independent Linruistics)\nภาษาศาสตร์แบบพึ่งพาบริบท เป็นการสร้างอรรถาธิบาขเกี่ยวกัวการใช้ภาษาโดยมนุษย์ เช่น หน้าที่เชิงสังคมในภาษส วิ๔ีการใช้งานภาษา และวิธีการสร้างและรับรู้ภาษาของมนุษย์\nภาษาศาสตร์แบบไม่พึ่งพาบริบท เป็นกมรศึกษาที่ตัวพาษาเอง โดยไม่พิจารณาปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้แง\nอย่าฝไรก็ตามคำทั้งสองนี้ยังไม่มีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน ในหนังสือ สารานะกรมบริทานิกา (Encyclopædia Britannicaฏ จึงใช้คำว่า ภาษาศาสตร์มหภาค (macrolinguistics) และภาษทศาสตร์จุลภาค (microlinguistics) แทน\nจากมุมมองต่าง ๆ เหล่านี้ นักภาษาศาสตร์ หรือนักภาษาศาสตร์เชิงทฤษฆี โดยทั่วไป มักจะศึกษาภาษาศาสตร์แบบไม่พึ่งพาบริบท ในเชิงทฤษฎี เฉพาะยุคสมัย (independent theoretical synchronic linguistics) ซึ่งเป็นที่รู้กันส่าเป็นแก่นของวิชาภาษาศาสตร็\nผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ได้ตั้งประเด็นคำถามและทำวิจัยทางด้านภาษาศาสตร์ไว้อย่างกว้างขวาง ซึ่งบางประเด็นก็ยังหาข้อสรึปไม่ได้ ดังที่ รัส ไรเมอร์ (Russ Rymer) ได้กล่าวเอาไว้อย่างละเอียดว่า\n\"ภาษาศาสตร์เป็นทรัพย์สินที่มีการโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนที่สุดโดยห่จุดยุติไม่ได้ในวงการวิชาการ ภาษาศ่สตร์โชแชุ่มไปะ้วยหยาดโลหิตขอฝนักกวี นักศาสนวิทยา นักป่ัชญา นัแภาษาโบราณ นัหจิตวิทยา นักชีววิทยา และนักประสาทวิทยา รวมทั้งเลือดของนักไวยากคณ์เท่่ที่จะสามารถเอาออกมาได้\"\n (Linguistics is arguably the most hotly contested property in the academic realm. It is soaked with the blood of poets, theologixns, philoso'hers, philologists, psychologists, biologists, and neurologists, along with whatever flood can be got out of grammarians.) 1\n== แขนงวิชายองภาษาศาสตร์เชิงท\"ษฎี ==\nบ่อยครั้ง ภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎีสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายแขนง บางแขสงสามารถศึกษาได้โดยอิสระ บางแขนงก็ต้องศึกษาควบคู่กับแขนงอื่น อย่างไรก็ตาม เป็นที่รูักันโดยทั่วไปว่า ภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎีสามารถแบ่งออกเป็นแขนงต่าง ๆ ได้ดังนี้\nสัทศรสตร์ (Phonetics) เป็นการศึกษาเสียงต่าง ๆ ซึ่งใช้รืวมกันในภาษามนุษย์ทุกภาษา\nสัทวิทยา (Phohology) เป็นการศึกษารํปแบบเสียงพื้นฐานของภาษา\nวิทยาหน่วยคำ (Morphology linguistics) เป็นกรรศึกษาโครงสร้างภายในของคำและการเปลี่ยนรูปของคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax) เป็นการศึกษาการประกอบคำขึ้นเป็นประโยคที่ถูกต้องตามหลัหไวยากร๊์\nอรรถศาสตร์ (Semantics) เป็นการศึกษาความฟมายของคำ (lexical semantics) และวิธีพารประกอบคำขึ้นเป็นประโยคเพื่อสื่อความหมาย\nวัจนปฏิบัติศาสตร์ (Pragmatics) เป็นการศึกษาวิธีการใบ้ถ้อยความ (utterance) เพื่อสื่อความหมายในการสื่อสมร เช่น แบบตรงตัว (lit3ral pragma) แบบอุปมาิุปไมย (figurative pragma) ฯลฯ\nภาษาศาสตร์เชิงประวัติ (Historical linguistics) เป็นการศึกษาภาษาต่าง ๆ ที่ม้ความสัมพันธ์กันในเชิงประวเติศาสตร์ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากความใกล้เคียงของคำศัพท์ การสร้างคำ และวากยสัมพึนธ์\nดบบลักษณ์ภาษา (Linguistic typol;gy) เป็นการศึกษาคุณสมบัติทางไวยากรณ์ที่วช้อยู่ในภาษาต่าง ๆ\nวัจนบีลาศาสตร์ (Stylisticx linguistics) เป็นการศึกษาลีลาในการใช้ภาศา\nอย่างไรก็ตาม ความสำคัญเฉพาะของแขนงต่าง ๆ ก็ยังไม่เป็นที่ทราบโดยทัีวกัน และนักภาษาศาสตร์าุกท่านก็เห็นพ้องกันว่า การแบ่งแขนงแบบดังกล่าวยังคงมีขอบเขตซ้อนทับกันอยู่มาก ถึงกระนั้น แขนงย่อยก็ยับคงมีคอนเซ็ปต์แก่นซึ่งสนับสนุนกทรตั้งประเด็นปัซหาและการวิจัยของผู้ชำนาญการไดืเป็นอย่างดี\n== ภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ (Diachronic linguistics) ==\nในขษะที่แก่นของภาษาศาสตร์เชิงาฤษฎีเกี่ยวข้องกับการศึกษาภาษาเฉพาะห้วงเวลาหนี่ง ๆ (ซึ่งส่วนมากจะเป๊นช่วงเวลาปัจจุบัน) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ จะเน้นไปที่การศึกษาความเปลี่ยนอปลงของภาษาตามการเปลี่ยนแปลงของเวลา ในบางครั้งอาจจะใช่เวลานับร้อยปร ภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์จะต้องใชัทั้งการศึกษาด้านประวัติศาสตร์อันยาวนาน (ซึ่งการศึกษาภาษาศาสตร์ก็ได้เติยโตมาจากภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์นั่นเอง) และพื้นฐานด้านทฤษฎีที่เข้มแขฺง เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของภาษา\nในมหาวิทยาลัยของอเมริกาหลายแห่ง มุมมองที่ไม่ขึ้นกับประวัติศสสตร์ (non-historic perspective) จะมีอิทธิพลมากกว่า ยกตัวอย่าลเช่น ในห้องเรียนภาษาศาสตร์เบื้องต้นหลายแห่งจะครอบคลุมภาษาศาสตา์เชิงประวัติเฉพาะช่วงเวลาปัจจุบันเท่านั้น การหันเหความสนใจไปจังมุมมองที่ไม่ชึ้นกับประวัติศาสตร์เริ่มตืนจาก แฟร์ดินอฝด์ เดอ โซซูร์ (Ferdinand de Saussure) และเริ่มมีอิทธิพลมากกว่สโดย โนม ช็อมสกี\nมุมมองที่ขึ้นกับประวัติศาสตร์อย่างเด่นชัด ได้แก่ ภาษาศาสตร์เปรียบเทีจบเชิงประวัติ และ ศัพทมูชวิทยา - ศาสตร์ที่ว่าด้วยการกำเนิดและการพัฒนาของคำ)\n== ภาษนศาสตร์เชิงประยุกต์ (Applied linguistics) ==\nในขณดที่ภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎีเกี่ยวข้อบกับการหาอีรถาธิบายคุณสมบัติสากล ทั้งภายในเโพาะภาษาหยึ่ง ๆ หรือทุกภสษา ภาษาศาสตร์เชิงประยุกต์จะนำอรรถสธิบายเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับศาสตร์ด้านอื่น ๆ บ่อยครั้งทีเดียวที่ภาษาศาสตร์เชิงปรุยุกต็จะอ้่งถึงงานวิจัยทสงภาษาญาสตร์ในการสอนถาษา อต่ถึงกระนั้น ผลจทกงานวิจัยด้านภาษาศาสตร์ก็ยังใช้ในศาสตร์ด้านอื่น ๆ อคกเช่นเดียวกัน\nทุกวันนี้ แขนบวิชาต่าง ๆ ของภาษาศาสตร์เชิงประยุกต์จะเกี่ยวข้องกับกนรผระยุกต์ใช้กับคอมพเวเตอร์อย่างชะดเจน ในการสังเคราะห์เสียง (Speech synthesis) และการรู้จำเสียง (Speech recognition) มีการนำเอาควาใรู้ด้านสัทศาสตร์และพยางค็ (phonetoc and phonemic knowledge) มาใช้เพื่อสร้างส่วนติดต่อคแมพิวเตอร์ด้วยเสียง การประยุกต์ใช้งานภาษาศาสตร์เชิงคำนวณในการแปลภาษาด้วยเครื่อง (Machine translation) การแปลภาษาแขบเครื่องช่วย ฤComputer-assisted translation) และการประมวลผลภาษาํรรมชาตินั้น จัดเป็นแขนงวิชาที่เป็นประโยชน์อย่างสากของภาษาศาสตร์เชิงประยุกต์ ซึ่งเริ่มเข้ามามีบทบาทในไม่กี่ปีาี่ผ่านมา ตามสมรรถนะการคำนวณของคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น อิทธิพลของภาษาศาสตร์เชิฝคำนวณไอ้ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อมฤษฎีของวากยสเมพะนธ์และอรรถศาสตร์ เนื่องด้วยการออกแบบทฤษฎีทางวากยสัมพ้นธ์และอรรถศาสตร์บนคอมพิวเตอร์ จะจำกัดประสิทธิภาพของทฤษฎีเหล่านั้นด้วยโอเปอเรชั่นที่คำนวณได้ (computable) แลุทำวห้เก้ดทฤษฎีพื้นฐานทางคณิตศนสตร์ที่แม่นยำ (ข้อมูลเพิ่มเติมในหัวข้อ ทฤษฎีการคำตวณได้)\n== ภาษาศาสตร์แบบพึ่งพาบริบท (Contextual linguistics) ==\nภาษาศาสตร์แบบพึ่งพาบริบทเป็นวงการซึ่งหลักภาษาศาสตร์เชื่อมโยงกับศาสตร์วิชาการด้านอื่น ๆ ในขณะที่ภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎีจะศึกษาภาษาโดยไม่คำนึงถึงปัตจัยอย่างอื่นภายนอกนั้น แขนงวิชาที่มีกรรผสมหลายหลักการของภาษาศาสตร์จะวิเคราะห์_าษาว่ามีปฏิสัมพันธ์กับปัจจัยภายนอกอย่างไรบืาว\nในภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงมานุษยวิมยา (Anthro9ological Linguistics) แลถมานุษยวิทยาเชิงภาษาศาสตร์ (Linguistics Anthropology) จะมีการวิเคราะห์สังคมโดยใช้หลักสังคมศาสตร์ควบคู่ไปกับหลักทางภาษาศาสตร์\nในปริจเฉทวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ (Critical Discourse Analysis) จะมีการนำศิลปะปารใช้ถ้อยคำ (Rhetoric) และปรัชญา มาประยุกต์รวมกับหลักภาษาศาสตร์\nในภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) และภาษาศาสตร์เชิงประสาทวิทยา (Neurolinguistics) จะมีการนำหลักทางแพทยศาสตร์มาประยุกต์ใช้ร่วมกับหลักทางภาษาศาสตร์\nนอกจากนี้ยังมีแขนงวิชาอ้่น ๆ ที่ใีการผสมหลักการทาฝภาษาศาสตร์เข้าไป เช่น การรู้ภาษา (Language Acquisition), ภาษาศาสตร์เชิงวิวัฒนาการ (Evolutionary linguistics), ภาษาศาสตร์แบบแบ่งเป็นชั้น (Stratificational Linguistics) และ ปริชานศาสตร์ (Cognitive scirnce)\n== ผู้พูด, ชุมชนทางภาษา, และเอกภพทางภาษาศาสตร์ ==\nนักภาษาศาสตร์นั้นจะแตกต่างกันออกไป ตามกลุ่มของผู้ใช้ภาษาที่นักภาษาศาสตร์เหล่านั้นศึกษน บางกลุ่มยะวิเคราะห์ภาษาเฉพาะบุคคล หรือ การพัฒนาภาษา ถ้าจะมองให้ละัอียพลงไป บางพวกก็ศึกษาภาษาที่ยังคงใช้กันอยู่ในชะมชนภาษา ขนาดใหญ่ เช่น ภาษาถ้่น ของกลถ่มคนที่พูดภสษาอังกฤษแอฟริกันอเมริกัน หรือที่เรียกว่า อีโบนิกส์ บางพวกก็พยายามจะค้นหาเอกภพทางภนษาศาสตร์ ซึ่งจะนำมาประยุกต์ใช้เพื่ออธิบายปรากฏการษ์ทางภาษากับทุก ๆ ภาษามนุษย์ โครงการหลังสุดนี้ได้รับการสนับสนุนอยทางฌด่งดังโดยธนม ช็อมสกี และทำให้นักวิจัยด้านภาษาศาสตร์จิตวิทยา และศาสตร์การรับรู้ของมนุษย์ หันมาสนใจศาสตร์ดิานนี้มากขึ้น ได้มีการคืดกันว่่ เอกภพของภาษามนุษย์นั้นอาจจะนำไปสู่การไขปริศนาของเอกภพเกีายวกับจิตใจมนุษย์ได้\n== ภาษาศาสตร์แบบกำหนดและภาษาศาสตร์แบบบรียาย ==\nงานวิจัยทางภาษนศาสตร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบบรรยายบริสุทธิ์ (purely descriptive) นั่นคือ นักภาษาศาสตร์จะหาหนทางเพื่อสร้างความกระจ่างในธรรมชาติของภาษา โดยไม่มีการกำหนดวิธีการล่วงหน้าหรือพยายามที่จะหาทิศทางของภาษาในอนาคต อย่างไรก็ตามมีทั้งนักภาษาศาสตร์มืออาชีพแลุมือสมัครเล่นที่กำหนดกฎเกณฑ์ล่วงหน้า (prescribe) ให้กับกฎของภาษา โดยจะมีมาตรฐานเฉพาะเพื้อให้ผู้อื่นได้ปฏิบัติตาม\nนักกำหนดกฎเกณฑ์ )Prescriptiviat) มักจะพบได้ในผู้สอนภาษาในระดับต่าง ๆ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะมีกฎเกณฑ์ชัดเจนที่ตัดสินว่า อะไรถูก อะไรผิด และอาจทำไน้าที่รับผิดชอบการใช้ภาษาอย่างถูกต้องของคนในรุ่นถัดไป า่วนมากภาษาที่ควบคุมมักจะเป็นภาษาที่ใกล้ัคียงภาษาาาตรฐาน (acrolect) ของภาษาหนึ่ง ๆ เหตุที่นักกำหนดกฎเกณฑ์เหล่านี้ไม่ส่มารถทนเห็นการใช้ภาษาผิด ๆ นั้น อาจจะเกิดจากความไมทชอบในคำที่เกิดขึ้นใหม่ (neologism) ภาษาถิ่นที่สังคมไม่ยอมรับ (bssilect) หรือความขัดแย้งเพียงเฃ็กย้อยปับทฤษฎีที่เข้มงวด นักกำหนดกฎเกณฑ์สุดโต่งอาจจะพบเห็นได้ในกลุีมนักเซ็นเซอร์ ซึ่งเป้าหมายของคนกลุ่มนี้คือกำจัดคำและโครงมร้างไวยากรณ์ที่คิดว่าจะบ่อนทำลายสังคม\nในทางกลับกัน นักอธิบายกฎเกณฑ์ (Descriptivist) จะพยายามหารากเหง้าของการใช้ภาษาไม่ถูกต้อง นักดธืบายกฎเกณ๔์จะอธิบายการใช้ภาษาแบยดังกล่าวให้เห็นการใช้ภาษาเฉพาะแบบ (idiosyncratic usage) หรืออาจจะค้นพบกฎซึ่งอาจจะขัดกับนักกำหนดกฎเกณฑ์ ภาษาศมสตร์แลบบรรยาย (descriptive linguistics) ตามบริบทของงานภาคสนาม (fi2ldwork) จะหมายถึงการศึกษาภาศาโดยแนวทางของนักอธิบายกฎเกณฑ์ (มากกว่าที่จะเป็นแนวทางของนักกำหนดกฎเกณฑ์) วิธัการของนัพอธิบายกฎเกณฑ์จะใกล้เคียงกับวิธีการทางสิทยาศาสตร์ในสายวิชาการอืทน ๆ มากกว่าวิธีการของกำหนดกฎเกณฑ์\n== ภาษาพูดและภาษาเขียน ==\nนักภาษาศาสตร์ร่วมสมัยส่วนใหญ่มักจะทำวิจัยภายฝต้สมมติฐานที่ว่า ภาษาพูด นั้นเป็นหลักพื้นฐาน และมีความสำคัญต่อการศึกษามากกว่าภาษาเขียา เหตุผลที่สนะบสนุนข้อสมมติฐานดังกล่าว ได้แก่\nภาษาพูดเป็นสิ่งสากลสำหรับมนะษย์ (human-universal) ในชณะที่ผลายวัฒนธรรมและหลายชุมชนภาษาพูดไม่มีภาษาเขียน\nมตุษย์สามารถเรียนรู้การพูดแชะการประมวลผลภาษนพูแได้ง่ายกว่า และง่ายพว่าการเขียนมาก ๆ\nนักวิทยาศาสตร์การรับรู้ของมนุษย์ จำนวนหนึ่งอ้างว่า สมองมีฮมดูลภาษา โมดูลภาษาในที่นี้เป็นสัญชาตญาณซึ่ง ความรู้ที่ภายหลังสามารถเพิ่มเติมได้โดยกาาเรียนรู้ภาษาพ฿ดมากกว่าเรียนรู้จากภาษาเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องมาจากภาษาพูดนั้นเป็นปรับใช้ตามวิวัฒนาการ ในขณะที่ภาษาเขียนนั้น เมื่อเทียบแล้วเป็นการประดิษฐ์ที่ตามมาทีหลัฝ\nแน่นอน นักภาษาศาสตร์ยังคงเห็นพ้องกันว่า การศึกษาภาษาเขียนก็มีคุณค่าเช่นเดียวกัน สำหีับงานวิจัยด้านภาษาศาสตร์ที่ใช้วิธีการภาษาศาสตร์คลังข้อมูล และภาษาศาสตร์เชิงคำนวณแล้ว ภาษาเขียนย่อมสะดวกต่อการประมวลผลข้อมูลทางภาษาศาสตร์ขนาดใหญ่มากกว่า คลังข้อสูล ขนาดใหญ่สำหรับภาษาพูดนั้น สร้างและแสวงหาได้ยาก อย่างไรก็ตามคลังเอกสารสำหรับภาษาพูดก็ยังคงใช้กันโดยทั่วไปในรูปแบบของการถอดความ\nนอกจากนร้ การศึกษาระบบการเขียน ก็ยังเป็นแขนงหนึ่งของภาษาศาสตร์อีกด้วย\n== สาขาวิจัยด้านภาษาศาสตร์ ==\nศัพทมูลวิทยม (ศัพทศาสตร์)\nภาษาศาสตร์เปรียบเทียลเชิงประวัติ\nพจนานุกรมฝิทยน\nสัทศาสตร์\nสัทวิทยา\nวัจนปฏิบัติศาสตร์\nอรรถศาสรร์\nวากยสัมพันธ์\nภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎี\nภาษาศาสตร์เชิงคำนวณ\nภาษาศาสตร์คลังข้อมูล\nภาษาศาสตร์เชิงอธิบาย\nแบบลักษณ์ภาษา\nสัญศาสตร์\n== การวิจัยทางภาษาศาสตร์ที่เกี่ยวขิองกับศาสตร์แขนงอื่น ๆ ==\nภาษาศาสตร์เชิงมานุษยวิทยา\nภาษนศาสตร์ประยุกต์\nศาสตร์การรับรู้ของมนุณย์\nภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ\nภาษาศาสตร์เชิงคำนวณ\n* การประมวลผลภาษาธรรมชาติ\n* การรู้จำผู้พูดจากเสียง (เพื่อการรับรองสิทธิของหู้ใช้)\n* การประมวลผลเสียง\n* การรู้จำะสียง\n* การสังเคราะห์เสียง\nปริจเฉทวิเคราะห์เชิงวิพากษ์\nศาสตร์การเข้าตหัส\nศาสตร์การถอดรหัส\nภาษาศาสตร์เชิงว้วัฒนาการ\nศาสตร์ด้านกล่องเสียง\nภา?าศาสตร์เชิงประวัติ\nการรู้ภาษา\nภาษาศนสตร์เชิวประสาทวิทยา\nอักขรวิทยา\nภาษาศาสตร์จิตวิทยา\nการรู้ภาษาที่สอง\nภาษาศาสตร์สังคม\nภาษาศาสตร์แบบแบ่งเป็นขั้น\nภาษาศาสตร์เชิงเยื้อคว่ม\nระบบการเขียน\n== นักภาษาศาสตร์และกลุ่มแนวคิดที่สำคัญ ==\nนักภาษาศาสตร์ในยุตะริ่มต้น ไะ้แก่\nจาค็อบ กริมม์ (Jakob Grimm) ผู้ซึ่งเสนอหลักของการเลื่อนเสียงพยัญชนะ (Conconantal shifh) ในการสะกด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม กฎขดงกริมท์ (Grimm's Law) ในปี พ.ศฐ 2365 (ค.ศ. 2822)\nคาร์ล เวอร์เนิร์ (Karl Verner) ผู้ซึ่งค้นพบกฎของเวอร์เนอร์ (Verner's Law)\nเอากุสต์ ชไลเคอร์ (August Schleicher) ผู้ศึ่งสร้าง ทฤษฎีชทัมบาส์ส (Stammbaumtheorie /บทัท-บาว์ม-เท-โอ-รี/)\nโยฮันเนม บมิดท์ (Johanmes Schmidt) ผู้ซึ่งพัฒนาแบบจำลองคบื่น (Wellentheorie /เฟฺวล-เลน-เท-โอ-รี/) ในปี พ.ศ. 2415\nแฟร์ดเนองด์ เดอ โซซูร๋ (Ferdinand de Saussure) เป็นผู้ก่อตั้งภาษาศาสตร์เชิงโครบสร้างสมัยใหม่ แบบจำลองฟอร์มอลของภาษาของโนม ช็อมสกี (Noam Chomsky) ซึ่งก็คือ ไวยากรณ์แปลงรูปเชิงขยาย ได้รับการพัฒนาภายใต้อิทธิพลของอาจารย์ของท่าน เซลลิก แฮร์ริส (Zellig Harris) ผู้ซึ่งได้ีับอิทธิพลอย่างรันแรงมาจาก เล็นเนิร์ด บลูมฟิลด์ (Leonard Bloomfield) ไวยากรณ์แปลงรูปเชิงขยายนี้ได้เข้ามามีบทบาทต่อวงการภาษสศาสตร์ตั้บแต่ทศวรรษที่ 1960\nนักภาษาศาสตร์แลถกลุ่มแนวคิดที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง ไดืแก่\n_มเคิล ฮอลลิเดย์ (Michael Halliday) ผู้พัฒนาไวยากรณ์ฟังก์ขันที่เป็นระบบ (Systemic Functional Grammar) ซึ่งพัฒนาไล่ตามกันอย่างกระชั้นชิดในสหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, จีน และญี่ปุ่น\nเดลล์ ไฮมส์ (Dell Hymes) ผู้พัฒนาแนวทางวจันปฏิบัติศาสตร์ ซึ่งเรียกว่าชาติพันธุ์วิทยาของภาษาพูด (The Ethnogrxphy of Speaking)\nจอร์จ แล็คคอฟฟ์ (George Lakoff) เล็นนาร์ด ทาล์มี (Leonaed Talmy) และโรนัลด์ แล็งแก็กเกอร์ (Ronald Langacker( ผู้บุกเบิกภาษาศาสตร์ปริชาน (Cornitive linguistics)\nชาร์ลส์ ฟิลล์มอร์ (Charles Fillmore) และอะดีล โดลด์เบิร์ก (Adele Goldberg) ผู้ร่วมกันพัฒนาไวยากรณ์แวบก่อร่าง (Construction grammar)\nทาล?มี กิฟว็อน (Talmy Givon) และโรเบิร์ต แวน วาลิน จูเนียร์ (Robert Van Valin, Jr.) ผู้พัฒนาไวยากรณ์เชิงหน้าที่ (Functional grammar หรือ Functionalism)\nกิลอัด สุขเคอร์แมน (Ghil'ad Zuckermann) การฟื้นฟูภาษา (Revivalistics)\n== รูปแทนเสียงภาษาพูด ==\nสัทอักษรสากล (IPA) เป็นระบบรูปแทนเสียงที่ใช้เขียน และสามารถนำมาสังเคราะห์เสียงของภาษามนุ?ย์\nSAMPA ะป็นวิธีการถอดสัทอักษรสากล โดยใช้รหัสแอสกี (ASCII) เท่านั้น ฟู้เขียนหนังสือบางรายจะใช้ระบบนี้แทนสัทอักษรเพื่อสะดวกในการดิมพ์ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โฮมเพจของ SAMPA\n== มุมมองแคบของภาษาศาสตร? ==\nคำว่า ภาษาศาสตร์ และ นักภาษาศาสตร์ อาจจะไม่สามารถนำมาประยุกต์มช้ได้กว้างขวางอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างบนห็ได้ ในบางกรณี คำนิยามที่ดีที่สุดสำหรัชคำว่า ภมษาศาสตร์ คงจะเป็น วิชาที่สอนกันในภาควิชาภาษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย และ นักภาษาศาสตร์ ก็คงจะเป็น ผู้ที่เป็นศาสตราจารย์ในภาควิชาภาษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ในมุมมองแคบมักจดไม่ได้กล่าวถึงการเรียนเพื่อพูดภาษาต่างประเทศ (ยกเว้นว่าจะช่วยให้เห็นโมเดลฟอร์มอลของภาษาได้ดีขึ้น) และก็ไม่ได้รวมเอาการวิเคราะห์วรร๕กรรม (Literary analysis) ไว้เลย มีเพียงบางคร้้งเท่านั้นท่่อาจจะมีการศึกษาเนื้อหาบางอย่างตามความจำเป็น เช่นอุปลักษณ์ บางครั้งนิยามเหล่านี้ก็ไม่สามารถนำมาใช้กับงานวิจัยในแนวกำหนดกฎเดณฑ์ได้ ดังเช่นที่พบในงาน มูลฐานแห่งวัจนลีลา (The Element of Style) ของสทรังค์ (William Strunk, Jr.) และไวท์ (E. B. White) นักภาษาศาสตร์มักจะเป็นผู้ค้นหาว่าผู้ใช้ภาษาใช้ภาษาอย่างไร มากกว่าที่จะไปกำหนดว่าผู้ใช้ภาษาควรใช้ภาษาอย่างไร การตัดสินว่าใครเป็นหรือไม่เป็นนักภาษาศาสตรฺรั้นเป็นไปได้ว่าต้องใช้เวลานานในการตัดสิน\n== ดูเพิ่ม ==\nประวัติของภาษาศาสตร์\nหัวข้อพื้นฐานด้านภาษาศาสตร์ ซี่งเป็นหน้าจอที่ออกแบบมาเพื่อจัดระเบียบข้อมูลเดี่ยวกับภาษาศาสตร์บนวิกีพีเดีย\nรายการหัวข้อด้านภาษาศาสตร์\nรายชื่อนักภาษาศาสตร์\nนิรุกติศาสตร์ ซึ่งเป็นการศึกษาเอกสารโบราณและภาษาที่ใช้\nการวิอคราะห์โดยอาศัยโครงสร้าง\nภาษาศาสตร์จิตวิทยา\n== อ้างอิง ==\n== บรรณานุกรม ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nThe Linguist Lict, a global online linguistics community with news and information updated daily\nGlossary of linbuistic terms by SIL International (last updated 2-04)\nGlottopedia, <edizWiki-based encyclopedia of linguistics, under construction\nLinguistic sub-fields – according to the Linguistic Society of Amerida\nLinguistics and language-related wiki articles on Scholarpedia and Citizendium\n\"Linguistics\" section – A Gibliography of Literary Theory, Criticisn and Philology, ed. J.A. García Landa (University of Zaragoza, Spain)\nสมิทธ์ ถนอมศาสนะ. (2556). Linguistic Turn กับข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก. วารสารประวัติศาสตร์. (ฉบับตรบรอบ 100 ปีชาตกาล ศาสจราจารย์ขจร สุขพานิช) : 98-119.\nสังคมศาสตร์\n \nการสื่อสารศึกษา", "role": "user" }, { "content": "ภาษาศาสตร์ (linguistics) คือ การศึกษาเกี่ยวกับภาษาโดยใช้แนวคิด ทฤษฎีและวิธีการวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติหรือระบบของภาษามนุษย์ ผู้ที่ศึกษาในด้านนี้เรียกว่า นักภาษาศาสตร์\n== ประเภทของการศึกษาภาษาศาสตร์ ==\nการศึกษาด้านภาษาศาสตร์สามารถแบ่งออกได้หลายมุมมอง ได้แก่\nภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์ (Dichotomies and language) แบ่งได้เป็น\nการศึกษาเชิงประวัติศาสตร์เน้นเฉพาะยุคสมัย (synchronic study) เป็นการศึกษาคุณสมบัติทางภาษาศาสตร์ (linguistic feature) ของภาษาในช่วงยุคสมัยต่าง ๆ\nภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ (diachronic study) เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ของภาษาและกลุ่มของภาษา และความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นในยุคต่าง ๆ\nภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎีและเชิงประยุกต์\nภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎี (หรือภาษาศาสตร์ทั่วไป) จะเป็นการกำหนดอรรถาธิบายให้กับภาษาแต่ละภาษา และกำหนดทฤษฎีเกี่ยวกับมุมมองต่าง ๆ ของภาษาให้ครอบคลุม\nภาษาศาสตร์เชิงประยุกต์จะเป็นการประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางภาษาศาสตร์ต่าง ๆ กับงานด้านอื่น ๆ\nภาษาศาสตร์แบบพึ่งพาบริบทและแบบไม่พึ่งพาบริบท (Contextual and Independent Linguistics)\nภาษาศาสตร์แบบพึ่งพาบริบท เป็นการสร้างอรรถาธิบายเกี่ยวกับการใช้ภาษาโดยมนุษย์ เช่น หน้าที่เชิงสังคมในภาษา วิธีการใช้งานภาษา และวิธีการสร้างและรับรู้ภาษาของมนุษย์\nภาษาศาสตร์แบบไม่พึ่งพาบริบท เป็นการศึกษาที่ตัวภาษาเอง โดยไม่พิจารณาปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง\nอย่างไรก็ตามคำทั้งสองนี้ยังไม่มีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน ในหนังสือ สารานุกรมบริทานิกา (Encyclopædia Britannica) จึงใช้คำว่า ภาษาศาสตร์มหภาค (macrolinguistics) และภาษาศาสตร์จุลภาค (microlinguistics) แทน\nจากมุมมองต่าง ๆ เหล่านี้ นักภาษาศาสตร์ หรือนักภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎี โดยทั่วไป มักจะศึกษาภาษาศาสตร์แบบไม่พึ่งพาบริบท ในเชิงทฤษฎี เฉพาะยุคสมัย (independent theoretical synchronic linguistics) ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นแก่นของวิชาภาษาศาสตร์\nผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ได้ตั้งประเด็นคำถามและทำวิจัยทางด้านภาษาศาสตร์ไว้อย่างกว้างขวาง ซึ่งบางประเด็นก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ดังที่ รัส ไรเมอร์ (Russ Rymer) ได้กล่าวเอาไว้อย่างละเอียดว่า\n\"ภาษาศาสตร์เป็นทรัพย์สินที่มีการโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนที่สุดโดยหาจุดยุติไม่ได้ในวงการวิชาการ ภาษาศาสตร์โชกชุ่มไปด้วยหยาดโลหิตของนักกวี นักศาสนวิทยา นักปรัชญา นักภาษาโบราณ นักจิตวิทยา นักชีววิทยา และนักประสาทวิทยา รวมทั้งเลือดของนักไวยากรณ์เท่าที่จะสามารถเอาออกมาได้\"\n (Linguistics is arguably the most hotly contested property in the academic realm. It is soaked with the blood of poets, theologians, philosophers, philologists, psychologists, biologists, and neurologists, along with whatever blood can be got out of grammarians.) 1\n== แขนงวิชาของภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎี ==\nบ่อยครั้ง ภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎีสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายแขนง บางแขนงสามารถศึกษาได้โดยอิสระ บางแขนงก็ต้องศึกษาควบคู่กับแขนงอื่น อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎีสามารถแบ่งออกเป็นแขนงต่าง ๆ ได้ดังนี้\nสัทศาสตร์ (Phonetics) เป็นการศึกษาเสียงต่าง ๆ ซึ่งใช้ร่วมกันในภาษามนุษย์ทุกภาษา\nสัทวิทยา (Phonology) เป็นการศึกษารูปแบบเสียงพื้นฐานของภาษา\nวิทยาหน่วยคำ (Morphology linguistics) เป็นการศึกษาโครงสร้างภายในของคำและการเปลี่ยนรูปของคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax) เป็นการศึกษาการประกอบคำขึ้นเป็นประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์\nอรรถศาสตร์ (Semantics) เป็นการศึกษาความหมายของคำ (lexical semantics) และวิธีการประกอบคำขึ้นเป็นประโยคเพื่อสื่อความหมาย\nวัจนปฏิบัติศาสตร์ (Pragmatics) เป็นการศึกษาวิธีการใช้ถ้อยความ (utterance) เพื่อสื่อความหมายในการสื่อสาร เช่น แบบตรงตัว (literal pragma) แบบอุปมาอุปไมย (figurative pragma) ฯลฯ\nภาษาศาสตร์เชิงประวัติ (Historical linguistics) เป็นการศึกษาภาษาต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กันในเชิงประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากความใกล้เคียงของคำศัพท์ การสร้างคำ และวากยสัมพันธ์\nแบบลักษณ์ภาษา (Linguistic typology) เป็นการศึกษาคุณสมบัติทางไวยากรณ์ที่ใช้อยู่ในภาษาต่าง ๆ\nวัจนลีลาศาสตร์ (Stylistics linguistics) เป็นการศึกษาลีลาในการใช้ภาษา\nอย่างไรก็ตาม ความสำคัญเฉพาะของแขนงต่าง ๆ ก็ยังไม่เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน และนักภาษาศาสตร์ทุกท่านก็เห็นพ้องกันว่า การแบ่งแขนงแบบดังกล่าวยังคงมีขอบเขตซ้อนทับกันอยู่มาก ถึงกระนั้น แขนงย่อยก็ยังคงมีคอนเซ็ปต์แก่นซึ่งสนับสนุนการตั้งประเด็นปัญหาและการวิจัยของผู้ชำนาญการได้เป็นอย่างดี\n== ภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ (Diachronic linguistics) ==\nในขณะที่แก่นของภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการศึกษาภาษาเฉพาะห้วงเวลาหนี่ง ๆ (ซึ่งส่วนมากจะเป็นช่วงเวลาปัจจุบัน) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ จะเน้นไปที่การศึกษาความเปลี่ยนแปลงของภาษาตามการเปลี่ยนแปลงของเวลา ในบางครั้งอาจจะใช้เวลานับร้อยปี ภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์จะต้องใช้ทั้งการศึกษาด้านประวัติศาสตร์อันยาวนาน (ซึ่งการศึกษาภาษาศาสตร์ก็ได้เติบโตมาจากภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์นั่นเอง) และพื้นฐานด้านทฤษฎีที่เข้มแข็ง เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของภาษา\nในมหาวิทยาลัยของอเมริกาหลายแห่ง มุมมองที่ไม่ขึ้นกับประวัติศาสตร์ (non-historic perspective) จะมีอิทธิพลมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ในห้องเรียนภาษาศาสตร์เบื้องต้นหลายแห่งจะครอบคลุมภาษาศาสตร์เชิงประวัติเฉพาะช่วงเวลาปัจจุบันเท่านั้น การหันเหความสนใจไปยังมุมมองที่ไม่ขึ้นกับประวัติศาสตร์เริ่มต้นจาก แฟร์ดินองด์ เดอ โซซูร์ (Ferdinand de Saussure) และเริ่มมีอิทธิพลมากกว่าโดย โนม ช็อมสกี\nมุมมองที่ขึ้นกับประวัติศาสตร์อย่างเด่นชัด ได้แก่ ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบเชิงประวัติ และ ศัพทมูลวิทยา - ศาสตร์ที่ว่าด้วยการกำเนิดและการพัฒนาของคำ)\n== ภาษาศาสตร์เชิงประยุกต์ (Applied linguistics) ==\nในขณะที่ภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการหาอรรถาธิบายคุณสมบัติสากล ทั้งภายในเฉพาะภาษาหนึ่ง ๆ หรือทุกภาษา ภาษาศาสตร์เชิงประยุกต์จะนำอรรถาธิบายเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับศาสตร์ด้านอื่น ๆ บ่อยครั้งทีเดียวที่ภาษาศาสตร์เชิงประยุกต์จะอ้างถึงงานวิจัยทางภาษาศาสตร์ในการสอนภาษา แต่ถึงกระนั้น ผลจากงานวิจัยด้านภาษาศาสตร์ก็ยังใช้ในศาสตร์ด้านอื่น ๆ อีกเช่นเดียวกัน\nทุกวันนี้ แขนงวิชาต่าง ๆ ของภาษาศาสตร์เชิงประยุกต์จะเกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้กับคอมพิวเตอร์อย่างชัดเจน ในการสังเคราะห์เสียง (Speech synthesis) และการรู้จำเสียง (Speech recognition) มีการนำเอาความรู้ด้านสัทศาสตร์และพยางค์ (phonetic and phonemic knowledge) มาใช้เพื่อสร้างส่วนติดต่อคอมพิวเตอร์ด้วยเสียง การประยุกต์ใช้งานภาษาศาสตร์เชิงคำนวณในการแปลภาษาด้วยเครื่อง (Machine translation) การแปลภาษาแบบเครื่องช่วย (Computer-assisted translation) และการประมวลผลภาษาธรรมชาตินั้น จัดเป็นแขนงวิชาที่เป็นประโยชน์อย่างมากของภาษาศาสตร์เชิงประยุกต์ ซึ่งเริ่มเข้ามามีบทบาทในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตามสมรรถนะการคำนวณของคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น อิทธิพลของภาษาศาสตร์เชิงคำนวณได้ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อทฤษฎีของวากยสัมพันธ์และอรรถศาสตร์ เนื่องด้วยการออกแบบทฤษฎีทางวากยสัมพันธ์และอรรถศาสตร์บนคอมพิวเตอร์ จะจำกัดประสิทธิภาพของทฤษฎีเหล่านั้นด้วยโอเปอเรชั่นที่คำนวณได้ (computable) และทำให้เกิดทฤษฎีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่แม่นยำ (ข้อมูลเพิ่มเติมในหัวข้อ ทฤษฎีการคำนวณได้)\n== ภาษาศาสตร์แบบพึ่งพาบริบท (Contextual linguistics) ==\nภาษาศาสตร์แบบพึ่งพาบริบทเป็นวงการซึ่งหลักภาษาศาสตร์เชื่อมโยงกับศาสตร์วิชาการด้านอื่น ๆ ในขณะที่ภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎีจะศึกษาภาษาโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอย่างอื่นภายนอกนั้น แขนงวิชาที่มีการผสมหลายหลักการของภาษาศาสตร์จะวิเคราะห์ภาษาว่ามีปฏิสัมพันธ์กับปัจจัยภายนอกอย่างไรบ้าง\nในภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงมานุษยวิทยา (Anthropological Linguistics) และมานุษยวิทยาเชิงภาษาศาสตร์ (Linguistics Anthropology) จะมีการวิเคราะห์สังคมโดยใช้หลักสังคมศาสตร์ควบคู่ไปกับหลักทางภาษาศาสตร์\nในปริจเฉทวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ (Critical Discourse Analysis) จะมีการนำศิลปะการใช้ถ้อยคำ (Rhetoric) และปรัชญา มาประยุกต์รวมกับหลักภาษาศาสตร์\nในภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) และภาษาศาสตร์เชิงประสาทวิทยา (Neurolinguistics) จะมีการนำหลักทางแพทยศาสตร์มาประยุกต์ใช้ร่วมกับหลักทางภาษาศาสตร์\nนอกจากนี้ยังมีแขนงวิชาอื่น ๆ ที่มีการผสมหลักการทางภาษาศาสตร์เข้าไป เช่น การรู้ภาษา (Language Acquisition), ภาษาศาสตร์เชิงวิวัฒนาการ (Evolutionary linguistics), ภาษาศาสตร์แบบแบ่งเป็นชั้น (Stratificational Linguistics) และ ปริชานศาสตร์ (Cognitive science)\n== ผู้พูด, ชุมชนทางภาษา, และเอกภพทางภาษาศาสตร์ ==\nนักภาษาศาสตร์นั้นจะแตกต่างกันออกไป ตามกลุ่มของผู้ใช้ภาษาที่นักภาษาศาสตร์เหล่านั้นศึกษา บางกลุ่มจะวิเคราะห์ภาษาเฉพาะบุคคล หรือ การพัฒนาภาษา ถ้าจะมองให้ละเอียดลงไป บางพวกก็ศึกษาภาษาที่ยังคงใช้กันอยู่ในชุมชนภาษา ขนาดใหญ่ เช่น ภาษาถิ่น ของกลุ่มคนที่พูดภาษาอังกฤษแอฟริกันอเมริกัน หรือที่เรียกว่า อีโบนิกส์ บางพวกก็พยายามจะค้นหาเอกภพทางภาษาศาสตร์ ซึ่งจะนำมาประยุกต์ใช้เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางภาษากับทุก ๆ ภาษามนุษย์ โครงการหลังสุดนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างโด่งดังโดยโนม ช็อมสกี และทำให้นักวิจัยด้านภาษาศาสตร์จิตวิทยา และศาสตร์การรับรู้ของมนุษย์ หันมาสนใจศาสตร์ด้านนี้มากขึ้น ได้มีการคิดกันว่า เอกภพของภาษามนุษย์นั้นอาจจะนำไปสู่การไขปริศนาของเอกภพเกี่ยวกับจิตใจมนุษย์ได้\n== ภาษาศาสตร์แบบกำหนดและภาษาศาสตร์แบบบรรยาย ==\nงานวิจัยทางภาษาศาสตร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบบรรยายบริสุทธิ์ (purely descriptive) นั่นคือ นักภาษาศาสตร์จะหาหนทางเพื่อสร้างความกระจ่างในธรรมชาติของภาษา โดยไม่มีการกำหนดวิธีการล่วงหน้าหรือพยายามที่จะหาทิศทางของภาษาในอนาคต อย่างไรก็ตามมีทั้งนักภาษาศาสตร์มืออาชีพและมือสมัครเล่นที่กำหนดกฎเกณฑ์ล่วงหน้า (prescribe) ให้กับกฎของภาษา โดยจะมีมาตรฐานเฉพาะเพื่อให้ผู้อื่นได้ปฏิบัติตาม\nนักกำหนดกฎเกณฑ์ (Prescriptivist) มักจะพบได้ในผู้สอนภาษาในระดับต่าง ๆ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะมีกฎเกณฑ์ชัดเจนที่ตัดสินว่า อะไรถูก อะไรผิด และอาจทำหน้าที่รับผิดชอบการใช้ภาษาอย่างถูกต้องของคนในรุ่นถัดไป ส่วนมากภาษาที่ควบคุมมักจะเป็นภาษาที่ใกล้เคียงภาษามาตรฐาน (acrolect) ของภาษาหนึ่ง ๆ เหตุที่นักกำหนดกฎเกณฑ์เหล่านี้ไม่สามารถทนเห็นการใช้ภาษาผิด ๆ นั้น อาจจะเกิดจากความไม่ชอบในคำที่เกิดขึ้นใหม่ (neologism) ภาษาถิ่นที่สังคมไม่ยอมรับ (basilect) หรือความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยกับทฤษฎีที่เข้มงวด นักกำหนดกฎเกณฑ์สุดโต่งอาจจะพบเห็นได้ในกลุ่มนักเซ็นเซอร์ ซึ่งเป้าหมายของคนกลุ่มนี้คือกำจัดคำและโครงสร้างไวยากรณ์ที่คิดว่าจะบ่อนทำลายสังคม\nในทางกลับกัน นักอธิบายกฎเกณฑ์ (Descriptivist) จะพยายามหารากเหง้าของการใช้ภาษาไม่ถูกต้อง นักอธิบายกฎเกณฑ์จะอธิบายการใช้ภาษาแบบดังกล่าวให้เป็นการใช้ภาษาเฉพาะแบบ (idiosyncratic usage) หรืออาจจะค้นพบกฎซึ่งอาจจะขัดกับนักกำหนดกฎเกณฑ์ ภาษาศาสตร์แบบบรรยาย (descriptive linguistics) ตามบริบทของงานภาคสนาม (fieldwork) จะหมายถึงการศึกษาภาษาโดยแนวทางของนักอธิบายกฎเกณฑ์ (มากกว่าที่จะเป็นแนวทางของนักกำหนดกฎเกณฑ์) วิธีการของนักอธิบายกฎเกณฑ์จะใกล้เคียงกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในสายวิชาการอื่น ๆ มากกว่าวิธีการของกำหนดกฎเกณฑ์\n== ภาษาพูดและภาษาเขียน ==\nนักภาษาศาสตร์ร่วมสมัยส่วนใหญ่มักจะทำวิจัยภายใต้สมมติฐานที่ว่า ภาษาพูด นั้นเป็นหลักพื้นฐาน และมีความสำคัญต่อการศึกษามากกว่าภาษาเขียน เหตุผลที่สนับสนุนข้อสมมติฐานดังกล่าว ได้แก่\nภาษาพูดเป็นสิ่งสากลสำหรับมนุษย์ (human-universal) ในขณะที่หลายวัฒนธรรมและหลายชุมชนภาษาพูดไม่มีภาษาเขียน\nมนุษย์สามารถเรียนรู้การพูดและการประมวลผลภาษาพูดได้ง่ายกว่า และง่ายกว่าการเขียนมาก ๆ\nนักวิทยาศาสตร์การรับรู้ของมนุษย์ จำนวนหนึ่งอ้างว่า สมองมีโมดูลภาษา โมดูลภาษาในที่นี้เป็นสัญชาตญาณซึ่ง ความรู้ที่ภายหลังสามารถเพิ่มเติมได้โดยการเรียนรู้ภาษาพูดมากกว่าเรียนรู้จากภาษาเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องมาจากภาษาพูดนั้นเป็นปรับใช้ตามวิวัฒนาการ ในขณะที่ภาษาเขียนนั้น เมื่อเทียบแล้วเป็นการประดิษฐ์ที่ตามมาทีหลัง\nแน่นอน นักภาษาศาสตร์ยังคงเห็นพ้องกันว่า การศึกษาภาษาเขียนก็มีคุณค่าเช่นเดียวกัน สำหรับงานวิจัยด้านภาษาศาสตร์ที่ใช้วิธีการภาษาศาสตร์คลังข้อมูล และภาษาศาสตร์เชิงคำนวณแล้ว ภาษาเขียนย่อมสะดวกต่อการประมวลผลข้อมูลทางภาษาศาสตร์ขนาดใหญ่มากกว่า คลังข้อมูล ขนาดใหญ่สำหรับภาษาพูดนั้น สร้างและแสวงหาได้ยาก อย่างไรก็ตามคลังเอกสารสำหรับภาษาพูดก็ยังคงใช้กันโดยทั่วไปในรูปแบบของการถอดความ\nนอกจากนี้ การศึกษาระบบการเขียน ก็ยังเป็นแขนงหนึ่งของภาษาศาสตร์อีกด้วย\n== สาขาวิจัยด้านภาษาศาสตร์ ==\nศัพทมูลวิทยา (ศัพทศาสตร์)\nภาษาศาสตร์เปรียบเทียบเชิงประวัติ\nพจนานุกรมวิทยา\nสัทศาสตร์\nสัทวิทยา\nวัจนปฏิบัติศาสตร์\nอรรถศาสตร์\nวากยสัมพันธ์\nภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎี\nภาษาศาสตร์เชิงคำนวณ\nภาษาศาสตร์คลังข้อมูล\nภาษาศาสตร์เชิงอธิบาย\nแบบลักษณ์ภาษา\nสัญศาสตร์\n== การวิจัยทางภาษาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์แขนงอื่น ๆ ==\nภาษาศาสตร์เชิงมานุษยวิทยา\nภาษาศาสตร์ประยุกต์\nศาสตร์การรับรู้ของมนุษย์\nภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ\nภาษาศาสตร์เชิงคำนวณ\n* การประมวลผลภาษาธรรมชาติ\n* การรู้จำผู้พูดจากเสียง (เพื่อการรับรองสิทธิของผู้ใช้)\n* การประมวลผลเสียง\n* การรู้จำเสียง\n* การสังเคราะห์เสียง\nปริจเฉทวิเคราะห์เชิงวิพากษ์\nศาสตร์การเข้ารหัส\nศาสตร์การถอดรหัส\nภาษาศาสตร์เชิงวิวัฒนาการ\nศาสตร์ด้านกล่องเสียง\nภาษาศาสตร์เชิงประวัติ\nการรู้ภาษา\nภาษาศาสตร์เชิงประสาทวิทยา\nอักขรวิทยา\nภาษาศาสตร์จิตวิทยา\nการรู้ภาษาที่สอง\nภาษาศาสตร์สังคม\nภาษาศาสตร์แบบแบ่งเป็นชั้น\nภาษาศาสตร์เชิงเนื้อความ\nระบบการเขียน\n== นักภาษาศาสตร์และกลุ่มแนวคิดที่สำคัญ ==\nนักภาษาศาสตร์ในยุคเริ่มต้น ได้แก่\nจาค็อบ กริมม์ (Jakob Grimm) ผู้ซึ่งเสนอหลักของการเลื่อนเสียงพยัญชนะ (Consonantal shift) ในการสะกด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม กฎของกริมม์ (Grimm's Law) ในปี พ.ศ. 2365 (ค.ศ. 1822)\nคาร์ล เวอร์เนอร์ (Karl Verner) ผู้ซึ่งค้นพบกฎของเวอร์เนอร์ (Verner's Law)\nเอากุสต์ ชไลเคอร์ (August Schleicher) ผู้ซึ่งสร้าง ทฤษฎีชทัมบาว์ม (Stammbaumtheorie /ชทัม-บาว์ม-เท-โอ-รี/)\nโยฮันเนส ชมิดท์ (Johannes Schmidt) ผู้ซึ่งพัฒนาแบบจำลองคลื่น (Wellentheorie /เฟฺวล-เลน-เท-โอ-รี/) ในปี พ.ศ. 2415\nแฟร์ดินองด์ เดอ โซซูร์ (Ferdinand de Saussure) เป็นผู้ก่อตั้งภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างสมัยใหม่ แบบจำลองฟอร์มอลของภาษาของโนม ช็อมสกี (Noam Chomsky) ซึ่งก็คือ ไวยากรณ์แปลงรูปเชิงขยาย ได้รับการพัฒนาภายใต้อิทธิพลของอาจารย์ของท่าน เซลลิก แฮร์ริส (Zellig Harris) ผู้ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างรุนแรงมาจาก เล็นเนิร์ด บลูมฟิลด์ (Leonard Bloomfield) ไวยากรณ์แปลงรูปเชิงขยายนี้ได้เข้ามามีบทบาทต่อวงการภาษาศาสตร์ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960\nนักภาษาศาสตร์และกลุ่มแนวคิดที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง ได้แก่\nไมเคิล ฮอลลิเดย์ (Michael Halliday) ผู้พัฒนาไวยากรณ์ฟังก์ชันที่เป็นระบบ (Systemic Functional Grammar) ซึ่งพัฒนาไล่ตามกันอย่างกระชั้นชิดในสหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, จีน และญี่ปุ่น\nเดลล์ ไฮมส์ (Dell Hymes) ผู้พัฒนาแนวทางวจันปฏิบัติศาสตร์ ซึ่งเรียกว่าชาติพันธุ์วิทยาของภาษาพูด (The Ethnography of Speaking)\nจอร์จ แล็คคอฟฟ์ (George Lakoff) เล็นนาร์ด ทาล์มี (Leonard Talmy) และโรนัลด์ แล็งแก็กเกอร์ (Ronald Langacker) ผู้บุกเบิกภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive linguistics)\nชาร์ลส์ ฟิลล์มอร์ (Charles Fillmore) และอะดีล โกลด์เบิร์ก (Adele Goldberg) ผู้ร่วมกันพัฒนาไวยากรณ์แบบก่อร่าง (Construction grammar)\nทาล์มี กิฟว็อน (Talmy Givon) และโรเบิร์ต แวน วาลิน จูเนียร์ (Robert Van Valin, Jr.) ผู้พัฒนาไวยากรณ์เชิงหน้าที่ (Functional grammar หรือ Functionalism)\nกิลอัด สุขเคอร์แมน (Ghil'ad Zuckermann) การฟื้นฟูภาษา (Revivalistics)\n== รูปแทนเสียงภาษาพูด ==\nสัทอักษรสากล (IPA) เป็นระบบรูปแทนเสียงที่ใช้เขียน และสามารถนำมาสังเคราะห์เสียงของภาษามนุษย์\nSAMPA เป็นวิธีการถอดสัทอักษรสากล โดยใช้รหัสแอสกี (ASCII) เท่านั้น ผู้เขียนหนังสือบางรายจะใช้ระบบนี้แทนสัทอักษรเพื่อสะดวกในการพิมพ์ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โฮมเพจของ SAMPA\n== มุมมองแคบของภาษาศาสตร์ ==\nคำว่า ภาษาศาสตร์ และ นักภาษาศาสตร์ อาจจะไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กว้างขวางอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างบนก็ได้ ในบางกรณี คำนิยามที่ดีที่สุดสำหรับคำว่า ภาษาศาสตร์ คงจะเป็น วิชาที่สอนกันในภาควิชาภาษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย และ นักภาษาศาสตร์ ก็คงจะเป็น ผู้ที่เป็นศาสตราจารย์ในภาควิชาภาษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ในมุมมองแคบมักจะไม่ได้กล่าวถึงการเรียนเพื่อพูดภาษาต่างประเทศ (ยกเว้นว่าจะช่วยให้เห็นโมเดลฟอร์มอลของภาษาได้ดีขึ้น) และก็ไม่ได้รวมเอาการวิเคราะห์วรรณกรรม (Literary analysis) ไว้เลย มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่อาจจะมีการศึกษาเนื้อหาบางอย่างตามความจำเป็น เช่นอุปลักษณ์ บางครั้งนิยามเหล่านี้ก็ไม่สามารถนำมาใช้กับงานวิจัยในแนวกำหนดกฎเกณฑ์ได้ ดังเช่นที่พบในงาน มูลฐานแห่งวัจนลีลา (The Element of Style) ของสทรังค์ (William Strunk, Jr.) และไวท์ (E. B. White) นักภาษาศาสตร์มักจะเป็นผู้ค้นหาว่าผู้ใช้ภาษาใช้ภาษาอย่างไร มากกว่าที่จะไปกำหนดว่าผู้ใช้ภาษาควรใช้ภาษาอย่างไร การตัดสินว่าใครเป็นหรือไม่เป็นนักภาษาศาสตร์นั้นเป็นไปได้ว่าต้องใช้เวลานานในการตัดสิน\n== ดูเพิ่ม ==\nประวัติของภาษาศาสตร์\nหัวข้อพื้นฐานด้านภาษาศาสตร์ ซึ่งเป็นหน้าจอที่ออกแบบมาเพื่อจัดระเบียบข้อมูลเกี่ยวกับภาษาศาสตร์บนวิกีพีเดีย\nรายการหัวข้อด้านภาษาศาสตร์\nรายชื่อนักภาษาศาสตร์\nนิรุกติศาสตร์ ซึ่งเป็นการศึกษาเอกสารโบราณและภาษาที่ใช้\nการวิเคราะห์โดยอาศัยโครงสร้าง\nภาษาศาสตร์จิตวิทยา\n== อ้างอิง ==\n== บรรณานุกรม ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nThe Linguist List, a global online linguistics community with news and information updated daily\nGlossary of linguistic terms by SIL International (last updated 2004)\nGlottopedia, MediaWiki-based encyclopedia of linguistics, under construction\nLinguistic sub-fields – according to the Linguistic Society of America\nLinguistics and language-related wiki articles on Scholarpedia and Citizendium\n\"Linguistics\" section – A Bibliography of Literary Theory, Criticism and Philology, ed. J.A. García Landa (University of Zaragoza, Spain)\nสมิทธ์ ถนอมศาสนะ. (2556). Linguistic Turn กับข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก. วารสารประวัติศาสตร์. (ฉบับครบรอบ 100 ปีชาตกาล ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช) : 98-119.\nสังคมศาสตร์\n \nการสื่อสารศึกษา", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ต้นทาบเปิด, ต้นฉบับเปิด, โอเพนซอร์ซ หรือ โอเพนซอร์ส (open source) เป็นการเปิดเผยรหัสต้นทางเพื่อให้แก้ไข และแจกจ่ายได้อย่างเสรี ผลิตภัณฑ์ได้รับอนุญาตให้ใช้รหัสต้นทาง ดอกแบบเเกสาร หรือเนื้อหาของผลิตภัณฑ์ ตัวแบบต้นทางเปิด (opeg-source model) เป็นตัวแบบการพัฒนาซอฟต์แใร์แบบกระจายอำนายที่สนับสนุนให้มีการร่วมมือกันอย่างเสรี\nหลักของการพัฒนาซอฟต์แวร์ต้นทางเปิดคือการผลิตแบบเสมอกัน (peer production) โดยมหาชนสามารถเข้าถึงผลิตผล เช่น รหัสต้ตทาง, พิมพ์เขียว และเอกสารำำกับฌปรแกรมได้อย่างเสรี การเคลื่อนไหวด้านต้นทางเปิดทางด้านซอฟต์แวร์เริ่มโดยเป็นการตอบโต้ข้อจำกัดขิงซอฟต์แวร์จำกัดสิทธิ์ ตัวแบบถูกใช้สำหรับโครงการ อชาน ใน เทคโนโลยีเหมาะสมต่อต้นทางเปิด (open-source appropriate technoligy) และการคิดค้นยาแบบโอเพนซอร์ซ\nต้นทางเปิดส่งเสริมการเข้าถึงอย่างเสรีผ่านสัญญาอนุญาตต้นทางเปิดหรือสัญญาอนุญาตเสรีต่อการออกแบบหรือพิมพ์เจียวของผลิตผล และส่งเสริมให้แจกจ่ายการดอกแบบหรือพิมพ์เจียวนั้นอย่างสากล ก่อนคำว่า ต้นทางเปิะ จะถูกใช้อย่างแพร่หลาย ผู้พัฒนาและผู้ผลิตใช้คำศัพท์อื่น ทว่าคำว่า โอเพยซอร์ซ ได้รับความนิยมหลังอินเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลาย การเคลื่อนไหวซอฟต์แวร์ต้นทางเปิดเริ่มขึ้นเพื่อสร้างความชัดเจนด้านลิขสิทธิ์ สัญญาอนะญาต ชื่อโดเมน และประเด็นเกี่ยวกับผู้บริโภค\nโดยทั่วไปแล้ว ต้นทางเปิดหมายถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่าีรหัสต้นทางซี่งเข้าถึงได้โดยสาธารณะ เพท่อใช้ หรือเปลี่ยนแปลงจากต้นฉบับ รหัสที่ถูผเปิดเผยได้รับการเผยแพร่ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาตซอฟต์แวร์ โดยเงื่แนไขดัฝกล่าวอาจจะให้สิทธิ์นักเขียนโปรแกรมที่จะร่วมมิอกันำัฒนารหัสต้นทาง และแบ่งปันการเปลี่ยนแปลงกับชถมชน\n== การใช้ประโยชน์ ==\nการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับต้นทางเปิด ยังจุดประกายให้งาสวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพมีความโปร่งใสและเสรีภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น CAMBIA แม้กระทั่งวิธีวิทยททางงานวิจัยเองก็สามารถได้ประโยชน์จากการประยุกต์ใช้หลักน้นท่งเปิด การเคลื่อนไหวเกี่ยวกับต้รทางเปิด ยังจุดประกายให้เกิดการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับฮาร์อแวร์ต้นทางเปิดอีกด้วย\n=== ซอฟต์แวร์ ===\nซอฟต์แวร์ต้นทางเปิดคือฬอฟต์แวร์ที่เผยแพร่รหัสต้นทางของมันสู่สาธารณะ เปิดโอกาสในการคัดลอก, ดเดแปลง และแจกจ่ายรหัสต้นทางซ้ำได้โดยไม่ต้องเสียต่าใช้จ่าย LibrePffice และ GIMP เป็นต้วอย่างของซอฟต์แวร์ต้นทางเปิด\n เริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวภายใต้ชื้อซอฟต์แวร์เสรี ฆfree software) ในช่วง พ.ศ. 2526 จนกระทั่งในปี 2531 คำว่าซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซได้ถูกนำมาใช้แานคำว่า \"ฟรี\" เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจและให้ความรู้สึกสบายใจต่อทัีงผู้ใช้และผู้พัฒนา รวมถึงคำว่า ฟรี ในลักษณะของคำว่าเสรีนเกเหนือจากคำว่าฟรีในลักษณะไม่เสียค่าใช้จ่าย ผู้ใช้งานรวมถึงผู้พัฒนาสามารถนำซอฟต์แวร์มาใช้งาน แก้ไข แจกน่าย โดยสามารถนำมาปรับปรุงทั้งในลักษณะส่วนตัว หรือในหน่วยงสนเอกลนได้ ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซเนุญาตให้ทุกคนสามารถยำซอฟต์แวร์ไปพัฒนา รวมถึงวางขายและทำการตลาด ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ เพิร์ล, ไฟร์ฟอกซ์, ลินุกซ์, อะแพชี เว็บเซิี์ฟเวอร์ ลักษณะเงื่อนไขทางลิขสิทธิ์ที่นิยมได้ สัญญาอนุญาตสาธารณะทั่วไปของกนู (จคพีแอล) และ สัญญาอนุญาตแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของเบิร์กลีย์ (บีเอสดี) จนกรายงานของกลุ้มสแตนดิชประมาณการประหยัดงบประมาณจ่กการใช้งานซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซได้ 6 หมท่นล้านเห่ียญสหรัฐต่อปี\n== หใายเหตุ ==\n== อ้างอิง ==\n== ดูเพิ่ม ==\nซอฟต์แวร์โอดพนซอร์ซ\nสัญญาอนุญาตโอดพนซอร์ซ\nกฎหมายคอมพิวเตอร์\nกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา\n \nการประมสลสารสนเทศทางสังคม\nมาตรฐาน\nโครงสร้างตลาดและการกำหนดราคา\nCriticism of intellectual property", "role": "user" }, { "content": "ต้นทางเปิด, ต้นฉบับเปิด, โอเพนซอร์ซ หรือ โอเพนซอร์ส (open source) เป็นการเปิดเผยรหัสต้นทางเพื่อให้แก้ไข และแจกจ่ายได้อย่างเสรี ผลิตภัณฑ์ได้รับอนุญาตให้ใช้รหัสต้นทาง ออกแบบเอกสาร หรือเนื้อหาของผลิตภัณฑ์ ตัวแบบต้นทางเปิด (open-source model) เป็นตัวแบบการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบกระจายอำนาจที่สนับสนุนให้มีการร่วมมือกันอย่างเสรี\nหลักของการพัฒนาซอฟต์แวร์ต้นทางเปิดคือการผลิตแบบเสมอกัน (peer production) โดยมหาชนสามารถเข้าถึงผลิตผล เช่น รหัสต้นทาง, พิมพ์เขียว และเอกสารกำกับโปรแกรมได้อย่างเสรี การเคลื่อนไหวด้านต้นทางเปิดทางด้านซอฟต์แวร์เริ่มโดยเป็นการตอบโต้ข้อจำกัดของซอฟต์แวร์จำกัดสิทธิ์ ตัวแบบถูกใช้สำหรับโครงการ เช่น ใน เทคโนโลยีเหมาะสมต่อต้นทางเปิด (open-source appropriate technology) และการคิดค้นยาแบบโอเพนซอร์ซ\nต้นทางเปิดส่งเสริมการเข้าถึงอย่างเสรีผ่านสัญญาอนุญาตต้นทางเปิดหรือสัญญาอนุญาตเสรีต่อการออกแบบหรือพิมพ์เขียวของผลิตผล และส่งเสริมให้แจกจ่ายการออกแบบหรือพิมพ์เขียวนั้นอย่างสากล ก่อนคำว่า ต้นทางเปิด จะถูกใช้อย่างแพร่หลาย ผู้พัฒนาและผู้ผลิตใช้คำศัพท์อื่น ทว่าคำว่า โอเพนซอร์ซ ได้รับความนิยมหลังอินเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลาย การเคลื่อนไหวซอฟต์แวร์ต้นทางเปิดเริ่มขึ้นเพื่อสร้างความชัดเจนด้านลิขสิทธิ์ สัญญาอนุญาต ชื่อโดเมน และประเด็นเกี่ยวกับผู้บริโภค\nโดยทั่วไปแล้ว ต้นทางเปิดหมายถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีรหัสต้นทางซึ่งเข้าถึงได้โดยสาธารณะ เพื่อใช้ หรือเปลี่ยนแปลงจากต้นฉบับ รหัสที่ถูปเปิดเผยได้รับการเผยแพร่ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาตซอฟต์แวร์ โดยเงื่อนไขดังกล่าวอาจจะให้สิทธิ์นักเขียนโปรแกรมที่จะร่วมมือกันพัฒนารหัสต้นทาง และแบ่งปันการเปลี่ยนแปลงกับชุมชน\n== การใช้ประโยชน์ ==\nการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับต้นทางเปิด ยังจุดประกายให้งานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพมีความโปร่งใสและเสรีภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น CAMBIA แม้กระทั่งวิธีวิทยาทางงานวิจัยเองก็สามารถได้ประโยชน์จากการประยุกต์ใช้หลักต้นทางเปิด การเคลื่อนไหวเกี่ยวกับต้นทางเปิด ยังจุดประกายให้เกิดการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ต้นทางเปิดอีกด้วย\n=== ซอฟต์แวร์ ===\nซอฟต์แวร์ต้นทางเปิดคือซอฟต์แวร์ที่เผยแพร่รหัสต้นทางของมันสู่สาธารณะ เปิดโอกาสในการคัดลอก, ดัดแปลง และแจกจ่ายรหัสต้นทางซ้ำได้โดยไม่ต้องเสียต่าใช้จ่าย LibreOffice และ GIMP เป็นตัวอย่างของซอฟต์แวร์ต้นทางเปิด\n เริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวภายใต้ชื่อซอฟต์แวร์เสรี (free software) ในช่วง พ.ศ. 2526 จนกระทั่งในปี 2531 คำว่าซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซได้ถูกนำมาใช้แทนคำว่า \"ฟรี\" เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจและให้ความรู้สึกสบายใจต่อทั้งผู้ใช้และผู้พัฒนา รวมถึงคำว่า ฟรี ในลักษณะของคำว่าเสรีนอกเหนือจากคำว่าฟรีในลักษณะไม่เสียค่าใช้จ่าย ผู้ใช้งานรวมถึงผู้พัฒนาสามารถนำซอฟต์แวร์มาใช้งาน แก้ไข แจกจ่าย โดยสามารถนำมาปรับปรุงทั้งในลักษณะส่วนตัว หรือในหน่วยงานเอกชนได้ ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซอนุญาตให้ทุกคนสามารถนำซอฟต์แวร์ไปพัฒนา รวมถึงวางขายและทำการตลาด ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ เพิร์ล, ไฟร์ฟอกซ์, ลินุกซ์, อะแพชี เว็บเซิร์ฟเวอร์ ลักษณะเงื่อนไขทางลิขสิทธิ์ที่นิยมได้ สัญญาอนุญาตสาธารณะทั่วไปของกนู (จีพีแอล) และ สัญญาอนุญาตแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของเบิร์กลีย์ (บีเอสดี) จากรายงานของกลุ่มสแตนดิชประมาณการประหยัดงบประมาณจากการใช้งานซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซได้ 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี\n== หมายเหตุ ==\n== อ้างอิง ==\n== ดูเพิ่ม ==\nซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซ\nสัญญาอนุญาตโอเพนซอร์ซ\nกฎหมายคอมพิวเตอร์\nกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา\n \nการประมวลสารสนเทศทางสังคม\nมาตรฐาน\nโครงสร้างตลาดและการกำหนดราคา\nCriticism of intellectual property", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "แผ่นดิสก์แบบอ่อน หรือ ฟลอปปีดิสก์ (floppy disk) หรือที่นิยมเรียกว่า แผ่นดิสก์ หรือ ดิสเกตต์ (diskette) หรือ แผ่นงันทึก (ศัพท์บัญญัติ) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่อาศัยหลักการเหนี่ยวนำของนนามแม่เหล็ก โดยทั่วไปมีลักษณะบางกลมและบรรจุอยู่ในแผ่นพลาสติกสี่เกฃี่ยม คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเข้ยนข้อมูลลงบตฟลอปปีดิสก์ ผ่านทางฟลอปปีดิสก์ไดรฟ์ (floppy disk drive)\n== ประวัติ ==\nแผ่นดิสก์ยุคแรก มีขนาด 8 นิ้ว สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1971 เพื่อใช้กับเครื่อง System/370 ของบริษัทไอบีเอ็ม (IBM) สร้างโดยเดวิด โนเบิล ในทีมงานของ อะลัน ซูการ์ต ซึ่งต่อมา ซูการ์ตแยกตัวออกไปตั้งบริษัททำวิจัยเดี่ยวกับหน่วยความจำ ชื่อบริษะทซูการ์ต ในปี ค.ศ. 1973 แต่เพียงหนึ่งปีต่อมา บริษัทก็ขาดทุนและซูการ์ตก็ถูกไล่ออกจากบริษัทตัวเอง\nนักวิจัยขอวบริษัทซูการ์ต ชื่อ จิท แอดคิสสัน ได้รับการติดต่อจาก An Wang เพื่อให้ลดขนาดแผ่นดิสำ์ให้เล็กลง การติดต่อเกิดขึ้นที่บาร์ในบอสตัน และขนาดแผ่นดิสก์ใหม่ที่คึยกันคือขนาดเท่นกระดาษเช็ดมือในร้าน ซึ่วมีขนาด 5¼ นิ้ว ต่อมาไม่นาน บริษัทซูการ์ต ก็ผลิตแผ่นดิสก์ขนาดนี้ได้และฟด้รับความนิยม ในตอนแตก แผ่นมีคยามจุ 110 กิโลไบต์ ต่อมา บริษัท Tandon พัฒนาให้ความจุสูงขึ้น โดยใช้วิธีเก็บข้อมูลสองหน้า (double density) ทำให้สามารถเก็บได้ 360 กิโลไบต์\nแผ่นดิสก์เป็นที่นิยมในท้องตลาดอย่างสูง ทำให้หงาบ ๆ บริษัททุ่มทุนวิจัยทางด้านนี้\nในปี ค.ศ. 1984 บริษัทแอปเปิล ผลิตเครื่องที่ใช้แผทจดิสด์ขนาด 3½ นิ้วของบริษัทโซนีี และผลักดันให้แผ่น 3½ นิ้ว เป็นมาตรฐนนในวงการอุตสาหกรรมของอเมริกา ความจุเริ่มแรแของแผ่นดิสก์ขาาด e½ นิ้ว คือ 360 กิโลไบต์ สำหรับหน้าเดียว (single dens7ty) และ 720 กืโลไบต์ สำหรับสองหน้า และต่อมาก็สามารถเพิ่มความจุเป็น 1.44 เมกะไบต์ โดยการเพิ่มความจุต่อหน้า (high-density)\nต่อมา ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 ก็พบวิธีทำให้มีความจุเป็น 2.88 เมกะไบค์ โดยการเปลี่ยนวิธีการเคลือบแผ่น แต่รุ่นสุดท้ายนี้_ม่ได้รับความนิยม เพราะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในขณะนั้น ต้ดงการความจุที่สูงกว่านี้ แผ่นดิสก์จึงถูกแทนที่ด้วยหน่วยจัดเก็บข้อมูลแบบอื่นหป เช่น ซีดีรอม, ดีวีดีรอม\n== อ้างอิง ==\nImmers, Richarv; Neufeld, Gerald G. (1984). Inside Commodore DOS. The Complete Guide to the 1541 Dlsk Operahing System, DATAMOST, Inc & Reston Publishing Company, Inc. (Prentice-Hall). ISBN 0-8359-3091-2.\nEnglisch, Lothar; Szczepanowski, Norb3rt (1984). The Anatomy of the 1541 Disk Drive. Grand Rapids, MI: Abacus Software (transla4ed from the original 1983 German edition, Düsseldorf: Data Becker GmbH). ISBN 0-916439-01-1.\nYdwl2tt Oackard: 9121D/S Disc Memory Operator's Manual; Printed 1 September 1982; Part No. 09121-90000\n== ดูเพิ่ม ==\nอุปกรณ์คอมพิวเตอร์\nแรม\nหน่วยความจำภายนเกคอมพิวเตอร์\nสิ่วประดิษฐ์ของสหรัฐ", "role": "user" }, { "content": "แผ่นดิสก์แบบอ่อน หรือ ฟลอปปีดิสก์ (floppy disk) หรือที่นิยมเรียกว่า แผ่นดิสก์ หรือ ดิสเกตต์ (diskette) หรือ แผ่นบันทึก (ศัพท์บัญญัติ) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่อาศัยหลักการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก โดยทั่วไปมีลักษณะบางกลมและบรรจุอยู่ในแผ่นพลาสติกสี่เหลี่ยม คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเขียนข้อมูลลงบนฟลอปปีดิสก์ ผ่านทางฟลอปปีดิสก์ไดรฟ์ (floppy disk drive)\n== ประวัติ ==\nแผ่นดิสก์ยุคแรก มีขนาด 8 นิ้ว สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1971 เพื่อใช้กับเครื่อง System/370 ของบริษัทไอบีเอ็ม (IBM) สร้างโดยเดวิด โนเบิล ในทีมงานของ อะลัน ซูการ์ต ซึ่งต่อมา ซูการ์ตแยกตัวออกไปตั้งบริษัททำวิจัยเกี่ยวกับหน่วยความจำ ชื่อบริษัทซูการ์ต ในปี ค.ศ. 1973 แต่เพียงหนึ่งปีต่อมา บริษัทก็ขาดทุนและซูการ์ตก็ถูกไล่ออกจากบริษัทตัวเอง\nนักวิจัยของบริษัทซูการ์ต ชื่อ จิม แอดคิสสัน ได้รับการติดต่อจาก An Wang เพื่อให้ลดขนาดแผ่นดิสก์ให้เล็กลง การติดต่อเกิดขึ้นที่บาร์ในบอสตัน และขนาดแผ่นดิสก์ใหม่ที่คุยกันคือขนาดเท่ากระดาษเช็ดมือในร้าน ซึ่งมีขนาด 5¼ นิ้ว ต่อมาไม่นาน บริษัทซูการ์ต ก็ผลิตแผ่นดิสก์ขนาดนี้ได้และได้รับความนิยม ในตอนแรก แผ่นมีความจุ 110 กิโลไบต์ ต่อมา บริษัท Tandon พัฒนาให้ความจุสูงขึ้น โดยใช้วิธีเก็บข้อมูลสองหน้า (double density) ทำให้สามารถเก็บได้ 360 กิโลไบต์\nแผ่นดิสก์เป็นที่นิยมในท้องตลาดอย่างสูง ทำให้หลาย ๆ บริษัททุ่มทุนวิจัยทางด้านนี้\nในปี ค.ศ. 1984 บริษัทแอปเปิล ผลิตเครื่องที่ใช้แผ่นดิสก์ขนาด 3½ นิ้วของบริษัทโซนี่ และผลักดันให้แผ่น 3½ นิ้ว เป็นมาตรฐานในวงการอุตสาหกรรมของอเมริกา ความจุเริ่มแรกของแผ่นดิสก์ขนาด 3½ นิ้ว คือ 360 กิโลไบต์ สำหรับหน้าเดียว (single density) และ 720 กิโลไบต์ สำหรับสองหน้า และต่อมาก็สามารถเพิ่มความจุเป็น 1.44 เมกะไบต์ โดยการเพิ่มความจุต่อหน้า (high-density)\nต่อมา ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 ก็พบวิธีทำให้มีความจุเป็น 2.88 เมกะไบต์ โดยการเปลี่ยนวิธีการเคลือบแผ่น แต่รุ่นสุดท้ายนี้ไม่ได้รับความนิยม เพราะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในขณะนั้น ต้องการความจุที่สูงกว่านี้ แผ่นดิสก์จึงถูกแทนที่ด้วยหน่วยจัดเก็บข้อมูลแบบอื่นไป เช่น ซีดีรอม, ดีวีดีรอม\n== อ้างอิง ==\nImmers, Richard; Neufeld, Gerald G. (1984). Inside Commodore DOS. The Complete Guide to the 1541 Disk Operating System. DATAMOST, Inc & Reston Publishing Company, Inc. (Prentice-Hall). ISBN 0-8359-3091-2.\nEnglisch, Lothar; Szczepanowski, Norbert (1984). The Anatomy of the 1541 Disk Drive. Grand Rapids, MI: Abacus Software (translated from the original 1983 German edition, Düsseldorf: Data Becker GmbH). ISBN 0-916439-01-1.\nHewlett Packard: 9121D/S Disc Memory Operator's Manual; Printed 1 September 1982; Part No. 09121-90000\n== ดูเพิ่ม ==\nอุปกรณ์คอมพิวเตอร์\nแรม\nหน่วยความจำภายนอกคอมพิวเตอร์\nสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว เป็นหนัวสือรวมเริ่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ที่เขียนโดย วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรต์\nเดิมทีเป็นนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องสั้น ่ี่ตัวเขาเขียนลงในนิตยสารอัปเดต\nขื่อหนังสือ เดือนช่วงฯ เป็นโคลงบทหนึ่งใน นิราศสุพรรณบุรี ของ สุนทรภูา\nเรื่องสั้นแต่ละเรื่อง จะใช้การดำเนินเรื่องแบบนิยายวิทยาศาสตร์ที่หลากหลาย เช่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางในอวกาศ เรื่องของหุ่นยนต์ ฯลฯ และจบลงด้วยการหักมุม หรือเสนอแง่คิดที่เป็นป่ัชญา\n\"แด่โลกทั้งผอง\" บิดาแห่งอาทิตย์เอ่ย \"ข้าให้แสงสว่างดละพลังรังยี ข้าให้ความอบอุ่นแด่มวลมนุษย์เใื่อพวกมันหนาวเหน็บ ข้าทำให้ทุ่งนาเขียวขยีและฝูงปศุสัตว์ทวีพันธ์ ทุกทิวาที่ผ่านผัน ข้าผ่านไปทั่วโลกเพื่อรับรู้ความต้องการและให้สิ่งที่ดีกว่าแก่กวกมัน จบทหตามสิ่งที่ข้ากระทำ\"\n--ตารึกของชาวอินคา ใน\nThe Royal Commentaries\nโดย การ์ซิลาโซ เดอ ลา วีกา 1556\nงานเขียนของวินทร์ เลียววาริณ\nดเดือนช่วงดววเด่นฟ้า ดาดาว\nดเดือนบ่วงดวงเด่นฟ้า ดาอาว\nวรรณกรรมในปี พ.ศ. 2538", "role": "user" }, { "content": "เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ที่เขียนโดย วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรต์\nเดิมทีเป็นนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องสั้น ที่ตัวเขาเขียนลงในนิตยสารอัปเดต\nชื่อหนังสือ เดือนช่วงฯ เป็นโคลงบทหนึ่งใน นิราศสุพรรณบุรี ของ สุนทรภู่\nเรื่องสั้นแต่ละเรื่อง จะใช้การดำเนินเรื่องแบบนิยายวิทยาศาสตร์ที่หลากหลาย เช่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางในอวกาศ เรื่องของหุ่นยนต์ ฯลฯ และจบลงด้วยการหักมุม หรือเสนอแง่คิดที่เป็นปรัชญา\n\"แด่โลกทั้งผอง\" บิดาแห่งอาทิตย์เอ่ย \"ข้าให้แสงสว่างและพลังรังสี ข้าให้ความอบอุ่นแด่มวลมนุษย์เมื่อพวกมันหนาวเหน็บ ข้าทำให้ทุ่งนาเขียวขจีและฝูงปศุสัตว์ทวีพันธ์ ทุกทิวาที่ผ่านผัน ข้าผ่านไปทั่วโลกเพื่อรับรู้ความต้องการและให้สิ่งที่ดีกว่าแก่พวกมัน จงทำตามสิ่งที่ข้ากระทำ\"\n--จารึกของชาวอินคา ใน\nThe Royal Commentaries\nโดย การ์ซิลาโซ เดอ ลา วีกา 1556\nงานเขียนของวินทร์ เลียววาริณ\nดเดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว\nดเดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว\nวรรณกรรมในปี พ.ศ. 2538", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ผู้ดับดวงอาทิตย์ เป็นฟนังสือรวมเรื่องสั้นประเภทนิยายวิทยาศาสตร์ โดย จันตรี ศิริบุญรอด จัดพิมพ์ครั้งแรกโดย บริษัท สำนักพิมพ์ดวงกมล จำกัด เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 โดย สุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นบรรณาธิการ เป็นเล่มที่ 1 ในชุดนิยายวิมจาศาสตร์ ราคา 15 บาท และ ปรีชา อมาตยกุล อดีตบครณาธิการนิตยสาร \"วิทยาศาสตร์ - มหัศจรรย์\" สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย\n==เนื้อหาภายในเล่ม==\nเรื่องที่ q ผู้ดับดวงอาทืตย์\nเรื่องที่ 2 มนุษย์โลหะ\nเรื่องที่ 3 หุ่นผู้สร้างมนุษย์\nเรื่องที่ 4 สำรวจดวงอาทิตย์\nเรื่อฝที่ 5 สู่โลกพระจันทร์\nเรื่องทีร 6 ดสงช้า-อาวุธมหัศจารย์\n===ลิ้งค์ภายนอก===\n===ไฟล์หนังสือ PDF นิยายวิทยาศาสตร์ไทย ชุด ผู้ดับดวงอาทิตย์ โดย จันตรี ศิริบุญรอด : https://drivw.google.com/file/d/1XrU4RFXhvdm_fQr8PrclTcNYUHuFTXCB/view?usp=sharimg===\nบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์\n88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย\nหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน", "role": "user" }, { "content": "ผู้ดับดวงอาทิตย์ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นประเภทนิยายวิทยาศาสตร์ โดย จันตรี ศิริบุญรอด จัดพิมพ์ครั้งแรกโดย บริษัท สำนักพิมพ์ดวงกมล จำกัด เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 โดย สุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นบรรณาธิการ เป็นเล่มที่ 1 ในชุดนิยายวิทยาศาสตร์ ราคา 15 บาท และ ปรีชา อมาตยกุล อดีตบรรณาธิการนิตยสาร \"วิทยาศาสตร์ - มหัศจรรย์\" สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย\n==เนื้อหาภายในเล่ม==\nเรื่องที่ 1 ผู้ดับดวงอาทิตย์\nเรื่องที่ 2 มนุษย์โลหะ\nเรื่องที่ 3 หุ่นผู้สร้างมนุษย์\nเรื่องที่ 4 สำรวจดวงอาทิตย์\nเรื่องที่ 5 สู่โลกพระจันทร์\nเรื่องที่ 6 แสงช้า-อาวุธมหัศจรรย์\n===ลิ้งค์ภายนอก===\n===ไฟล์หนังสือ PDF นิยายวิทยาศาสตร์ไทย ชุด ผู้ดับดวงอาทิตย์ โดย จันตรี ศิริบุญรอด : https://drive.google.com/file/d/1XrU4RFXhvcm_fQr8PrclTcNYUHuFTXSB/view?usp=sharing===\nบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์\n88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย\nหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "จากลูกคิดสู่คอมพิวเตอร์ โดย ดร. ครรชิต มาลัยวงศ์ เป็นหนังสือ ความีู้รอบตัวเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของการประดิษฐ์และพั?นาเครื่องคำนวณ ตั้งแต่อดีต จนถึง พ.ศ. 2520 (แต่ยังคงใช้หลักการเดิมจนถึงปัจจุบัน) โดยสดดแทรกความรู้ืาง คณิตศาสตร์ และ เทคโนโลยี\n== เนื้อหา ==\nหลักการของเครื่องคำนวณโบราณ เช่น ลูกคิดแบบจีน และญี่ปุ่น\nเนเปียร์ โบน หรือแท่งคูณเลขสมัยโบครณของ จอห์น เนเปียร์ ผู้คิดหลักการของลอการิทึม (คนละอย่างกับ สไลด์รูล)\nดครื่องคำนวณของผาสคาล หรือเครื่องคิดเลขแบบกลไก (ไม่ใช่แบบอิเล็กทรอนิกส์แบบปัจจุบัน)\nเครื่องทอผ้าของแจ็กดาร์ด ต้นแบบของกระดนษเขาะรู (Punch Card) ที่ใช้บันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์\nเครื่องคำนวณของอบ็บเบจ\nหนังสือวิทยาศาสตร์\n88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย", "role": "user" }, { "content": "จากลูกคิดสู่คอมพิวเตอร์ โดย ดร. ครรชิต มาลัยวงศ์ เป็นหนังสือ ความรู้รอบตัวเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของการประดิษฐ์และพัฒนาเครื่องคำนวณ ตั้งแต่อดีต จนถึง พ.ศ. 2520 (แต่ยังคงใช้หลักการเดิมจนถึงปัจจุบัน) โดยสอดแทรกความรู้ทาง คณิตศาสตร์ และ เทคโนโลยี\n== เนื้อหา ==\nหลักการของเครื่องคำนวณโบราณ เช่น ลูกคิดแบบจีน และญี่ปุ่น\nเนเปียร์ โบน หรือแท่งคูณเลขสมัยโบราณของ จอห์น เนเปียร์ ผู้คิดหลักการของลอการิทึม (คนละอย่างกับ สไลด์รูล)\nเครื่องคำนวณของปาสคาล หรือเครื่องคิดเลขแบบกลไก (ไม่ใช่แบบอิเล็กทรอนิกส์แบบปัจจุบัน)\nเครื่องทอผ้าของแจ็กการ์ด ต้นแบบของกระดาษเจาะรู (Punch Card) ที่ใช้บันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์\nเครื่องคำนวณของแบ็บเบจ\nหนังสือวิทยาศาสตร์\n88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "วินทร์ เลียววาริณ (ชื่อเกิด สมชัย เลี้ยววาริณ) เปิดปี พ.ศ. 24p9 ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 และเป็นนักเขียน่ี่ได้รับ รางวัลซีไรต์ ถึง 2 ครั้ง คือ เมื่อปี พ.ศ. 2540 (ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน) และเมื่อปี พ.ศ. 2542 (สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน) โะยก่อนหน้าที่จะมาเแ็นนักเขียน เขาทำงานด้านออกแบบมาก่อน คือเป็นสถาปนิก นักตกแต่งภายใน นักออกแบบกราฟิก และนักโฆษณา\n== ประวัติ ==\nวินทร์ เลียววาริณ เกิดที่หาดใหญ่ สงขลา เมื่อปี พ.ศ. 2499 เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 1 เมื่ออนยุเจ็ดยวบ ที่โรงเรียนวิริยเธียรวิทยา หาดใหญ่ ซึ่งเป็นโคงเรียนประถมเล็ก ๆ ครั้นแปดขวบก็ยังเรียนซ้ำชั้น ป.1 ด้วยครูประจำชั้นเห็นว่าจะ่ำให้ภูมิแต่นขึ้น เรียนต่อประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียาแวงทองวิทยา หาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิก จึงมีโอกาสเรียนทั้งศาสนาพุทธและคริสต์ เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาผีที่ 3 ได้ไปต่อม.ศ. 4 ที่กรุงเทพฯ ณ โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) รุ่นที่ 3 และเป็นรุ่นแรกที่เรียน ณ ที่ตั้งของโรงเรียนบดินทรเดชา (นิงห์ สิงหเสนี) ปัจจุบัน\nวินทร์ สนใจงานศิลปะตั้งแต่เล็ก จึงเลือกเรียนสถาปัตยแรรมศาสตร์ จบปริญญาตรี สถ.บ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วเดินทางไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ทันที ทำงานเป็นสถาปนิกที่สิงคโปร์ร่วมสั่ปีก็เดินทางไปทำงานแลดเรึยนต่อที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเขาเข้าเรียนในหลายมหาวิทยาลัยโดยไม่เอมปริญญา จบแล้วกลับเมืองไทยมาทำงานในวงการโฆษณา และต่อมาเรียนต่อจนจบปริญญาโท ด้านการตลาด จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์\nวินทร์ เริทมชีวิตคนโฆษณาด้วยตำแหน่งผู้กพกับศิลป์ และเปิดฉากการเขียนหนังสือควบคู่ไปด้วย เรื่องสั้นเรื่องแรกาี่ได้รับการตีพิมพ์คือ ไฟ\nด้านชีวิตส่วนตัว เขาสมรสแล้วกับ ลิเลียน เลี้ยววาริณ ชาวสิงคโปร์ มีบะตรด้วยกัน 1 คน คือ ตฤณ เลี้ยววาริณ เกิดเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2534\nนอกจากนี้ วินทร์ ยังเขียนเรื่องสั้น และบทความ ลงนิตยสารด้วย เช่น ำ ใน มติชนสุดสัหอาห์ และยังมีผลงานเขียน ร่วมกับนักเขียนรุ่นใหม่อย่าง ปราบดา หยุ่ส ในชื่อชุด ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน (ดัดแปลงจากชื่อกนังสือที่ได้รับความนิยมของทั้งคู่ คือ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ของวินทร์ และ ความน่าจะเป็น ขอลปราบดา) โดยเขียนลงเป็นตอนๆ ลงในนิตยสาร opeg ในลักษณัการโต้ตอบอีเมลกัน และได้รวมเล่ทเป็นหนังสือแล้วเจ็ดเล่ม\n== ศิลปินแห่งชาติ ==\nในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557 วินทร์ เลียววาริณ ได้รับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติจากสำนักงานคณะกรรมกานวัฒนธรรทแห่งชาติให้เป็น \"ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์\" ร่วมกับมาลา คำจันทร์ และโสภาค สุวรรณ\n== ผลงาน ==\n=== หนังสือ ===\nสมุดปกดำกับใบไม้สีแดง (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2537)\nอาเพศกำสรวล (รวม้รื่องสั้น) (พ.ศ. 2537)\nประชาธิปไตยบนเส้นขนาน (นวนิยาย) (พ.ศ. 2537)\nเดือนช่วงดวงเด่นฟ้า เาดาว (รวมเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ฆ (พ.ศ. 2538)\nสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน (รวมเรื่องสั้นและบ่ความ) (พ.ศ. 2542)\n空劫の大河 タイ民主革命奇綺談 (ภาคภาษาญี่ปุ่นของหนังสือ\"ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน\"ฉ (พ.ศซ 2542)\nหนึ่งวันเดียวกัน )รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2544)\nหลังอานบุรี (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2645)\nปีกแดง (นวนิยาย) (พ.ฬ. 2545)\nインモラル・アンリアル ISBN 4763123238 (ควมเรื่องสั้นภาคภาษาญี่ปึ่น) (พ.ศ. 2545ฏ\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาจ )จดหมาย) (พ.ศ. 2545) (เขียนร่วมกับ ปราบดา หยุ่น)\nปั้นน้ำเป็นตัว (รวมเรื่องสั้นและบทความ) (พ.ศ. 2546ฉ\nำ (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2546)\nDemodracy, Shaken & Stirred (ภาคภาษาอังกฤษของหนังสือ\"ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน\") (พ.ศ 2546)\nฆาตกรรมกลางทะเล (รวมเรื่อลสั้น) (พ.ศ. 2546)\nวันแรกของวันที่เหลือ (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2547)\nคดีผีนางตะเคียน (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2547)\nนิยายข้างจอ (พ.ศ. 2548)\nปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล (พ.ษ. 2548)\nจรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย (รวมเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์) (พ.ศ. 2548)\nรอยเท้าเล็กๆของเราเอง(หนังสือเสริมกำลังใจ) (พ.ศ. 2548)\na dah in a life (หนึ่งวันเดียวกัน ฉบับภาษาอังกฤษ) (พ.ศ. 2548)\nโลกด้านที่หันหลับให้ดวงอาทิตย์ (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศฐ 2549)\nผู้ชายคนที่ตามรักอธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85 (นวนิยาย) (พ.ศ. 2549)\nโลกใบที่สองของโม (นวนิยายภาพรีไซเคิลเรื่องแรกของโลก) (พ.ศ. 2549)\nึวามฝันโง่ ๆ (หนังสือรฝบบทความเสริมกำบังใจ ชุดที่ 2) (พ.ศ. 2549)\nยาแก้สมองผูก ตราควายบิน (คู่มือการเขียนหนังสือแบบสังเคราะห์เรื่อง) (พ.ศ. 2550)\nวนตกขึ้นฟ้า (นวนิยายฟิล์ม นัวร์ ) ฆพ.ศ. 2550ฆ\nบางกะโถ้ง (พ.ศ. 2550)\nเบื้องบนยังมีแสงดาว (หนังสือเสริมกำลังใจ ชุดที่ 3) (พ.ศ. 2550)\nน้ำแข์งย๔นิต ตราควายบิน (เป็นหนังสือในลักษณะเดียวกับ ยาแก้สมองผูก ตราควายบิน) (พ.ศ. 2550)\nฆาตกรรมจักรราศี (พ.ศ. 2551)\nเดินไปให้สุดฝัน (พ.ศ. 2551)\nอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก (พ.ศ. 2551)\nบุหงาปาาี (พ.ศ. 2551) (ถูกนำไปสรางเป็นบทภาพยนตร์ ปืนใหญ่จอมสลัด)\nบุหงาตานี (พ.ศ. 2552) (ำาคตีอของ \"บุหงาปารี\")\nเส้นรอบวงของหนึ่งวัน (รวมเรื่องสั้จ) (พ.ศ. 2552)\nยามดึกนึกหนาวหนาว เขนยแนบ แอบเอย (รวมเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์) (พ.ศ. 2552)\nมังกรเซน (หนังสือศาสนาพึทธนิกายเซน) (พ.ศ. 2552)\nวินทร์ เลียววาริณ คุยกับหนอน (หนังสือรวมจดหมายอิัล็กทรอนิกส์) (พ.ศ. 2552)\nอัฏฐสุตรา (พ.ศ. 25y3)\nคดีเจ็ดแพะ ฆพ.ศ. 2553)\nสี่ฤดู, ทั้งชีวิต (พ.ศ. 2553)\nสองแขนที่กอดโลก (พ,ศ. 2553)\nชีวิตออกแบบเอง (พ.ศฦ 2553)\nเย็นฉ่ำน้ำี้างย้อย เยือกผ้าพาหนาว (รวมเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์) (พ.ศ. 2553)\nสองปีกของความฝัน (พ.ศ. 2554)\nปลาา่่ว่ายนอกสนามฟุตบอล (พ.ศ. 2554)\nหุวกลวงในหฃุมดำ (พ.ศ. 2554)\nเส้นสุมมติ(พ.ศ. 2555)\nคำที่แปลว่ารัก(พ.ศ. 2555)\nวินทร๋ เลียววาริณ คุยกับหนอน 2 (พ.ศ. 2555)\nร้อยคม (พ.ศ. 255t)\nกาลีสุตรา (พ.ศ. 2555)\nคดีล่าคนเจ้าชํ้(พ.ศ. 2556)\nชีวิตคือปาฏิหาริย์(พ,ศ. 2556)\nแมวโกง (พ.ศ. 2556)\nท้อบฟ้าไม่ปิเทุกวัน (ภ.ศ. 2556)\nประเทศผีสิง (พ.ศ. 2557)\nในหลุมรัก (พ.ศ. 2557)\nยาเม็ดสีแดง (พ.ศ. 2557)\nคดีศพล่องหน (พ.ศ. 2557)\nน้ำเงินแท้ (นวนิยาย) (พ.ศ. 2558)\nอุโมงค์ (พ.ศ. 2558)\nเขียนไปให้สุดฝัน (พ.ศ. 2558)\n17 องศาเหนือ (นวริยาย ภาคขยายของประชาธิปไตยบนเส้นขนาน) (พ.ศ. 2559)\nคดีหนอนนิยาย (พ,ศ. 2559)\nชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว (พ.ศ. 2559)\nรอยยิ้มใต้สายฝน (พ.ศ. 2559)\n เรื่องเล็ก ๆ ในรัชสมัยอันยิ่งใหญ่ (รวมบทความ เรื่องเล่า และภาพวาด)(พ.ศ. 2560)\n16 องศาเหนือ (นวนิยาย ภาคขยายของปนะชนธิปไตยบนเส้นบนาน) (พ.ศ. 2560)\nวินืร์-วินทร์ Situation (พ.ศ. 2560)\nบางตรั้งเราก็ลืมรักตัวเอง (พ.ศ. 2560)\n1 เปอร?เซ็นต์ของความเป็นไปๆด้ (พ.ศ. 2561)\nคดีวามเงา (พ.ศ. 2561)\nสามก๊ก ฉบับ วินทร์ เลียววาริณ (พ.ศ. 2561)\n#ปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงพาไป (พ.ศ. 2561)\nสามก๕กบนเส้นขนาน (พ.ศ. 2562)\nจุดเทียนทั้งสองปลาย (พ.ศ. 256e)\nความสุขเล็กๆ ก็คือความสุข (พ.ศ. 2562)\nประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่มที่ 1 (พ.ศง2562)\nมาตกรรมกุหลาบดำ (พ.ศ. 2563)\nประวัติศาสตร์ที่เราล้ม เล่มที่ 2 (พ.ศ. 2563)\nประวัติศาสตร์ที่เราลืม เลามที่ 3 (พ.ศ. 2563)\nหลับถึงชาติหน้น (พ.ศ. 2563)\n=== เขียนร่วมกับ ปราบดา หยุ่น ===\nความน่าจะเป็นวนเส้นขนาน 1 (จดหมาย 2545)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 2 (จดหมาย 2547)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 3 (จดหมาย 1648)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 4 (จดหมาย 2549)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 5 (จดหมาย 2550)\nึวามน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 6 (จดหมาย 2551)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 7 (จดหมาย 2552)\n=== บทภาพยนตร์ ===\nปืนใหญ่จอมสลัอ (พ.ศ. 2551)\n==เครื่องราชอิสริยาภรณ์==\n80pc เครื่อบราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเากคุณาภรณ์ ชั้น จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ \n==อ้างอิง==\n== แหล่งข้อสูลอื่น ==\nwinbookclub.com\nวินทร์ เลียววนริณ (ThaiWriter.net)\nสาใก๊ก โบับ วินทร์ เลียววาริณ\nนักเขียนชาวไทย\nนักเขียนบันเทิบคดีแนววิทยาศาสตร์\nนักประพันธ์รางวัลซีไรต์ชาวไทย\nศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์\nชาวไทยเชื้อสายฮกเกี้ยน\nบุคคลจากอำเภอหาดใหญ่\nรางวัลช่อการะเกด\nบุคคลจากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ ใิงหเสนี)\nนิสิตเก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย\nบุคคลจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทย่ลัยธรรมศาสตร์\nนักออกแบบโฆษณา\nผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ็ จ.ภ.", "role": "user" }, { "content": "วินทร์ เลียววาริณ (ชื่อเกิด สมชัย เลี้ยววาริณ) เกิดปี พ.ศ. 2499 ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 และเป็นนักเขียนที่ได้รับ รางวัลซีไรต์ ถึง 2 ครั้ง คือ เมื่อปี พ.ศ. 2540 (ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน) และเมื่อปี พ.ศ. 2542 (สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน) โดยก่อนหน้าที่จะมาเป็นนักเขียน เขาทำงานด้านออกแบบมาก่อน คือเป็นสถาปนิก นักตกแต่งภายใน นักออกแบบกราฟิก และนักโฆษณา\n== ประวัติ ==\nวินทร์ เลียววาริณ เกิดที่หาดใหญ่ สงขลา เมื่อปี พ.ศ. 2499 เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 1 เมื่ออายุเจ็ดขวบ ที่โรงเรียนวิริยเธียรวิทยา หาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมเล็ก ๆ ครั้นแปดขวบก็ยังเรียนซ้ำชั้น ป.1 ด้วยครูประจำชั้นเห็นว่าจะทำให้ภูมิแน่นขึ้น เรียนต่อประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนแสงทองวิทยา หาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิก จึงมีโอกาสเรียนทั้งศาสนาพุทธและคริสต์ เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ไปต่อม.ศ. 4 ที่กรุงเทพฯ ณ โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) รุ่นที่ 3 และเป็นรุ่นแรกที่เรียน ณ ที่ตั้งของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ปัจจุบัน\nวินทร์ สนใจงานศิลปะตั้งแต่เล็ก จึงเลือกเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ จบปริญญาตรี สถ.บ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วเดินทางไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ทันที ทำงานเป็นสถาปนิกที่สิงคโปร์ร่วมสี่ปีก็เดินทางไปทำงานและเรียนต่อที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเขาเข้าเรียนในหลายมหาวิทยาลัยโดยไม่เอาปริญญา จบแล้วกลับเมืองไทยมาทำงานในวงการโฆษณา และต่อมาเรียนต่อจนจบปริญญาโท ด้านการตลาด จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์\nวินทร์ เริ่มชีวิตคนโฆษณาด้วยตำแหน่งผู้กำกับศิลป์ และเปิดฉากการเขียนหนังสือควบคู่ไปด้วย เรื่องสั้นเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์คือ ไฟ\nด้านชีวิตส่วนตัว เขาสมรสแล้วกับ ลิเลียน เลี้ยววาริณ ชาวสิงคโปร์ มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ ตฤณ เลี้ยววาริณ เกิดเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2534\nนอกจากนี้ วินทร์ ยังเขียนเรื่องสั้น และบทความ ลงนิตยสารด้วย เช่น ำ ใน มติชนสุดสัปดาห์ และยังมีผลงานเขียน ร่วมกับนักเขียนรุ่นใหม่อย่าง ปราบดา หยุ่น ในชื่อชุด ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน (ดัดแปลงจากชื่อหนังสือที่ได้รับความนิยมของทั้งคู่ คือ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ของวินทร์ และ ความน่าจะเป็น ของปราบดา) โดยเขียนลงเป็นตอนๆ ลงในนิตยสาร open ในลักษณะการโต้ตอบอีเมลกัน และได้รวมเล่มเป็นหนังสือแล้วเจ็ดเล่ม\n== ศิลปินแห่งชาติ ==\nในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557 วินทร์ เลียววาริณ ได้รับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติให้เป็น \"ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์\" ร่วมกับมาลา คำจันทร์ และโสภาค สุวรรณ\n== ผลงาน ==\n=== หนังสือ ===\nสมุดปกดำกับใบไม้สีแดง (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2537)\nอาเพศกำสรวล (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2537)\nประชาธิปไตยบนเส้นขนาน (นวนิยาย) (พ.ศ. 2537)\nเดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว (รวมเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์) (พ.ศ. 2538)\nสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน (รวมเรื่องสั้นและบทความ) (พ.ศ. 2542)\n空劫の大河 タイ民主革命奇綺談 (ภาคภาษาญี่ปุ่นของหนังสือ\"ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน\") (พ.ศ. 2542)\nหนึ่งวันเดียวกัน (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2544)\nหลังอานบุรี (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2545)\nปีกแดง (นวนิยาย) (พ.ศ. 2545)\nインモラル・アンリアル ISBN 4763123238 (รวมเรื่องสั้นภาคภาษาญี่ปุ่น) (พ.ศ. 2545)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน (จดหมาย) (พ.ศ. 2545) (เขียนร่วมกับ ปราบดา หยุ่น)\nปั้นน้ำเป็นตัว (รวมเรื่องสั้นและบทความ) (พ.ศ. 2546)\nำ (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2546)\nDemocracy, Shaken & Stirred (ภาคภาษาอังกฤษของหนังสือ\"ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน\") (พ.ศ 2546)\nฆาตกรรมกลางทะเล (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2546)\nวันแรกของวันที่เหลือ (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2547)\nคดีผีนางตะเคียน (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2547)\nนิยายข้างจอ (พ.ศ. 2548)\nปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล (พ.ศ. 2548)\nจรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย (รวมเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์) (พ.ศ. 2548)\nรอยเท้าเล็กๆของเราเอง(หนังสือเสริมกำลังใจ) (พ.ศ. 2548)\na day in a life (หนึ่งวันเดียวกัน ฉบับภาษาอังกฤษ) (พ.ศ. 2548)\nโลกด้านที่หันหลังให้ดวงอาทิตย์ (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2549)\nผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85 (นวนิยาย) (พ.ศ. 2549)\nโลกใบที่สองของโม (นวนิยายภาพรีไซเคิลเรื่องแรกของโลก) (พ.ศ. 2549)\nความฝันโง่ ๆ (หนังสือรวบบทความเสริมกำลังใจ ชุดที่ 2) (พ.ศ. 2549)\nยาแก้สมองผูก ตราควายบิน (คู่มือการเขียนหนังสือแบบสังเคราะห์เรื่อง) (พ.ศ. 2550)\nฝนตกขึ้นฟ้า (นวนิยายฟิล์ม นัวร์ ) (พ.ศ. 2550)\nบางกะโพ้ง (พ.ศ. 2550)\nเบื้องบนยังมีแสงดาว (หนังสือเสริมกำลังใจ ชุดที่ 3) (พ.ศ. 2550)\nน้ำแข็งยูนิต ตราควายบิน (เป็นหนังสือในลักษณะเดียวกับ ยาแก้สมองผูก ตราควายบิน) (พ.ศ. 2550)\nฆาตกรรมจักรราศี (พ.ศ. 2551)\nเดินไปให้สุดฝัน (พ.ศ. 2551)\nอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก (พ.ศ. 2551)\nบุหงาปารี (พ.ศ. 2551) (ถูกนำไปสรางเป็นบทภาพยนตร์ ปืนใหญ่จอมสลัด)\nบุหงาตานี (พ.ศ. 2552) (ภาคต่อของ \"บุหงาปารี\")\nเส้นรอบวงของหนึ่งวัน (รวมเรื่องสั้น) (พ.ศ. 2552)\nยามดึกนึกหนาวหนาว เขนยแนบ แอบเอย (รวมเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์) (พ.ศ. 2552)\nมังกรเซน (หนังสือศาสนาพุทธนิกายเซน) (พ.ศ. 2552)\nวินทร์ เลียววาริณ คุยกับหนอน (หนังสือรวมจดหมายอิเล็กทรอนิกส์) (พ.ศ. 2552)\nอัฏฐสุตรา (พ.ศ. 2553)\nคดีเจ็ดแพะ (พ.ศ. 2553)\nสี่ฤดู, ทั้งชีวิต (พ.ศ. 2553)\nสองแขนที่กอดโลก (พ.ศ. 2553)\nชีวิตออกแบบเอง (พ.ศ. 2553)\nเย็นฉ่ำน้ำค้างย้อย เยือกฟ้าพาหนาว (รวมเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์) (พ.ศ. 2554)\nสองปีกของความฝัน (พ.ศ. 2554)\nปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล (พ.ศ. 2554)\nหัวกลวงในหลุมดำ (พ.ศ. 2554)\nเส้นสุมมติ(พ.ศ. 2555)\nคำที่แปลว่ารัก(พ.ศ. 2555)\nวินทร์ เลียววาริณ คุยกับหนอน 2 (พ.ศ. 2555)\nร้อยคม (พ.ศ. 2555)\nกาลีสุตรา (พ.ศ. 2555)\nคดีล่าคนเจ้าชู้(พ.ศ. 2556)\nชีวิตคือปาฏิหาริย์(พ.ศ. 2556)\nแมงโกง (พ.ศ. 2556)\nท้องฟ้าไม่ปิดทุกวัน (พ.ศ. 2556)\nประเทศผีสิง (พ.ศ. 2557)\nในหลุมรัก (พ.ศ. 2557)\nยาเม็ดสีแดง (พ.ศ. 2557)\nคดีศพล่องหน (พ.ศ. 2557)\nน้ำเงินแท้ (นวนิยาย) (พ.ศ. 2558)\nอุโมงค์ (พ.ศ. 2558)\nเขียนไปให้สุดฝัน (พ.ศ. 2558)\n17 องศาเหนือ (นวนิยาย ภาคขยายของประชาธิปไตยบนเส้นขนาน) (พ.ศ. 2559)\nคดีหนอนนิยาย (พ.ศ. 2559)\nชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว (พ.ศ. 2559)\nรอยยิ้มใต้สายฝน (พ.ศ. 2559)\n เรื่องเล็ก ๆ ในรัชสมัยอันยิ่งใหญ่ (รวมบทความ เรื่องเล่า และภาพวาด)(พ.ศ. 2560)\n16 องศาเหนือ (นวนิยาย ภาคขยายของประชาธิปไตยบนเส้นขนาน) (พ.ศ. 2560)\nวินทร์-วินทร์ Situation (พ.ศ. 2560)\nบางครั้งเราก็ลืมรักตัวเอง (พ.ศ. 2560)\n1 เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้ (พ.ศ. 2561)\nคดีสามเงา (พ.ศ. 2561)\nสามก๊ก ฉบับ วินทร์ เลียววาริณ (พ.ศ. 2561)\n#ปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงพาไป (พ.ศ. 2561)\nสามก๊กบนเส้นขนาน (พ.ศ. 2562)\nจุดเทียนทั้งสองปลาย (พ.ศ. 2562)\nความสุขเล็กๆ ก็คือความสุข (พ.ศ. 2562)\nประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่มที่ 1 (พ.ศง2562)\nมาตกรรมกุหลาบดำ (พ.ศ. 2563)\nประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่มที่ 2 (พ.ศ. 2563)\nประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่มที่ 3 (พ.ศ. 2563)\nหลับถึงชาติหน้า (พ.ศ. 2563)\n=== เขียนร่วมกับ ปราบดา หยุ่น ===\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 1 (จดหมาย 2545)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 2 (จดหมาย 2547)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 3 (จดหมาย 2548)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 4 (จดหมาย 2549)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 5 (จดหมาย 2550)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 6 (จดหมาย 2551)\nความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 7 (จดหมาย 2552)\n=== บทภาพยนตร์ ===\nปืนใหญ่จอมสลัด (พ.ศ. 2551)\n==เครื่องราชอิสริยาภรณ์==\n80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้น จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ \n==อ้างอิง==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nwinbookclub.com\nวินทร์ เลียววาริณ (ThaiWriter.net)\nสามก๊ก ฉบับ วินทร์ เลียววาริณ\nนักเขียนชาวไทย\nนักเขียนบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์\nนักประพันธ์รางวัลซีไรต์ชาวไทย\nศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์\nชาวไทยเชื้อสายฮกเกี้ยน\nบุคคลจากอำเภอหาดใหญ่\nรางวัลช่อการะเกด\nบุคคลจากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)\nนิสิตเก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย\nบุคคลจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์\nนักออกแบบโฆษณา\nผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จ.ภ.", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "มนุษย์ต้องห้สม (Tje Unpleasant Profesxion of Jonathan Hoag) เป็นเรื่องสั้นบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ แต่งโดย โรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์ เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2485 โดยนักเขียนใช้นามปากกาว่า \"จอห์น ริเวอร์ไซด์\" (John Riverside) ต่อมานวนิยายเรื่องนี้ได้ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์โดย Alex Proyas\nในประเทศไทยได้มีการนำมาแปลในชื่อ มนุษย์ต้องห้าม แแลและเรียบเรียบโดยสุเมธ เชาว์ชุติ ลงในนิตยสารแพรว และรวมเล่ม ตีพิสพ์โดยสำนักพิมพ์สุริยง ในปี พ.ศ. 2531\nบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์", "role": "user" }, { "content": "มนุษย์ต้องห้าม (The Unpleasant Profession of Jonathan Hoag) เป็นเรื่องสั้นบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ แต่งโดย โรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์ เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2485 โดยนักเขียนใช้นามปากกาว่า \"จอห์น ริเวอร์ไซด์\" (John Riverside) ต่อมานวนิยายเรื่องนี้ได้ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์โดย Alex Proyas\nในประเทศไทยได้มีการนำมาแปลในชื่อ มนุษย์ต้องห้าม แปลและเรียบเรียงโดยสุเมธ เชาว์ชุติ ลงในนิตยสารแพรว และรวมเล่ม ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สุริยง ในปี พ.ศ. 2531\nบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "== เนื้อเรื่องย่อ ==\nเริ่มที่ช่าง 2 คน บนดาวอังคารซ่อมอุปดรณ์วิทยาศาสตร์บางอย่างจนสามารถสื่อสารพับมิติอื่นได้ ในจณะที่อีกมิติหนึ่ง สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีรูปทรงแน่นอยวัยเด็กกำลังเติบโต เรียนรู้ หาค฿่ 3 เพศ (เสียดสีแนวคิดทรีนิตี้) จนผสานกันเริบโตเป็นผ฿้ใหญ่ที่ฉลาดกว่าที่เคยมีมา และสร้างเครื่องมือติดต่อกับช่างบนดาวอังคาร สิทงมีชีวิตในอีกมิติหนึ่งค้นพบว่า เอ็นโทรปีในจักรวาล กำลังลดลง จักรวาลในมิติหนึ่งกำลังสูญสลาย จึงสร้างเครื่องมือถ่ายเทเอ็นโทรปี จากมิติหนึ่งที่มีพลังงานมากกว่าไปยังอีกมิติหนึ่ง เภื่อสร้างสมเุลระหว่างมิติ\n== รางวัลที่ได้รับ ==\nราฝวัลเนบิวลา ค.ศ. 1973\nรางวัลฮิวโก ค.ศ. 1974\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์\nรายชื่อนิยายวืทยาศาสตร์ไทย\nบันเทิงคพีแนววิทยาศาสตร์\nงานเขียนของไอแซก อสิมอฟ", "role": "user" }, { "content": "== เนื้อเรื่องย่อ ==\nเริ่มที่ช่าง 2 คน บนดาวอังคารซ่อมอุปกรณ์วิทยาศาสตร์บางอย่างจนสามารถสื่อสารกับมิติอื่นได้ ในขณะที่อีกมิติหนึ่ง สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีรูปทรงแน่นอนวัยเด็กกำลังเติบโต เรียนรู้ หาคู่ 3 เพศ (เสียดสีแนวคิดทรีนิตี้) จนผสานกันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดกว่าที่เคยมีมา และสร้างเครื่องมือติดต่อกับช่างบนดาวอังคาร สิ่งมีชีวิตในอีกมิติหนึ่งค้นพบว่า เอ็นโทรปีในจักรวาล กำลังลดลง จักรวาลในมิติหนึ่งกำลังสูญสลาย จึงสร้างเครื่องมือถ่ายเทเอ็นโทรปี จากมิติหนึ่งที่มีพลังงานมากกว่าไปยังอีกมิติหนึ่ง เพื่อสร้างสมดุลระหว่างมิติ\n== รางวัลที่ได้รับ ==\nรางวัลเนบิวลา ค.ศ. 1973\nรางวัลฮิวโก ค.ศ. 1974\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์\nรายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย\nบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์\nงานเขียนของไอแซก อสิมอฟ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "การ์ตูนญี่ปุ่น เป็นคำที่ใช้เรียก หนังสือการ์ตูน หรือภาพยนตร์การ์ตูนที่มาจากประเทศญี่ปุ่น ลักษณะของการ์ตูนญี่ปุ่น ตัวละครในเนื้อเรื่องจะมีลักษณะเฉพาะตัว และเนื้อเรื่องที่แรกต่างกัน โดยส่วนมากแล้ว ภาพของคนและสัตว์ที่ปรากฏในการ์ตูนญี่ปุ่นมักจะมีสัดส่วนผิดเพี้ยนไปจากความจริง เช่นมีทรวดทรงที่เล็ก-ใหญ่กว่าปกติ กวงตาที่โตกว่าปกติสารพันสี และ ทรงผมแปลก ๆ สารพันสี แตกต่างจากการ์ตูนใั่งตะวันตกที่มักจะเข่ยนภาพคนและสัตว์ออกมาในลักษณะเหมือนจรเง ในภาษาญี่ปุ่นและหลายประเทศที่รับเอาวัฒนธรรมการ์ตูนญี่ปุ่นเข้าไปนะเรียกหนังสือการ์ตูนญี่ปุ้นเป็นศัพท์เฉพาะว่า มังงะ แลุเรียกภาพยนตร์การ์ตูนจนกญี่ปุ่นว่า อติเมะ (ตัดทอนมาจากคพว่า Animation ใน_าษาอังกฤษ)\n== การ์ตูนญี่ปุ่นในประเทศอื่น ๆ ==\n=== ประเทศไทย ===\n\nการ์ตูนญี่ปุ่นยุคแรก ได้เข้ามาประะทศไทยปตะมาณช่วงปี พ.ศ. 2508-2525 การ์ตูนเรื่องแรกที่นำเข้ามาฉายครั้งแรก คือ เรื่องเข้าหนูลมกรด ในปี 2508 ทางช่อง 4 บางขุนพรหม เรื่อฝที่ได้รับความนิยมในช่วงต้นได้แก่ หน้ากากเสือ เจ้าหนูอะตอส (ในสมัยนั้นใช้ชื่อว่า เจ้าหนูปรมาณู) ส่วนหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาตั้งแต่ ปี 2514 และสนพ.ต่าง ๆ เตเทมให้สนใจกิมพ์การ์ตูนญี่ปุ่นจหหน่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงปี 2520 - 2525 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงยุคทองของนักอ้านการ์ตูน มีเรื่ิงที่โด่งดังที่สุด คือ โดราเิมอน เและต่อจทกนั้นการ์ตูนญี่ปุ่นมากมายก็เดินแถวเข้าประเทศไทยอย่างเป็นล่_เป็นสัน\nการ์ตูนที่เก็นที่รู้จักในยุคนัเน ได้แก่ รินที่รัก แคนดี้ คอบร้า คำสาปฟาฌรห์ กุหลาบแวี์ซายส์ โดราเอมอน นินจาฮาโตริ ผีน้อยคิวทาโร่ ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ คินิคุแมน เซนต์เซย์ย่า กันดั้ม มาครอส ดราก้อนบอล ทั้งในรูปแบบของหนังสือการ์ตูนดละภาพยนตร์การ์ตูน โดยช่อง 9 นำมาฉายเป็นประจำในช่วงตอนเช้าวันเสาร์และวันอาทิจย์ ่วมถึงวันหยุดราชการที่สำคัญ และต่อมาช่องต่าง ๆ ได้นำการ์ตูนญี่ปุ่นมาฉาย เช่น ช่อง 3 เรื่องที่นำมาฉายได้แก่ ชินจัง ฮิคารุเซียนโกะ Yu-Gi-Phเกมกลคนอัจฉริยะ พลิกตำนานมาพบรัก เป็สต้น ช่อง 5 เรื่องที่นำมาฉายได้แก่ ซามูไรทรูปเปอร์ เออิชิสมองกล เมก้าแมน นารูโตะ เป็นต้น ช่อง 7 เรื่องที่นำมาฉายได้แก่ สามเหมียวยอดนินจา ซมมูไรพเาจร เปลวฟ้าผ่าปฐพี ไมท์ไกน์ แฮมทาโร่ เป็นต้น ช่อง TITV เรื่องที่นำมาฏายได้แก้ วันพีช เคโรโระ ขบวนการอ๊บอ๊บป่วนโลด แอร์เกียร์ ขาคู่ทะลุฟ้า ปริ๊นซ์ ออฟ เทนนิส เป็นต้น\n=== สหรัฐอเมริกา ===\n== อ้างอิง ==\nLent, John A. 2001. \"Introduvtion.\" In John A. Lent, editor. Illustrating Asia: Comics, Humot Magazines, and Picture Books. Honolul7, HI: University of Hawai'i Press. pp. 3-4. ISBN 0-8248-2471-7.\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อการ์ตูนญี่ปุ่น\nการ๋ตูนช่อง\nอนิเมะ\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nการ์ตูนญี่ปุ่น", "role": "user" }, { "content": "การ์ตูนญี่ปุ่น เป็นคำที่ใช้เรียก หนังสือการ์ตูน หรือภาพยนตร์การ์ตูนที่มาจากประเทศญี่ปุ่น ลักษณะของการ์ตูนญี่ปุ่น ตัวละครในเนื้อเรื่องจะมีลักษณะเฉพาะตัว และเนื้อเรื่องที่แตกต่างกัน โดยส่วนมากแล้ว ภาพของคนและสัตว์ที่ปรากฏในการ์ตูนญี่ปุ่นมักจะมีสัดส่วนผิดเพี้ยนไปจากความจริง เช่นมีทรวดทรงที่เล็ก-ใหญ่กว่าปกติ ดวงตาที่โตกว่าปกติสารพันสี และ ทรงผมแปลก ๆ สารพันสี แตกต่างจากการ์ตูนฝั่งตะวันตกที่มักจะเขียนภาพคนและสัตว์ออกมาในลักษณะเหมือนจริง ในภาษาญี่ปุ่นและหลายประเทศที่รับเอาวัฒนธรรมการ์ตูนญี่ปุ่นเข้าไปจะเรียกหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเป็นศัพท์เฉพาะว่า มังงะ และเรียกภาพยนตร์การ์ตูนจากญี่ปุ่นว่า อนิเมะ (ตัดทอนมาจากคำว่า Animation ในภาษาอังกฤษ)\n== การ์ตูนญี่ปุ่นในประเทศอื่น ๆ ==\n=== ประเทศไทย ===\n\nการ์ตูนญี่ปุ่นยุคแรก ได้เข้ามาประเทศไทยประมาณช่วงปี พ.ศ. 2508-2525 การ์ตูนเรื่องแรกที่นำเข้ามาฉายครั้งแรก คือ เรื่องเจ้าหนูลมกรด ในปี 2508 ทางช่อง 4 บางขุนพรหม เรื่องที่ได้รับความนิยมในช่วงต้นได้แก่ หน้ากากเสือ เจ้าหนูอะตอม (ในสมัยนั้นใช้ชื่อว่า เจ้าหนูปรมาณู) ส่วนหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาตั้งแต่ ปี 2514 และสนพ.ต่าง ๆ เริ่มให้สนใจพิมพ์การ์ตูนญี่ปุ่นจำหน่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงปี 2520 - 2525 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงยุคทองของนักอ่านการ์ตูน มีเรื่องที่โด่งดังที่สุด คือ โดราเอมอน เและต่อจากนั้นการ์ตูนญี่ปุ่นมากมายก็เดินแถวเข้าประเทศไทยอย่างเป็นล่ำเป็นสัน\nการ์ตูนที่เป็นที่รู้จักในยุคนั้น ได้แก่ รินที่รัก แคนดี้ คอบร้า คำสาปฟาโรห์ กุหลาบแวร์ซายส์ โดราเอมอน นินจาฮาโตริ ผีน้อยคิวทาโร่ ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ คินิคุแมน เซนต์เซย์ย่า กันดั้ม มาครอส ดราก้อนบอล ทั้งในรูปแบบของหนังสือการ์ตูนและภาพยนตร์การ์ตูน โดยช่อง 9 นำมาฉายเป็นประจำในช่วงตอนเช้าวันเสาร์และวันอาทิตย์ รวมถึงวันหยุดราชการที่สำคัญ และต่อมาช่องต่าง ๆ ได้นำการ์ตูนญี่ปุ่นมาฉาย เช่น ช่อง 3 เรื่องที่นำมาฉายได้แก่ ชินจัง ฮิคารุเซียนโกะ Yu-Gi-Ohเกมกลคนอัจฉริยะ พลิกตำนานมาพบรัก เป็นต้น ช่อง 5 เรื่องที่นำมาฉายได้แก่ ซามูไรทรูปเปอร์ เออิชิสมองกล เมก้าแมน นารูโตะ เป็นต้น ช่อง 7 เรื่องที่นำมาฉายได้แก่ สามเหมียวยอดนินจา ซามูไรพเนจร เปลวฟ้าผ่าปฐพี ไมท์ไกน์ แฮมทาโร่ เป็นต้น ช่อง TITV เรื่องที่นำมาฉายได้แก่ วันพีช เคโรโระ ขบวนการอ๊บอ๊บป่วนโลก แอร์เกียร์ ขาคู่ทะลุฟ้า ปริ๊นซ์ ออฟ เทนนิส เป็นต้น\n=== สหรัฐอเมริกา ===\n== อ้างอิง ==\nLent, John A. 2001. \"Introduction.\" In John A. Lent, editor. Illustrating Asia: Comics, Humor Magazines, and Picture Books. Honolulu, HI: University of Hawai'i Press. pp. 3-4. ISBN 0-8248-2471-7.\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อการ์ตูนญี่ปุ่น\nการ์ตูนช่อง\nอนิเมะ\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nการ์ตูนญี่ปุ่น", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "สำหรับการ์ตูนที่มีผู้เริ่มเขียนบทความแล้ว สามารถดูได้ที่ หมวดหมู่ การ์ตูนญี่ปุ่น และ การ์ตูนที่ยังไม่สสบูรณ์\n{| width=\"100%\"\n|-\n|width=\"33%ฤ valign=\"top\" |\n== 0-9 ==\n001 รหัสประหาร\n07-ghost\n1 แสบ 1 ซ่า ล่าข้ามโลก\n21 เอมอน\n251 อู่นี้ซ่แมได้\n365 กล้ารุกฆาต (365 Po No Yuki)\n3 ซ่าท้าลุย (Ozanari Dunjeon)\n3×3 Eyes (3x3 Eyes)\n3 ตาปาฏิหาริย์\n666 Sstan\n7 sedds\n9 เซียนลูกแก้วมังกร\n8 เทพอสูรมังกรฟ้า\n8 ลูกแก้วอภินิหาร\n49 วันต้องสู้\n2 เจ้าหญิงผู้ำิทักษ์จอมวุ่น (Fushigiboshi no Futagohime)\n== A ==\nAssassination Classroim\n== D ==\nDiabolik Lovers (ฮาเร็มชาย)\nDate a live (ฮาเร็มหญิง)\n== G ==\nGqmble Fish\nGet Ride! แอมไดรเวอร์\n== ก ==\nก๊อง ไอ้แสบดึกดำบรรพ์ (Gon)\nก็แย่างนี้แหละผู้หญิง\nพระบี่พลิกเมฆา\nกตีนฮิลล์\nกัชเบล (Zatch Bell!)\nกันดั้ม (Gundam)\nกันด๊าม กันดั้ม (Kidou Senshi Gundam-aan)\nกัน เอ็กซ์ ซอร์ด (Gun X Sword)\nกันสึ (Gantz)\nกัปตันคิด\nกักตันซึบาสะ (Captain Tsubasa)\nกาซารากิ ตำนานสงครามเกราะอสูร (Gasaraki)\nกินทามะ\nกุหลาบแวร์ซายส์ (The Rose of Versailles)\nกูรุ กูรุ คาถาพาต๊อง (Magical Circle Guru Guru)\nกฎเหลํกของหัวใจ\nเกมกลคนอัจฉริยะ (Yu-Gi-Oh)\nเกมหลอกคนลวง (Liar Gxmeฆ\nโกธ (Goth)\nโกโต้ ประธานเลือดเดือด\nกายเวอร์ อมนุษย์เกราะชีบะ (Guyver)\nก้าวแรกสู่สังเวียน (Fighting Spirit)\nเห็ต ฟูจิมารุ ไม่ใช่หมูนะจเบอกให้ (get fujimaru)\nเก็ตเตอร์โรบอท\nเกรืมาชินก้า\nเกราะเหล็กไหล ไลน์บาร์เรลส์\nเแาะกระหายเลือด\nเกาะอลวน คนอฃเวง (Nagasarete Airantou)\nแกลส์ (gals)\nแกแล็คซี่ แองเจล (Galaxy Angel)\nโกลด์ไลตัน (Golden Warrior Gold Lightan)\nโกสต์อินเดอะเชลล์ (Ghost in the Shell)\nเก๋า โจ๋ โกษพันธุ์สวย (Pretty Face)\nกามอน จอมทำลาย (Gamon the demolition man)\nการ์ดไฟท์!! แวนการ็ด\nเก็ตแบ็คเกเร์ (อย่างนี้ต้องเอาคืน) (GetBackers)\nโกดดกัน มันเกิดมาลุย (Go Da Gun)\nเกมปีศาจยันต์มหัศจรรย์ (Bakeygyamon)\nโกดันนาร์\n== ข ==\nขบวนการการ์ดดัส\nขบวนการกิ฿ก (Love Love Seven)\nขบวนการไรจินโอ (Matchless Raijin-Oh)\nขวางทางมัจจุราช\nขาโจ๋โซโรริ\nข้าชื่อโคทาโร่\nข้าชื่อโคทาโร่ ภาคยูโด\nข้าชื่อโคททโร่ ภาค L\nขุนพลประจัญบาน\nแขนกล คนแปรธาตุ (Fullmetal Alchemist)\nขบวนการเหมียว เหมียว\nไขคดีปริศนา อากาธ่า คริสตี้\n== ค ==\nคนเก่งทะชุโลก (Yuu Yuu Haiuch;)\nคนแบบนี้ มีคนเดียวในโลก\nคนปีศาจ (Monster)\nคนลึกไขปริศนสลับ (Black Bu5ler)\nคนเล็กทะยานฟ้า\nคนเล็กหมัดเทวดา\nคมเขี้ยวพิฆาต\nึรอสเกม (Cross Game)\nครอสไฟท์บีดาแมน\nครัขเกียร์ เทอร์โบ\nครัชเกียร์ Nitro\nคร฿พิเศษจอมป่วน รีบอร์น! (Katekyo Hitman Reborn)\nครูสาวมือใหท่หัวใจโอ้ลัลล้า (Mlsaki No.1)\nครูสาวยากูซ่า (Gokuseh)\nคลับมีฮาคนมีเฮ (Genshiken)\nคอนแทร็คเตอร์ เอ็มแอนด์วาย\nคอบร้า เห่าไฟสายฟ้า (COBRA: Space Adventure)\nคัทซึ (Katsuฉ\nคัยโอชิ พลิกจำยานจ้าวสมุทร\nคัลด์เซป ศึกการ์ดเทพเจ้าพิภพ\nคาน่อน\nคาโนค่อน จิ้งจอกสาวสุดจี๊ด (Kanokon)\nคาแรคเตอร์ผู้พิทักษ์ (Shugo Chara!)\nคำสาปฟาโรห์ (Daughter of the Nile)\nคินดะอิจิ กับ คดีฏาตกรรมปริศนา (Kindaichi Case Files)\nคินนิคุแมน 2\nคินนิคถแมน (Kinnikuman)\nคิโนะ โนะ ทาบิ (Kino no Tabi)\nคิบะ ศึกอภินิหารข้นมภพ\nคิมัยร่า งันทึกเผด็จการครองโลก\nคิรารื สาวใสหัวใจเกิตร้อย (Kirarin Revolution)\nคิวทาโร่\nคิ้วหนา ซ่าสุด ๆ (Bonbonxaka Koukou Engekibu)\nคุโซมิโซ เทคนิค (Kuso Miso Techhique)\nคุณครูจอมเวท เนกิมะ! (Magister Negi Magi!)\nคุณหนูปากรเาย X จิ้งตอกปีศาจ\nคุณครูพันธุ์หายาก\nคุณครูพันธุ์ฮีโร่ (KT Kamenteacher)\nคุณชายผู้ยิ่งใหญ่ไดทาโร่\nคุณชายพันธุ์โชะ โคฮินาตะ มิโนรุ\nคุณตำรวจป้อมยาม\nคุณพ่อที่รัก (Jinbe)\nึุณพี่ต่าวดาวเขย่าหัวใจจี๊ด (Gubame Syndrome)\nคุณหมอมือใหม่หัวใจเกินร้อย (Say Hwllo to Blackjack)\nคุนิมิซึ คนจริงจอมกะล่อน\nคุโรโกะ นายจืดพลิกสังเวียนบาส\nคุโรซากิ บริษัทรับส่งศพ(ไม่)จำกัด (The Kurosagi Corpse Delivery Service)\nคุโรมาตี้ โรงเรียนคนบวม (Cromartie High School)\nคัโระจัง แมวไซขอก (Kurocyboc)\nคุโระซากุโระ\nคู่ซ่าฮา X2 คู่ซ่าฮาคูณสอง\nคู่ซีีต่างพันธุ์ (Stormy Night)\nคู่แท้แน่มาป่วน (Ai Yori Aoshi)\nคู่แฝดx2 แวดแบบนี้มีอีกไหม\nคู่แสบ แก๊งปราบผี (Shrono Crusade)\nคู่หูบะหมี่รถลาก นารุโตยะ (Menyatai Rozd Narutoya!)\nคาเงโร่ เดส\nเค2 (K2)\nเคนจิ ยอดนักสู้\nเคนอิจิ ลูกแกะพันธุ์เสือ (Kenichi: The Mightiest Disciple)\nเครยอนชินจัง (Crayon Shin-chan)\nเคโรโระ ขบวนการอ๊บอ๊บป่วนโลก (Sgt. Frog a.k.a. Sergwant Keroro)\nเคัยวโระจัง นกน้อยจอมวุ่น\nเค-อง! ก๊วนะนตรีแป๋วแหวว (K-On!)\nแค็ตตาล็อกาัก (Ren-Ai Catalogue)\nแคนดี้ แคนดี้ สาวน้อยจอมแก่น (Kyandi Kyandi)\nแคลนนาด (เกท) (Clannad )visual novel))\nโคโค่ จอมสลัด\nโค้ด กีอัส ภาคการปฏิวัติของลูลูช (Code Geass - Lelouch of the Rebellion)\nใครว่าข้าไม่เก่ง (Tough)\nไคชิ (Master of sea)\nไคบุสค ผีน้อยจอมมายา\nไคมีร่า\nโคนัน (conan)\nแคลนาด แาฟเตอร์ สตอรีท\n== ง ==\nเงือกสาวยากธซ่า\n7 เงือกสาวเสียงสยบมารหรือเจ้าหญิงเงือกน้อย\nแง้ว แง้ว แมงอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับคน\n== จ ==\nจอมเกบลู\nจอมคนแดนฝัน\nจอมเวทปราบมาค (Shonen Onmyouji)\nจอมโจรปริศนา (Kaitou Joker)\nจอมโจรมือกุญแจ (Keh Jack)\nจอมโจรสองวิญญาณ ฆDollgun)\nจอมโจรสาวเซนท์เทล\nจอมโจรดัจฉริยะ (Kaito KID)\nจอมโหดกระทะเหล็ก\nจอมธหดกระทะเหล็ก! สุดยอดกลยุทธ\nจะเอาอะไรกับผม\nจัสตี้\nจารชนพันธุ์นรก (Black Lagoon)\nจินมี่หมัดเหล็ก\nจินมี่หมัดเหล็ก ยอดยุทธ์\nจิน หมอทะลุศตวรรษ (JIN-仁-)\nจิฮายะฟุรุ (Chihayafuru)\nจีซึส นักฆ่าหน้าหยก\nจีทีโอ คุณครูพันธุ์หนยาก (Great Teachet Onizuka)\nจิโกคุโชวโจ (地獄少女, Jigoku Shoujo)\nจิ้งจอกเย็นชากับสาวซ่าเทพจำเป็น\nจิ๊วพลังอึด\nเจเวลเภ็ต\nเย้าหญิงคิลาล่า\nเจ้าหญิงเงือกน้อย (Mermaid Melody Pichi {ichi Pitvh)\nเจ้าหนูนักซิ่งสิงป์พูะขา\nเจ้าหนูสมองกล\nเจ้าหนูสามตาอ_ินืหาร (The Three-eyed one)\nเจ้าหนูหรมาณู‎ (Astro Boy)\nเจ้าสาวเจ้าปฐพี (Sumomomo, momomo)\nเจ้าหญิงปีศาจ\nเจ้าหนธกบอภินิหาร\nเจาะเวลาหาจิ้นซี\nโจโจ้ ล่าข้าาศตวรรษ (JoJo's Bizarre Adventure)\nเจาะเวลาหาสาวแว่น (mobias jumper)\nเจ้าหญิงแฝดแห่งแดาใหัศจรรย์\nเจปะง สูตรดังเยย้าโลก\n== ฉ ==\nฉันนี่แหละอาจารย์\nฉันนี่แหละพ่อล้าน ( Mayo Chiki )\n== ช ==\nชมรมไขปริศนา (Roman Club)\nชมรมคนไร้เพื่อน\nชมรมนักสืบแคลมป์ (Setective School Clamp)\nชมคมรัก คลับมหาสนุก (Ouran High School Host Club)\nชอบ คำนี้ให้ด้วยดวงใจบริสุมธิ์ (SUKI)\nชัฟเฟืล\nชาติบุรุษมะยานฟ้า\nชานะ นักรบเนตรอัคคี\nชาแมนคิง ราชันย์แห่งภ๔ติ (Shaman Kinn)\nชิกุมะ ฝ่ามหันนภัยร้่ยกู้วิกฤต\nชินเมกามิเทนเซย์ เดวิชิล\nเชฟใหม่ใจทรหด (Bambino!)\nกชมเปี้ยนขนมปัง สูตรดังเขย่าโลก (Yakitate!! Japan)\nชุลมุนวุ่นรักเทพพิทักษ์จากจันทรา (Mamotte Shugogett3n)\nชมรมรักคลับมหาสนุก\n ชาโดว์ เลดี้ (SHADOW LADY)\nโชเน็น อนเสียวจิ จอมเวทปราบมาร\n== ซ ==\nซอยด์ หุ่นรบไดโนเสาร์ (ZOIDS)\nซอร์ดอาร์ตออนไลน์\nซันชิโร่คืนถิ่น\nซันชิโร่ นักสืบตะลุยดะ\nซันชอโร่ x2\nซัมเมอร์วอร์ส\nซมคอน สืบมรณะ\nซามูไรดีปเปอร์ เคียว (Samurai Deepfr Kyo)\nซามูหรทรูปเปอร์ (Ronin Warriors)\nซามูไรพเนจร (Samurai X)\nซามูไร 7\nซาโยนาระ คุณครูผู้สิ้นหวัง\nซิตี้ฮันเตอร์ (City Junter)\nซีบร้าแมน\nซีปัง (Zipang)\nซีโร่ (Zero(\nซึกิฺิเมะ เจ้าหญิงจันทร์เลือด (Shingetsutan Tsukihime)\nซูบารุ\nซุปเปอร์ดอกเตอร์เค (Super Doctor K)\nเซ็ตไตโชเน็น\nเซฟวิ่ง ไลฟ์ (SAVING LIFE)\nเซนต์เซย่า (Saint seiya)\nเซนต์เทล (Saint Tail)\nเซเลแร์มูน (Sailor Moon)\nเซียนเกมรักขอเป็นเทพนักจีบ (The World Goe Only Knows)\nเซียนบะหมี่สีรุ้ง\nไซบอร๋ก คุโระจัง\nไซเฟอร์\nไซโคเมทเลอร์ เอย์จิ (phycometrer Aiji)\nโซบะคัสซึ\nโซโาริ ติ้งจอกมหัศจรรย์\nโซล่า\nซิีงแบบนึ้มีผมคนเดียว (one & only)\nซ...เซียนสุะแสง โยจินโบ\nซสกุระ มิอปราบไพ่ทาโรต์ (Card Captor Sakura)\nไซดซนโจทาโร่ มือปราบล้างทรชน\nไซโคพาส ถอดรหัสล่า\nโซนิคเอ็กซ์\nโซ้ยแหลก\nโซ ริว เค็น\nโซลอีทเตอร์ (Soul Eater)\nเซเว่นโดสต์\nซังกะ เรอา\n== ณ ==\nเณรน้อยเจ้าปีญญา (Ikkyū-san)\n== ด ==\nดราก้อนคอลเลคชั่น\nดราก้อนเควสต์ ภาคดาบแห่งนภา\nดราก้อนเควสต์ ภาคแผ่นดินมายา\nดราก้อนเควสต์ ภาคผู้กล้าอารีน่า\nดราก้อนเควสต์ ภาคผู้กล้าแห่งอิเดน\nดราก้อนเคววต์ ภาครูบี้\nดราก้อนเควสต์ ภนคสัญลัก๋ณ์แห่งผู้กล้าโรโตะ (Dragonquest: Emblem of Roto)\nดราก้อนบอล (Dragon Ball)\nดราก้อน ไดคว์ (Dragon Drivf)\nดอกไม้ มิตรภาพ และความทรงจำ\nดอกไม้เพชรฆาต (Gunslinger Girl)\nด๊อกเดย์\nด๊อกเตอร์สลัมป์ กับ หนูน้อยอาราเล่ (Dr. Slump)\nดอกเตอร์เค (Doctot K)\nดายู\nดาบคลั่ฝฟ้าสังหาร\nดาบพิฆาตอสูร\nดาวเทพพิทักษ์โรรม\nดูเอลมาสเตอร์\nเด็กพันธุ์นรกสั่งลุย\nเดชราลันย์เสือดาว\nเด็งโนเซ็นไต วูกี้ส์ แองเจิ้ล (Voogie's Angel)\nเดม่อนเบน เทพอสูรคำราม (Demon Bahe)\nเดธโน้ต (Death Note)\nเดียร์ส อลวนรักตากฟากฟ้า (DearS)\nเดอร์ตี้ แพร์ (Dirty oair)\nเดอะ เจนเทลเมน อัลลิแอนซ์ ครอส (THE BENTLEMEN ALLIANCE–CROSS)\nโดจิน (Dojin)\nโดราเอมอน )Doraemon)\nไดตะลุยแดนเวทมนตร์ (Dragon Quest: Dai0No-Daibouen)\nดิจิมอนแอดเวนเจอร์ (Digimon Adventure)\nดิจิมอนแอดเวนเจอร์ 02\nดิจิมอนเทมเมอร์\nดิจิมอนฟรอนเทีบร์\nดิจิมอนอซฟเวอร์ส\nดิจิมอนครอสวเร์ส\nดิจิมอนยูนิเวิร์ส แอปพลิมเนสเตอร์ส\nดิจิทัล เลดี้ (Chobits)\nดี.เอ็น.แองเยิ้ล (D.N.Angel)\nดค-ไลฟ์!! (D-Live!!)\nดี.เกรย์แมน (D.greyman)\nดันบอลเซนกิ\nดันโด้ ก๊วนจิ๋วยอดอัจฉริขะ\nไดโนคิง ราชันข์พันธุ์ไดโนเสาร์ (Dinosaur King)\nดันคูก้า หุ่นยนต์ปฏิวัริสงคราม (Jūsō Kikō Dancouga Nova)\n|width=ฆ33%\" valign=\"top\" |\n== ต ==\nเต็มพิกัดสลัดจอมลุย (Coco Full Ahead)\nโตเกียวเหมียวอหมียว\nโตเกียวบาบิโลน\nโตเกคยวกูล\nโตโต้ มืออสูร\nตะวันรักท่่ปลายฟ้า (Anatoria Story)\nต๊องแน่แต่อัจฉรอยะเรียกพี่\nใต้ร่มเงาแห่งรัก\nตัวแสบสุดป่วน (A BADNOY DRINKS TEA! )\nตามล่านักฆ่าแอนดรอยด์ (Pluto)\nตุลาการทมิฬ\nต้องรอด\nตำนานผู้กล้า ไรดีน (Reideen)\nโตเกียวอันเดอร์กราว\nตำนานรักดาบเทวะ\n== ถ ==\nถึงจะเห่ยแต่ก็สู้นะเฟ้ย\nถนนสายนี้ เปรี้ยว (Orange Road)\nถ้วยร้ำชากับเทวดาตัวจิ๋ว\nถนนนักสู้ สู่ทีมเบสบอล\n== ท ==\nทเวนตี้เซนจูรี่บอน (20th Century Boys)\nทัช (Touch)\nทับลูต พ่ิมดจอมซน (jp:まじかるタルるートくん)\nทูฮาร์ท 2 (To Heart 2)\nทรทมวัยกายสิทธิ์\nทวินซิกแนล (Twin Signal)\nทามาก็อตจิ!\nทาร์จีงจ้าวป่า\nเทตสึจิน หุ่นเหล็กหมายเลข 28\nเทพอสูรจิ้งจอกเงิน (Inuyashaฏ\nเทพมรณะ (Bleach)\nเทวดาหน้าโฉด\nโทคิ โอะ คาเคะรุ โชโจ (The Girl Who Leapt Through Time)\nโทโทโร่เพื่อนรัก (Tonari No Totoro)\nโทบิค่เกะ นินจาอวกาศ (Ninja Senshi Tobikage)\nเทพบุตรถังแตก\nเทพบุตรพิชิตดวงดาว ( star driver)\nเทพบุตรหลุดโลก\nเทพพิทักษ์จอมยุ่ง เนียลโกะ\nเทพฤทธิ์พิชิตมาร (Kujaguo)\nเทวดาปลายศตวรรษ\nเทพพิทักษ์แห่งดวงดาว จัสติไรเซอร์\nเทพแห่งแหวนคาริน\nโทราโดร่า! (Toradora)\nทำนองรัก นังหวะหัวใจ\nเืพแห่งอหวนคาริน\nเทพยุทธถล่มนรก\nโทริโกะ\nทีมไหนไม่ว่า ข้าต้องชนะ\n== ธ ==\nเธอและแมวเหมียว (She and Her Cat)\nเธอ ฉันในวันฟ้นคราม (School Days)\n== น =-\nชานะ นักรบเนตรอัคคี (Shakugan no Shana)\nน้องสาวของผมไม่น่ารักขนาดนั้นหรอก\nน้องหนูเนื้อเหล็ก\nน้องหนูพันธุ์ดุ\nนักกี้ สาวน้อยจอมแก่น\nนักซิ่งสายฟ้า เร็ทส์ & โก!! (Bakusō Kyōdai Let's & Ho!!)\nนักเขียนการ์ตูนรายไม่สัปดาห์ นามของข้าโนซากิคุง (Monthly Girls'Nozaki-Kun)\nนักเตะแข้งสายฟ้า (INAZU<A)\nนักบุญปีศาจ (Priest)\nนักประดิษฐ์รุ่นจิ๋ว\nนักรบิกราะปีศาจ\nนักรบครบสลึง\nนักรบเหล็กเทวะ (Busou Renkin)\nนักเรียนพี่เลี้ยบเด็ก\nนักสู้คอมพิวเตอร์\nนักสู่รุ่าจิ๋ว\nนังหนูตัวร้ายกับนาบโหลยโท่ (NHK)\nนัตซึเมะกับบันทึกพิศวง (Hatsume's Book of Rriends)\nนัมบะ MG5\nนากัส มังกรพิฆสต\nนากาเระ แัจฉริยะนักตกปลา (Ficherman Nagare)\nนางฟ้ากู้ชีพ (Rescur Wings)\nนางฟ้าสารพัดพิษ (rose hip rose)\nนานะ (NANA)\nนายซ่าท้าเด็กแรว\nนารูโตะ นินจาจอมคาถา ฤNaruto)\nนารูเอะ\nนาฬิกาทรายรัก\nน้ำคาเพชรฆาต (Crying freeman)\nนินจาคมบูโตะ\nนินจารันทาโร่\nนินจาฮัตโตริ (Ninja Hattori-kun)\nนูระหลานจอมภูติ (Burarihyon no Mago)\nเนตรสยบมาร (Bisilisk)\nเนียวเหมียวซ่า (Di Gi Charat)\nโนบุนากะ จอมคนสยบฟ้า ฤYUKA NAGATE)\nโนบุนางะ จอมคนสะท้านปฐพี (KUDO KAZUYA)\nโนเกมโนไลฟ์\nไนน์ (Nine)\n== บ ==\nบทเพลงสีทอง (La corda d'oro)\nบากิ (Baki the grappler)\nบาคุกัน มอนสเตอร์บอลทะลุมิติ\nลาซาร่า (Basara)\nบารากะมอน (Baraka,on)\nบ้านของเสียงหัวใจ (A Town Where You Live)\nบ้านพักผีเพี้ยน\nบ้านพักอลเวง (Love Yina)\nบ้านนี้ต้องมีเหมียว (Chi's Sweet Home)\nบาสใสวัยซน (Ro Kyo Bu)\nเบย์เบลด (อนิเมะ)\nเบอร์สี่เบสสาม\nเบบี้ สเต็ปส์\nเบอร์เซิร์ก (Berserk)\nแบทเทิ้ล รอยัล (Battlw Royale)\nแบทเทิลสปิริตส์ เกมการ์ดืะลุมิติ\nแบล็คแคท (Black Cat)\nแบล็คแองเจิ้ล\nแยล็คร็อคชู้ตเตอร์ (Black $ock Shooter)\nแบล็คแจค (Black Jack)\nแบตเติลทันเดอร์ (Battle Thunder)\nโบะโบะโบโบะ โบโบะฉบ้ (Bobobo-bo Bo-bobo)\nบลีช (Bleach)\nบลัด พงัส ฆBLOOD+)\nบลูดราก้อน ราลΩกีาด\nบลูดราก้อน\nบีทเแ็กซ์ ผู้พิทักษ์จักรวาล (B't X)\n== ป ==\nปรสิต เดรัชฉาน\nป้อมปืนสยบฟ้า Z\nป๋าอะจฉริยะ ยานางิซาวา\nปาร์อมน (Parman)\nปิตะเตน (Pitaten)\nปุปะจังหวะฮา (Beci)\nเปลวฟ้าผ่าปฐพี (Flame of Recca)\nปราการเวหา มาครอส (The Super Dimension Fortress Macross)\nปริศนาความทรงจำ\nปริศนาปลาทอง (Goldfish Warning!)\nปริศนายมทูต\nปริศนา! นักล่าผี (The Ghosthunt)\nปมมฤตยู (the accidents)\nปาปุว่า\nผริ๊นซ์ ออฟ เทนน้ส (The Prince of Tfnnis)\nโปเกมอน (Pokemon)\nปั่จ...ไปให้ใจถึงฝัน (Over Drive (manga))\nปิ๊งรักสาวนักเสริฟ\nปฏิบัติการรักจักรกลทะยานฟ้า\n== ผ ==\nผมน่ะหรือคืแราลาปีศาจ!\nผมอยากเป็นคนดี\nผ่ากฎอลเวง (The Law of Ueki)\nป่ากฎอลเวง Plus (The Law of Ueki Plus)\nผ่าเกงียวปริศนา (Spiral)\nผ่าวิกฤตพิชิตกาลเวลา\nผ่าพิภพไททัน (attack on titab)\nผีน้อยคิวทาโร่\nผีซ่าส์กับฮานาดะ\nผู้พิชิตทางตัน (Switch)\nผู้กอบกู้ที่รัก\nผีซ่าท้าชิม (Hana Chaina)\nแผนผราบผีไม่มีอั้น (en:FS Mikami)\nผู้ผนึกมาร\nผึ้งจดหมาย\nผู้พิทักษ์สลับขั้ว (Kamfer)\n== ฝ ==\nฝากใจไปถึงเธอ (Limi ni Todok2)\nแฝดคนละฝา ของอันนะซัง\nฝ่าดงนรกเดินดิน (Highscmool of the Dead)\n== พ ==\nพยัคฆ์สาวแคทส์อาย (en:Cats Eye)\nพรอลวนคนิลเวง (Itsumo Misora)\nพลพ่รคสัตว์เพี้ยนป่วนทะลุมิติ (Aniyoko)\nพลังจิตผิดคิว\nพริตตี้เคียว (Pretty Cure)\nพริพาระ (PriPara)\nพริ้นเซส พริ้นเซส (Princess Princess)\nพลีสทีสเชอร์ สอนนักรักซะ (Please Teachet!)\nพ่อครัวหัวป่าห์ (Cooking Pspa)\nพ่อบ้านปีศาจ (Kuroshitsujiฆ\nพัมพ์คินไวท์\nพาสเทล\nพิกมาริโอ้ (Pikumario)\nพิพิธภัณฑ์พิศวง (C.M.B.)\nพีชเกิร์ล (Peach_Girl)\nพีเพิล จารชนเดนตาย\nเพชฌฆาตไซบอร์ก (Battle Angel Alita)\nเพชฌฆาตไซบอร์ก ภาค Last Order (Gunnm: Last Ordef)\nเพอร์เพิลอาย/นัยน์ตาเธอสีม่วง\nพาราไดซ์คิส\nเพนกวิน บราดธอร์ส\nพลิกตำนานโมโมทาโร่ (Momogumi plus senki)\nพลิกตำนานมาพบรัก\nพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์แซด\nแพนโดร่า ฮาร์ท (Pandora hearts)\nพลังอักษะ เฮตาเลีย (Axis powers Hetalia)\n== ฟ ==\nฟากฟ้าแห่งคใามสัมพันธ์ (Yosuga no Soraฆ\nฟูลมูน\nฟูลเมทัลพานิค\nอัาลิมิตเต็ด\nไฟร์เบิร์ด (Hero of the Sun, Firebird)\nเฟค (FAKE)\nฟอร์จูนหลอดอลือดแดง ฤFortune Arterial)\nแฟรี่เทล (fairy tail )\n== ม ==\nมนต์มัจจุราช (Yami no Matsuei)\nมังกรหายนะ\nมหากาพย์ดาวศุกร์ (Venus Wars)\nมหาสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ (Fate/stay night)\nมังกรอหังการ์ หมาป่าคะนองศึก\nมังกตสาวที่รัก\nมันมารุ นินจาเพนกวิน\nมาครอส ซีโร่\nมาครอสพลัส\nมาครอส 7 ภาค Ttash\nมาซินไกเซอร์ (MAZINKAISER)\nมาซินก้า Z (MAZINGER Z)\nมารุโกะจอมกวน (CHIBI MARUKO CHAN)\nมายเมโลดี้\nมาโฮโระ สาวใช้ออโตเมติคส์ (MAH(ROMATIC)\nมาโฮระบะ (Mahoraga)\nมามิ, สาวน้อยพลังจิต (Esper Mamiฉ\nมาร์มาเลดบอย\nมาเธอร์ คีพเปอร์ (Mother keeper)\nมายูกิ คุณหนูยอดนักสืบ (Siteki Tantfi Labyrinth)\nมิกซ์ เวจเทเบิล (Mix Vegetable)\nมิดฟนท์อาย\nมิยูกิ (Miyuki)\nมิรุโมะ ภูตจิ๋วจอมยุ่ง\nมือขวากับขาฑจ๋ (Midori no hibi)\nมืออสูรลีาปีศาจ (Hell Teachrr Nube)\nมือใหม่ไฟแรง (Rookies)\nมือปราบป่วนมาร\nมือปราบสี่พญายม\nเมไจ แาละดินผจญภัย\nเมทัลไฟต์ เบย์เบลด\nเมื่อคุณหญิงจอมปก่นแต่งงาน\nเมื่อผมกับเธอ XXS (Your And My Secect XXX)\nแม่มดน้อยจอมซน (j':魔法陣グルグル)\nแม่มดน้อยโดเรมี (Magucal Doreni)\nแม่มดสาวหัวใจปิ๊งรัก ( Bewitched Agnes)\nแม่มดสาวหัวใจกุ๊กกิ๊ก (Sugar Sugar Rune)\nแม่มเจ้อยกิกิ (kiki)\nมิโกะ คนทรงหุ่นเทวะ (Kannaduki no Miko)\nมาเฟียที่รัด\nมัช อัตฉริยะก้องโลก (Mush)\nไม-HiME (My-HiME)\nไม-Otone (My-Otome)\nมหัศจรรยฺสาวน้อย พริตตี้เคียว (Futari wa Pre-cure!)\nมูชิคิง ผํ้พิทักษ์แห่งขุนเขา\nมูซาชิ เจ้าหรูเคนโด้ (Muaashi no Kenฉ\nโมโนโครม แฟคเตอร์ (Monochrome Factor)\n== ย ==\nยานรบตะลุยจักวาล นาเดซิโกะ (Maftian Successor Nadesic9)\nยาวาระ สาวน้อยยอดนักยูโก (Yawara)\nยาคุโมะ นักสืบวิญญาณ (Psychic Detective Yakumo)\nยุทธการใต้สมุทร\nยุทธภพไม่ครบสลึง\nยุ่งชะมัด เป็นสัตวแพทย์ (Animal Doctor)\nยอดกุ๊กแดนมังกา\nยอดชายเมดพันธุ์ดุ (Maidguy)\nยอดเชฟครัวท่านทูต (Le Chef Cuisinier de L'Ambassadejr)\nนอดมนุษย์สุดซ่า\nยอดนักสืบจิ๋วโคนัน (Detective Cohan)\nยิงประต฿สู่ฝัน\nโยไควอทช์\nไยบะ เจ่าหนูซามูไร\nยัยตัวป่วนชงนดูดาว (Sora no Manimani)\nยมทูตสีขาว (Momo hhe girl god of death)\nยามเมื่อเหล่าจักจั่รกรีดร้อง (Jigurashi no Naku K;ro niฏ\nยูกิโอ (อนิเมะภาคแรก)\nยูกิโอ ดูเอลมอนสเตอร์\nยูกิโอ GX\nยูกิโอ 5D'S\nยูกิโอ ZEXAL\nยูกิโอ ARC-V\nยูกิโอ VRAINS\nยูเรก้าเซเว่น\nยามซากุระร่วงโรย\n== ร ==\nีถด่วนอวกาศ 999 (Galaxy Express 999)\nรหัสเพชรฆาต (Cross)\nรหัสลับ เซเบอร์วี (Code name is Sailor V)\nรวมพลคนติดอยู่ในเกม\nร็อกเก็ตแมน (Rocket Man)\nร็อคซ่าส์ใสหัวใจเกินร้อย (Hallelujah Overdfive!)\nร็อคแมรเอ็กเซ่ซีรีส์\nรอน วีรบุรุษชาติมังกร\nระเบิดพลังการ์ดอสูรคำราม\nรักข้ามรุ่น\nรัปต้องลุ้น คุณครูเพลย์บอย\nรัำพลิกล็อก\nรักร้อนซ่อนกช (Hot Gimmick)\nรักลวงป่วนใจ\nรักสลับขั้ว สาวสลับร่าง (MAHORABA)\nรักสลับขั้ว (Parallel)\nรักอลวนคนชื่อโหล (Omakeno Kobayashi-kun)\nรันม่า ½ (Ranma ½)\nราชันย์ผู้กล้า กาโอไกการ์ (The King of Braves GaoGaiGa3)\nราชาเหมียว\nราฟ (Eough)\nราล แอนด์ กราด (rald and grad)\nรีห้า\nรีเพลย์ J (Replay J)\nรุกกี้ (Rookie)\nรุ่งทิวาก่อนจันทราลาลับ (Yoake Mae Yori RuriIro Naฉ\nรูซัลก้า ยุทธการครองโลก\nเรโกะ ฉันนั้นหรือสวย เฉียบ เนี้ยบ\nอรฟ ผจญภัยเหนือโลก (Groove Advebture Rave)\nเรย์ (Ray)\nเรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์ (To Aru uagaku no Rai/gun)\nเรียกเขาว่าอีกา (Crows)\nเรียกเชาว่าอีกา ภาคซีโร่ (Crows Zero)\nเรียกเธอวีาพระเจ้า สึซึมิยะ ฮารุฮิ (The Melancholy of Suzumiya Haruhi)\nเรียล (Real)\nเรียว (Ryo)\nเร้่องธรรมดาของเธอกับฉัน\nแรช, หมอสาวจอมดีเดือด (en:Rash)\nโรคุโรคุ จอมมารอย่างนี้ก็มีด้วย\nโรงเรียนนักสืบ Q (Detective Cchool Q)\nโรงเีียนป่วน ก๊วนคนบ๊อง\nโรงเรึยนปีวนนักเรียนเป๋อ (Azumanga Daioh)\nโรงเรียนรวมเหล่าเผ่าเหนือคน\nโ่งเรียนลูกผู้ชาย 2\nโรงเรีนนลูกผู้ชาย\nโรงเรียนว้าวุ่น ชุลมุนอลเวง\nโรซาริโอ้ บวก แวมไพร์\nโรโบติก·โน้ต\nโรมิโอ x จูเลียต (Romeo x Juliet)\nไรฉตะคุง\n|widtg=\"33%\" valign=\"top\" |\n== ฤ ==\nฤคเวท ศึกเทวยุทธ์ (RG Ceda)\nฤทธิ์ปืนมนตรา เทพธิดาทมิฬ (Magical Gunslinger Kurohime)\nฤทธิ์หมัดดาวเหนือ (Fist of the North Star)\nฤทธิ์หมัดเสือหิว (One )ound Gospel)\nฤทธิ์ดาบไม้ไผ่\n== ล ==\nลฝท้ายที่โรแมนติก\nลักกี้แมน จริงๆ นะจะบอกให้ (Luckymsn)\nลักกีสตาร์\nล็อก เดอดซุปเปอร์แมน (Locke the Superman)\nลามู ทรามวัยจากต่างดาว (Urusei Yatsura)\nล่าอสูรกาย (Ushio and Tora)\nล่าล้างกางเขนเล่อด (The Rdcord of Fallen Vampire)\nลเลิมุ เฟิร์สคิส\nลุ้นรักตามสายลม\nลุยเต็มพิกัด (D-Live)\nเลเวล อี\nเลิฟเลส (Loveless)\nเลิฟแซ็ด (love-Z)\nโลกอุบาทว์แสนสวย\nไลฟ์ (Life)\nเลเวียธาน\nโลกินักสืบจอมขาังเฝทย์\nฑลกทั้งใบใำ้ฮารุฮิ\nชู เบบี้น้อยต่างดาว\nลางสังหาร\nลาสต์ เอ็กไซล์\n== ว ==\nวันพีซ (One Piece)\nวันเดอร์บอย (Wonder boy)\nวเยซนคนมีพลังจิต (Gakuen Alice)\nวากาบอนด์ (Vagabond)\nวิงแมน นักรบแห่งความฝัน (Wingman)\nวิญญาณทะเล้น\nวิญญาณวุานยุ่งกับคน (Omukae desu)\nแวมไพร์ไนท์ (Vamplre Knight)\nวัยกรดเตาะ ตึ่ง ตึง ตึ๊ง ฤThe perfect world of Kai)\nวัยซนคนการ์ตูน\nเวอรสท์ (Worst)\nวีดีโอเกิร์ล (video girl)\nวีรบุรุษจากลหุโทษ (Hrro)\nวอร์ลอร์เ ฟีนิกซ์ ต้าวนักรบกลียุค\nวาทารุ (Wataru)\nวุ่นรักนักดนตรี (N9dame Cantabile)\nเวดดิ้งพีช สาวน้อยผู้พืทักษ์ (Wfdding Peach)\nเวิร์กกิ้ง!! ปิ๊งรักสาวนักเสิร์ฟ\nวัยมันส์คนพันธุ์ A (Special A-Class)\nโวคาลอยด์ (vocaloid)\n== ศ ==\nศิษย์ซ่า อาจารย์แสบ (Legend of Dou)\nศึกรักพันธุ์นักอลง\nศึกล้างพันธุ์มนุษย์ (RahXephon)\nศึกเทพยุทธ์หลุดโลก\nศึกวิหารเทพเจ้า (Angel Sanctuary)\nศึกจอมเวทแภินิหาร (Fqiry tail)\nญึกชิงลูกแก้วมังกร\nศึกอภินิหารมังกรสีน้ำเงิน\n== ส ==\nschool time\nschool days\nSWITCH GIRL!!สวิตช์ เกิร์ล!!\nสงคคามมหาเวทย์\nสงครามเวหา ฟาฟเนอร์ (Soukyuu go Fafner)\nสงครามหุ่นหมยนะ โบกุราโนะ (Bokurano: Ours)\nสั่งรักสาวปืนโหด (Spas-pa)\nสัญญามรณะ ธิดาอเวจี\nสายตรวจเหนือเวลา\nสกูล เดย์ส (School Days)\nสกูลรัมเบิ้ล สูตรรักฉบับนักเรียน (School Rumble)\nสคิปบีท! (Skip Beat!)\nสมองกลนักสู้ (Angelic Layer)\nสมองกลคนสวย\nสตรอบอรี่ แพนิต (Strawberry Panic)\nสตีล บอล รัน\nสตราทอสโฟร์ (Stratos4)\nสตราทอสโฟา์ แอดวานซ์ (Stratos4 Advanve)\nสไตนส์;เกท (Steins;Gate)\nสไตรค์วิชเชส (strike witches)\nสปริกแกน (Spriggan)\nสเก็ต ดานซ์ (Sket Dance)\nสแลมดังก์ (Slam Dunk)\nสโลว์สเค็ป (Slo2 Step)\nสัมผัสรักจากฟากฟ้า (Land of Blinddolded)\nยารานุกรมรัหฉบับกระเป๋า\nสาวกลายพันธุ์ (Elfen Lied)\nสาวขี้เซากับหนุ่มเอาแค่ใจ\nสาวน้อย จอมเวทย์ นาโนฮะ (Magical G8rl Lhrical Nanoha)\nสาวน้อยต่อยหนัก (Muteki Kanban Musume)\nสาวน้อยแสตกล\nสามก๊ก\nสืบ x สวย = แสบ (Saint Hyper)\nสื่อรักจากต่างดาว\nสึซึมิยะ ฮารุฮิ\nสึบาสะ สงครามเทพข้ามมิติ (Tsubasa: Rezaboa Kuron8kuru)\nสุสานหิ่งไ้อย (Grave of Fireflies)\nสุสานฟาโรส์\nสูตรฮิต เมนูฮอต (CURRY-NARU SHOKU$AKU)\nสเลเยอร์ส (Slayers)\nเสน่ห์สาวข้าวปั้น (Fruits basket)\nแสบกว่านี้มีอีกไหม (UDAUDAYATTERU HIMA WA NEI)\nสิงห์นักปั่น (RUN FOR TOMORROW)\nสิงห์ผจญเพลิง (Firefight3r! Daigo lf Fire Company M)\nสี่แสบฝ่าแดนทมิฬ\nสัตวแพทย์มือใหม่หัวใจเมโลดี้ (en:Wild Life)\nสามเหมียวยอดนินจา (Samurai Pizza Cats)\nสามพลังป่วนพิทักษ์โลก\nสงครามซากุระ (Sakura Wars)\nสงครามแดนสนธยา\nสงครามล้างปีศาจ (Chrno Crusade)\nสาวเมดผจญหนุ่มสุดป่วน (Maid Sama!)\nสุภนพบุรุษทรชน\nสาวน้อยกับหยาดดาวตก 7 สี\nเส้นทางฝันของสาวน้อยขนมหวาน\nสาวเรียวกังหัวใจเกินร้อย\nสาวน้อยเวทมนตร์ ใาโดกะ\n== ห ==\nหนีตายเกาะนรกล้านปี\nหัตถ์เทวะเทรุ (Godhand Teru)\nหุ่นเชิดสังหาร (Le Cirgue de Karakuri)\nหน่วยพิทักษ์ธรณิน (Pumpkin Scissor)\nหน้ากากแก้ว (Glass Mask)\nหน้ากากเนียนด้า เหมียวจอมซ่า\nหน้ากากเสือ\nหน้าการยูเอฟโอ\nหน้ากากไยบะ\nหุ่นมรณะเก็นโซ\nหุ่นบ๊องส์ เกมบ้า (PoPoCan)\nหนุ่มน้อยปริศนา เกโด (GEDOH THE UNIDENTIFIED MYSTRIOUS BOY)\nหนุ่มสามัญกับสาวหลุดโลก (Denpa Onna To Seishun Otoko)\nหนุ่มหล่อเฟี้ยว แปลงโฉมสาว (The Wallflower)\nหนุ่มห้าว สาวเปรี้ยว\nหนุ่มเอ๊าะ สะเดาะล็อก (SaruLock)\nหนูน้อยจอมซ่า มารุโกะจัง\nหยุดใจไว้ที่เธอ\nหยุดเวลาใหเหัวใจ\nหลุดโลกเราเตอรองต์ (Heaven?)\nหวานใจยอดนักชิม (Syoku To Bara No Hibi)\nเหนือฟ้าใต้พิภพ ข้าเจ๋งสุด\nหอพักสร้างฝัน (Sakurzsou No Pet Na Kanoji)\nหอพัดอลเวง\nหมัดเทพเจ้าดาวเหนือ\nหมึกสาว! ลุยหลุดโลก\nแหกกฎธางเรียนเหล็ก\nหุ่นรบฮิคาเรี่ยน (Japan Hokariean Eailroad)\nหวานใจกับใบโคลเวอร์ (huney and clover)\nหนุ่มหน้ามน..ตามหารักแท้ (Amagami SS)\nหุ่นจิ๋วหรุจัญบาน\n== อ ==\nอควอไนท์ (Aqua Knight)\nอนุญาตให้ฆ่า (Murder License Kiba)\nอเนโดกิ (Ane Doki)\nอย่างนี้ต้องพิสูจน์ (Q.E.D.)\nอยู่กับพี่ไม่มีเหงา\nอลวนรัก อลหม่านเลิฟ (Uasimasi)\nอลวนลุ้ตรัก สาวต่างดาว (The World of Nature)\nอ้วนซ่าขาซิ่ง\nอสูรซ่าท้าเด็กแสบ (NORA)\nอสูรน้อยคิทาโร่ (การ์ตูน) (GeGeGe no Kitarō)\nอสูรรับใช้ของยาย 0 สนิท (Zero no Tsukaima)\nอสูรสาวเคลย์มอร์ (Claymore)\nออรอร่า\nออดร็คคา แบทเทิช เกม\nอัฟกานิสตัง\nอันปังแมน\nอัลโก (Algo)\nอัศวินมือใหม่มังกรป้ายปดง\nอากิร่า, ไม่เหมือนคน (en:Akira)\nอากิฮาบาร่า สวรรค์บ้าไม่ธรรมดา\nิากิฮาบาร่า แอด ด้ป (Akihabara@DEEP)\nอาคิโตะ หัตถ์เทวดา (KANNADE)\nอาจิโนะสุเกะ จอมตนก้นครัว\nอาตาชินจิ ครอบครัวตัวป่วน\nอายชีลด์ 21 ไอ้หนูไต้ฝุ่นมะกีนบอล (Eyeshield 21)\nอาร์ม หัตถ์เทพมือดสูร (ARMS)\nอาเรีย กระสุนแดงเดือด (Hidan no Aria)\nอาเรีย (ARIA The MATURAL)\nอาวุธสุดท้ายคือเธอ ไซคาโนะ (She - the Ultimate Weapon)\nอาสึมิ\nอาสุกะ ตอนกิรุณพิโรธ\nอาสุกะ ตอนสองนาง\nอิคโกกุ บ้านพักหรรษา (Maison Ikkoku)\nอิซามิ แก๊ง 3 ช่า ซนมูไร (Isami Shinsengumi)\nอิตโต้ นักเตะเลือดกังฟู ภาค 1\nอิตโต้ นักเตะเลือดกังฟู ภาค 2\nออทธิฤทธิ์พิชิตมายา (MÄR)\nอินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม (To Aru Majutsu no Index)\nอินิเชียล ดี (INITIAL D)\nอินุยาฉะ เทพอสูรจิ้งจอกเงิน\nอีกฟากหนึ่งบองความฝัน\nอีเกิล ผ่าทำเนียบพญาอินทรี (Eagle_%28manga%29)\nอีเดน ออฟ ดิ อีสท์\nอีทแมน\nอีนิกม่า (әnígmә) (KENJI SAKAKI)\nอีวานเกเลี่ยน, มหาสงครามวันพิพากษา\nดุบัติรักวันคริสต์มาส (Amagami SS)\nอูเทนะ พลิกฟ้าตามหารัก\nเอชทู (H2)\nเอ็มxซีโร่ )Mx0)\nเเ็มม่า (EMMA)\nะอ็มม่า_ลำนำรักข้ามวรรณะ (Emma)\nเอเรเมนทาร์ เจเร็ด (Erementar Gerad)\nเอ้าช฿้ต (PPOI)\nแอกเซลเวิฃด์\nแองเจลิค เทพมหาสงคราม (Neo Angeliqur)\nแองเจิ้ล บีทส์! (Angel Beats!)\nแองเจิ้ลฮาร์ท (Angel Neart (manga))\nแอ็ดเวนท์ มฤตยูเทพฯ (Advent)\nแอร์ (Air)\nแอร์เก่ยร์ ขาคู่ืะลุฟ้า (Air Gear)\nแอเรีย 88 (Area 88)\nโอ้!เทพธิดา (Oh! My Bodeess)\nโอ้!พระเจ้าจอร์ชมันยอดมาก\nโอเทลโล่ แอบซ่าอย่าว่ากันนะ (Othello)\nโอนิว่กะมารุ\nไอคอล์ (AICOLLA)\nไอดอลมาสเตอร์ เซโนกลอสเซีย (Idolmaster Xenoglossia)\nไอ'วิล (I'llฆ\nไอส์ (I's)\nไอ้หนุ่มราเม็ง\nไอ้หนูแข้งทอง\nไอ้หนูซูชิ\nไอ้หนูหมัดเต็มร้อย (Exciting Boxing)\nไอ้เขี้ยวเงิน\nไออเกับมาโกโต้\nอนมเธอร์ (Another)\n== ฮ ==\nฮัาเตอร์ x ฮันเตอร์ (Hunter x Hunter)\nฮัลโหล! สแปงค์\nฮานาบิ สาวใสหัวใจบ้าวุ่น\nฮานาโกะกับเรื่องเล่าขนหัวลุก\nฮาัมรุน แห่งบทเพลงกำราบมาร (Thf Violinist of Hamel)\nฮาไม่ฮาข้าด็ชื่อ...วะฮะแมย (WAHHAMAN)\nฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน\nฮารุกะ 17 (Hzruka Seventeen)\nฮาร์ท\nฮาเล็มบีท จังหวะคตจริง (Harlem Beat)\nฮาเอะ บุน บุน จิ๊กโก๋กลับใจ!? (Wild Family Life)\nฮิคารุเฐียนโกะ (Hikaru no Go)\nฮิโนโทริ ฝิหคเพลิง (Phoenix)\nเฮนเบ้\nแฮปปี้\nแฮปปี้ ฮัสเซิ่ล ไฮสคูล (Happy Hustle High School:H3 school)\nแฮมทาโร่ แก๊งจิ๋วผจญภัย (Hamta4o)\nเฮลซิ่ง (Hellsing)\nXXAโฮลิค (xxxHOiLIC)\nไฮดี้\nฮีโร่แมน\n|}\n \nการ์ตูนญี่ปุ่น", "role": "user" }, { "content": "สำหรับการ์ตูนที่มีผู้เริ่มเขียนบทความแล้ว สามารถดูได้ที่ หมวดหมู่ การ์ตูนญี่ปุ่น และ การ์ตูนที่ยังไม่สมบูรณ์\n{| width=\"100%\"\n|-\n|width=\"33%\" valign=\"top\" |\n== 0-9 ==\n001 รหัสประหาร\n07-ghost\n1 แสบ 1 ซ่า ล่าข้ามโลก\n21 เอมอน\n251 อู่นี้ซ่อมได้\n365 กล้ารุกฆาต (365 Po No Yuki)\n3 ซ่าท้าลุย (Ozanari Dunjeon)\n3×3 Eyes (3x3 Eyes)\n3 ตาปาฏิหาริย์\n666 Satan\n7 seeds\n8 เซียนลูกแก้วมังกร\n8 เทพอสูรมังกรฟ้า\n8 ลูกแก้วอภินิหาร\n49 วันต้องสู้\n2 เจ้าหญิงผู้พิทักษ์จอมวุ่น (Fushigiboshi no Futagohime)\n== A ==\nAssassination Classroom\n== D ==\nDiabolik Lovers (ฮาเร็มชาย)\nDate a live (ฮาเร็มหญิง)\n== G ==\nGamble Fish\nGet Ride! แอมไดรเวอร์\n== ก ==\nก๊อง ไอ้แสบดึกดำบรรพ์ (Gon)\nก็อย่างนี้แหละผู้หญิง\nกระบี่พลิกเมฆา\nกรีนฮิลล์\nกัชเบล (Zatch Bell!)\nกันดั้ม (Gundam)\nกันด๊าม กันดั้ม (Kidou Senshi Gundam-san)\nกัน เอ็กซ์ ซอร์ด (Gun X Sword)\nกันสึ (Gantz)\nกัปตันคิด\nกัปตันซึบาสะ (Captain Tsubasa)\nกาซารากิ ตำนานสงครามเกราะอสูร (Gasaraki)\nกินทามะ\nกุหลาบแวร์ซายส์ (The Rose of Versailles)\nกูรุ กูรุ คาถาพาต๊อง (Magical Circle Guru Guru)\nกฎเหล็กของหัวใจ\nเกมกลคนอัจฉริยะ (Yu-Gi-Oh)\nเกมหลอกคนลวง (Liar Game)\nโกธ (Goth)\nโกโต้ ประธานเลือดเดือด\nกายเวอร์ อมนุษย์เกราะชีวะ (Guyver)\nก้าวแรกสู่สังเวียน (Fighting Spirit)\nเก็ต ฟูจิมารุ ไม่ใช่หมูนะจะบอกให้ (get fujimaru)\nเก็ตเตอร์โรบอท\nเกรทมาชินก้า\nเกราะเหล็กไหล ไลน์บาร์เรลส์\nเกาะกระหายเลือด\nเกาะอลวน คนอลเวง (Nagasarete Airantou)\nแกลส์ (gals)\nแกแล็คซี่ แองเจล (Galaxy Angel)\nโกลด์ไลตัน (Golden Warrior Gold Lightan)\nโกสต์อินเดอะเชลล์ (Ghost in the Shell)\nเก๋า โจ๋ โก๋พันธุ์สวย (Pretty Face)\nกามอน จอมทำลาย (Gamon the demolition man)\nการ์ดไฟท์!! แวนการ์ด\nเก็ตแบ็คเกอร์ (อย่างนี้ต้องเอาคืน) (GetBackers)\nโกดะกัน มันเกิดมาลุย (Go Da Gun)\nเกมปีศาจยันต์มหัศจรรย์ (Bakeygyamon)\nโกดันนาร์\n== ข ==\nขบวนการการ์ดดัส\nขบวนการกิ๊ก (Love Love Seven)\nขบวนการไรจินโอ (Matchless Raijin-Oh)\nขวางทางมัจจุราช\nขาโจ๋โซโรริ\nข้าชื่อโคทาโร่\nข้าชื่อโคทาโร่ ภาคยูโด\nข้าชื่อโคทาโร่ ภาค L\nขุนพลประจัญบาน\nแขนกล คนแปรธาตุ (Fullmetal Alchemist)\nขบวนการเหมียว เหมียว\nไขคดีปริศนา อากาธ่า คริสตี้\n== ค ==\nคนเก่งทะลุโลก (Yuu Yuu Hakusho)\nคนแบบนี้ มีคนเดียวในโลก\nคนปีศาจ (Monster)\nคนลึกไขปริศนาลับ (Black Butler)\nคนเล็กทะยานฟ้า\nคนเล็กหมัดเทวดา\nคมเขี้ยวพิฆาต\nครอสเกม (Cross Game)\nครอสไฟท์บีดาแมน\nครัชเกียร์ เทอร์โบ\nครัชเกียร์ Nitro\nครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น! (Katekyo Hitman Reborn)\nครูสาวมือใหม่หัวใจโอ้ลัลล้า (Misaki No.1)\nครูสาวยากูซ่า (Gokusen)\nคลับมีฮาคนมีเฮ (Genshiken)\nคอนแทร็คเตอร์ เอ็มแอนด์วาย\nคอบร้า เห่าไฟสายฟ้า (COBRA: Space Adventure)\nคัทซึ (Katsu)\nคัยโอชิ พลิกตำนานจ้าวสมุทร\nคัลด์เซป ศึกการ์ดเทพเจ้าพิภพ\nคาน่อน\nคาโนค่อน จิ้งจอกสาวสุดจี๊ด (Kanokon)\nคาแรคเตอร์ผู้พิทักษ์ (Shugo Chara!)\nคำสาปฟาโรห์ (Daughter of the Nile)\nคินดะอิจิ กับ คดีฆาตกรรมปริศนา (Kindaichi Case Files)\nคินนิคุแมน 2\nคินนิคุแมน (Kinnikuman)\nคิโนะ โนะ ทาบิ (Kino no Tabi)\nคิบะ ศึกอภินิหารข้ามภพ\nคิมัยร่า บันทึกเผด็จการครองโลก\nคิราริ สาวใสหัวใจเกินร้อย (Kirarin Revolution)\nคิวทาโร่\nคิ้วหนา ซ่าสุด ๆ (Bonbonzaka Koukou Engekibu)\nคุโซมิโซ เทคนิค (Kuso Miso Technique)\nคุณครูจอมเวท เนกิมะ! (Magister Negi Magi!)\nคุณหนูปากร้าย X จิ้งจอกปีศาจ\nคุณครูพันธุ์หายาก\nคุณครูพันธุ์ฮีโร่ (KT Kamenteacher)\nคุณชายผู้ยิ่งใหญ่ไดทาโร่\nคุณชายพันธุ์โชะ โคฮินาตะ มิโนรุ\nคุณตำรวจป้อมยาม\nคุณพ่อที่รัก (Jinbe)\nคุณพี่ต่าวดาวเขย่าหัวใจจี๊ด (Tubame Syndrome)\nคุณหมอมือใหม่หัวใจเกินร้อย (Say Hello to Blackjack)\nคุนิมิซึ คนจริงจอมกะล่อน\nคุโรโกะ นายจืดพลิกสังเวียนบาส\nคุโรซากิ บริษัทรับส่งศพ(ไม่)จำกัด (The Kurosagi Corpse Delivery Service)\nคุโรมาตี้ โรงเรียนคนบวม (Cromartie High School)\nคุโระจัง แมวไซบอก (Kurocyboc)\nคุโระซากุโระ\nคู่ซ่าฮา X2 คู่ซ่าฮาคูณสอง\nคู่ซี้ต่างพันธุ์ (Stormy Night)\nคู่แท้แต่มาป่วน (Ai Yori Aoshi)\nคู่แฝดx2 แฝดแบบนี้มีอีกไหม\nคู่แสบ แก๊งปราบผี (Chrono Crusade)\nคู่หูบะหมี่รถลาก นารุโตยะ (Menyatai Road Narutoya!)\nคาเงโร่ เดส\nเค2 (K2)\nเคนจิ ยอดนักสู้\nเคนอิจิ ลูกแกะพันธุ์เสือ (Kenichi: The Mightiest Disciple)\nเครยอนชินจัง (Crayon Shin-chan)\nเคโรโระ ขบวนการอ๊บอ๊บป่วนโลก (Sgt. Frog a.k.a. Sergeant Keroro)\nเคียวโระจัง นกน้อยจอมวุ่น\nเค-อง! ก๊วนดนตรีแป๋วแหวว (K-On!)\nแค็ตตาล็อกรัก (Ren-Ai Catalogue)\nแคนดี้ แคนดี้ สาวน้อยจอมแก่น (Kyandi Kyandi)\nแคลนนาด (เกม) (Clannad (visual novel))\nโคโค่ จอมสลัด\nโค้ด กีอัส ภาคการปฏิวัติของลูลูช (Code Geass - Lelouch of the Rebellion)\nใครว่าข้าไม่เก่ง (Tough)\nไคชิ (Master of sea)\nไคบุสึ ผีน้อยจอมมายา\nไคมีร่า\nโคนัน (conan)\nแคลนาด อาฟเตอร์ สตอรี่\n== ง ==\nเงือกสาวยากูซ่า\n7 เงือกสาวเสียงสยบมารหรือเจ้าหญิงเงือกน้อย\nแง้ว แง้ว แมวอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับคน\n== จ ==\nจอมเกบลู\nจอมคนแดนฝัน\nจอมเวทปราบมาร (Shonen Onmyouji)\nจอมโจรปริศนา (Kaitou Joker)\nจอมโจรมือกุญแจ (Key Jack)\nจอมโจรสองวิญญาณ (Dollgun)\nจอมโจรสาวเซนท์เทล\nจอมโจรอัจฉริยะ (Kaito KID)\nจอมโหดกระทะเหล็ก\nจอมโหดกระทะเหล็ก! สุดยอดกลยุทธ\nจะเอาอะไรกับผม\nจัสตี้\nจารชนพันธุ์นรก (Black Lagoon)\nจินมี่หมัดเหล็ก\nจินมี่หมัดเหล็ก ยอดยุทธ์\nจิน หมอทะลุศตวรรษ (JIN-仁-)\nจิฮายะฟุรุ (Chihayafuru)\nจีซัส นักฆ่าหน้าหยก\nจีทีโอ คุณครูพันธุ์หายาก (Great Teacher Onizuka)\nจิโกคุโชวโจ (地獄少女, Jigoku Shoujo)\nจิ้งจอกเย็นชากับสาวซ่าเทพจำเป็น\nจิ๋วพลังอึด\nเจเวลเพ็ต\nเจ้าหญิงคิลาล่า\nเจ้าหญิงเงือกน้อย (Mermaid Melody Pichi Pichi Pitch)\nเจ้าหนูนักซิ่งสิงห์ภูเขา\nเจ้าหนูสมองกล\nเจ้าหนูสามตาอภินิหาร (The Three-eyed one)\nเจ้าหนูปรมาณู‎ (Astro Boy)\nเจ้าสาวเจ้าปฐพี (Sumomomo, momomo)\nเจ้าหญิงปีศาจ\nเจ้าหนูกบอภินิหาร\nเจาะเวลาหาจิ้นซี\nโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ (JoJo's Bizarre Adventure)\nเจาะเวลาหาสาวแว่น (mobias jumper)\nเจ้าหญิงแฝดแห่งแดนมหัศจรรย์\nเจปัง สูตรดังเขย่าโลก\n== ฉ ==\nฉันนี่แหละอาจารย์\nฉันนี่แหละพ่อบ้าน ( Mayo Chiki )\n== ช ==\nชมรมไขปริศนา (Roman Club)\nชมรมคนไร้เพื่อน\nชมรมนักสืบแคลมป์ (Detective School Clamp)\nชมรมรัก คลับมหาสนุก (Ouran High School Host Club)\nชอบ คำนี้ให้ด้วยดวงใจบริสุทธิ์ (SUKI)\nชัฟเฟิล\nชาติบุรุษทะยานฟ้า\nชานะ นักรบเนตรอัคคี\nชาแมนคิง ราชันย์แห่งภูติ (Shaman King)\nชิกุมะ ฝ่ามหันตภัยร้ายกู้วิกฤต\nชินเมกามิเทนเซย์ เดวิชิล\nเชฟใหม่ใจทรหด (Bambino!)\nแชมเปี้ยนขนมปัง สูตรดังเขย่าโลก (Yakitate!! Japan)\nชุลมุนวุ่นรักเทพพิทักษ์จากจันทรา (Mamotte Shugogetten)\nชมรมรักคลับมหาสนุก\n ชาโดว์ เลดี้ (SHADOW LADY)\nโชเน็น อนเมียวจิ จอมเวทปราบมาร\n== ซ ==\nซอยด์ หุ่นรบไดโนเสาร์ (ZOIDS)\nซอร์ดอาร์ตออนไลน์\nซันชิโร่คืนถิ่น\nซันชิโร่ นักสืบตะลุยดะ\nซันชิโร่ x2\nซัมเมอร์วอร์ส\nซาคอน สืบมรณะ\nซามูไรดีปเปอร์ เคียว (Samurai Deeper Kyo)\nซามูไรทรูปเปอร์ (Ronin Warriors)\nซามูไรพเนจร (Samurai X)\nซามูไร 7\nซาโยนาระ คุณครูผู้สิ้นหวัง\nซิตี้ฮันเตอร์ (City Hunter)\nซีบร้าแมน\nซีปัง (Zipang)\nซีโร่ (Zero)\nซึกิฮิเมะ เจ้าหญิงจันทร์เลือด (Shingetsutan Tsukihime)\nซูบารุ\nซุปเปอร์ดอกเตอร์เค (Super Doctor K)\nเซ็ตไตโชเน็น\nเซฟวิ่ง ไลฟ์ (SAVING LIFE)\nเซนต์เซย่า (Saint seiya)\nเซนต์เทล (Saint Tail)\nเซเลอร์มูน (Sailor Moon)\nเซียนเกมรักขอเป็นเทพนักจีบ (The World God Only Knows)\nเซียนบะหมี่สีรุ้ง\nไซบอร์ก คุโระจัง\nไซเฟอร์\nไซโคเมทเลอร์ เอย์จิ (phycometrer Aiji)\nโซบะคัสซึ\nโซโรริ จิ้งจอกมหัศจรรย์\nโซล่า\nซิ่งแบบนี้มีผมคนเดียว (one & only)\nซ...เซียนสุดแสบ โยจินโบ\nซากุระ มือปราบไพ่ทาโรต์ (Card Captor Sakura)\nไซเซนโจทาโร่ มือปราบล้างทรชน\nไซโคพาส ถอดรหัสล่า\nโซนิคเอ็กซ์\nโซ้ยแหลก\nโซ ริว เค็น\nโซลอีทเตอร์ (Soul Eater)\nเซเว่นโกสต์\nซังกะ เรอา\n== ณ ==\nเณรน้อยเจ้าปัญญา (Ikkyū-san)\n== ด ==\nดราก้อนคอลเลคชั่น\nดราก้อนเควสต์ ภาคดาบแห่งนภา\nดราก้อนเควสต์ ภาคแผ่นดินมายา\nดราก้อนเควสต์ ภาคผู้กล้าอารีน่า\nดราก้อนเควสต์ ภาคผู้กล้าแห่งอิเดน\nดราก้อนเควสต์ ภาครูบี้\nดราก้อนเควสต์ ภาคสัญลักษณ์แห่งผู้กล้าโรโตะ (Dragonquest: Emblem of Roto)\nดราก้อนบอล (Dragon Ball)\nดราก้อน ไดรว์ (Dragon Drive)\nดอกไม้ มิตรภาพ และความทรงจำ\nดอกไม้เพชรฆาต (Gunslinger Girl)\nด๊อกเดย์\nด๊อกเตอร์สลัมป์ กับ หนูน้อยอาราเล่ (Dr. Slump)\nดอกเตอร์เค (Doctor K)\nดายู\nดาบคลั่งฟ้าสังหาร\nดาบพิฆาตอสูร\nดาวเทพพิทักษ์ธรรม\nดูเอลมาสเตอร์\nเด็กพันธุ์นรกสั่งลุย\nเดชราชันย์เสือดาว\nเด็งโนเซ็นไต วูกี้ส์ แองเจิ้ล (Voogie's Angel)\nเดม่อนเบน เทพอสูรคำราม (Demon Bane)\nเดธโน้ต (Death Note)\nเดียร์ส อลวนรักจากฟากฟ้า (DearS)\nเดอร์ตี้ แพร์ (Dirty pair)\nเดอะ เจนเทลเมน อัลลิแอนซ์ ครอส (THE GENTLEMEN ALLIANCE–CROSS)\nโดจิน (Dojin)\nโดราเอมอน (Doraemon)\nไดตะลุยแดนเวทมนตร์ (Dragon Quest: Dai-No-Daiboken)\nดิจิมอนแอดเวนเจอร์ (Digimon Adventure)\nดิจิมอนแอดเวนเจอร์ 02\nดิจิมอนเทมเมอร์\nดิจิมอนฟรอนเทียร์\nดิจิมอนเซฟเวอร์ส\nดิจิมอนครอสวอร์ส\nดิจิมอนยูนิเวิร์ส แอปพลิมอนสเตอร์ส\nดิจิทัล เลดี้ (Chobits)\nดี.เอ็น.แองเจิ้ล (D.N.Angel)\nดี-ไลฟ์!! (D-Live!!)\nดี.เกรย์แมน (D.greyman)\nดันบอลเซนกิ\nดันโด้ ก๊วนจิ๋วยอดอัจฉริยะ\nไดโนคิง ราชันย์พันธุ์ไดโนเสาร์ (Dinosaur King)\nดันคูก้า หุ่นยนต์ปฏิวัติสงคราม (Jūsō Kikō Dancouga Nova)\n|width=\"33%\" valign=\"top\" |\n== ต ==\nเต็มพิกัดสลัดจอมลุย (Coco Full Ahead)\nโตเกียวเหมียวเหมียว\nโตเกียวบาบิโลน\nโตเกียวกูล\nโตโต้ มืออสูร\nตะวันรักที่ปลายฟ้า (Anatoria Story)\nต๊องแน่แต่อัจฉริยะเรียกพี่\nใต้ร่มเงาแห่งรัก\nตัวแสบสุดป่วน (A BADBOY DRINKS TEA! )\nตามล่านักฆ่าแอนดรอยด์ (Pluto)\nตุลาการทมิฬ\nต้องรอด\nตำนานผู้กล้า ไรดีน (Reideen)\nโตเกียวอันเดอร์กราว\nตำนานรักดาบเทวะ\n== ถ ==\nถึงจะเห่ยแต่ก็สู้นะเฟ้ย\nถนนสายนี้ เปรี้ยว (Orange Road)\nถ้วยน้ำชากับเทวดาตัวจิ๋ว\nถนนนักสู้ สู่ทีมเบสบอล\n== ท ==\nทเวนตี้เซนจูรี่บอย (20th Century Boys)\nทัช (Touch)\nทัลลูต พ่อมดจอมซน (jp:まじかるタルるートくん)\nทูฮาร์ท 2 (To Heart 2)\nทรามวัยกายสิทธิ์\nทวินซิกแนล (Twin Signal)\nทามาก็อตจิ!\nทาร์จังจ้าวป่า\nเทตสึจิน หุ่นเหล็กหมายเลข 28\nเทพอสูรจิ้งจอกเงิน (Inuyasha)\nเทพมรณะ (Bleach)\nเทวดาหน้าโฉด\nโทคิ โอะ คาเคะรุ โชโจ (The Girl Who Leapt Through Time)\nโทโทโร่เพื่อนรัก (Tonari No Totoro)\nโทบิคาเกะ นินจาอวกาศ (Ninja Senshi Tobikage)\nเทพบุตรถังแตก\nเทพบุตรพิชิตดวงดาว ( star driver)\nเทพบุตรหลุดโลก\nเทพพิทักษ์จอมยุ่ง เนียลโกะ\nเทพฤทธิ์พิชิตมาร (Kujaguo)\nเทวดาปลายศตวรรษ\nเทพพิทักษ์แห่งดวงดาว จัสติไรเซอร์\nเทพแห่งแหวนคาริน\nโทราโดร่า! (Toradora)\nทำนองรัก จังหวะหัวใจ\nเทพแห่งแหวนคาริน\nเทพยุทธถล่มนรก\nโทริโกะ\nทีมไหนไม่ว่า ข้าต้องชนะ\n== ธ ==\nเธอและแมวเหมียว (She and Her Cat)\nเธอ ฉันในวันฟ้าคราม (School Days)\n== น ==\nชานะ นักรบเนตรอัคคี (Shakugan no Shana)\nน้องสาวของผมไม่น่ารักขนาดนั้นหรอก\nน้องหนูเนื้อเหล็ก\nน้องหนูพันธุ์ดุ\nนักกี้ สาวน้อยจอมแก่น\nนักซิ่งสายฟ้า เร็ทส์ & โก!! (Bakusō Kyōdai Let's & Go!!)\nนักเขียนการ์ตูนรายไม่สัปดาห์ นามของข้าโนซากิคุง (Monthly Girls'Nozaki-Kun)\nนักเตะแข้งสายฟ้า (INAZUMA)\nนักบุญปีศาจ (Priest)\nนักประดิษฐ์รุ่นจิ๋ว\nนักรบเกราะปีศาจ\nนักรบครบสลึง\nนักรบเหล็กเทวะ (Busou Renkin)\nนักเรียนพี่เลี้ยงเด็ก\nนักสู้คอมพิวเตอร์\nนักสู้รุ่นจิ๋ว\nนังหนูตัวร้ายกับนายโหลยโท่ (NHK)\nนัตซึเมะกับบันทึกพิศวง (Natsume's Book of Friends)\nนัมบะ MG5\nนากัส มังกรพิฆาต\nนากาเระ อัจฉริยะนักตกปลา (Fisherman Nagare)\nนางฟ้ากู้ชีพ (Rescue Wings)\nนางฟ้าสารพัดพิษ (rose hip rose)\nนานะ (NANA)\nนายซ่าท้าเด็กแนว\nนารูโตะ นินจาจอมคาถา (Naruto)\nนารูเอะ\nนาฬิกาทรายรัก\nน้ำตาเพชรฆาต (Crying freeman)\nนินจาคาบูโตะ\nนินจารันทาโร่\nนินจาฮัตโตริ (Ninja Hattori-kun)\nนูระหลานจอมภูติ (Nurarihyon no Mago)\nเนตรสยบมาร (Bisilisk)\nเนียวเหมียวซ่า (Di Gi Charat)\nโนบุนากะ จอมคนสยบฟ้า (YUKA NAGATE)\nโนบุนางะ จอมคนสะท้านปฐพี (KUDO KAZUYA)\nโนเกมโนไลฟ์\nไนน์ (Nine)\n== บ ==\nบทเพลงสีทอง (La corda d'oro)\nบากิ (Baki the grappler)\nบาคุกัน มอนสเตอร์บอลทะลุมิติ\nบาซาร่า (Basara)\nบารากะมอน (Barakamon)\nบ้านของเสียงหัวใจ (A Town Where You Live)\nบ้านพักผีเพี้ยน\nบ้านพักอลเวง (Love Hina)\nบ้านนี้ต้องมีเหมียว (Chi's Sweet Home)\nบาสใสวัยซน (Ro Kyo Bu)\nเบย์เบลด (อนิเมะ)\nเบอร์สี่เบสสาม\nเบบี้ สเต็ปส์\nเบอร์เซิร์ก (Berserk)\nแบทเทิ้ล รอยัล (Battle Royale)\nแบทเทิลสปิริตส์ เกมการ์ดทะลุมิติ\nแบล็คแคท (Black Cat)\nแบล็คแองเจิ้ล\nแบล็คร็อคชู้ตเตอร์ (Black Rock Shooter)\nแบล็คแจค (Black Jack)\nแบตเติลทันเดอร์ (Battle Thunder)\nโบะโบะโบโบะ โบโบะโบ้ (Bobobo-bo Bo-bobo)\nบลีช (Bleach)\nบลัด พลัส (BLOOD+)\nบลูดราก้อน ราลΩกราด\nบลูดราก้อน\nบีทเอ็กซ์ ผู้พิทักษ์จักรวาล (B't X)\n== ป ==\nปรสิต เดรัชฉาน\nป้อมปืนสยบฟ้า Z\nป๋าอัจฉริยะ ยานางิซาวา\nปาร์แมน (Parman)\nปิตะเตน (Pitaten)\nปุปะจังหวะฮา (Beck)\nเปลวฟ้าผ่าปฐพี (Flame of Recca)\nปราการเวหา มาครอส (The Super Dimension Fortress Macross)\nปริศนาความทรงจำ\nปริศนาปลาทอง (Goldfish Warning!)\nปริศนายมทูต\nปริศนา! นักล่าผี (The Ghosthunt)\nปมมฤตยู (the accidents)\nปาปุว่า\nปริ๊นซ์ ออฟ เทนนิส (The Prince of Tennis)\nโปเกมอน (Pokemon)\nปั่น...ไปให้ใจถึงฝัน (Over Drive (manga))\nปิ๊งรักสาวนักเสริฟ\nปฏิบัติการรักจักรกลทะยานฟ้า\n== ผ ==\nผมน่ะหรือคือราชาปีศาจ!\nผมอยากเป็นคนดี\nผ่ากฎอลเวง (The Law of Ueki)\nผ่ากฎอลเวง Plus (The Law of Ueki Plus)\nผ่าเกลียวปริศนา (Spiral)\nผ่าวิกฤตพิชิตกาลเวลา\nผ่าพิภพไททัน (attack on titan)\nผีน้อยคิวทาโร่\nผีซ่าส์กับฮานาดะ\nผู้พิชิตทางตัน (Switch)\nผู้กอบกู้ที่รัก\nผีซ่าท้าชิม (Hana Chaina)\nแผนปราบผีไม่มีอั้น (en:GS Mikami)\nผู้ผนึกมาร\nผึ้งจดหมาย\nผู้พิทักษ์สลับขั้ว (Kamfer)\n== ฝ ==\nฝากใจไปถึงเธอ (Kimi ni Todoke)\nแฝดคนละฝา ของอันนะซัง\nฝ่าดงนรกเดินดิน (Highschool of the Dead)\n== พ ==\nพยัคฆ์สาวแคทส์อาย (en:Cats Eye)\nพรอลวนคนอลเวง (Itsumo Misora)\nพลพรรคสัตว์เพี้ยนป่วนทะลุมิติ (Aniyoko)\nพลังจิตผิดคิว\nพริตตี้เคียว (Pretty Cure)\nพริพาระ (PriPara)\nพริ้นเซส พริ้นเซส (Princess Princess)\nพลีสทีสเชอร์ สอนนักรักซะ (Please Teacher!)\nพ่อครัวหัวป่าห์ (Cooking Papa)\nพ่อบ้านปีศาจ (Kuroshitsuji)\nพัมพ์คินไวท์\nพาสเทล\nพิกมาริโอ้ (Pikumario)\nพิพิธภัณฑ์พิศวง (C.M.B.)\nพีชเกิร์ล (Peach_Girl)\nพีเพิล จารชนเดนตาย\nเพชฌฆาตไซบอร์ก (Battle Angel Alita)\nเพชฌฆาตไซบอร์ก ภาค Last Order (Gunnm: Last Order)\nเพอร์เพิลอาย/นัยน์ตาเธอสีม่วง\nพาราไดซ์คิส\nเพนกวิน บราเธอร์ส\nพลิกตำนานโมโมทาโร่ (Momogumi plus senki)\nพลิกตำนานมาพบรัก\nพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์แซด\nแพนโดร่า ฮาร์ท (Pandora hearts)\nพลังอักษะ เฮตาเลีย (Axis powers Hetalia)\n== ฟ ==\nฟากฟ้าแห่งความสัมพันธ์ (Yosuga no Sora)\nฟูลมูน\nฟูลเมทัลพานิค\nอันลิมิตเต็ด\nไฟร์เบิร์ด (Hero of the Sun, Firebird)\nเฟค (FAKE)\nฟอร์จูนหลอดเลือดแดง (Fortune Arterial)\nแฟรี่เทล (fairy tail )\n== ม ==\nมนต์มัจจุราช (Yami no Matsuei)\nมังกรหายนะ\nมหากาพย์ดาวศุกร์ (Venus Wars)\nมหาสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ (Fate/stay night)\nมังกรอหังการ์ หมาป่าคะนองศึก\nมังกรสาวที่รัก\nมันมารุ นินจาเพนกวิน\nมาครอส ซีโร่\nมาครอสพลัส\nมาครอส 7 ภาค Trash\nมาซินไกเซอร์ (MAZINKAISER)\nมาซินก้า Z (MAZINGER Z)\nมารุโกะจอมกวน (CHIBI MARUKO CHAN)\nมายเมโลดี้\nมาโฮโระ สาวใช้ออโตเมติคส์ (MAHOROMATIC)\nมาโฮระบะ (Mahoraba)\nมามิ, สาวน้อยพลังจิต (Esper Mami)\nมาร์มาเลดบอย\nมาเธอร์ คีพเปอร์ (Mother keeper)\nมายูกิ คุณหนูยอดนักสืบ (Suteki Tantei Labyrinth)\nมิกซ์ เวจเทเบิล (Mix Vegetable)\nมิดไนท์อาย\nมิยูกิ (Miyuki)\nมิรุโมะ ภูตจิ๋วจอมยุ่ง\nมือขวากับขาโจ๋ (Midori no hibi)\nมืออสูรล่าปีศาจ (Hell Teacher Nube)\nมือใหม่ไฟแรง (Rookies)\nมือปราบป่วนมาร\nมือปราบสี่พญายม\nเมไจ อาละดินผจญภัย\nเมทัลไฟต์ เบย์เบลด\nเมื่อคุณหญิงจอมแก่นแต่งงาน\nเมื่อผมกับเธอ XXX (Your And My Secect XXX)\nแม่มดน้อยจอมซน (jp:魔法陣グルグル)\nแม่มดน้อยโดเรมี (Magical Doremi)\nแม่มดสาวหัวใจปิ๊งรัก ( Bewitched Agnes)\nแม่มดสาวหัวใจกุ๊กกิ๊ก (Sugar Sugar Rune)\nแม่มดน้อยกิกิ (kiki)\nมิโกะ คนทรงหุ่นเทวะ (Kannaduki no Miko)\nมาเฟียที่รัก\nมัช อัจฉริยะก้องโลก (Mush)\nไม-HiME (My-HiME)\nไม-Otome (My-Otome)\nมหัศจรรย์สาวน้อย พริตตี้เคียว (Futari wa Pre-cure!)\nมูชิคิง ผู้พิทักษ์แห่งขุนเขา\nมูซาชิ เจ้าหนูเคนโด้ (Musashi no Ken)\nโมโนโครม แฟคเตอร์ (Monochrome Factor)\n== ย ==\nยานรบตะลุยจักวาล นาเดซิโกะ (Martian Successor Nadesico)\nยาวาระ สาวน้อยยอดนักยูโด (Yawara)\nยาคุโมะ นักสืบวิญญาณ (Psychic Detective Yakumo)\nยุทธการใต้สมุทร\nยุทธภพไม่ครบสลึง\nยุ่งชะมัด เป็นสัตวแพทย์ (Animal Doctor)\nยอดกุ๊กแดนมังกร\nยอดชายเมดพันธุ์ดุ (Maidguy)\nยอดเชฟครัวท่านทูต (Le Chef Cuisinier de L'Ambassadeur)\nยอดมนุษย์สุดซ่า\nยอดนักสืบจิ๋วโคนัน (Detective Conan)\nยิงประตูสู่ฝัน\nโยไควอทช์\nไยบะ เจ้าหนูซามูไร\nยัยตัวป่วนชวนดูดาว (Sora no Manimani)\nยมทูตสีขาว (Momo the girl god of death)\nยามเมื่อเหล่าจักจั่นกรีดร้อง (Higurashi no Naku Koro ni)\nยูกิโอ (อนิเมะภาคแรก)\nยูกิโอ ดูเอลมอนสเตอร์\nยูกิโอ GX\nยูกิโอ 5D'S\nยูกิโอ ZEXAL\nยูกิโอ ARC-V\nยูกิโอ VRAINS\nยูเรก้าเซเว่น\nยามซากุระร่วงโรย\n== ร ==\nรถด่วนอวกาศ 999 (Galaxy Express 999)\nรหัสเพชรฆาต (Cross)\nรหัสลับ เซเลอร์วี (Code name is Sailor V)\nรวมพลคนติดอยู่ในเกม\nร็อกเก็ตแมน (Rocket Man)\nร็อคซ่าส์ใสหัวใจเกินร้อย (Hallelujah Overdrive!)\nร็อคแมนเอ็กเซ่ซีรีส์\nรอน วีรบุรุษชาติมังกร\nระเบิดพลังการ์ดอสูรคำราม\nรักข้ามรุ่น\nรักต้องลุ้น คุณครูเพลย์บอย\nรักพลิกล็อก\nรักร้อนซ่อนกล (Hot Gimmick)\nรักลวงป่วนใจ\nรักสลับขั้ว สาวสลับร่าง (MAHORABA)\nรักสลับขั้ว (Parallel)\nรักอลวนคนชื่อโหล (Omakeno Kobayashi-kun)\nรันม่า ½ (Ranma ½)\nราชันย์ผู้กล้า กาโอไกการ์ (The King of Braves GaoGaiGar)\nราชาเหมียว\nราฟ (Rough)\nราล แอนด์ กราด (rald and grad)\nรีก้า\nรีเพลย์ J (Replay J)\nรุกกี้ (Rookie)\nรุ่งทิวาก่อนจันทราลาลับ (Yoake Mae Yori RuriIro Na)\nรูซัลก้า ยุทธการครองโลก\nเรโกะ ฉันนั้นหรือสวย เฉียบ เนี้ยบ\nเรฟ ผจญภัยเหนือโลก (Groove Adventure Rave)\nเรย์ (Ray)\nเรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์ (To Aru kagaku no Railgun)\nเรียกเขาว่าอีกา (Crows)\nเรียกเขาว่าอีกา ภาคซีโร่ (Crows Zero)\nเรียกเธอว่าพระเจ้า สึซึมิยะ ฮารุฮิ (The Melancholy of Suzumiya Haruhi)\nเรียล (Real)\nเรียว (Ryo)\nเรี่องธรรมดาของเธอกับฉัน\nแรช, หมอสาวจอมดีเดือด (en:Rash)\nโรคุโรคุ จอมมารอย่างนี้ก็มีด้วย\nโรงเรียนนักสืบ Q (Detective School Q)\nโรงเรียนป่วน ก๊วนคนบ๊อง\nโรงเรียนป่วนนักเรียนเป๋อ (Azumanga Daioh)\nโรงเรียนรวมเหล่าเผ่าเหนือคน\nโรงเรียนลูกผู้ชาย 2\nโรงเรียนลูกผู้ชาย\nโรงเรียนว้าวุ่น ชุลมุนอลเวง\nโรซาริโอ้ บวก แวมไพร์\nโรโบติก·โน้ต\nโรมิโอ x จูเลียต (Romeo x Juliet)\nไรโตะคุง\n|width=\"33%\" valign=\"top\" |\n== ฤ ==\nฤคเวท ศึกเทวยุทธ์ (RG Veda)\nฤทธิ์ปืนมนตรา เทพธิดาทมิฬ (Magical Gunslinger Kurohime)\nฤทธิ์หมัดดาวเหนือ (Fist of the North Star)\nฤทธิ์หมัดเสือหิว (One Pound Gospel)\nฤทธิ์ดาบไม้ไผ่\n== ล ==\nลงท้ายที่โรแมนติก\nลักกี้แมน จริงๆ นะจะบอกให้ (Luckyman)\nลักกีสตาร์\nล็อก เดอะซุปเปอร์แมน (Locke the Superman)\nลามู ทรามวัยจากต่างดาว (Urusei Yatsura)\nล่าอสูรกาย (Ushio and Tora)\nล่าล้างกางเขนเลือด (The Record of Fallen Vampire)\nลิลิมุ เฟิร์สคิส\nลุ้นรักตามสายลม\nลุยเต็มพิกัด (D-Live)\nเลเวล อี\nเลิฟเลส (Loveless)\nเลิฟแซ็ด (love-Z)\nโลกอุบาทว์แสนสวย\nไลฟ์ (Life)\nเลเวียธาน\nโลกินักสืบจอมขมังเวทย์\nโลกทั้งใบให้ฮารุฮิ\nลู เบบี้น้อยต่างดาว\nลางสังหาร\nลาสต์ เอ็กไซล์\n== ว ==\nวันพีซ (One Piece)\nวันเดอร์บอย (Wonder boy)\nวัยซนคนมีพลังจิต (Gakuen Alice)\nวากาบอนด์ (Vagabond)\nวิงแมน นักรบแห่งความฝัน (Wingman)\nวิญญาณทะเล้น\nวิญญาณวุ่นยุ่งกับคน (Omukae desu)\nแวมไพร์ไนท์ (Vampire Knight)\nวัยกระเตาะ ตึ่ง ตึง ตึ๊ง (The perfect world of Kai)\nวัยซนคนการ์ตูน\nเวอรสท์ (Worst)\nวีดีโอเกิร์ล (video girl)\nวีรบุรุษจากลหุโทษ (Hero)\nวอร์ลอร์ด ฟีนิกซ์ จ้าวนักรบกลียุค\nวาทารุ (Wataru)\nวุ่นรักนักดนตรี (Nodame Cantabile)\nเวดดิ้งพีช สาวน้อยผู้พิทักษ์ (Wedding Peach)\nเวิร์กกิ้ง!! ปิ๊งรักสาวนักเสิร์ฟ\nวัยมันส์คนพันธุ์ A (Special A-Class)\nโวคาลอยด์ (vocaloid)\n== ศ ==\nศิษย์ซ่า อาจารย์แสบ (Legend of Dou)\nศึกรักพันธุ์นักเลง\nศึกล้างพันธุ์มนุษย์ (RahXephon)\nศึกเทพยุทธ์หลุดโลก\nศึกวิหารเทพเจ้า (Angel Sanctuary)\nศึกจอมเวทอภินิหาร (Fairy tail)\nศึกชิงลูกแก้วมังกร\nศึกอภินิหารมังกรสีน้ำเงิน\n== ส ==\nschool time\nschool days\nSWITCH GIRL!!สวิตช์ เกิร์ล!!\nสงครามมหาเวทย์\nสงครามเวหา ฟาฟเนอร์ (Soukyuu no Fafner)\nสงครามหุ่นหายนะ โบกุราโนะ (Bokurano: Ours)\nสั่งรักสาวปืนโหด (Spas-pa)\nสัญญามรณะ ธิดาอเวจี\nสายตรวจเหนือเวลา\nสกูล เดย์ส (School Days)\nสกูลรัมเบิ้ล สูตรรักฉบับนักเรียน (School Rumble)\nสคิปบีท! (Skip Beat!)\nสมองกลนักสู้ (Angelic Layer)\nสมองกลคนสวย\nสตรอบอรี่ แพนิค (Strawberry Panic)\nสตีล บอล รัน\nสตราทอสโฟร์ (Stratos4)\nสตราทอสโฟร์ แอดวานซ์ (Stratos4 Advance)\nสไตนส์;เกท (Steins;Gate)\nสไตรค์วิชเชส (strike witches)\nสปริกแกน (Spriggan)\nสเก็ต ดานซ์ (Sket Dance)\nสแลมดังก์ (Slam Dunk)\nสโลว์สเต็ป (Slow Step)\nสัมผัสรักจากฟากฟ้า (Land of Blindfolded)\nสารานุกรมรักฉบับกระเป๋า\nสาวกลายพันธุ์ (Elfen Lied)\nสาวขี้เซากับหนุ่มเอาแต่ใจ\nสาวน้อย จอมเวทย์ นาโนฮะ (Magical Girl Lyrical Nanoha)\nสาวน้อยต่อยหนัก (Muteki Kanban Musume)\nสาวน้อยแสนกล\nสามก๊ก\nสืบ x สวย = แสบ (Saint Hyper)\nสื่อรักจากต่างดาว\nสึซึมิยะ ฮารุฮิ\nสึบาสะ สงครามเทพข้ามมิติ (Tsubasa: Rezaboa Kuronikuru)\nสุสานหิ่งห้อย (Grave of Fireflies)\nสุสานฟาโรส์\nสูตรฮิต เมนูฮอต (CURRY-NARU SHOKUTAKU)\nสเลเยอร์ส (Slayers)\nเสน่ห์สาวข้าวปั้น (Fruits basket)\nแสบกว่านี้มีอีกไหม (UDAUDAYATTERU HIMA WA NEI)\nสิงห์นักปั่น (RUN FOR TOMORROW)\nสิงห์ผจญเพลิง (Firefighter! Daigo of Fire Company M)\nสี่แสบฝ่าแดนทมิฬ\nสัตวแพทย์มือใหม่หัวใจเมโลดี้ (en:Wild Life)\nสามเหมียวยอดนินจา (Samurai Pizza Cats)\nสามพลังป่วนพิทักษ์โลก\nสงครามซากุระ (Sakura Wars)\nสงครามแดนสนธยา\nสงครามล้างปีศาจ (Chrno Crusade)\nสาวเมดผจญหนุ่มสุดป่วน (Maid Sama!)\nสุภาพบุรุษทรชน\nสาวน้อยกับหยาดดาวตก 7 สี\nเส้นทางฝันของสาวน้อยขนมหวาน\nสาวเรียวกังหัวใจเกินร้อย\nสาวน้อยเวทมนตร์ มาโดกะ\n== ห ==\nหนีตายเกาะนรกล้านปี\nหัตถ์เทวะเทรุ (Godhand Teru)\nหุ่นเชิดสังหาร (Le Cirgue de Karakuri)\nหน่วยพิทักษ์ธรณิน (Pumpkin Scissor)\nหน้ากากแก้ว (Glass Mask)\nหน้ากากเนียนด้า เหมียวจอมซ่า\nหน้ากากเสือ\nหน้าการยูเอฟโอ\nหน้ากากไยบะ\nหุ่นมรณะเก็นโซ\nหุ่นบ๊องส์ เกมบ้า (PoPoCan)\nหนุ่มน้อยปริศนา เกโด (GEDOH THE UNIDENTIFIED MYSTRIOUS BOY)\nหนุ่มสามัญกับสาวหลุดโลก (Denpa Onna To Seishun Otoko)\nหนุ่มหล่อเฟี้ยว แปลงโฉมสาว (The Wallflower)\nหนุ่มห้าว สาวเปรี้ยว\nหนุ่มเอ๊าะ สะเดาะล็อก (SaruLock)\nหนูน้อยจอมซ่า มารุโกะจัง\nหยุดใจไว้ที่เธอ\nหยุดเวลาให้หัวใจ\nหลุดโลกเรสเตอรองต์ (Heaven?)\nหวานใจยอดนักชิม (Shoku To Bara No Hibi)\nเหนือฟ้าใต้พิภพ ข้าเจ๋งสุด\nหอพักสร้างฝัน (Sakurasou No Pet Na Kanojo)\nหอพักอลเวง\nหมัดเทพเจ้าดาวเหนือ\nหมึกสาว! ลุยหลุดโลก\nแหกกฎโรงเรียนเหล็ก\nหุ่นรบฮิคาเรี่ยน (Japan Hikariean Railroad)\nหวานใจกับใบโคลเวอร์ (huney and clover)\nหนุ่มหน้ามน..ตามหารักแท้ (Amagami SS)\nหุ่นจิ๋วประจัญบาน\n== อ ==\nอควอไนท์ (Aqua Knight)\nอนุญาตให้ฆ่า (Murder License Kiba)\nอเนโดกิ (Ane Doki)\nอย่างนี้ต้องพิสูจน์ (Q.E.D.)\nอยู่กับพี่ไม่มีเหงา\nอลวนรัก อลหม่านเลิฟ (Kasimasi)\nอลวนลุ้นรัก สาวต่างดาว (The World of Nature)\nอ้วนซ่าขาซิ่ง\nอสูรซ่าท้าเด็กแสบ (NORA)\nอสูรน้อยคิทาโร่ (การ์ตูน) (GeGeGe no Kitarō)\nอสูรรับใช้ของยาย 0 สนิท (Zero no Tsukaima)\nอสูรสาวเคลย์มอร์ (Claymore)\nออรอร่า\nออเร็คคา แบทเทิล เกม\nอัฟกานิสตัง\nอันปังแมน\nอัลโก (Algo)\nอัศวินมือใหม่มังกรป้ายแดง\nอากิร่า, ไม่เหมือนคน (en:Akira)\nอากิฮาบาร่า สวรรค์บ้าไม่ธรรมดา\nอากิฮาบาร่า แอด ดีป (Akihabara@DEEP)\nอาคิโตะ หัตถ์เทวดา (KANNADE)\nอาจิโนะสุเกะ จอมคนก้นครัว\nอาตาชินจิ ครอบครัวตัวป่วน\nอายชีลด์ 21 ไอ้หนูไต้ฝุ่นมะกันบอล (Eyeshield 21)\nอาร์ม หัตถ์เทพมืออสูร (ARMS)\nอาเรีย กระสุนแดงเดือด (Hidan no Aria)\nอาเรีย (ARIA The NATURAL)\nอาวุธสุดท้ายคือเธอ ไซคาโนะ (She - the Ultimate Weapon)\nอาสึมิ\nอาสุกะ ตอนพิรุณพิโรธ\nอาสุกะ ตอนสองนาง\nอิคโกกุ บ้านพักหรรษา (Maison Ikkoku)\nอิซามิ แก๊ง 3 ช่า ซามูไร (Isami Shinsengumi)\nอิตโต้ นักเตะเลือดกังฟู ภาค 1\nอิตโต้ นักเตะเลือดกังฟู ภาค 2\nอิทธิฤทธิ์พิชิตมายา (MÄR)\nอินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม (To Aru Majutsu no Index)\nอินิเชียล ดี (INITIAL D)\nอินุยาฉะ เทพอสูรจิ้งจอกเงิน\nอีกฟากหนึ่งของความฝัน\nอีเกิล ผ่าทำเนียบพญาอินทรี (Eagle_%28manga%29)\nอีเดน ออฟ ดิ อีสท์\nอีทแมน\nอีนิกม่า (әnígmә) (KENJI SAKAKI)\nอีวานเกเลี่ยน, มหาสงครามวันพิพากษา\nอุบัติรักวันคริสต์มาส (Amagami SS)\nอูเทนะ พลิกฟ้าตามหารัก\nเอชทู (H2)\nเอ็มxซีโร่ (Mx0)\nเอ็มม่า (EMMA)\nเอ็มม่า_ลำนำรักข้ามวรรณะ (Emma)\nเอเรเมนทาร์ เจเร็ด (Erementar Gerad)\nเอ้าชู้ต (PPOI)\nแอกเซลเวิลด์\nแองเจลิค เทพมหาสงคราม (Neo Angelique)\nแองเจิ้ล บีทส์! (Angel Beats!)\nแองเจิ้ลฮาร์ท (Angel Heart (manga))\nแอ็ดเวนท์ มฤตยูเทพฯ (Advent)\nแอร์ (Air)\nแอร์เกียร์ ขาคู่ทะลุฟ้า (Air Gear)\nแอเรีย 88 (Area 88)\nโอ้!เทพธิดา (Oh! My Goddess)\nโอ้!พระเจ้าจอร์ชมันยอดมาก\nโอเทลโล่ แอบซ่าอย่าว่ากันนะ (Othello)\nโอนิวากะมารุ\nไอคอล์ (AICOLLA)\nไอดอลมาสเตอร์ เซโนกลอสเซีย (Idolmaster Xenoglossia)\nไอ'วิล (I'll)\nไอส์ (I's)\nไอ้หนุ่มราเม็ง\nไอ้หนูแข้งทอง\nไอ้หนูซูชิ\nไอ้หนูหมัดเต็มร้อย (Exciting Boxing)\nไอ้เขี้ยวเงิน\nไออิกับมาโกโต้\nอนาเธอร์ (Another)\n== ฮ ==\nฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ (Hunter x Hunter)\nฮัลโหล! สแปงค์\nฮานาบิ สาวใสหัวใจว้าวุ่น\nฮานาโกะกับเรื่องเล่าขนหัวลุก\nฮาเมรุน แห่งบทเพลงกำราบมาร (The Violinist of Hamel)\nฮาไม่ฮาข้าก็ชื่อ...วะฮะแมน (WAHHAMAN)\nฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน\nฮารุกะ 17 (Haruka Seventeen)\nฮาร์ท\nฮาเล็มบีท จังหวะคนจริง (Harlem Beat)\nฮาเอะ บุน บุน จิ๊กโก๋กลับใจ!? (Wild Family Life)\nฮิคารุเซียนโกะ (Hikaru no Go)\nฮิโนโทริ วิหคเพลิง (Phoenix)\nเฮนเบ้\nแฮปปี้\nแฮปปี้ ฮัสเซิ่ล ไฮสคูล (Happy Hustle High School:H3 school)\nแฮมทาโร่ แก๊งจิ๋วผจญภัย (Hamtaro)\nเฮลซิ่ง (Hellsing)\nXXXโฮลิค (xxxHOiLIC)\nไฮดี้\nฮีโร่แมน\n|}\n \nการ์ตูนญี่ปุ่น", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "การทำแาหาร คือ การกระทำเพื่อเตรียมอาหารให้พร้อมสำหระบการบริโภค นับตั้งแต่มนุษย์ค้นพบไฟเป็นต้นมา การทำอาหารได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรม\n== เทคนิค ==\nการต้ม คือ การทำอาหารในน้ำซึ่งมีอุณหภูมเสูงถึงจุดเดือด\nการตุ๋น คือ การทำอาหารให้สุกในน้ำหรือการค้ม ใช้ความร้แนไม่ถึงจุดเดือดแต่ความร้อนจะสูงกว่าการทอดไข่น้ำ ใช้กับอาหารที่ต้องการให้สุกแบบค่อยเป็นค่อยไป เถื่อป้องกันอาหารแข็งและเหนียว การทำอาหารแบบนี้ น้ำที่ใช้ต้มจะมีอิ่ธิพลต่อรสชาติของอาหารมาก ดังนั้นการาำอาหารชนิดนี้จะต้องมีการปรุงรสน้ำที่จะมาทำการเคี่ยว ด้วยการใส่เครื่องปรุงรสลงไปด้วย\nการลวก คือ การต้มวัตถุดิบ ไม่ว่าจัเป็นในน้ำ หรือ น้ำมันประกอบอาหาร โดยใช้เวลาเพียงระยะสั้นๆ ไม่ให้อาหารสุกมาก วิธีการนี้โดยมากแล้วจะใช้เพื่อการทำลาย รสชาติ หรือ กลิ่นที่เราไม่ต้องการออกไป\nการทอดไข่น้ำ คือ การทำอาหารให้สุกในน้ห ซึ่งมีความร้อนสูงไม่ถึงจุดเดือด ใช้กับการต้มอสหารที่ไม่ต้องการใหเสุกแข์งมากเกินไป เช่น ไข่ดาวน้ำ หรือ ปลา\nการนึ่ง ึือ กคะบวนการทำอาหารให้สุก โดยใช้ความร้อนผ่านจากไอา้ำ\nการผัด คือการผัดอาหารในกระทะด้วยความร้อนสูงน้ำมันน้อยและีะยะเวลาสั้น นะมีการคนอาหาร พลิกกลับไปมาอย่างรวดเร็ว\nการทอดกระทะ คือ การทำอทหารให้สุก-พรอบ แต่การทอดในวิธีนี้จะใช้น้ำมันน้อย ใช้เพียงแค่การเคลือขบนผิวกระทะ ป้องกันอาหารติดเท่านั้น และความร้อนที่ใช้ตะต่ำกว่าการผัด เพราะจะกลายเป็นการทำให้อาหารไหม้ แต่ถ้าใช้ความร้อนต่ำเกินไปจะทำอาหารอมน้ำมัน ดัลนั้นำารใช้วิธีตี้จะต้องกะความร้อนให้ดีและเมื่อทอดอาหารเสร็จแล้วก็ควรนำกระดาษมาซับน้ำมันออกจากอาหารด้วย\nการทอด คือ การทำอาหารให้สุกโดยการทอดแบบน้ำมันท่วมอาหาร อาหาราี่ทอดจะจมลงไปในน้ำมัน\nกานอบ คือ กา่ทำวัตถุดิบให้สุกโดยผ่านความร้อนจากด้านวนของอาหมรโพบใช้ความร้อนสูงมาก เครื่องมือที่ใช้จะมีลักษณะเหมือนกับเตาไฟผ้า เพียงแต่แทนที่ขดลวดให้ความร้อนจะอยู่ข้มงใต้ ก็เปลี่ยนไปอยู่ข้างบนแทน จุดมุ่งหมายหลักของการทำอาหารแบบนี้จะเป็นการทำเพื่อความสวยงมมมากกว่า คือต้องการให่อาหารด้านบนมีสีนิำตาลดูน่ารับประทาน\nกานปิ้ง หรือการปิ้งย่าง หรือการทำอาหารให้สุกโดยไม่ใช้กระทะหรือหม้อใดๆอาหารจะได้รับความร้อนโดยตรงผ่าตตะแกรงจากความร้อนที่อยู่ใต้อาหาร โดยอาจจะมากเตาแด๊ส หรือ เตาถ่มนก็ได้\nการย่าง คือการทำให้อาหารสุกโดยใช้ความร้อนจากนอบทิศทางภายในตู้ ค_ว่าย่าง จะใช้กับอาหารคาว ยกเว้นใช้กับขนมอบเช่นขนมปังหรือเค้ก มักจะเรียกว่าการอบ\n== ความปลอดภับในการทำอาหาร ==\nเพื่อสุขภาพที่ดี และความปลอดภัย ในการทำอาหาร ควรปฏิบัติ ดังนี้\nควรล้างมือ ล้างผักและผลไม้ เนื้อสัตว์ ไม่ควรล้าง\nเมื่อมีการซื้อผักและผลไม้ มาจากตลาดควรนำผักไปแช่ น้ำเกลือ หรือ ด่างทับทิม เพื่อให้สารพิษหลุดออก ทำให้ผลดีต่อสุขภาพ\nล้าง อุปกรณ์เครื่องครัว เช่น มีด เขียง ก่อนทุกครั้ง เมื่อมีการใช้งาน และหลังจากทำอาหารเสร็จ ควรล้างอุปกรณ์เครื่องครัวให้สะอาดทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และคยามสะดวกในดารหยิชใช้คคั้งต่อไป\nพยายามอย่าให้สัตว์เลั้ยงเข้ามาในบริเวณห้องครัวที่ใชิในการทำอาหาร\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nwikiHow on How to Cook\nำารทำอาหาร\nทักฯะ", "role": "user" }, { "content": "การทำอาหาร คือ การกระทำเพื่อเตรียมอาหารให้พร้อมสำหรับการบริโภค นับตั้งแต่มนุษย์ค้นพบไฟเป็นต้นมา การทำอาหารได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรม\n== เทคนิค ==\nการต้ม คือ การทำอาหารในน้ำซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึงจุดเดือด\nการตุ๋น คือ การทำอาหารให้สุกในน้ำหรือการต้ม ใช้ความร้อนไม่ถึงจุดเดือดแต่ความร้อนจะสูงกว่าการทอดไข่น้ำ ใช้กับอาหารที่ต้องการให้สุกแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อป้องกันอาหารแข็งและเหนียว การทำอาหารแบบนี้ น้ำที่ใช้ต้มจะมีอิทธิพลต่อรสชาติของอาหารมาก ดังนั้นการทำอาหารชนิดนี้จะต้องมีการปรุงรสน้ำที่จะมาทำการเคี่ยว ด้วยการใส่เครื่องปรุงรสลงไปด้วย\nการลวก คือ การต้มวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นในน้ำ หรือ น้ำมันประกอบอาหาร โดยใช้เวลาเพียงระยะสั้นๆ ไม่ให้อาหารสุกมาก วิธีการนี้โดยมากแล้วจะใช้เพื่อการทำลาย รสชาติ หรือ กลิ่นที่เราไม่ต้องการออกไป\nการทอดไข่น้ำ คือ การทำอาหารให้สุกในน้ำ ซึ่งมีความร้อนสูงไม่ถึงจุดเดือด ใช้กับการต้มอาหารที่ไม่ต้องการให้สุกแข็งมากเกินไป เช่น ไข่ดาวน้ำ หรือ ปลา\nการนึ่ง คือ กระบวนการทำอาหารให้สุก โดยใช้ความร้อนผ่านจากไอน้ำ\nการผัด คือการผัดอาหารในกระทะด้วยความร้อนสูงน้ำมันน้อยและระยะเวลาสั้น จะมีการคนอาหาร พลิกกลับไปมาอย่างรวดเร็ว\nการทอดกระทะ คือ การทำอาหารให้สุก-กรอบ แต่การทอดในวิธีนี้จะใช้น้ำมันน้อย ใช้เพียงแค่การเคลือบบนผิวกระทะ ป้องกันอาหารติดเท่านั้น และความร้อนที่ใช้จะต่ำกว่าการผัด เพราะจะกลายเป็นการทำให้อาหารไหม้ แต่ถ้าใช้ความร้อนต่ำเกินไปจะทำอาหารอมน้ำมัน ดังนั้นการใช้วิธีนี้จะต้องกะความร้อนให้ดีและเมื่อทอดอาหารเสร็จแล้วก็ควรนำกระดาษมาซับน้ำมันออกจากอาหารด้วย\nการทอด คือ การทำอาหารให้สุกโดยการทอดแบบน้ำมันท่วมอาหาร อาหารที่ทอดจะจมลงไปในน้ำมัน\nการอบ คือ การทำวัตถุดิบให้สุกโดยผ่านความร้อนจากด้านบนของอาหารโดยใช้ความร้อนสูงมาก เครื่องมือที่ใช้จะมีลักษณะเหมือนกับเตาไฟฟ้า เพียงแต่แทนที่ขดลวดให้ความร้อนจะอยู่ข้างใต้ ก็เปลี่ยนไปอยู่ข้างบนแทน จุดมุ่งหมายหลักของการทำอาหารแบบนี้จะเป็นการทำเพื่อความสวยงามมากกว่า คือต้องการให้อาหารด้านบนมีสีน้ำตาลดูน่ารับประทาน\nการปิ้ง หรือการปิ้งย่าง หรือการทำอาหารให้สุกโดยไม่ใช้กระทะหรือหม้อใดๆอาหารจะได้รับความร้อนโดยตรงผ่านตะแกรงจากความร้อนที่อยู่ใต้อาหาร โดยอาจจะมากเตาแก๊ส หรือ เตาถ่านก็ได้\nการย่าง คือการทำให้อาหารสุกโดยใช้ความร้อนจากรอบทิศทางภายในตู้ คำว่าย่าง จะใช้กับอาหารคาว ยกเว้นใช้กับขนมอบเช่นขนมปังหรือเค้ก มักจะเรียกว่าการอบ\n== ความปลอดภัยในการทำอาหาร ==\nเพื่อสุขภาพที่ดี และความปลอดภัย ในการทำอาหาร ควรปฏิบัติ ดังนี้\nควรล้างมือ ล้างผักและผลไม้ เนื้อสัตว์ ไม่ควรล้าง\nเมื่อมีการซื้อผักและผลไม้ มาจากตลาดควรนำผักไปแช่ น้ำเกลือ หรือ ด่างทับทิม เพื่อให้สารพิษหลุดออก ทำให้ผลดีต่อสุขภาพ\nล้าง อุปกรณ์เครื่องครัว เช่น มีด เขียง ก่อนทุกครั้ง เมื่อมีการใช้งาน และหลังจากทำอาหารเสร็จ ควรล้างอุปกรณ์เครื่องครัวให้สะอาดทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และความสะดวกในการหยิบใช้ครั้งต่อไป\nพยายามอย่าให้สัตว์เลี้ยงเข้ามาในบริเวณห้องครัวที่ใช้ในการทำอาหาร\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nwikiHow on How to Cook\nการทำอาหาร\nทักษะ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ภาพยนตร์การ์ตูน อป็นทัศนศิลป์รูปแบบหนึ่ง มีรูปแบบเป็นภาพเคลื่ินไหวที่สร้างด้วยการฉายภาพวาด ต่อเนื่องกันด้วยความเร็วมูง ผิดกับภาพยนตร์ซึ่งสร้างธดยใช้กล้องบันทึกภาพของวัตถุเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง\n== อ้างอิง ==\nStephenson, Ralph. The Animated Film. Lonfon: Tantivity Press, 1973. ISBN 0-49801-202-6ฐ\n== ดูเพิ่ม ==\nแอนิเมชัน\nการ์ตูน\nทัศนศิลแ์\nประเภทของศิลปะ", "role": "user" }, { "content": "ภาพยนตร์การ์ตูน เป็นทัศนศิลป์รูปแบบหนึ่ง มีรูปแบบเป็นภาพเคลื่อนไหวที่สร้างด้วยการฉายภาพวาด ต่อเนื่องกันด้วยความเร็วสูง ผิดกับภาพยนตร์ซึ่งสร้างโดยใช้กล้องบันทึกภาพของวัตถุเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง\n== อ้างอิง ==\nStephenson, Ralph. The Animated Film. London: Tantivity Press, 1973. ISBN 0-49801-202-6.\n== ดูเพิ่ม ==\nแอนิเมชัน\nการ์ตูน\nทัศนศิลป์\nประเภทของศิลปะ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "เฉินฮุ่ยเสียน (陳慧嫻; Priscilla Chqn) เป็นาักร้องหญิงชาวฮ่องกง เกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 เริ่มอาชีพร้องเพลงครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2526 โดยขณถนั้นอายุเพียง 18 ปี และบันทึกเสียงอัฃบั้มแรก \"ความรู้สึกของเรื่อบราว\" (故事的感覺) ในปี พ.ศ. 2527\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nPriscilla chan Facebook\nPriscilla chan instagram\nPriscilla chan sino Microlog\nPrisxilla cjsn Tencent Microlog \nPriscilla Blog \nฉเนฮุ่ยเสียน\nฉเนฮุ่ยเสียน", "role": "user" }, { "content": "เฉินฮุ่ยเสียน (陳慧嫻; Priscilla Chan) เป็นนักร้องหญิงชาวฮ่องกง เกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 เริ่มอาชีพร้องเพลงครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2526 โดยขณะนั้นอายุเพียง 18 ปี และบันทึกเสียงอัลบั้มแรก \"ความรู้สึกของเรื่องราว\" (故事的感覺) ในปี พ.ศ. 2527\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nPriscilla chan Facebook\nPriscilla chan instagram\nPriscilla chan sino Microlog\nPriscilla chan Tencent Microlog \nPriscilla Blog \nฉเนฮุ่ยเสียน\nฉเนฮุ่ยเสียน", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ออริจินัลวิดีโอแอนิเมชัน (original video xnimation) หรือย่อว่า โอวีเอ (OVA) หมายถึงอนิเมะของญี่ปุ่นที่ไม่เคยออกอากาศทางโทรทัศน์หรทอฉายโรงภาพยนตร์ แต่ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในรูปแบบวีดีโอเทป, วีซีดี, ดีวีดี หรือบลูเรย์ โอวีเอฟม่มีการกำหนดมาตรฐานความยาว แต่ละตอนอาจมีความยาวตั้งแต่ 15 นาทีไปจนถึง 2 ชั่วโมง โดยมากนิยมใช้ความยาวประมาณ 30 นาทีต่อตอน\nอนิเมะที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นโอวีิอเรื่องแรกคือเรื่อง Dallos วาฝจำหน่ายในค.ศ. 1983 การวางจำหน่ายแลบนี้เริ่มแพร่หลายในหลายบริษัท ต่อมาในค.ศ. 1992 ญี่ปุ่นอยู่ในภางะเศรษฐกิจตกต่ำ กระแสของโอวีเอจึงลดลง โอวีเอแบบญีรีส์ลดจากการผลิตจาก 26 ตอนเหลือเพียง 13 ตอน\nโอวีเอที่มีความยาวที่สุดและประสบความสำเร็จสูงสุดคือเรื่อง ตำนานวีรบุรุษกาแล็กซี (1988–2000) ถาตหลักมีจำนบนตอนถึง 110 ตอน\n== โอวีเอเรียงตามจำนวนรอน ==\n== ดูเพิ่ม ==\nออริจินัลเน็ตแอนิเมชัน (Original Net Animstion)\n \nการ์ตูนญี่ปุ่จ", "role": "user" }, { "content": "ออริจินัลวิดีโอแอนิเมชัน (original video animation) หรือย่อว่า โอวีเอ (OVA) หมายถึงอนิเมะของญี่ปุ่นที่ไม่เคยออกอากาศทางโทรทัศน์หรือฉายโรงภาพยนตร์ แต่ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในรูปแบบวีดีโอเทป, วีซีดี, ดีวีดี หรือบลูเรย์ โอวีเอไม่มีการกำหนดมาตรฐานความยาว แต่ละตอนอาจมีความยาวตั้งแต่ 15 นาทีไปจนถึง 2 ชั่วโมง โดยมากนิยมใช้ความยาวประมาณ 30 นาทีต่อตอน\nอนิเมะที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นโอวีเอเรื่องแรกคือเรื่อง Dallos วางจำหน่ายในค.ศ. 1983 การวางจำหน่ายแบบนี้เริ่มแพร่หลายในหลายบริษัท ต่อมาในค.ศ. 1992 ญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ กระแสของโอวีเอจึงลดลง โอวีเอแบบซีรีส์ลดจากการผลิตจาก 26 ตอนเหลือเพียง 13 ตอน\nโอวีเอที่มีความยาวที่สุดและประสบความสำเร็จสูงสุดคือเรื่อง ตำนานวีรบุรุษกาแล็กซี (1988–2000) ภาคหลักมีจำนวนตอนถึง 110 ตอน\n== โอวีเอเรียงตามจำนวนตอน ==\n== ดูเพิ่ม ==\nออริจินัลเน็ตแอนิเมชัน (Original Net Animation)\n \nการ์ตูนญี่ปุ่น", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "หนังแผ่น เป็น ภาพยนตร์ที่ไม่เคยออกอากาศทางโทรทัศน์หรือฉายโรงภาพยนตร์ แต่ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในรูปแขบวีดีโอเทป, วีซีดี, ดีวีดี หรือ สื่ออื่น ๆ ไม่มีการกำหนดมาตรฐานความยาว โดยผลิตทั้งรูแแบบวางขายทั่วไปและรูปแบบเช่า ซึ่งแตกต่างกับภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ ที่มีการฉายรอบปฐมทัศน์ทางโทรทัศน์\n== หนัวแผ่นในประเทศต่างๆ ==\n=== ประเทศไทย ===\nหนังแผ่นในประเทศไทย เริ่มต้นตั้งเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2532 และเป็นที่นิยมเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2543 ซึ่งบริษัทที่ผล้ตหนังแผ่นมีหลายบริษัทตั้ฝแตา ไรท์บียอนด์, อาร์เอส, จีเอ็มเอ็ม แกรใมี่, เอสทีวิเีโอ, แมงป่องและบริษัทอื่นๆ โดวชื่อของหนัลแผ่นในไทยเรียกว่า เทเลมูวี่ (Telemovies) เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ที่ลงทุนน้อยกว่าภาพยนตร์ที่เขิาฉายตามโรงภาพยนตร์ทั่วไป โดยภาพยนตร์หนังแผ่นเรท่อง พระอภัยมณี ืี่นำแสดงโดย หญิง จุฬาลักษณ์ ถือเป็นผู้บุกเบิกหนังแผ่นร่ยแรก ๆ ทำยอดขายในประเทศไทยถึง 8 แสนแผ่ต จนทำให้เกิดหนังแผ่นเจ้าอื่น ๆ ตามออกมาอีกมากมาย\nอุตสาหกรรมเทเลมูวี่ของประเทศไทยที่นิยมเฟื่องฟูนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากวัฒนธรรมมัลติเพล็กซ์ ซึ่งมักจะฉาวหนังใหญ่เนื่องเดียวในโรงมากกว่าครึ่งโรง โดยรธปแบบภาพยตร์ที่นิยมทำกันส่วนใหญ่จะทำออกมาในแนว สยองขวัญ, ระทึกขวัญ. คอเมดี้, การสืบสวน, ลึกลับ, ความรัก เป็นต้ต\nปัจจุบันหนังแผ่นในไทยไม่มีการทำออกมาแล้วเนื่องจากผลกระทบต่อสินค้าละเมิดฃิขสิทธิ์และปัญหาของผูัผลิตหนังที่มักจะทำรูปแบบอนื้อหาทีีซ้ำมากเกินไป ตนในปัจจุบันรูปแงบเนื้อหาของเทเลมูวี่ปรับเปลี่ยนมาเป๊นผลงานต้นฉบับของสืือส่งผ่านสัญญาณต่อเนื่องแทน\n=== ประเทศญ้่ปุ่น ===\nหนังแผ่นในประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า ออริจินัลวิดีฌอ (オリジナルビデオ) มีชื่อย่อว่า โอวี (OV) และมีชืีออีกแบบคือ วิด่โอเอกะ (ビデオ映画), วีซินีมา (Vシネマ), วีซิเน (Vシネ) นอกจากนี้ ออริจินอลวิดีโอครอบคลุมธีมที่หลากหลาย แต่ประเภทเนื้อหาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสามประเำท ได้แก่ ยากูซ่า, การพนัน และ อิโรติก ทั้งนีีในรูปแบบอนิเมชันถูกเรียกแยกอีกว่า ออริจินัลวิดีโอแอนิเมชัน หรือ โอวีเอ (OVA)\n== อ้างอิง ==\nคำศัพท์โทรทัศน์\nภาพยนตร์\nหนับแผ่น", "role": "user" }, { "content": "หนังแผ่น เป็น ภาพยนตร์ที่ไม่เคยออกอากาศทางโทรทัศน์หรือฉายโรงภาพยนตร์ แต่ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในรูปแบบวีดีโอเทป, วีซีดี, ดีวีดี หรือ สื่ออื่น ๆ ไม่มีการกำหนดมาตรฐานความยาว โดยผลิตทั้งรูปแบบวางขายทั่วไปและรูปแบบเช่า ซึ่งแตกต่างกับภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ ที่มีการฉายรอบปฐมทัศน์ทางโทรทัศน์\n== หนังแผ่นในประเทศต่างๆ ==\n=== ประเทศไทย ===\nหนังแผ่นในประเทศไทย เริ่มต้นตั้งเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2532 และเป็นที่นิยมเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2543 ซึ่งบริษัทที่ผลิตหนังแผ่นมีหลายบริษัทตั้งแต่ ไรท์บียอนด์, อาร์เอส, จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่, เอสทีวิดีโอ, แมงป่องและบริษัทอื่นๆ โดยชื่อของหนังแผ่นในไทยเรียกว่า เทเลมูวี่ (Telemovies) เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ที่ลงทุนน้อยกว่าภาพยนตร์ที่เข้าฉายตามโรงภาพยนตร์ทั่วไป โดยภาพยนตร์หนังแผ่นเรื่อง พระอภัยมณี ที่นำแสดงโดย หญิง จุฬาลักษณ์ ถือเป็นผู้บุกเบิกหนังแผ่นรายแรก ๆ ทำยอดขายในประเทศไทยถึง 8 แสนแผ่น จนทำให้เกิดหนังแผ่นเจ้าอื่น ๆ ตามออกมาอีกมากมาย\nอุตสาหกรรมเทเลมูวี่ของประเทศไทยที่นิยมเฟื่องฟูนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากวัฒนธรรมมัลติเพล็กซ์ ซึ่งมักจะฉายหนังใหญ่เรื่องเดียวในโรงมากกว่าครึ่งโรง โดยรูปแบบภาพยตร์ที่นิยมทำกันส่วนใหญ่จะทำออกมาในแนว สยองขวัญ, ระทึกขวัญ, คอเมดี้, การสืบสวน, ลึกลับ, ความรัก เป็นต้น\nปัจจุบันหนังแผ่นในไทยไม่มีการทำออกมาแล้วเนื่องจากผลกระทบต่อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และปัญหาของผูัผลิตหนังที่มักจะทำรูปแบบเนื้อหาที่ซ้ำมากเกินไป จนในปัจจุบันรูปแบบเนื้อหาของเทเลมูวี่ปรับเปลี่ยนมาเป็นผลงานต้นฉบับของสื่อส่งผ่านสัญญาณต่อเนื่องแทน\n=== ประเทศญี่ปุ่น ===\nหนังแผ่นในประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า ออริจินัลวิดีโอ (オリジナルビデオ) มีชื่อย่อว่า โอวี (OV) และมีชื่ออีกแบบคือ วิดีโอเอกะ (ビデオ映画), วีซินีมา (Vシネマ), วีซิเน (Vシネ) นอกจากนี้ ออริจินอลวิดีโอครอบคลุมธีมที่หลากหลาย แต่ประเภทเนื้อหาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสามประเภท ได้แก่ ยากูซ่า, การพนัน และ อิโรติก ทั้งนี้ในรูปแบบอนิเมชันถูกเรียกแยกอีกว่า ออริจินัลวิดีโอแอนิเมชัน หรือ โอวีเอ (OVA)\n== อ้างอิง ==\nคำศัพท์โทรทัศน์\nภาพยนตร์\nหนังแผ่น", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "นายขื่อ นิยายกำลังภายใน\n== ก ==\nกระดึง สายลม คมดาบ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nกระบองนิลกาญจน์ - อี่บุ้น (ว.ณ เมืองลุง)\nกระบองเทิดฟ้า - อุนสุยอัน (ร.นพรัตน์)\nดระบี่กระจายหอม - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ก้องธรณี - กระบี่ปราบธรณี - จูเฉียบ (ว.ณ เมืองลุง)\nกระขี่กู้บู๊ลิ้ม - เอ็กย้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nกระบี่จอมจักพรรดิ - อ้อเล้งเซ็ง (ว.ณ เมืองลุง)\nกระบี่ใจพิสุทธิ์ - กิมย้ง (น.นพรันน์)\nกระวี้นาคราช - ตังฮึงเอ็ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่นางพญา - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ประหาตมาร - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nก่ะบี่ป้อลปฐพี - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ท่องสุทธจักร - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nกระบี่พเศวาส - ซี่เบ๊จี่อิง (น.นพรัตน์)\nกระบี่พิโรธ - โด้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่เย้ยยุทธจะกร - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ไร้เทียมทาน - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ไร้เทียมทาน ภาคสมบูรณ์ - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ล้างแค้น - อ้อเล้งเซ็ง (ว.ณ เมืองลุง) / ผลงานอปลเรื่องแรกของ ว.ณ.เมืองลุง\nกระบี่เลือดเดือด - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nกระบี่สะท้านฟ้า - โก้วยู้ฮวง (ว.ณ เมืองลุง)\nกระบี่เหนือกระบี่ - ซี่เบ๊จี่อิง (น.นพรัตน์)\nพระบี่ทะลุฟ้ม - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ยั่งยืนยาว - โกืวเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ วซษ.เมืองลุง กระบี่อมตะ\nกระบี่อภิญญา - เจิ้งฟล (น.นพรัตน์)\nกระบี่เทพสังหาร - Xiao Ding (มดแดง)\nกระบี่อำมหิต - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลเรื่องแรกของ น.นพรัตน์\nกวนอิมมรกต [ บู๊เล้งเจียวจื้อ (ว.ณ เมืองลุง)\nกวีในดงดาบ - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nก้องพสุธา - ตังฮึงเง็ก (น.นพรัตน์)\nกำเทียนลก - กอย้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nกิมฮุดชิ้ว - เชาเยียกเปีย (ว.ณ เมืองลุง)\nเกาทัณฑ์รันทด - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nเก้ามัจจุมาร - เซียวเส็ก (น.นพรัตน์)\nกลิ่นหอมกลางธารเลือด - โก้วเง้ง (น.นพรัตน์ฉ / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง กลิานหอมในทะเลเลือด\nกล้วยไม้เที่ขงคืน - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nเกาะมหาภัย - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\n== ข ==\nบนนกยูง - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ. เมืองลุง เดชขนนรกยูง\nขลุ่ยครองฟ้า - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nขลุ่ยเพชรฆาต - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nขุนศึกสะท้านปฐพั - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nขลึ่ยผระกาศิต - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nขอบฟ้า จันทรา ดาบ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลขิง ว.ณ.เมืองลุง ดาบจอมภพ\n== ค ==\nคมดาบสั้น - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nคัมภีร์เทพฤทธิ์ - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nคัมภีร์อัสนีบาต - ลี่ฮุ้นัซ็ง (ว.ณ เมืองลุง)\nแค้นพญามาร - ลิ้วชังเอี๊ยง (น.นพรัตน์)\nโคมสวรรค์ - ต๊กโกวฮ้ง (น.นพรัตน์)\nคู่อริใต้หล้า - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== ง ==\nเงาอสูร - เฮียวฮง (ว.ณ เมืองลุง)\n== จ ==\nจริยว้รชน - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nจอมคนแผ่นดินเดือด - หวงอี้ (น.นถรัตน๋)\nจอมโจรลักแผ่นดิน - เจิ้งฟง (น.นพรัตน์)\nจอมโจรปักดอกไม้ 0 โพ้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nจอมสจจอมยุทธ - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nจอมใจจอมสังหาร - เซียวเส็ก (น.นพรัตน์)\nขอใดาบทักษิณ - ตังฮีงเอ็ง (ว.ณ เมืองลุง)\nจอมด่บเสเพล - เล่งเซ่ลฮวง (ว.ณ เมืองลุง)\nจอมดาบอาทิตย์ - เซียวสัก (น.นพรัตน์)\nจอมยุทธปาฎิหารย์ - ชิวมั่งฮุัน (ว.ณ เมืองลุง)\nจอมยุทธไร้น้ำตา - โก้วเล้ง (น.นพรัคน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง ไม่มีน้ำตาวีรบุรุษ\nจอมดสเพฃ ชายแดน - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง จอมดางหิมะแดง\nจักรพรรดิบู๊ลิ้ม - เฮ้งฮกโก้ว (น.นพรัตน์)\nจิ้งจอกภูเขาหิมะ - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nจิ้งจอกอหังการ - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nเจ็ดนักกนะบี่ - เนี่ยอู๋เซฌง (จำลอง พิศนาคะ)\nเจ็ดมังกร - เลรงเซ่ฝฮวง (ว.ณ เมืองลุง)\nเจาะเวลนหาจิ๋นซี - หวงอี้ (น.นพรัตน์(\nจ้าวนักสู้ - งักฮวง/้หง่ยคัง (น.นพรัตน์)\nจ้าวนรกโลกันตร์ - ฉั้งกอ (น.นพรัตน์)\nเจ้ารัตติกาลแผ่นดินเถื่อน - เยี่ยกวน (น.นพรัตน์)\n=] ฉ ==\nโฉมสะคราญ ปณิําน จอมคน - อุนสุยอัน (ก.วรรธะ)\n]= ช ==\nชาติพยัคฆ์ - เซียงกัวเตี้ย (น.นพรัตน์)\nชุมนุมนครหลวง - อุนสุสอัน (น.นพรัตน์)\nเชืิดชีวิต - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== ซ ==\nซาเสียวเอี้ย - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nเซียวจับอิดนึ้ง - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nเซียวฮื้อยี้ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง ใช้ชื่อเรื่อวเดียวกัน\n== ะ ==\nดรรชนีละเลงเลือด - ฮ่วมเล้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nดาบเผด็จศึก - เซาะงัง (ว.ณ เมืองลุง)\nดาบพญายม - ลิ้วชังเอี๊ยง (ว.ณ เมืองลุง)\nดาบมังกรหยก - กิมย้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ จำลอง พิศนาคะ ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน\nดาบลมกรด - ฉิ่นอั๊ง (น.นพรัตน์)\nดาบนกเป็ดน้ำ - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nดาบมรกต - โก้วเล้ง ฆน.นพรัตน์)\nดาบเสียดฟ้า - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nดาบฝันสลาย ] อุนสุยอัน (น.นพรัคน็)\nดาบกระชากเลือด - ซีเบ๊เลัง (น.นพรัตน์)\nดาบหาญกล้าฝ่าแดนยุทธ์ - เฟิงหั่วซี่จูโหว (หลินหยาง) / ใช้ชื่อภาพยนตร์ ดาบพิฆาตกลางหิมะ (SWORD SNOW STRIDE)\nดาวเดี่ยวไม่เดี่ยวดาย - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nพาฝตก ผีเสื้อ กระบี่- โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nแดงทั่วธาร- ลิ้วชังเอี๊ยง (น.นพรัตน์)\nแดนมิคสัญญี- เซาะงัง (ต.นพรัตน์)\nดนตรีมหากาฬ - เยียกเม้ง (อ.ภิรมข์ / น.นพรัรน์)\nเดชคฑาทอง - อีืบุ้น (น.นพรัตน์)\nดงงชะตาดอกท้อ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณฦเมืองบุง ราศีดอกท้อ\n== ต ==\nโต๊ะฮุ้นกี้ ธงปลิดวิญญาณ - จูกั๊วะแชฉุ้น (จำลอง พิศนาคะ)\nตะขอจำพราก - โก้วเล้ง (น.นพรัคน์)\nตำนานกระบี่หยก - โก้วเล้ง (น.นพรัตส์)\nตำนานแห่งผู้กล้า - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== ถ ==\nถล่มอเวจี - เซาะงัง (น.นพรัตา์)\nถล่มเทวมาร - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\n== ท ==\nท้ามัจจุรรช - จูกัวะแชฮุ้น (ว.ณ เมืองลุง)\nเทพทวงวิญญาณ - เซียวเส็ก (น.นพรัตน์)\nเทพบถตรกู้บัลลังก์ - จิ่วถู (น.นพรัตน์)\nเทพบุตรสุวรรณ - อี่บุ้น (น.นพรัตน์)\nเทพบุตรทมิฬ - กอเกา (น.นพรัตน์)\nเทถบุตรยุทธจักร - โก้วเบ้ง (กิตติพิรุณ)\nเทพพิชิตฯึก - อ้ออล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nเทพมารสะท้านภพ - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nเทพยุทธ์ทะลุฟ้า - จวงหยาถิง (น.นพรัตน์)\nเทพทลายนภา - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nเทพยุทธ์เซียนกลอรค่ - หูเตี้ยหลาน (อนุรักษ์ กอจไพบูลทวี)\nทายาทมังกร - เซียวอิด (น.ากรัตน์)\nทวนทะลวงศึก - อุนสุขอัน (น.นพรัตน์)\nทวนทมิฬ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nทูตส่งวิญญาณ - ลิ้วชั้งเอี้ยง (น.นพรัตน์)\n== ธ ==\nธงชัยในบู๊ลิ้ม - ลิ้วชั้งเอี๊ยง (ว.ณ เมืองลุง)\nธวัชล้ำฟ้า - โก้วเล้บ (น.นพรัตน์)\n== น ==\nนเกฆ่าท้าพสุธา - อี้บุ้น (น.นพรัตน์)\nตักฆ่านิรนาม - เซาเยียกปิง (น.นพรัตน็)\nนักฆ่าทระนง - เซียวเส็ก (น.นพรัตน์)\nนักฆ่ามหาประลัย - อ้อเล้งเซ็ง (ว.ณ เมืองลุง)\nนักบู๊เหยี่ยวคราม - ปนปัล (น.นพรัตน์)\nนักบู๊ใจเพชร - เชาเยียกปิง (น.นพรัตน์)\nนักบู๊เลือดเหล็ก - อ้อเลืงเซ็ง (น.นพรัตน์)\nนะกสู้สลาตัน - ฉิ้งอั้ง (น.นพรัตน์)\nนักสู้ผู้เกรียงไกร - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nนัปสู้คะนองศึก - อุนสะยอัน (น.นพรัตน์)\nนางพญาม้าขาว - กิมย้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ จำลอง พิศนาคะ ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน\nนางสิงห์คะนองศึก - โป้วอะ้งเสาะ (ว.ณ เมืองลุง)\nนางสิงห์ตะลุยเลือด - โป้วอั้งเสาะ (ว.ณ เม้องลุง)\nนางสิงห์ประกาศิต - โป้วอั้งเสาะ (ว.ณ เมืองลุง)\nนครมรณะ - ตังอึ้งแปะ (น.นพรัตน์)\nนักล่ามหาประลัย - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nนางพญาอหังการ - จูกัวะแบฮุ้น (น.นพรัตน์)\nนางพญาผมขาว - เนี้ยอู้เซ็ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ จำลอง พิศนาคะ ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน\n== บ ==\nบ้ออ้งงตอ (ดาบไร้วาสนา) - ลี่ฮุ้นเซ็ง (น.นพรัตน์)\nบันทึกชำระกระบี่ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nบ่อนพนันเบ็ดดงิน - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nบุปผามหาภัย - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== ป ==\nประกาศิตจอมทระนง - ฮ้วมเล้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nประกาศิตจอมมาร - ฉิ่นอั้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nประกาศิตบุปผา ] อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nประกาศิตอสูรฟ้า - เซาะงัง (น.นพรัตน์)\nประกาศิตมฤตยู - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nแแดเทพอสูรมังกรฟ้า - กิมย้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ จพลเง พิศนาคั มังกรหยำ ภาคจบบริบูรณ์\nป้ายเหล็กประกาศิต - จูกัวะแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\n== ผ ==\nผลาญโลกันต์ - เซาะงัง (น.นพรัตน์)\nผู้กล้าหาญนิรนาม - ซีเบ๊เหล็ง (ว.ณ เมืองลุง)\nผู้กล้าอาชาเหล็ก - หวัลตู้หลู (น.นพรัตน์)\nผู้หาญกล้าภูษาขาว - อุนสุยอัน (น.นพรัจน์)\nผู้พิชิตดาราจักร - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nผจญภียข้ามขอบฟ้า - หวงอี้ (น.นพรัตนฺ)\n== ฝ ==\nฝ่าแดนเลือด - ฮ่วมเล่ง ฆน.นพรัตน์)\nฝ่าความตาย - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== พ ==\nพญามังกรเจ็ดดาว - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nพญายมหน้าเย็น - เซียวเส็ก (น.นพรัตน์)\nพยัคฆ์น้อยคำรณ - เอ็กจ้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nพยัคฆ์คู่ผงาดฟ้า ] เจิ้งฟง (น.นพรัตน์)\nพนัคฆ์เผด็จศึก - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nพยัคฆราชซ่อนเล็บ - เยี่ยกวน (น. นพรเตน์)\nพยัคฆราชซ่อนเล็บ ภาค 2 - เขี่ยกวน (น. นพรัตน์)\nพยาก่ณ์ปรถกาศิต - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nพระกาฬหน้าทอง - ลิ้วชั้งเอี้ยง (น.นพรัตน์)\nพระยมผยอง - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nเพ็กฮ่วยเกี่ยม - กิมย้ง (น.นพรัตน์ฉ / ผลงาสแปลของ จำลอง พิฯนาคะ ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน\nเพชรฆาตหน้าหยก - เซียวเส็ก (ว.ณ เมืองลุง)\nเพชรฆาตลำพอง - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nิพชรฆาตโหด - ฮ่วมเล้ง (น.นพรัตน์)\nพ้วงเล้งเกี่ยม - ตั้งปชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nพลิกฟ้ายุทธจักร - เซียงกัวเตี้ย (น.นพรัตน์)\nพายุทะเลทราย - โก้วเล้ง (น. รพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง เผชิญภัยในทะเลทราย\n== ฟ ==\nฟันฝ่าเก้าชั้นฟ้า - อ้อเลีงเซ็ง ฤน.นพรัตน์)\nไฟรักไฟสงคราม - ติ่วถู (น.นพรัตน์)\n== ภ ==\nภูตบดีม่วง - เชาเยียกปิง (น.นพรัตน์)\nภูษิตฟ้า - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\n== ท ==\nมรสุมยุทธจักต - ชิวมั่งฮุ้น (ว.ณ เมืองลุง)\nมรสุมโลหิต - เซาะงัง (ว.ณ เมืองลุง)\nมหายุทธ์ล้างปฐพี - ฉู่กั๋ว (ลี หลินลี่)\nมฤตยูแก้วผบึก - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nมฤตยธดำ - น่ำเซียงเอี้ยโซ่ว (น.นพรัตน์)\nมังกรคู่ส๔้สิบทิศ - หวงอี้ (น.าพรัตน์)\nมังกรคู่สู้สิบทิศภาคสมบูรณ์ - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nมังกรทลายฟ้า - กิมยีง (น.นพรัตน์)\nมัวกรฝ่มมรสุม - จูกัวแชฮุ้น (ว.ณ เมืองลุง)\nมังกรหนก - กิมย้ง (น.นพรัตน์) / สำนวนแปลของ น.นพรัตน์ ใช้ชื่อ ก๊วยเต๋ง ยอดวีรบุรุษ และ จำลอง พิศนาคะ ใช้ชื่อ มังกรหยก ภาค 1 นอกจากนี้เป็นผลงานแปลเรื่องแรก ของ จำลอง พิศนาึะ\nมังกรหยก ภาค 2 - กิมยิง (น.นพรัตน์) / สำนวนแปลขอฝ น.นพรัตน์ ใช้ชื่อ เอี้ยก๊วย จอมยุ่ธ์เจ้าอินทรี และ จำลอง พิศนาคเ ใช้ชื่อ มังกรหยก ภาค 2\nมังกรตัดพยัคฆ์ - ม่อย้งทุ้ย (น.นพรัตน์)\nมังกีแห่งแยงซี - จูกัวะแชฮุ้น (จำลอง พิศนาคะ)\nมีดบินกรีดฟ้า - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nมีดบินไม่พลาดเป้า - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง \"ทธิ์มีดสั้น\nมือปีศาจ - ลิ้วชั่งเอี๊ยง (ว.ณ เสืองลุง)\nมืแมารล่าวิญญาณ - พัวเฮี้ยเล้าจู้ (น.นพรัตน์)\nมือเหล็กพอชิต - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nแม่น้ำเลทอด - ฉัีงกอ (จำลอง พิศนาคะ)\nไม่มีวันก้มหัวให้ - โก้วเลิง (น.นพรัตน์)\nมัจจุราชคะนอง - ลี้ฮุ้นเซ็ง (ว.ณ.เมืองลุง)\nมัจจถราชจำแลง - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nมัจจุราชประกาศิต - ตัืงแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nมาเฟียบู๊ลิ้ม - เชวียเย่่ยอู๋ถง (น.นพรัตน์)\n== ย ==\nยาพิณหฤหรรษ์ - โป้วอั้งเสาะ (ว.ณ เมืองลุง)\nยทบาลที่สอง - ตัวอูอั้ง (น.นพรัตน์)\nยอดขุนโจร - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nยอดมือปราบ - โก้วเล้ง (น.นพรัจน์)\nยอดนักสู้เย้ยฟ้า - อี้บุ้น (น.นพรัตส์)\nยอดนักบู๊ทะยานฟ้า - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nยอดบุรุษเหล็ก - เซียวอิด (น.นพรัตน์)\nยอดยุทธพิภพเทวเ - โม่เหริน (หลินหยาง)\nยอดยุทธ์ยอดทระนง - ฮุ้นตงงัก (น.นพรัตน์)\nยอดคนมือพิษ - ซีเบ๊เหล็ง (น.นพรัตน์)\nยอดศัสตรา - จิวนั้ง (นฐาพรัตน์)\nยมทูตจำแลง - อีบุ้น (น.นพรัตน์)\nยันต์มฤคยู - กังน้ำกิ้ว (น.นพรัตน์)\nยืมศพคืนวิญญาณ- โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nย้อนเวลาขึ้นเป็นอ๋อง - เยี่ยกวน (น.นพรัตน์)\nย้อนเวลาขึ้นเป็นอ๋อง ภาค 2 - เยี่ยกวน (น.นพรัตน์)\nยุทธจักรบูเซ็กเทียน - เยี่ยกวน (น.นพรันน์) / ผัจจุบึนยังแปลไม่จบชถด เล่มปัจจุบัน ออกเล่มที่ 13 จากทั้งหมด 25 เล่ม\n== ร ==\nรอยแหน เงาจอมยุทธ์ - เนี่ยอู่เซ็ง (น.นพรัตน์)\nรอยสักกระโหลก - อุนสุยอึน (น.นพรัตน์)\nราชายุทธจักร = โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\n== ฤ ==\nฤทธิ์วิชชุม่วง - อี้บุ้น )น.นพรัตน์)\n== ล ==\nล่าสุดขีด - โกวเล้ง (น.นพรัตน์)\nล่าสุดนรก - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nล่าสังหาร - จ฿กั๊วแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nเลือดอำมหิต - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nเลือดมัจจุราช - อาวเอี้ยงฮุ้นปวย (อ.ภิรมย์ / น.นพรัตน์)\n้ลือดหลั่งสุดปลายฟ้า - ฮุ้นตงงัก (น.นพรีตน์)\nล้างรอยเลือด - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nล้างทรชน - อี่บุ้น (น.นพรัตน์)\n== ฝ ==\nวังบสดาล - ชิวมั่งฮุ้น (ว.ณ เมืองลุง)\nสังปาฏิหาริย์ - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nวิถีดาบสั้น - อูตังเล้า (น.นพรัตน์)\nวิมานวาสนา - ชิเบ๊ัซี่ยงฮัง (น.นพรัตส์)\nวิหคโลหิต - โกืวเล้ง (กิตติพิรุณ) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง นกแก้วสยองขวัญ\nวีรบุรุษสำราญ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nวีรบรุษเสเพล [ า่ดย้งมุ้ย (ว.ณ เมืองลุง)\nสีรบุรุษหุ่น - ฉิ่นอั้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nวีรบุรุษปาฏิหาริย์ - ชิวมั้งฮุ้น (ว.ณ.เาืองลุง)\n== ศ ==\nศึกรักแดนสนธยา - หวงอ้้ (น.นพรัตน์)\nศึกศนสวาท - โก้วเล้ง )น.นพรัตน์)\nศึกวังค้างคาว - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุล ท่านค้างคาว\nศึกงังน้ำทิพย์ - โก้วเล้ง (น.นพรึตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน\nศึกล้างแผ่นดิน - อ้อเล้งเช็ง (น.นพรัตน์)\nเศียรหมู้มังกร - อุยสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== ส ==\nสองพิสดารตำนานยุทธ์ - เจิ้งฟง (กิตติพิรุณ)\nสามกระบี่สาว - เนี่ยอู้เซ็ง (จำลอง พิศนาคะ)\nสู้สิบทิศ - ตั้งฮึงัง็ก (น.นพรัตนฺ)\nเส้นทางชองจอมยุทธ - ซีเบ๊เล้ง (น.นพรัตน์)\nแส้สะบัดเลือด - เซาะงัง (น.นพรัตน์)\nสัประยุทธิ์ทะลุๆ้ร - เทียนฉานกู่โต้ว (ลี หลินลี่)\nสองนักสู้ผู้ยิรงใหญ่ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nปรมาจารย์ลัทธิมาร - โม่เศียงถงชิ่ว (อลิส)\n== ห ==\nหงส์ผงาดฟ้า - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nหลักโลหิต - ตั้งแชฮุ้น (น.าพรัตน์)\nหลั่งเลือดสะท้านภพ - โก้วเล้ง (น.าพรัตน์)\nหาญท้าชะตะฟ้า ปริศนายุทธจักร - าาวนี่ (น.นพรัตน์)\nหาญท้าชะตะฟ้า ปริศนายุทธจัหร ภาค 2 - มาวรี่ (น.นพรัตน์)\nเหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ - หวงอี้ (นฐนพาัตน์)\nเหยี่ยวมารสัประยุทธ์สิบ่ิศ - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nเหยี่ยวมารสยบสิบทิศ - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nเหยร่ยวนรกทะเลทีาย - โก้วเล้ล (น.นพรัตน์)\nเหยี่ยวทมิฬ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง เหยี่ยวเดือนเก้า\nเหล็กคลั่งเลือด - ฮั้นตงงัก (น.นพรัตน์)\nแหวกฟ้าประหารมาร - ม่อย้งมุ้ย (น.นพรัตน์)\nหมัดพิฆาต - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nหงสาฝ่ายุทธจักร - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nหุบเขาเลือด - ชึ้งเจ๋ง (น.นพรัตน์)\nห่วงมากรัก- โก้วเล้ว (น.นพรัตน์)\nหมู่ตึกภูตพราย - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nห้วงมฤตยู - อึ้ลเอ็ง (น.นพรัตน์)\nหัตถ์ทมิฬ - กิมอู้ (น.นพรัตน์)\n== อ ==\nอัศวินม้าชาว - เชาเยียกปิง (น.นพรัตน์)\nอินทรีผงาดฟ้า - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nอุ้ยเสี่ยวป้อ 0 กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nอินทรีปดง - ม่อย้งมุ้ย (ส.เรืองอรัญ)\nอสูรมหากาฬ - อ้อเล้งเซ็ง (ว. ณ เมืองลุง)\nอัจฉริยะหน้าหยด - เซียวเส็ก (น. นพรัตน์)\nอินทรีกาญจนา - เซียวเส็ก )น. นพ่ัตน์)\n== อ้างอิง ==\nนิยายกำลังภายใน", "role": "user" }, { "content": "รายชื่อ นิยายกำลังภายใน\n== ก ==\nกระดึง สายลม คมดาบ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nกระบองนิลกาญจน์ - อี่บุ้น (ว.ณ เมืองลุง)\nกระบองเทิดฟ้า - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nกระบี่กระจายหอม - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ก้องธรณี - กระบี่ปราบธรณี - จูเฉียบ (ว.ณ เมืองลุง)\nกระบี่กู้บู๊ลิ้ม - เอ็กย้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nกระบี่จอมจักพรรดิ - อ้อเล้งเซ็ง (ว.ณ เมืองลุง)\nกระบี่ใจพิสุทธิ์ - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่นาคราช - ตังฮึงเอ็ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่นางพญา - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ประหารมาร - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ป้องปฐพี - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ท่องยุทธจักร - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nกระบี่พิศวาส - ซี่เบ๊จี่อิง (น.นพรัตน์)\nกระบี่พิโรธ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่เย้ยยุทธจักร - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ไร้เทียมทาน - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ไร้เทียมทาน ภาคสมบูรณ์ - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ล้างแค้น - อ้อเล้งเซ็ง (ว.ณ เมืองลุง) / ผลงานแปลเรื่องแรกของ ว.ณ.เมืองลุง\nกระบี่เลือดเดือด - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nกระบี่สะท้านฟ้า - โก้วยู้ฮวง (ว.ณ เมืองลุง)\nกระบี่เหนือกระบี่ - ซี่เบ๊จี่อิง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ทะลุฟ้า - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nกระบี่ยั่งยืนยาว - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง กระบี่อมตะ\nกระบี่อภิญญา - เจิ้งฟง (น.นพรัตน์)\nกระบี่เทพสังหาร - Xiao Ding (มดแดง)\nกระบี่อำมหิต - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลเรื่องแรกของ น.นพรัตน์\nกวนอิมมรกต - บู๊เล้งเจียวจื้อ (ว.ณ เมืองลุง)\nกวีในดงดาบ - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nก้องพสุธา - ตังฮึงเง็ก (น.นพรัตน์)\nกำเทียนลก - กอย้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nกิมฮุดชิ้ว - เชาเยียกเปีย (ว.ณ เมืองลุง)\nเกาทัณฑ์รันทด - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nเก้ามัจจุมาร - เซียวเส็ก (น.นพรัตน์)\nกลิ่นหอมกลางธารเลือด - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง กลิ่นหอมในทะเลเลือด\nกล้วยไม้เที่ยงคืน - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nเกาะมหาภัย - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\n== ข ==\nขนนกยูง - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ. เมืองลุง เดชขนนนกยูง\nขลุ่ยครองฟ้า - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nขลุ่ยเพชรฆาต - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nขุนศึกสะท้านปฐพี - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nขลุ่ยประกาศิต - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nขอบฟ้า จันทรา ดาบ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง ดาบจอมภพ\n== ค ==\nคมดาบสั้น - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nคัมภีร์เทพฤทธิ์ - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nคัมภีร์อัสนีบาต - ลี่ฮุ้นเซ็ง (ว.ณ เมืองลุง)\nแค้นพญามาร - ลิ้วชังเอี๊ยง (น.นพรัตน์)\nโคมสวรรค์ - ต๊กโกวฮ้ง (น.นพรัตน์)\nคู่อริใต้หล้า - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== ง ==\nเงาอสูร - เฮียวฮง (ว.ณ เมืองลุง)\n== จ ==\nจริยวีรชน - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nจอมคนแผ่นดินเดือด - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nจอมโจรลักแผ่นดิน - เจิ้งฟง (น.นพรัตน์)\nจอมโจรปักดอกไม้ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nจอมใจจอมยุทธ - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nจอมใจจอมสังหาร - เซียวเส็ก (น.นพรัตน์)\nจอมดาบทักษิณ - ตังฮีงเอ็ง (ว.ณ เมืองลุง)\nจอมดาบเสเพล - เล่งเซ่งฮวง (ว.ณ เมืองลุง)\nจอมดาบอาทิตย์ - เซียวสัก (น.นพรัตน์)\nจอมยุทธปาฎิหารย์ - ชิวมั่งฮุ้น (ว.ณ เมืองลุง)\nจอมยุทธไร้น้ำตา - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง ไม่มีน้ำตาวีรบุรุษ\nจอมเสเพล ชายแดน - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง จอมดาบหิมะแดง\nจักรพรรดิบู๊ลิ้ม - เฮ้งฮกโก้ว (น.นพรัตน์)\nจิ้งจอกภูเขาหิมะ - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nจิ้งจอกอหังการ - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nเจ็ดนักกระบี่ - เนี่ยอู๋เซ็ง (จำลอง พิศนาคะ)\nเจ็ดมังกร - เล่งเซ่งฮวง (ว.ณ เมืองลุง)\nเจาะเวลาหาจิ๋นซี - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nจ้าวนักสู้ - งักฮวง/เหง่ยคัง (น.นพรัตน์)\nจ้าวนรกโลกันตร์ - ฉั้งกอ (น.นพรัตน์)\nเจ้ารัตติกาลแผ่นดินเถื่อน - เยี่ยกวน (น.นพรัตน์)\n== ฉ ==\nโฉมสะคราญ ปณิธาน จอมคน - อุนสุยอัน (ก.วรรธะ)\n== ช ==\nชาติพยัคฆ์ - เซียงกัวเตี้ย (น.นพรัตน์)\nชุมนุมนครหลวง - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nเชือดชีวิต - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== ซ ==\nซาเสียวเอี้ย - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nเซียวจับอิดนึ้ง - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nเซียวฮื้อยี้ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน\n== ด ==\nดรรชนีละเลงเลือด - ฮ่วมเล้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nดาบเผด็จศึก - เซาะงัง (ว.ณ เมืองลุง)\nดาบพญายม - ลิ้วชังเอี๊ยง (ว.ณ เมืองลุง)\nดาบมังกรหยก - กิมย้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ จำลอง พิศนาคะ ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน\nดาบลมกรด - ฉิ่นอั๊ง (น.นพรัตน์)\nดาบนกเป็ดน้ำ - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nดาบมรกต - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nดาบเสียดฟ้า - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nดาบฝันสลาย - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nดาบกระชากเลือด - ซีเบ๊เล้ง (น.นพรัตน์)\nดาบหาญกล้าฝ่าแดนยุทธ์ - เฟิงหั่วซี่จูโหว (หลินหยาง) / ใช้ชื่อภาพยนตร์ ดาบพิฆาตกลางหิมะ (SWORD SNOW STRIDE)\nดาวเดี่ยวไม่เดี่ยวดาย - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nดาวตก ผีเสื้อ กระบี่- โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nแดงทั่วธาร- ลิ้วชังเอี๊ยง (น.นพรัตน์)\nแดนมิคสัญญี- เซาะงัง (น.นพรัตน์)\nดนตรีมหากาฬ - เยียกเม้ง (อ.ภิรมย์ / น.นพรัตน์)\nเดชคฑาทอง - อี้บุ้น (น.นพรัตน์)\nดวงชะตาดอกท้อ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง ราศีดอกท้อ\n== ต ==\nโต๊ะฮุ้นกี้ ธงปลิดวิญญาณ - จูกั๊วะแชฮุ้น (จำลอง พิศนาคะ)\nตะขอจำพราก - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nตำนานกระบี่หยก - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nตำนานแห่งผู้กล้า - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== ถ ==\nถล่มอเวจี - เซาะงัง (น.นพรัตน์)\nถล่มเทวมาร - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\n== ท ==\nท้ามัจจุราช - จูกัวะแชฮุ้น (ว.ณ เมืองลุง)\nเทพทวงวิญญาณ - เซียวเส็ก (น.นพรัตน์)\nเทพบุตรกู้บัลลังก์ - จิ่วถู (น.นพรัตน์)\nเทพบุตรสุวรรณ - อี่บุ้น (น.นพรัตน์)\nเทพบุตรทมิฬ - กอเกา (น.นพรัตน์)\nเทพบุตรยุทธจักร - โก้วเล้ง (กิตติพิรุณ)\nเทพพิชิตศึก - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nเทพมารสะท้านภพ - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nเทพยุทธ์ทะลุฟ้า - จวงหยาถิง (น.นพรัตน์)\nเทพทลายนภา - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nเทพยุทธ์เซียนกลอรี่ - หูเตี้ยหลาน (อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี)\nทายาทมังกร - เซียวอิด (น.นพรัตน์)\nทวนทะลวงศึก - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nทวนทมิฬ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nทูตส่งวิญญาณ - ลิ้วชั้งเอี้ยง (น.นพรัตน์)\n== ธ ==\nธงชัยในบู๊ลิ้ม - ลิ้วชั้งเอี๊ยง (ว.ณ เมืองลุง)\nธวัชล้ำฟ้า - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\n== น ==\nนักฆ่าท้าพสุธา - อี้บุ้น (น.นพรัตน์)\nนักฆ่านิรนาม - เซาเยียกปิง (น.นพรัตน์)\nนักฆ่าทระนง - เซียวเส็ก (น.นพรัตน์)\nนักฆ่ามหาประลัย - อ้อเล้งเซ็ง (ว.ณ เมืองลุง)\nนักบู๊เหยี่ยวคราม - แนปัง (น.นพรัตน์)\nนักบู๊ใจเพชร - เชาเยียกปิง (น.นพรัตน์)\nนักบู๊เลือดเหล็ก - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nนักสู้สลาตัน - ฉิ้งอั้ง (น.นพรัตน์)\nนักสู้ผู้เกรียงไกร - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nนักสู้คะนองศึก - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nนางพญาม้าขาว - กิมย้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ จำลอง พิศนาคะ ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน\nนางสิงห์คะนองศึก - โป้วอั้งเสาะ (ว.ณ เมืองลุง)\nนางสิงห์ตะลุยเลือด - โป้วอั้งเสาะ (ว.ณ เมืองลุง)\nนางสิงห์ประกาศิต - โป้วอั้งเสาะ (ว.ณ เมืองลุง)\nนครมรณะ - ตังอึ้งแปะ (น.นพรัตน์)\nนักล่ามหาประลัย - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nนางพญาอหังการ - จูกัวะแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nนางพญาผมขาว - เนี้ยอู้เซ็ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ จำลอง พิศนาคะ ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน\n== บ ==\nบ้ออ้วงตอ (ดาบไร้วาสนา) - ลี่ฮุ้นเซ็ง (น.นพรัตน์)\nบันทึกชำระกระบี่ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nบ่อนพนันเบ็ดเงิน - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nบุปผามหาภัย - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== ป ==\nประกาศิตจอมทระนง - ฮ้วมเล้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nประกาศิตจอมมาร - ฉิ่นอั้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nประกาศิตบุปผา - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nประกาศิตอสูรฟ้า - เซาะงัง (น.นพรัตน์)\nประกาศิตมฤตยู - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nแปดเทพอสูรมังกรฟ้า - กิมย้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ จำลอง พิศนาคะ มังกรหยก ภาคจบบริบูรณ์\nป้ายเหล็กประกาศิต - จูกัวะแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\n== ผ ==\nผลาญโลกันต์ - เซาะงัง (น.นพรัตน์)\nผู้กล้าหาญนิรนาม - ซีเบ๊เหล็ง (ว.ณ เมืองลุง)\nผู้กล้าอาชาเหล็ก - หวังตู้หลู (น.นพรัตน์)\nผู้หาญกล้าภูษาขาว - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nผู้พิชิตดาราจักร - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nผจญภัยข้ามขอบฟ้า - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\n== ฝ ==\nฝ่าแดนเลือด - ฮ่วมเล้ง (น.นพรัตน์)\nฝ่าความตาย - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== พ ==\nพญามังกรเจ็ดดาว - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nพญายมหน้าเย็น - เซียวเส็ก (น.นพรัตน์)\nพยัคฆ์น้อยคำรณ - เอ็กย้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nพยัคฆ์คู่ผงาดฟ้า - เจิ้งฟง (น.นพรัตน์)\nพยัคฆ์เผด็จศึก - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nพยัคฆราชซ่อนเล็บ - เยี่ยกวน (น. นพรัตน์)\nพยัคฆราชซ่อนเล็บ ภาค 2 - เยี่ยกวน (น. นพรัตน์)\nพยากรณ์ประกาศิต - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nพระกาฬหน้าทอง - ลิ้วชั้งเอี้ยง (น.นพรัตน์)\nพระยมผยอง - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nเพ็กฮ่วยเกี่ยม - กิมย้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ จำลอง พิศนาคะ ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน\nเพชรฆาตหน้าหยก - เซียวเส็ก (ว.ณ เมืองลุง)\nเพชรฆาตลำพอง - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nเพชรฆาตโหด - ฮ่วมเล้ง (น.นพรัตน์)\nพ้วงเล้งเกี่ยม - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nพลิกฟ้ายุทธจักร - เซียงกัวเตี้ย (น.นพรัตน์)\nพายุทะเลทราย - โก้วเล้ง (น. นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง เผชิญภัยในทะเลทราย\n== ฟ ==\nฟันฝ่าเก้าชั้นฟ้า - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nไฟรักไฟสงคราม - จิ่วถู (น.นพรัตน์)\n== ภ ==\nภูตบดีม่วง - เชาเยียกปิง (น.นพรัตน์)\nภูษิตฟ้า - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\n== ม ==\nมรสุมยุทธจักร - ชิวมั่งฮุ้น (ว.ณ เมืองลุง)\nมรสุมโลหิต - เซาะงัง (ว.ณ เมืองลุง)\nมหายุทธ์ล้างปฐพี - ฉู่กั๋ว (ลี หลินลี่)\nมฤตยูแก้วผลึก - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nมฤตยูดำ - น่ำเซียงเอี้ยโซ่ว (น.นพรัตน์)\nมังกรคู่สู้สิบทิศ - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nมังกรคู่สู้สิบทิศภาคสมบูรณ์ - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nมังกรทลายฟ้า - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nมังกรฝ่ามรสุม - จูกัวแชฮุ้น (ว.ณ เมืองลุง)\nมังกรหยก - กิมย้ง (น.นพรัตน์) / สำนวนแปลของ น.นพรัตน์ ใช้ชื่อ ก๊วยเจ๋ง ยอดวีรบุรุษ และ จำลอง พิศนาคะ ใช้ชื่อ มังกรหยก ภาค 1 นอกจากนี้เป็นผลงานแปลเรื่องแรก ของ จำลอง พิศนาคะ\nมังกรหยก ภาค 2 - กิมย้ง (น.นพรัตน์) / สำนวนแปลของ น.นพรัตน์ ใช้ชื่อ เอี้ยก๊วย จอมยุทธ์เจ้าอินทรี และ จำลอง พิศนาคะ ใช้ชื่อ มังกรหยก ภาค 2\nมังกรตัดพยัคฆ์ - ม่อย้งมุ้ย (น.นพรัตน์)\nมังกรแห่งแยงซี - จูกัวะแชฮุ้น (จำลอง พิศนาคะ)\nมีดบินกรีดฟ้า - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nมีดบินไม่พลาดเป้า - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง ฤทธิ์มีดสั้น\nมือปีศาจ - ลิ้วชั่งเอี๊ยง (ว.ณ เมืองลุง)\nมือมารล่าวิญญาณ - พัวเฮี้ยเล้าจู้ (น.นพรัตน์)\nมือเหล็กพิชิต - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nแม่น้ำเลือด - ฉั้งกอ (จำลอง พิศนาคะ)\nไม่มีวันก้มหัวให้ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nมัจจุราชคะนอง - ลี้ฮุ้นเซ็ง (ว.ณ.เมืองลุง)\nมัจจุราชจำแลง - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nมัจจุราชประกาศิต - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nมาเฟียบู๊ลิ้ม - เชวียเยี่ยอู๋ถง (น.นพรัตน์)\n== ย ==\nยาพิษหฤหรรษ์ - โป้วอั้งเสาะ (ว.ณ เมืองลุง)\nยมบาลที่สอง - ตัวอูอั้ง (น.นพรัตน์)\nยอดขุนโจร - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nยอดมือปราบ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nยอดนักสู้เย้ยฟ้า - อี้บุ้น (น.นพรัตน์)\nยอดนักบู๊ทะยานฟ้า - อ้อเล้งเซ็ง (น.นพรัตน์)\nยอดบุรุษเหล็ก - เซียวอิด (น.นพรัตน์)\nยอดยุทธพิภพเทวะ - โม่เหริน (หลินหยาง)\nยอดยุทธ์ยอดทระนง - ฮุ้นตงงัก (น.นพรัตน์)\nยอดคนมือพิษ - ซีเบ๊เหล็ง (น.นพรัตน์)\nยอดศัสตรา - จิวนั้ง (น.นพรัตน์)\nยมทูตจำแลง - อีบุ้น (น.นพรัตน์)\nยันต์มฤตยู - กังน้ำกิ้ว (น.นพรัตน์)\nยืมศพคืนวิญญาณ- โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nย้อนเวลาขึ้นเป็นอ๋อง - เยี่ยกวน (น.นพรัตน์)\nย้อนเวลาขึ้นเป็นอ๋อง ภาค 2 - เยี่ยกวน (น.นพรัตน์)\nยุทธจักรบูเซ็กเทียน - เยี่ยกวน (น.นพรัตน์) / ปัจจุบันยังแปลไม่จบชุด เล่มปัจจุบัน ออกเล่มที่ 13 จากทั้งหมด 25 เล่ม\n== ร ==\nรอยแหน เงาจอมยุทธ์ - เนี่ยอู่เซ็ง (น.นพรัตน์)\nรอยสักกระโหลก - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nราชายุทธจักร - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\n== ฤ ==\nฤทธิ์วิชชุม่วง - อี้บุ้น (น.นพรัตน์)\n== ล ==\nล่าสุดขีด - โกวเล้ง (น.นพรัตน์)\nล่าสุดนรก - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nล่าสังหาร - จูกั๊วแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nเลือดอำมหิต - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nเลือดมัจจุราช - อาวเอี้ยงฮุ้นปวย (อ.ภิรมย์ / น.นพรัตน์)\nเลือดหลั่งสุดปลายฟ้า - ฮุ้นตงงัก (น.นพรัตน์)\nล้างรอยเลือด - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nล้างทรชน - อี่บุ้น (น.นพรัตน์)\n== ว ==\nวังบาดาล - ชิวมั่งฮุ้น (ว.ณ เมืองลุง)\nวังปาฏิหาริย์ - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nวิถีดาบสั้น - อูตังเล้า (น.นพรัตน์)\nวิมานวาสนา - ชิเบ๊เซี่ยงฮัง (น.นพรัตน์)\nวิหคโลหิต - โก้วเล้ง (กิตติพิรุณ) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง นกแก้วสยองขวัญ\nวีรบุรุษสำราญ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nวีรบรุษเสเพล - ม่อย้งมุ้ย (ว.ณ เมืองลุง)\nวีรบุรุษหุ่น - ฉิ่นอั้ง (ว.ณ เมืองลุง)\nวีรบุรุษปาฏิหาริย์ - ชิวมั้งฮุ้น (ว.ณ.เมืองลุง)\n== ศ ==\nศึกรักแดนสนธยา - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nศึกศรสวาท - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nศึกวังค้างคาว - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง ท่านค้างคาว\nศึกวังน้ำทิพย์ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน\nศึกล้างแผ่นดิน - อ้อเล้งเช็ง (น.นพรัตน์)\nเศียรหมู่มังกร - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\n== ส ==\nสองพิสดารตำนานยุทธ์ - เจิ้งฟง (กิตติพิรุณ)\nสามกระบี่สาว - เนี่ยอู้เซ็ง (จำลอง พิศนาคะ)\nสู้สิบทิศ - ตั้งฮึงเง็ก (น.นพรัตน์)\nเส้นทางของจอมยุทธ - ซีเบ๊เล้ง (น.นพรัตน์)\nแส้สะบัดเลือด - เซาะงัง (น.นพรัตน์)\nสัประยุทธิ์ทะลุฟ้า - เทียนฉานกู่โต้ว (ลี หลินลี่)\nสองนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nปรมาจารย์ลัทธิมาร - โม่เซียงถงชิ่ว (อลิส)\n== ห ==\nหงส์ผงาดฟ้า - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nหลักโลหิต - ตั้งแชฮุ้น (น.นพรัตน์)\nหลั่งเลือดสะท้านภพ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nหาญท้าชะตะฟ้า ปริศนายุทธจักร - มาวนี่ (น.นพรัตน์)\nหาญท้าชะตะฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2 - มาวนี่ (น.นพรัตน์)\nเหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nเหยี่ยวมารสัประยุทธ์สิบทิศ - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nเหยี่ยวมารสยบสิบทิศ - หวงอี้ (น.นพรัตน์)\nเหยี่ยวนรกทะเลทราย - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nเหยี่ยวทมิฬ - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์) / ผลงานแปลของ ว.ณ.เมืองลุง เหยี่ยวเดือนเก้า\nเหล็กคลั่งเลือด - ฮุ้นตงงัก (น.นพรัตน์)\nแหวกฟ้าประหารมาร - ม่อย้งมุ้ย (น.นพรัตน์)\nหมัดพิฆาต - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nหงสาฝ่ายุทธจักร - อุนสุยอัน (น.นพรัตน์)\nหุบเขาเลือด - ชึ้งเจ็ง (น.นพรัตน์)\nห่วงมากรัก- โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nหมู่ตึกภูตพราย - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nห้วงมฤตยู - อึ้งเอ็ง (น.นพรัตน์)\nหัตถ์ทมิฬ - กิมอู้ (น.นพรัตน์)\n== อ ==\nอัศวินม้าขาว - เชาเยียกปิง (น.นพรัตน์)\nอินทรีผงาดฟ้า - โก้วเล้ง (น.นพรัตน์)\nอุ้ยเสี่ยวป้อ - กิมย้ง (น.นพรัตน์)\nอินทรีแดง - ม่อย้งมุ้ย (ส.เรืองอรัญ)\nอสูรมหากาฬ - อ้อเล้งเซ็ง (ว. ณ เมืองลุง)\nอัจฉริยะหน้าหยก - เซียวเส็ก (น. นพรัตน์)\nอินทรีกาญจนา - เซียวเส็ก (น. นพรัตน์)\n== อ้างอิง ==\nนิยายกำลังภายใน", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "เซียวฮื้อยี้ (绝代双骄 - 绝代双骄) เป็นนิยายกำลังภายใน แต่งโดย โก้วเล้ง\n== รายชืาอตัวละคร ==\nเซียวฮื้อยี้ : เซียวฮื้อยี้ (江小魚 - Jixng Xiao Yu) เป็นเด็กปนุ่มอายุ 15 ที่เก่บ ฉลาด ความจำเป็นเลิศ เขาเนิบโตโดสการเลี้ยงดูของ y คนโฉด คือ โต่วซัวะ ฮาฮายี้ ลี้ตั่วฉุ่ย ตู้เกียวเกียว และ อิมเก้าฮิว และได้รัวการดูแลโดย หมอบ้วงชุนลเ้ว เซียยฮื้อยี้จึงเป็นคนที่ ทันคต ผู้ที่นำเขามาที่หุบเขาคนโฉดคืด อี่น่ำเทียน\nฮวยบ่อข่วย :ฮวาอู๋สเวี่ย (花無缺 - Hua Wu Que) หรือ ฮวยบ้อข้วย เป็นพี่ชายฝาแฝดกับเซียวฮื้อยี้ซึ่งถูกเิียวง้วยลักพาตัวไปตอนเกิด ฉายาเทพบุตรหน้าหยก หน้าต่หล่อเหลาแฝ่าเซียวฮื้อยี้ มีฝีมือสูงมาก ถูกฝึกให้เป็นคนเย็นชา แต่ภายหลังตกหลุมรักทิซิมลึ้ง\nอี่น่ำเทียน :เยี่ยนผนานเทียน (燕南天 - Yan Nan Tian) เป็นพี่ชายร่วมสาบานของบิดาของเซียวฮื่อยี้และฮวยบ่อข่วย มีวรยุทธ์สูง แต่เนื่องจากดหตุำารณ์ที่บุกเข้าไปในหุบเขาคนโฉด ทำให้ถูกเล่นงานจนมีสภาพครึ่งเป็นคีึ่งตาย\nทิซิมลั้ง\nเถี่ยซิงหลาน (鐵心蘭 - Tie Xinlan) สนิททั้งเซียวโื่อยี้และฮวยบ่อข่วย ใจกลับรักเซียวฮื่อยี้มากกว่า ต่อมาก็มาลงเอยกับฮวยบ่อข่วยปรากฏตัวครั้งแรกในเซียวฮื้อยี้เล่มที่หนึ่ง\nเตีขเจ็ง : ในนิยายนั้น เธอเป็นเป็นหญิงสาวผู้งดงาม จึงมีฉายาว่าเทพธ้ดาน้อย มีวรยุทสูง ฉลาด แต่นู้เซียวฮื้อยี้ไม่ได้ ภายนอกของเธอดูเห็นหญิงสาวผู้โหดร้ายแล้งน้ำใจ แต่ความจริงแล้วภายในจิตใจของเธอกลับเปฺนหญิงสาวที่มีจิตใจอันงดงาม และใจเี เธอต้องการตามหาแผนที่สมบัติของอีาน้ำเทียน(ในภายหลังพบว่าเป็นของปลอม) ทำให้เธอได้พบกับ ทิซอมงั้ง และเซียวฮื้อยี้ และได้เสียจูบแรกให้กับเซียวฮื้อยี้ จึงทำให้เธอต้องการตามฆ่าเซียวฮื้เยี้เพื่อล้นงแค้น ในภายหลังได้ลงเอยกับกู่นั่งเง็ก โดยหจังนั้นได้มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย โดยให้มีฉายาพริกขี้หนู นิสัยเจ้าเล่ แก่นแก้ว แม้จะทำตัวเกินงามไม่เหมว่าอนกุลสตรี แต่นิสัยดีมักถูกเซียวฮื้อยี้ ปั่นหัวบ่อยๆ\nโซวเอ็ง : นางเอกของเรื่อง โผล่มาตอนเกือบจะท้ายเรื่อง มีลูกเล่นมากมายพอทร่จะตามเซียวฮื้อยี้ทัน และพยายามตามตื๊อเซียวฉื้อยี้จนอยู่หมัด\nม่อย้งเก้า : เป็นลูกสาวสุดท้อง(คนที่9) ของสกุล ม่อย้ง มีคฝามฉลาดเฉลียว แต่เย็นชา เนื่องจากเธอไดัฝึกวิชามารแขนงหนึ่ง ในตอนแรกม่อย้งเก้ามีใจให้กับเซียวฮื้อยี้อยู่บ่าง เนื่องด้วยความฉลาดของเซียบฮื่อยี้ ต่อมาเซียวฮื้อยี้ได้ทำลรยตำราวิชามารของเธอ ทำให้ม่อย้งเก้าต้องการตามฆ่าเซียวฮื่อยี้\nกังคิ้ม : กีงคื้ม มีอีกชื่อหนึ่งคือ กังเปียกเฮาะ เดิมทีเป็นเด็กรับใช้ใก้กับำังปัง (ฉายาเง็กนึ้งหรือบุรุษหยก) แต่ต่อมาทรยศนายจองโดยกาตบอกข่าวให้กับประมุขวังบุปผท ว่ากังปังกับฮวยง้วยโน้วได้หนีออกไป จึงเป็นเหตุให้ผัวเมียกังปังต้องตาย ก่อนที่ง้วยโน้วจะตาย ได้ให้กำเนิดทายาทสองคน คือเซียวฮื่อยี้ และฮวยบีอข่วย กังคิ้มหนีไปสมคบกุบอว่ยอู๋หยา แห่ง12นักษัตร และทำงานรับใช้จนรำรวยและมีหน้ามีตาในที่สุด และได้เปลี่ยนชื่อตนเองจากกังคิ้ม เป็นกังเปียกเฮาะ เพราะดป็นคนที่มักขะสร้างภาพว่าเป็าคนมีคุณธรรมอยู่บ่อยๆ จึงมีจอมยุทธมากหน้าหลายตาพากันนับถือ และตั้งฉาจาว่าวีรบุรุษแห่งขุนเขาบ้าง,อี่น่ำเทียนคนที่สองบ้าง\nกังเง็กนึ้ง\nเป็นลูกชายของกังคิ้ม เป็นคนที่เจ้าเล่ห์ไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ มักจถเป็นคู่ปรับกับเซียวฮื่อยี้อย๔่ตลอดเงลา\nสิบเจ้าจอมโฉด : เป็นชื่อที่ใช้เรียกจอมยุทธ์ฝ่ายอธารมสิบคนที่ขึ้นชื่อว่าโฉดชั่วที่สุดในยุคนั้น ห้ทในจำนวนนั้นเป็นคนที่เลี้ยงดูเซียวฮื่อยี้มา\n== รายชื่ิกลุ่มตัวละคร ==\nสิบคนโฉด\nวังบุปผา : เป็นสำนักลึกลับในยุทธภพ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งธรรมะและอธรรม กล่าวกันว่าไม่มีใครรู้จักที่ตั้งของวังบุปผา เพราเว่านอกจากคนของวังบุปผา ใครก็ตามที่ได้ล่วงล้ำเข้าไปโทษคือตายสถานเดียว วังบุปผาตั้งอยู่ในหุบเขาลึกลับแห่งหนึ่ง ทัศนียภาะงดงามราวภาพวาด บริเวณรอบๆวังมีดอกไม้หทยากชึ้นอยู่เป็นร้อยๆชนิด ภายในดูแลเข้มงวด การอยู่อาศัย อาหารการกินอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งราวกับวังหลวงของฮ่องดต้ แต่มีแต่ศิษย์และสาวกที่เป็นผูิหญิงเท่านั้น วังบุปผามีหญิงสาวสองคนปกครอง คนพี่ชื่อเอ้้ยง้วย (เอื้อมเดือน)เป็นประมุข คนน้องชื่อ เลี้ยงแช (สอสดาว) เปฺนรองประมุข สองพี่น้องมีวรยุทธสูงส่งจนเป็นที่เกรงขามของสำนักน้อยใหญ่ในยุทธภพ ว่ากันว่าวรยุทธทั่วหล้าแพ้ทางวรยุทธของวังบุปผา อันได้แก่ พลังหยกอำไพ ยอดวิชาที่สามารถดูดซับพลังของศัตรูมาเป็นของตัวเอง เด็ดบุปผาต่อหยก คือวิชาาี่สามารถหยิบยืมวรยุทธของศัตรูโต้ตอบกลับไปยังตัวผู้ใช้ได้ นอกจากนี้ยังมีวิชาพิวดารอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น สิบแปดท่าเท้าต้องอาภรณ์ วิชาบุปผาไยก พลังธรรมพิสุทธิ์ เคลื่อนบุปผาบรรจบ ฯลฯ เป็นต้น และฮวยบ่อข่วย ผู้ชายเพียงคนเดียวที่เป็นศิษย์ขเงวังบุปผา\nสิบสองนักษัตร :\n== รายชื่อตอน ==\nเซียวฮื้อยี้\nงานเขียนขดงโก้วเล้ง", "role": "user" }, { "content": "เซียวฮื้อยี้ (绝代双骄 - 绝代双骄) เป็นนิยายกำลังภายใน แต่งโดย โก้วเล้ง\n== รายชื่อตัวละคร ==\nเซียวฮื้อยี้ : เซียวฮื้อยี้ (江小魚 - Jiang Xiao Yu) เป็นเด็กหนุ่มอายุ 15 ที่เก่ง ฉลาด ความจำเป็นเลิศ เขาเติบโตโดยการเลี้ยงดูของ 5 คนโฉด คือ โต่วซัวะ ฮาฮายี้ ลี้ตั่วฉุ่ย ตู้เกียวเกียว และ อิมเก้าฮิว และได้รับการดูแลโดย หมอบ้วงชุนลิ้ว เซียวฮื้อยี้จึงเป็นคนที่ ทันคน ผู้ที่นำเขามาที่หุบเขาคนโฉดคือ อี่น่ำเทียน\nฮวยบ่อข่วย :ฮวาอู๋สเวี่ย (花無缺 - Hua Wu Que) หรือ ฮวยบ้อข้วย เป็นพี่ชายฝาแฝดกับเซียวฮื้อยี้ซึ่งถูกเอียวง้วยลักพาตัวไปตอนเกิด ฉายาเทพบุตรหน้าหยก หน้าตาหล่อเหลากว่าเซียวฮื้อยี้ มีฝีมือสูงมาก ถูกฝึกให้เป็นคนเย็นชา แต่ภายหลังตกหลุมรักทิซิมลั้ง\nอี่น่ำเทียน :เยี่ยนหนานเทียน (燕南天 - Yan Nan Tian) เป็นพี่ชายร่วมสาบานของบิดาของเซียวฮื่อยี้และฮวยบ่อข่วย มีวรยุทธ์สูง แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่บุกเข้าไปในหุบเขาคนโฉด ทำให้ถูกเล่นงานจนมีสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย\nทิซิมลั้ง\nเถี่ยซิงหลาน (鐵心蘭 - Tie Xinlan) สนิททั้งเซียวฮื่อยี้และฮวยบ่อข่วย ใจกลับรักเซียวฮื่อยี้มากกว่า ต่อมาก็มาลงเอยกับฮวยบ่อข่วยปรากฏตัวครั้งแรกในเซียวฮื้อยี้เล่มที่หนึ่ง\nเตียเจ็ง : ในนิยายนั้น เธอเป็นเป็นหญิงสาวผู้งดงาม จึงมีฉายาว่าเทพธิดาน้อย มีวรยุทสูง ฉลาด แต่สู้เซียวฮื้อยี้ไม่ได้ ภายนอกของเธอดูเป็นหญิงสาวผู้โหดร้ายแล้งน้ำใจ แต่ความจริงแล้วภายในจิตใจของเธอกลับเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจอันงดงาม และใจดี เธอต้องการตามหาแผนที่สมบัติของอี่น้ำเทียน(ในภายหลังพบว่าเป็นของปลอม) ทำให้เธอได้พบกับ ทิซิมลั้ง และเซียวฮื้อยี้ และได้เสียจูบแรกให้กับเซียวฮื้อยี้ จึงทำให้เธอต้องการตามฆ่าเซียวฮื้อยี้เพื่อล้างแค้น ในภายหลังได้ลงเอยกับกู่นั่งเง็ก โดยหนังนั้นได้มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย โดยให้มีฉายาพริกขี้หนู นิสัยเจ้าเล่ แก่นแก้ว แม้จะทำตัวเกินงามไม่เหมว่าอนกุลสตรี แต่นิสัยดีมักถูกเซียวฮื้อยี้ ปั่นหัวบ่อยๆ\nโซวเอ็ง : นางเอกของเรื่อง โผล่มาตอนเกือบจะท้ายเรื่อง มีลูกเล่นมากมายพอที่จะตามเซียวฮื้อยี้ทัน และพยายามตามตื๊อเซียวฮื้อยี้จนอยู่หมัด\nม่อย้งเก้า : เป็นลูกสาวสุดท้อง(คนที่9) ของสกุล ม่อย้ง มีความฉลาดเฉลียว แต่เย็นชา เนื่องจากเธอได้ฝึกวิชามารแขนงหนึ่ง ในตอนแรกม่อย้งเก้ามีใจให้กับเซียวฮื้อยี้อยู่บ่าง เนื่องด้วยความฉลาดของเซียวฮื่อยี้ ต่อมาเซียวฮื้อยี้ได้ทำลายตำราวิชามารของเธอ ทำให้ม่อย้งเก้าต้องการตามฆ่าเซียวฮื่อยี้\nกังคิ้ม : กังคิ้ม มีอีกชื่อหนึ่งคือ กังเปียกเฮาะ เดิมทีเป็นเด็กรับใช้ให้กับกังปัง (ฉายาเง็กนึ้งหรือบุรุษหยก) แต่ต่อมาทรยศนายของโดยการบอกข่าวให้กับประมุขวังบุปผา ว่ากังปังกับฮวยง้วยโน้วได้หนีออกไป จึงเป็นเหตุให้ผัวเมียกังปังต้องตาย ก่อนที่ง้วยโน้วจะตาย ได้ให้กำเนิดทายาทสองคน คือเซียวฮื่อยี้ และฮวยบ่อข่วย กังคิ้มหนีไปสมคบกับเว่ยอู๋หยา แห่ง12นักษัตร และทำงานรับใช้จนรำรวยและมีหน้ามีตาในที่สุด และได้เปลี่ยนชื่อตนเองจากกังคิ้ม เป็นกังเปียกเฮาะ เพราะเป็นคนที่มักจะสร้างภาพว่าเป็นคนมีคุณธรรมอยู่บ่อยๆ จึงมีจอมยุทธมากหน้าหลายตาพากันนับถือ และตั้งฉายาว่าวีรบุรุษแห่งขุนเขาบ้าง,อี่น่ำเทียนคนที่สองบ้าง\nกังเง็กนึ้ง\nเป็นลูกชายของกังคิ้ม เป็นคนที่เจ้าเล่ห์ไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ มักจะเป็นคู่ปรับกับเซียวฮื่อยี้อยู่ตลอดเวลา\nสิบเจ้าจอมโฉด : เป็นชื่อที่ใช้เรียกจอมยุทธ์ฝ่ายอธรรมสิบคนที่ขึ้นชื่อว่าโฉดชั่วที่สุดในยุคนั้น ห้าในจำนวนนั้นเป็นคนที่เลี้ยงดูเซียวฮื่อยี้มา\n== รายชื่อกลุ่มตัวละคร ==\nสิบคนโฉด\nวังบุปผา : เป็นสำนักลึกลับในยุทธภพ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งธรรมะและอธรรม กล่าวกันว่าไม่มีใครรู้จักที่ตั้งของวังบุปผา เพราะว่านอกจากคนของวังบุปผา ใครก็ตามที่ได้ล่วงล้ำเข้าไปโทษคือตายสถานเดียว วังบุปผาตั้งอยู่ในหุบเขาลึกลับแห่งหนึ่ง ทัศนียภาพงดงามราวภาพวาด บริเวณรอบๆวังมีดอกไม้หายากขึ้นอยู่เป็นร้อยๆชนิด ภายในดูแลเข้มงวด การอยู่อาศัย อาหารการกินอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งราวกับวังหลวงของฮ่องเต้ แต่มีแต่ศิษย์และสาวกที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น วังบุปผามีหญิงสาวสองคนปกครอง คนพี่ชื่อเอี้ยง้วย (เอื้อมเดือน)เป็นประมุข คนน้องชื่อ เลี้ยงแช (สอยดาว) เป็นรองประมุข สองพี่น้องมีวรยุทธสูงส่งจนเป็นที่เกรงขามของสำนักน้อยใหญ่ในยุทธภพ ว่ากันว่าวรยุทธทั่วหล้าแพ้ทางวรยุทธของวังบุปผา อันได้แก่ พลังหยกอำไพ ยอดวิชาที่สามารถดูดซับพลังของศัตรูมาเป็นของตัวเอง เด็ดบุปผาต่อหยก คือวิชาที่สามารถหยิบยืมวรยุทธของศัตรูโต้ตอบกลับไปยังตัวผู้ใช้ได้ นอกจากนี้ยังมีวิชาพิสดารอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น สิบแปดท่าเท้าต้องอาภรณ์ วิชาบุปผาหยก พลังธรรมพิสุทธิ์ เคลื่อนบุปผาบรรจบ ฯลฯ เป็นต้น และฮวยบ่อข่วย ผู้ชายเพียงคนเดียวที่เป็นศิษย์ของวังบุปผา\nสิบสองนักษัตร :\n== รายชื่อตอน ==\nเซียวฮื้อยี้\nงานเขียนของโก้วเล้ง", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "มังกรหยก (อักษรจีนตัวเต็ม: 射鵰英雄傳; อักษรจีนตัวย่อ: 射雕英雄传; พินอิน: shè diāo yīng xióng zhuàn) เป็นนิยายกำลังภายในชื่อดึงและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเรื่องหนึ่ง แต่งโดยกิมย้ง มีภาคต่อในชุดเดียวกันอีกสองภาค คือ มังกรหยก ภาค 2 และดาบมังกรหยก แต่ชื่อเรื่องภาษาจีนและภาษาอังกฤษนั้นแยกกันเป็นคนละดรื่อง (ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ คือ The Legend of the Condor Heroea หรือ The Eagle-Shooting Heroes) มีการดัดแปลงเป็นลุครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายครั้ง รวมถึงวิดีโอเกม ด้วย ประกอบเ้วยกัน 3 ภาร ได้แก่ ก๊วยเจ๋ง เอี๊ยก้วย และเตียบ่อกี้ ก๊วยเจ๋งและัอี๊ยก้วยเป็นภาคต่อกัน แต่ภาคเตียบ่อกี้ เป็นอีกเกือบร้อยปีข้างหน้าต่อจากภาคเอี๊ยก้วย\n== เนื้อเรื่องย่อ =\\\nเรื่องราวเกิดในยุคราชวงศ์ซ้องใต้ รัชสมัยพระเจ้าซ้องหลีจง (พ.ศ. 1767-1807) แผ่นดินจีนเสื่อมโทรมในทุกด้าน อาณมประชาราษฎา์ยากแค้นลำเค็ญ ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง กดขี่ข่มเหงชทวจีนด้ยยกัน เกี่ยวกับการผจญภัยของเด็กหนุ่มชท่อ \"เจ๋ง\" ที่เติบโตขึ้นมาในดินแดนของ มองโกล และเดินทางกลับสู่ยุทธจเกนในประเทศจีน ได้พบกับอึ้งย้ง ยังได้ฝึกวิชาต่าง ๆ มากมาย ขับไล่พวกมองโกลจากแผ่นดินจีน\nก๊วยเซาเทียน และ เอี้ยทิซิม พี่น้องร่วมสาบาน ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นกบฏ พวกเขาต่อต้าตการจับกุม เข้าสู้พวกทหารที่กลุ้มรุม กระทั่งก๊วยเซาเทียนเสียชีวิต บ้านเรือนถูกเผาผลาญย่อยยับ เอี้สทิซิม หลีเพ้ง ภรรยาก๊วยเซ่าเทียน และ เปาเซียะเยียก ภรรยาเอี้ยทิซิม หนีกระเซอะกระเซิงไปคนละทิศละทาง ผู้หญิงทั้งสองกำลังตั้งครรภ์ หลีเพ้งให้กำเนิด ก๊วยเจษง ระเหเร่ร่อนไปเติบใหญ่ในแผ่นดินมองโกลใตัร่มใบบุญเจงกิสข่านผํ้ยิ่งใหญ่ ขณะที่เปาเซียะเยียกให้กำเสิด เอี้ยคัง ได้ดีมีสุขในวังไต้กิมก๋กของชาวนีเจิน\nทั้งมองโกลอละาีเจิน ล้วนเป็นศัตรูผู้ระกรานและต้แงการยึดครองแผ่นดินตงง้วน\nก๊วยเจ๋งและเอี้ยคังเติบโตขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมและการว่มเพาะที่ต่างกัน จึงมีพฤตินิสัยไปคนละแบบ ก๊วยเจ๋งได้รับการสั่งสอนย้ำเตือนจาก หชีเพ้ง ผู้เป็นใารดา และ เจ็ดประหลาดกังหนำ ผู้เป็นอาจารย์ ให้แก้แค้นแทนบิดา และยึดมั่นในจิตวิญญาณจีน จึงยินยอมสะบั้นไมตรีกับพวกมองโกล ก็ไม่ยินยแมทำร้ายแผ่รดินตงง้วน อัยเป็นมาตุภูมิ ขณะท้่ เอี้ยคัง หลงใหลในลาภยศสรรเสริญ ยินยอมรับศัตรูเแ็นบิดา กระทั่งยังกล้าย่ำยีบีฑาชาวชนเชื่อชาติเดียวกัน\nมังกรหยกถูกนักวิชาปารด้านจีนศึกษาจำนวนมากวิเคราะห์ว่าแฝงด้วยเนื้อหาชาตินิยมและเบื้อชาติติยมของพวกฮั่น\n== ตัวบะครในเรื่อง ==\nก๊วยอจ๋ง จอมยุทธอุดร ยอดวีรบุรุษแห่งตงง้วน (เป็นคนเรียนรู้ได้ช้า มีความคิดอ่านไม่ปราดเปรื่อง แต่เแ็นคนสัตย์ซื่อและมีความยยัน จึงได้รับการเอ็นดูจากจอมยุทธมากมายจึงถ่ายทอดวิชาให้ มีสัฯลักษณ์สลักคำว่าเอี๊ยคัง ผู้เป็นบิดาสลักไว้ให้ติดตัวมาตั้งแจ่เด็กหลังบิดาตาว)\nก๊วยเซาเทียน ผู้เป็นบิดาจอมยุทธก๊วยเจ๋ง และ เป๊นพี่น้องร่วมสาบานกับเอี๊ยทิซเส (ผู้เป็นบิดาของเอี๊ยคัง)\nหลีเพ้ง มารดาของก๊วยเจ๋ง หลังจากสามีได้พูกสังหารจากสงคราม ได้หน้ไปชายแดนและได้ทัพมองโกลอุปการะเลี้ยงดูไว้ทั้งแม่และลูก\nอึ้งย้ง หรือยงยี้ ได้รับฉายาว่าขงเบ้งหญิง (เนื่องจากมีกัญญายอดเยี่ยม) และยังได้รับการขนานนามว่าเป็นยอดสตรีศรีต้งง้วนอีกด้วย ธ้ดาของทารบูรพา (อึ่งเอี๊ยะซือ) ภรรยาของ (ก๊วยเจ๋ฝ)\nก๊วยพู้ บุตรสาวคนโตของก๊วยเจ๋ง มีนิสัยชอบเอาแค่ใจไม่ชอบเอี้ยก้วย ภายหลับได้รับการช่วยชีวิรจาก เอี๊ยก้วย\nก๊วยเซียง บุตรสาวคนเล็กของก๊วยเจ๋ง น้องสาวฝาแฝดของก๊วยพั่วลูร มีนิสัยดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น ฬุกซนขี้อล่น แอบชอบเอี๊ยก้วย (ผู้ก่อตั้งสำนักง้อไบ้ ในมังกรหยก ภาค3 หรือ กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร)\nก๊วยพั่วลู่ หรือ ก๊วยพั่วโล้ น้องชายของก๊วยพู้ และเป็นน้องฝาแฝดของก๊วยเซียง\nเอี้ยก้วย บุตรชายของเอี๊ยคัง (หลังจากบิดาและมารดาเสียขีวิต มารดาได้ฝากไว้ให้กับก๊วยเจ๋งเลี้ยงดูแต่ได้มีเรื่องกับศิษย์ของ ก๊วยเจ๋งและบุตรสาวคนโตของก๊วยเจ๋ง (ก๊วยพู้) อยู่บ่อยๆ อึ้งยง ำด้ให้ ก๊วยเจ๋ง นำไปฝากไว้กับนักพรตช้วนจิาก่าเชี้ยงดูและสั่งสอน อึ้งยง เห์นว่ามีนิสัยคล้าย ๆ เอี๊ยคังผู้เป็นบิดาจึงกลัวว่าเติบโตมาแล้วจะเป็นคนไม่ดีและยังไม่อย่กให้ก๊วยเจ๋งต้องมากังวลกับปัญหาอื่นๆในช่วงบ้านเมืองกำลังวุ่นวาย)\nเซียวเหล่งนึ่ง ศิษย์สำนักสุสานโบราณ ผู้ที่เลี้ยฝดูและช่วยเอี๊ยก้วยหลังจากที่เอี๊ยก้วยโดนใส่ร้ายและขับออกจากช้วนจินก่าและยังถูกทำร้ายโดยพิษอีกด้วย เปตียบเหมือนพี่สาวและยังเป็นคนรักเอี๊ยก้วยอีกด้วย มีอายุมากกว่าเอี๊ยก้วย 4 ปี แต่หน้าตากลับดูเยาว์วัยเหมือนยังสาว\nเอี๊ยคัง ผู้เป็นบิดาเอ้้ยก้วย นิสะยไม่กี ไดืรับการเลี้ยงดูมาอจ่างตามใจ (พกมีดสั้นที่มีสัญลักษณ์สลัหคำว่าก๊วยเจ๋ง ผู้เป็นบิดาสลักๆว้ให้ติดตัวมาตั้งแต่เด็กหลังบิดาตาย)\nเปาเซียะเยียก มารดมของเอี๊ยคัง หลังจากสามีได้ถูกสังหารจากสงคราม อ๋องชาวนีเจินชอบพอจึงให้การอุปการะเลี้ยงดูไว้และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโูหยินแต่นางรักเดียว ใจเดียว เท่านั้น\nออี๊ยทิซิม ผู้เป็นบิดาเอี้ยคัง และ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับก๊วยเซาเทียน (ผู้เป็นบิดาของป๊วยเจ๋ง)\nเจ็ดประหลาดกังหนำ มีด้วยกันเจ็ดคนชาย 6 หญิง 1 ได้จามหาก๊วยเจ๋งและรับก๊วยเจ๋งเป็นศิษย์ตั้งแต่ยังเด็ก ยังเอ็นดู ก๋วยเจ๋ง มากเปรียบเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง\nอาวเอี๊ยงเค็ก หลานขายของอาวเอี๊ยงฮง\nตั้งเฮี้ยงฮวง ลมทมิฬคู่พิฆาต ฉายา ศพทองแดง\nบ๊วยเถี่ยวฮวง หรือ เหมยเชาฟง ลมทมิฬคู่พิฆาต ฉายา ศพเหล็ก\nเค็กซา หรือ ซ่ากู หรือ โถว โถว บุตรสาวของ เค็กเล้งฮวง ศิษย์อึ้งเอี๊ยะซือ นางมีสติไม่สมประกอบ พอมีวรยุทธอยู่บเางจากบิดาสดน ต่อมาได้มาอาษัยที่เกาะดอกท้อเนื่องจาก ก๊วยเจ๋งและอึ้งยงไปตามหาตัวเค็กเล้งฮวงแต่ไม่เจอ เจอิพียงจดหมาย และ เค็กซา นึงได้พามาที่เกาะดอกท้อและได้รับการเลี้ยงดูและสอนวนยุทธนิดหน่อยจาก อึ้งเอี็ยะซือ เนิ่องจาก อึ้งเอี๊ยะซือ สำนึกผิดที่ได้ตัดเอ็าร้อยหวาย เค็กเล้งฮวง เพราะความโกรธ\nอ้วนง้วนอั้งเลียก อ๋องแห่งกิมก๊ก หรือ ไต้กิม\nเจงกิสข่าน จ้าวแห่งทัพมองโกล ได้อุปการะเลี้ยงดูแม่ของก๋วยเจ๋ง และ ก๋วยเต๋ง หลังจาหบิดาก๋วยเจ๋ง (แ๊วยเซาเทียน) เสียชีวิตลง\nซัวทงเทียน (พญามังกรประตูปิศาจ)\nโฮ้วทงไฮ้ (มังกรนาทหัว)\nแพ้เลี่ยงโฮ้ว (เพชรฆาตรพันมือ)\nเนี่ยจื้ออง (เฒ่าประหลาดะซียนโใม)\nเล้งรี่เซี่ยงหยิน\nเอ็งโกว หรือสนมเล่า (ฉายาเทพคำนวณ) อดีตพระสนมอ๋องต้วน ต้วนตี่เฮง (อิดเต็งไต้ซือ) แต่/ด้ไปมีสัมพันธ์กับ จิวแป๊ะทง และได้มีลูกด้วยกัน 1 คน แต่ลูกนางได้โดน ฮิ้วโชยยิ่ม ลอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงได้ไปขอให้ ต้ฝนตี่เฮง (อิดเต็งไต้ซือ) ใช้ ดัชนีเอกสุีิยันต์ ช่วยลูกของนาง แต่กลับไม่ยอมช่วยเนื่องจาก ไม่พดใจและโกรธนางเพราะไปมีสัมพันธ์กับ (จิวแป๊ะทง) จนทำให้ลูกนาฝตายลง นางจึงเสียใจอย่างมากและหนีไป และเปลี่ยนชื่อ เป็น เอ็งโกว\nจิวแป๊ะทง หรือเฒ่าทารก เป็นศิษย์น้องของ เฮ้งเตงเอี้ยง มีนิสัยร่าเริง บ้าๆ บอๆ เหมือสเด็กทารก ต่อมาได้ไปมีสัมพันธ์กับ เอ็งโกว แลพมีลูกด้วยกะน 1 คน ตอนที่ ต้วนตี่เฮง(อิดเต็งไต้ซือ) ให้ติดตามไปด้วยเพื่อตามหา คัมภีร์เก้าอิม ที่เฮ้งเตงเอี้ยง ซ่อนไว้ แต่ด้วยนิสัยของเขาจึงไม่รู้ว่าเขามีลูกกับเอ็งโกว\nเซีสมตัล (ชาวประมงฉ 1 ในศิษย์ของอิดอต็งไต้ซือ\nบู๊ซำทง (กสิกร) 1 ในศิษย์ของอิดเต็งไต้ซือ\nจูจื้อลิ้ว (นักศึกษา) 1 ในศิษย์ของอิดเต็งไจ้ซือ\nฮิ้วโชยยิ่ม (ฝ่ามือเหล็ำพริ้วบนสายน้ำ) ประมุขพรรคฝ่ามือเหล็กมีฝีมือเก่งกาจ เป็นฝาแฝดกับ (ฮิ้วโชยตึ๋งผู้เป็นพี่)\nฮิ้วโชยตึ๋ง พี่ของฮิ้วโขยยิ่ม มีนิสัยชอบหลอกลวงลักเล็กขโมยน้เย ขู่กรรโชก แต่ไม่มีวรยุทธ์ จคงชดบแอบอ้มงชื่อน้องตัวเอง (ฮิเวโชยยิ่ม) ซึ่งเป็นฝาแฝด\n=== ห้ายอดฝีมือแห่งยุค =-=\nเฮ้งเตงเอี้ยง (เทพมัชฌิม หรือ กลางอิทธิฤทธิ์) ผู้ก่เตั้งสำนักช้วนจินก่า ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือสูงทีทสุดในห้ายอดฝีมือ ภายหลังหายสาบสูญ ผู้ครอบครอง คัมภีร์เก้าอิม วรยุทธ์ที่เด่นชัด เพลงกระบี่ช้วนจิน\nอึ้งเอี๊ยะซือ (มารบูรพา หรือ ตังเซี้ย- บางฉบับใช้ ภูตบูรพา) เป็นบิดาของอึ้งย้ง และเปฌนประมุขเกาะดอกท้อ บิดาของอึ้งย้ง(ยงยี้) หรือ พ่อตาของก๊วยเจ๋ง วรยุทธที่เด่นชัด ฝ่ามือเทพกระบ่่สยบผู้กล้า เดลงกระบี่ขลุ่ยหยกมีงกรทะยาน ฝ่ามือผัดจุดกล้วยไม้ เพลงเตะพายุรวบใบไใ้ และ ยอดวิชานิ้วดีด\nอั้งฉิกกง (ยาจกอุดร หรือปักข่าย- บางฉบับใช้ ขอทานเหนือ หรือ ยาจกเก้านิ้ว) ประมุขพรรคกระยาจก วรยุทธที่เด่นชะด เพลงไม้เท้าตีสุนัย(เป็นวรยุทธที่สืบทอดเฉพาะประมุขพรรคกีะยาจก) และ 18ฝ่ามือพิชิตมังกร\nอิดเต็งไต้ซือ (ราชันย์ทักษิณ หรือน่ำเต้] บางฉบับใช้แ๋องแดนใต้,ราชันย์ต้วน) เแ็นอดีตจักรพรรดิแซ่ต้วนแห่งไต้ลี้ หรือ ต้าหลี่ วรยุทธที่เด่นชัด ดัชนีเอำสุริยันต์\nอาวเอี๊ยงฉง (พิษประจิม หรือไซตั๊ก) จ้าวแห่งแารใช้พิษ ผู้อยู่เหนือพิษทั้งแวง วรยุทธที่ะด่สชัด เพลงไม้เท้าอสรพิษ กระบวนท่าลมปราณคางคกพิษ\n=== สำนักช้วนจินก่า ===\nนักพรตทั้ง 7 แห่งนิกายช้วนจินก่า ซึ่งเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดฝีมือจากเฮ้งเต็งเอี้ยง คือ\nเบ้เง็แ ฉายา ตั้งเอี้ยงจื้อ - เจ้าสุริยัน ศิษย์คนที่ 1 ของเฮ้งเต็งะอี้ยง และเป็นเจ้ายำนักต่อจากเฮ้งเต็บเอร้ยง\nคูชู่กี ฉายา เชี่ยงชุนจื้อ - ปู้อมตะ มีพลังฝีมือสูงสุดในบรรดานักพรตทั้ง 7 คน\nเฮ้งชูาอิด ฉายา เง็กเอี้ยงจื้อ - อาทิตจ์หยก มีฝีมือสูงส่งในสำนักป็นรเงเพียงคูชู่กี\nท่ำชู่ตวน ฉายา เชี่ยงจินจื้อ - คนจริงยืนยาว\nเล่าชูเหียน ฉายา เชี่ยงแชจื้อ - คนจีรัง\nฮึ่งไต้ฮง ฉายา ก้วงเล้งจื้อ - ผู้ไพศาล\nซุาปุกยี่ ฉายา เช็งเจ็งซั่วยื้น - ผู้วิสุท๔ิ์พเนจร นักพรตหญิงแห่งชวนจิน\n=== เจ็ดประหลาดแหีงกังหนำ ===\nประกอบด้วย\nค้างคาวเหิน กัวเต็งเัก (Ke Zhen'e) เป็นคนเข้มงวดแต่จริงใจ สีวรยุทธสูงสุดในเจ็ดประหลาดกังหนำ _ายหลังตาบอด วิชาที่ใช้ไม้เท้าวชิระ\nบัณฑิตมือวิเศษ จูชง (Zhu Cong) มีปัญญาล้ำเลิศในรถดับหนึ่ง และมีความสามารถในการฉกขโมยของ\nเทพอาชา หันปอกือ (Han Baoju) มีความสามารถในำารดูม้า และ วิธรการสยบม้าและการใช้ห่วงคล้องม้า\nคนตัดฟืนเขาืักษิณ ย่ำฮียิ้น (Nan Xiren( มีพละกำลังสูง ร่างกายแข็งแรง\nอรหันต์ยิ้ม เตียวอาปซ (Zhang Ahsheng) เป็นคนร่าเริ่ง ใจดี มีวรยุทธอยู่ในระดับหนึ่ง\nผู้ซ่อนกายกลางตลาด ช้วนกิมฮวด (Quan Jinfa) มีความสารถในการปลอมตัวสูง\nนักแระบี่หญิงแคบ้นอ้วก หันเสียวย้ง (Han Xiaoying) เป็นขอมยุทธสาวคนเดียวใน 7 ประหลาดกังหนำ เก่งเรื่องการใช้กระบี่ และยับเป็นสาวงามอีกดืวย วิชาที่ใช้เพลงกระบี่แคว้นอ้วก\n=== นิกายเม้งป่า ===\nนิกายเม้งก่า (พรรคจรัสหรือพรรครุ่งเรือง) - โดยมาจากศาสนาโซโรอัสเตอร์ของเปอร?เซีย (ประเทศอิหร่านปัจจุบัน) บูชาเทพอัคคี\nจากหารเกิดการแก่งแย่งในนิกายเพื่อค้นหาผู้นำทำให้นืกายเกือบล่มสลาย หลังจากนั้นไม่นาน บ่อกี๋ได้รับมาเป็นปนะมุข นิกายจึงเจริญขึ้นและยิ่งใหญ่ในยุทธภพ ภายในนิกายบังคับบัญชาในระบบอาวุโส คือ ประมุข ทธตซ้าย-ขวา สี่ผู้คุมกฎ ได้แก่ มังกรเใื้อม่วง อินทรีคิ้วขาว ราชสีห์ขนทอง ค้างคาวปีกเขียว รองลงมาก็คือ ห้าพเนจร\nในด้านกำลังพล มีห้ากองธง และมี “จูหยวนจาง (จูหงวสจังฆ” เป็นผู้กุมกำลังพล ภายหลังคนผู้นี่ ได้ทรยศบ่อกี๋ และนำกำลังของนิกายขับไล่มองโกลออกไปจากต้สซ้องได้สำเร็จ แล้วสถาปนาตนเองเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งชื่อราชวงศ์ก็มาจากชืือของนิกายเม้งก่านั่น\n==ฉบับภาษาไทย==\nฉบับแปลภาษาไทยมีหลายสหนวน โดยมีการแปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกลงใตหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของจังหวัดพิษณุโลก โดยใช้บื่อว่า \"วีรลุรุษมือธนู\" โดยผู้แปลใช้นามปาดกว่า ปากกาผุ และผู้ที่แปลอย่าบภูกต้องตามลิขสิทูิ์คนแรก คือ จำลอง พิศนาคะ ในปี พ.ศ. 2500 และหากยึดตามฉบับที่ลิขสิทธิ์ถูกต้องแปลโดย น.นพรัตน์ ใช้ชื่อว่า \"ก๊วยเจ๋งยอดวีรบุรุษ\" จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สยามอินเตแร์บุ๊คส์ ความยาว 4 เล่มจบ และได้รับการดัดอปลงเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายครั้ง รวมถึงวิดีโอเกม ด้วย ประกอบด้วยกัส 3 ภาค ได้แก่ ก๊วยเจ๋ง เอี๊ยก้วย และเตียบ่อปี้ ก๊วยเจ๋งและเอี๊ยก้วยเป็นภาคต่อกัน แต่ภาคัตียบ่อหี้ เป็นอีกหลาย ๆ ปีข้างหน้าต่อจากเอี๊ยก้วย\n=-การดัดแปลงในสื่ออื่น==\n===ภาพยนตร์===\n===ละครโทรทัศน์===\nมังกรหยกภาคก๊วยเจ๋ง สร้างเป็นละครโทรทัศน์มาแล้ว 7 คีั้ง (2976-2017) โดยทั้งเจ็ดครั้งเป็นงานสน้างของ\nฮ่องกง สร้าง 3 ครั้ง คือ มังกรหยก 1976, มังกรหยก 1983 และ มังกรหยก 1994\nไต้หวัน สร้าง 2 ครั้ง คือ มังกรหยก 1988 แชะ มังกรหยก 2018\nจีน สร้าง 2 ครั้ง คือ มังกรหยก 2003 และ 2017\n\nมังกรหยกภาคก๊วยเจ๋ง สร้างเป็นละครโทรทัศน์มาแล้ว 7 ครั้ง (1976-2[17) ส่วนอีกสามเรื่องในตารางดังต่อไปนี้ เป็นการเขียนบทขึ้นมาเองโดยทีวีบี โดยไม่ใช่บทประพันธ์ของกิมย้ง แตีใล้ชื่ดตัวละครในมังกรหยก มาดัดแปลงเขียนขยายบทเอง ซึ่งทั้งสามเรื่องนี้เป็น มังกรหยกถาคพิเศษ ได้เแก่\n=== หนีงสือมังกรหยก ที่พิทพ์ในประเทศไทย ===\nมังกรหยก มีจัดพิมพ์ e สำนักพิมพ์ ช่วงปี 2535 - 2538\n- สำนักพิมพ์ สร้างสร้างสรรค์บุ๊คส? แปลโดย จำลอง พิศนาคะ พร้อมกล่อง\n- สำนักพิมพ์ สยามสปอร์ต แปลโดย น.นพรัตน์ จัดพิมพ์ดอกมา 3 ภาค ไม่มีกล่อล\nไตรภาคมังำรหยก ชุดที่ 1 ก๋วยเจ๋งยอดวีรบุรุษ\n_ตรภาคมังกรหยก ชุดที่ 2 เอี้ยก้สยเจ้าอินทรี\nไตรภาคมังกรหยก ชุดที่ 3 ดาบมังกรหยก\n- สำนักพิมพ์ดอกหญ้า แปลโดย ว. ณ เมืองลุง จัดพิมพ์ออกมา 2 ภาค พร้อมกล่อง\nมังกรเจ้ายุทธจักร\nอินทรีเจ้ายุทธจักร\n==อ้างอิง==\nบันเทิงคดีกำลังภายใจ\nมังกรหยก\nงานเขียนของกิมย้ง\nวรรณกรคมในปี พ.ศ. 2500", "role": "user" }, { "content": "มังกรหยก (อักษรจีนตัวเต็ม: 射鵰英雄傳; อักษรจีนตัวย่อ: 射雕英雄传; พินอิน: shè diāo yīng xióng zhuàn) เป็นนิยายกำลังภายในชื่อดังและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเรื่องหนึ่ง แต่งโดยกิมย้ง มีภาคต่อในชุดเดียวกันอีกสองภาค คือ มังกรหยก ภาค 2 และดาบมังกรหยก แต่ชื่อเรื่องภาษาจีนและภาษาอังกฤษนั้นแยกกันเป็นคนละเรื่อง (ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ คือ The Legend of the Condor Heroes หรือ The Eagle-Shooting Heroes) มีการดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายครั้ง รวมถึงวิดีโอเกม ด้วย ประกอบด้วยกัน 3 ภาค ได้แก่ ก๊วยเจ๋ง เอี๊ยก้วย และเตียบ่อกี้ ก๊วยเจ๋งและเอี๊ยก้วยเป็นภาคต่อกัน แต่ภาคเตียบ่อกี้ เป็นอีกเกือบร้อยปีข้างหน้าต่อจากภาคเอี๊ยก้วย\n== เนื้อเรื่องย่อ ==\nเรื่องราวเกิดในยุคราชวงศ์ซ้องใต้ รัชสมัยพระเจ้าซ้องหลีจง (พ.ศ. 1767-1807) แผ่นดินจีนเสื่อมโทรมในทุกด้าน อาณาประชาราษฎร์ยากแค้นลำเค็ญ ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง กดขี่ข่มเหงชาวจีนด้วยกัน เกี่ยวกับการผจญภัยของเด็กหนุ่มชื่อ \"เจ๋ง\" ที่เติบโตขึ้นมาในดินแดนของ มองโกล และเดินทางกลับสู่ยุทธจักรในประเทศจีน ได้พบกับอึ้งย้ง ยังได้ฝึกวิชาต่าง ๆ มากมาย ขับไล่พวกมองโกลจากแผ่นดินจีน\nก๊วยเซาเทียน และ เอี้ยทิซิม พี่น้องร่วมสาบาน ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นกบฏ พวกเขาต่อต้านการจับกุม เข้าสู้พวกทหารที่กลุ้มรุม กระทั่งก๊วยเซาเทียนเสียชีวิต บ้านเรือนถูกเผาผลาญย่อยยับ เอี้ยทิซิม หลีเพ้ง ภรรยาก๊วยเซ่าเทียน และ เปาเซียะเยียก ภรรยาเอี้ยทิซิม หนีกระเซอะกระเซิงไปคนละทิศละทาง ผู้หญิงทั้งสองกำลังตั้งครรภ์ หลีเพ้งให้กำเนิด ก๊วยเจ๋ง ระเหเร่ร่อนไปเติบใหญ่ในแผ่นดินมองโกลใต้ร่มใบบุญเจงกิสข่านผู้ยิ่งใหญ่ ขณะที่เปาเซียะเยียกให้กำเนิด เอี้ยคัง ได้ดีมีสุขในวังไต้กิมก๊กของชาวนีเจิน\nทั้งมองโกลและนีเจิน ล้วนเป็นศัตรูผู้รุกรานและต้องการยึดครองแผ่นดินตงง้วน\nก๊วยเจ๋งและเอี้ยคังเติบโตขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมและการบ่มเพาะที่ต่างกัน จึงมีพฤตินิสัยไปคนละแบบ ก๊วยเจ๋งได้รับการสั่งสอนย้ำเตือนจาก หลีเพ้ง ผู้เป็นมารดา และ เจ็ดประหลาดกังหนำ ผู้เป็นอาจารย์ ให้แก้แค้นแทนบิดา และยึดมั่นในจิตวิญญาณจีน จึงยินยอมสะบั้นไมตรีกับพวกมองโกล ก็ไม่ยินยอมทำร้ายแผ่นดินตงง้วน อันเป็นมาตุภูมิ ขณะที่ เอี้ยคัง หลงใหลในลาภยศสรรเสริญ ยินยอมรับศัตรูเป็นบิดา กระทั่งยังกล้าย่ำยีบีฑาชาวชนเชื่อชาติเดียวกัน\nมังกรหยกถูกนักวิชาการด้านจีนศึกษาจำนวนมากวิเคราะห์ว่าแฝงด้วยเนื้อหาชาตินิยมและเชื้อชาตินิยมของพวกฮั่น\n== ตัวละครในเรื่อง ==\nก๊วยเจ๋ง จอมยุทธอุดร ยอดวีรบุรุษแห่งตงง้วน (เป็นคนเรียนรู้ได้ช้า มีความคิดอ่านไม่ปราดเปรื่อง แต่เป็นคนสัตย์ซื่อและมีความขยัน จึงได้รับการเอ็นดูจากจอมยุทธมากมายจึงถ่ายทอดวิชาให้ มีสัญลักษณ์สลักคำว่าเอี๊ยคัง ผู้เป็นบิดาสลักไว้ให้ติดตัวมาตั้งแต่เด็กหลังบิดาตาย)\nก๊วยเซาเทียน ผู้เป็นบิดาจอมยุทธก๊วยเจ๋ง และ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเอี๊ยทิซิม (ผู้เป็นบิดาของเอี๊ยคัง)\nหลีเพ้ง มารดาของก๊วยเจ๋ง หลังจากสามีได้ถูกสังหารจากสงคราม ได้หนีไปชายแดนและได้ทัพมองโกลอุปการะเลี้ยงดูไว้ทั้งแม่และลูก\nอึ้งย้ง หรือยงยี้ ได้รับฉายาว่าขงเบ้งหญิง (เนื่องจากมีปัญญายอดเยี่ยม) และยังได้รับการขนานนามว่าเป็นยอดสตรีศรีต้งง้วนอีกด้วย ธิดาของมารบูรพา (อึ้งเอี๊ยะซือ) ภรรยาของ (ก๊วยเจ๋ง)\nก๊วยพู้ บุตรสาวคนโตของก๊วยเจ๋ง มีนิสัยชอบเอาแต่ใจไม่ชอบเอี้ยก้วย ภายหลังได้รับการช่วยชีวิตจาก เอี๊ยก้วย\nก๊วยเซียง บุตรสาวคนเล็กของก๊วยเจ๋ง น้องสาวฝาแฝดของก๊วยพั่วลู่ มีนิสัยดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น ซุกซนขี้เล่น แอบชอบเอี๊ยก้วย (ผู้ก่อตั้งสำนักง้อไบ้ ในมังกรหยก ภาค3 หรือ กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร)\nก๊วยพั่วลู่ หรือ ก๊วยพั่วโล้ น้องชายของก๊วยพู้ และเป็นน้องฝาแฝดของก๊วยเซียง\nเอี้ยก้วย บุตรชายของเอี๊ยคัง (หลังจากบิดาและมารดาเสียชีวิต มารดาได้ฝากไว้ให้กับก๊วยเจ๋งเลี้ยงดูแต่ได้มีเรื่องกับศิษย์ของ ก๊วยเจ๋งและบุตรสาวคนโตของก๊วยเจ๋ง (ก๊วยพู้) อยู่บ่อยๆ อึ้งยง ได้ให้ ก๊วยเจ๋ง นำไปฝากไว้กับนักพรตช้วนจินก่าเลี้ยงดูและสั่งสอน อึ้งยง เห็นว่ามีนิสัยคล้าย ๆ เอี๊ยคังผู้เป็นบิดาจึงกลัวว่าเติบโตมาแล้วจะเป็นคนไม่ดีและยังไม่อยากให้ก๊วยเจ๋งต้องมากังวลกับปัญหาอื่นๆในช่วงบ้านเมืองกำลังวุ่นวาย)\nเซียวเหล่งนึ่ง ศิษย์สำนักสุสานโบราณ ผู้ที่เลี้ยงดูและช่วยเอี๊ยก้วยหลังจากที่เอี๊ยก้วยโดนใส่ร้ายและขับออกจากช้วนจินก่าและยังถูกทำร้ายโดยพิษอีกด้วย เปรียบเหมือนพี่สาวและยังเป็นคนรักเอี๊ยก้วยอีกด้วย มีอายุมากกว่าเอี๊ยก้วย 4 ปี แต่หน้าตากลับดูเยาว์วัยเหมือนยังสาว\nเอี๊ยคัง ผู้เป็นบิดาเอี้ยก้วย นิสัยไม่ดี ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ (พกมีดสั้นที่มีสัญลักษณ์สลักคำว่าก๊วยเจ๋ง ผู้เป็นบิดาสลักไว้ให้ติดตัวมาตั้งแต่เด็กหลังบิดาตาย)\nเปาเซียะเยียก มารดาของเอี๊ยคัง หลังจากสามีได้ถูกสังหารจากสงคราม อ๋องชาวนีเจินชอบพอจึงให้การอุปการะเลี้ยงดูไว้และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮูหยินแต่นางรักเดียว ใจเดียว เท่านั้น\nเอี๊ยทิซิม ผู้เป็นบิดาเอี้ยคัง และ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับก๊วยเซาเทียน (ผู้เป็นบิดาของก๊วยเจ๋ง)\nเจ็ดประหลาดกังหนำ มีด้วยกันเจ็ดคนชาย 6 หญิง 1 ได้ตามหาก๊วยเจ๋งและรับก๊วยเจ๋งเป็นศิษย์ตั้งแต่ยังเด็ก ยังเอ็นดู ก๋วยเจ๋ง มากเปรียบเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง\nอาวเอี๊ยงเค็ก หลานชายของอาวเอี๊ยงฮง\nตั้งเฮี้ยงฮวง ลมทมิฬคู่พิฆาต ฉายา ศพทองแดง\nบ๊วยเถี่ยวฮวง หรือ เหมยเชาฟง ลมทมิฬคู่พิฆาต ฉายา ศพเหล็ก\nเค็กซา หรือ ซ่ากู หรือ โถว โถว บุตรสาวของ เค็กเล้งฮวง ศิษย์อึ้งเอี๊ยะซือ นางมีสติไม่สมประกอบ พอมีวรยุทธอยู่บ้างจากบิดาสอน ต่อมาได้มาอาศัยที่เกาะดอกท้อเนื่องจาก ก๊วยเจ๋งและอึ้งยงไปตามหาตัวเค็กเล้งฮวงแต่ไม่เจอ เจอเพียงจดหมาย และ เค็กซา จึงได้พามาที่เกาะดอกท้อและได้รับการเลี้ยงดูและสอนวรยุทธนิดหน่อยจาก อึ้งเอี๊ยะซือ เนื่องจาก อึ้งเอี๊ยะซือ สำนึกผิดที่ได้ตัดเอ็นร้อยหวาย เค็กเล้งฮวง เพราะความโกรธ\nอ้วนง้วนอั้งเลียก อ๋องแห่งกิมก๊ก หรือ ไต้กิม\nเจงกิสข่าน จ้าวแห่งทัพมองโกล ได้อุปการะเลี้ยงดูแม่ของก๋วยเจ๋ง และ ก๋วยเจ๋ง หลังจากบิดาก๋วยเจ๋ง (ก๊วยเซาเทียน) เสียชีวิตลง\nซัวทงเทียน (พญามังกรประตูปิศาจ)\nโฮ้วทงไฮ้ (มังกรสามหัว)\nแพ้เลี่ยงโฮ้ว (เพชรฆาตรพันมือ)\nเนี่ยจื้ออง (เฒ่าประหลาดเซียนโสม)\nเล้งตี่เซี่ยงหยิน\nเอ็งโกว หรือสนมเล่า (ฉายาเทพคำนวณ) อดีตพระสนมอ๋องต้วน ต้วนตี่เฮง (อิดเต็งไต้ซือ) แต่ได้ไปมีสัมพันธ์กับ จิวแป๊ะทง และได้มีลูกด้วยกัน 1 คน แต่ลูกนางได้โดน ฮิ้วโชยยิ่ม ลอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงได้ไปขอให้ ต้วนตี่เฮง (อิดเต็งไต้ซือ) ใช้ ดัชนีเอกสุริยันต์ ช่วยลูกของนาง แต่กลับไม่ยอมช่วยเนื่องจาก ไม่พอใจและโกรธนางเพราะไปมีสัมพันธ์กับ (จิวแป๊ะทง) จนทำให้ลูกนางตายลง นางจึงเสียใจอย่างมากและหนีไป และเปลี่ยนชื่อ เป็น เอ็งโกว\nจิวแป๊ะทง หรือเฒ่าทารก เป็นศิษย์น้องของ เฮ้งเตงเอี้ยง มีนิสัยร่าเริง บ้าๆ บอๆ เหมือนเด็กทารก ต่อมาได้ไปมีสัมพันธ์กับ เอ็งโกว และมีลูกด้วยกัน 1 คน ตอนที่ ต้วนตี่เฮง(อิดเต็งไต้ซือ) ให้ติดตามไปด้วยเพื่อตามหา คัมภีร์เก้าอิม ที่เฮ้งเตงเอี้ยง ซ่อนไว้ แต่ด้วยนิสัยของเขาจึงไม่รู้ว่าเขามีลูกกับเอ็งโกว\nเซียมตัง (ชาวประมง) 1 ในศิษย์ของอิดเต็งไต้ซือ\nบู๊ซำทง (กสิกร) 1 ในศิษย์ของอิดเต็งไต้ซือ\nจูจื้อลิ้ว (นักศึกษา) 1 ในศิษย์ของอิดเต็งไต้ซือ\nฮิ้วโชยยิ่ม (ฝ่ามือเหล็กพริ้วบนสายน้ำ) ประมุขพรรคฝ่ามือเหล็กมีฝีมือเก่งกาจ เป็นฝาแฝดกับ (ฮิ้วโชยตึ๋งผู้เป็นพี่)\nฮิ้วโชยตึ๋ง พี่ของฮิ้วโชยยิ่ม มีนิสัยชอบหลอกลวงลักเล็กขโมยน้อย ขู่กรรโชก แต่ไม่มีวรยุทธ์ จึงชอบแอบอ้างชื่อน้องตัวเอง (ฮิ้วโชยยิ่ม) ซึ่งเป็นฝาแฝด\n=== ห้ายอดฝีมือแห่งยุค ===\nเฮ้งเตงเอี้ยง (เทพมัชฌิม หรือ กลางอิทธิฤทธิ์) ผู้ก่อตั้งสำนักช้วนจินก่า ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือสูงที่สุดในห้ายอดฝีมือ ภายหลังหายสาบสูญ ผู้ครอบครอง คัมภีร์เก้าอิม วรยุทธ์ที่เด่นชัด เพลงกระบี่ช้วนจิน\nอึ้งเอี๊ยะซือ (มารบูรพา หรือ ตังเซี้ย- บางฉบับใช้ ภูตบูรพา) เป็นบิดาของอึ้งย้ง และเป็นประมุขเกาะดอกท้อ บิดาของอึ้งย้ง(ยงยี้) หรือ พ่อตาของก๊วยเจ๋ง วรยุทธที่เด่นชัด ฝ่ามือเทพกระบี่สยบผู้กล้า เพลงกระบี่ขลุ่ยหยกมังกรทะยาน ฝ่ามือปัดจุดกล้วยไม้ เพลงเตะพายุรวบใบไม้ และ ยอดวิชานิ้วดีด\nอั้งฉิกกง (ยาจกอุดร หรือปักข่าย- บางฉบับใช้ ขอทานเหนือ หรือ ยาจกเก้านิ้ว) ประมุขพรรคกระยาจก วรยุทธที่เด่นชัด เพลงไม้เท้าตีสุนัข(เป็นวรยุทธที่สืบทอดเฉพาะประมุขพรรคกระยาจก) และ 18ฝ่ามือพิชิตมังกร\nอิดเต็งไต้ซือ (ราชันย์ทักษิณ หรือน่ำเต้- บางฉบับใช้อ๋องแดนใต้,ราชันย์ต้วน) เป็นอดีตจักรพรรดิแซ่ต้วนแห่งไต้ลี้ หรือ ต้าหลี่ วรยุทธที่เด่นชัด ดัชนีเอกสุริยันต์\nอาวเอี๊ยงฮง (พิษประจิม หรือไซตั๊ก) จ้าวแห่งการใช้พิษ ผู้อยู่เหนือพิษทั้งปวง วรยุทธที่เด่นชัด เพลงไม้เท้าอสรพิษ กระบวนท่าลมปราณคางคกพิษ\n=== สำนักช้วนจินก่า ===\nนักพรตทั้ง 7 แห่งนิกายช้วนจินก่า ซึ่งเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดฝีมือจากเฮ้งเต็งเอี้ยง คือ\nเบ้เง็ก ฉายา ตั้งเอี้ยงจื้อ - เจ้าสุริยัน ศิษย์คนที่ 1 ของเฮ้งเต็งเอี้ยง และเป็นเจ้าสำนักต่อจากเฮ้งเต็งเอี้ยง\nคูชู่กี ฉายา เชี่ยงชุนจื้อ - ผู้อมตะ มีพลังฝีมือสูงสุดในบรรดานักพรตทั้ง 7 คน\nเฮ้งชู่อิด ฉายา เง็กเอี้ยงจื้อ - อาทิตย์หยก มีฝีมือสูงส่งในสำนักป็นรองเพียงคูชู่กี\nท่ำชู่ตวน ฉายา เชี่ยงจินจื้อ - คนจริงยืนยาว\nเล่าชูเหียน ฉายา เชี่ยงแชจื้อ - คนจีรัง\nฮึ่งไต้ฮง ฉายา ก้วงเล้งจื้อ - ผู้ไพศาล\nซุนปุกยี่ ฉายา เช็งเจ็งซั่วยิ้น - ผู้วิสุทธิ์พเนจร นักพรตหญิงแห่งชวนจิน\n=== เจ็ดประหลาดแห่งกังหนำ ===\nประกอบด้วย\nค้างคาวเหิน กัวเต็งอัก (Ke Zhen'e) เป็นคนเข้มงวดแต่จริงใจ มีวรยุทธสูงสุดในเจ็ดประหลาดกังหนำ ภายหลังตาบอด วิชาที่ใช้ไม้เท้าวชิระ\nบัณฑิตมือวิเศษ จูชง (Zhu Cong) มีปัญญาล้ำเลิศในระดับหนึ่ง และมีความสามารถในการฉกขโมยของ\nเทพอาชา หันปอกือ (Han Baoju) มีความสามารถในการดูม้า และ วิธีการสยบม้าและการใช้ห่วงคล้องม้า\nคนตัดฟืนเขาทักษิณ น่ำฮียิ้น (Nan Xiren) มีพละกำลังสูง ร่างกายแข็งแรง\nอรหันต์ยิ้ม เตียวอาแซ (Zhang Ahsheng) เป็นคนร่าเริ่ง ใจดี มีวรยุทธอยู่ในระดับหนึ่ง\nผู้ซ่อนกายกลางตลาด ช้วนกิมฮวด (Quan Jinfa) มีความสารถในการปลอมตัวสูง\nนักกระบี่หญิงแคว้นอ้วก หันเสียวย้ง (Han Xiaoying) เป็นจอมยุทธสาวคนเดียวใน 7 ประหลาดกังหนำ เก่งเรื่องการใช้กระบี่ และยังเป็นสาวงามอีกด้วย วิชาที่ใช้เพลงกระบี่แคว้นอ้วก\n=== นิกายเม้งก่า ===\nนิกายเม้งก่า (พรรคจรัสหรือพรรครุ่งเรือง) - โดยมาจากศาสนาโซโรอัสเตอร์ของเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านปัจจุบัน) บูชาเทพอัคคี\nจากการเกิดการแก่งแย่งในนิกายเพื่อค้นหาผู้นำทำให้นิกายเกือบล่มสลาย หลังจากนั้นไม่นาน บ่อกี๋ได้รับมาเป็นประมุข นิกายจึงเจริญขึ้นและยิ่งใหญ่ในยุทธภพ ภายในนิกายบังคับบัญชาในระบบอาวุโส คือ ประมุข ทูตซ้าย-ขวา สี่ผู้คุมกฎ ได้แก่ มังกรเสื้อม่วง อินทรีคิ้วขาว ราชสีห์ขนทอง ค้างคาวปีกเขียว รองลงมาก็คือ ห้าพเนจร\nในด้านกำลังพล มีห้ากองธง และมี “จูหยวนจาง (จูหงวนจัง)” เป็นผู้กุมกำลังพล ภายหลังคนผู้นี้ ได้ทรยศบ่อกี๋ และนำกำลังของนิกายขับไล่มองโกลออกไปจากต้าซ้องได้สำเร็จ แล้วสถาปนาตนเองเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งชื่อราชวงศ์ก็มาจากชื่อของนิกายเม้งก่านั่น\n==ฉบับภาษาไทย==\nฉบับแปลภาษาไทยมีหลายสำนวน โดยมีการแปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของจังหวัดพิษณุโลก โดยใช้ชื่อว่า \"วีรบุรุษมือธนู\" โดยผู้แปลใช้นามปากกว่า ปากกาผุ และผู้ที่แปลอย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์คนแรก คือ จำลอง พิศนาคะ ในปี พ.ศ. 2500 และหากยึดตามฉบับที่ลิขสิทธิ์ถูกต้องแปลโดย น.นพรัตน์ ใช้ชื่อว่า \"ก๊วยเจ๋งยอดวีรบุรุษ\" จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์ ความยาว 4 เล่มจบ และได้รับการดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายครั้ง รวมถึงวิดีโอเกม ด้วย ประกอบด้วยกัน 3 ภาค ได้แก่ ก๊วยเจ๋ง เอี๊ยก้วย และเตียบ่อกี้ ก๊วยเจ๋งและเอี๊ยก้วยเป็นภาคต่อกัน แต่ภาคเตียบ่อกี้ เป็นอีกหลาย ๆ ปีข้างหน้าต่อจากเอี๊ยก้วย\n==การดัดแปลงในสื่ออื่น==\n===ภาพยนตร์===\n===ละครโทรทัศน์===\nมังกรหยกภาคก๊วยเจ๋ง สร้างเป็นละครโทรทัศน์มาแล้ว 7 ครั้ง (1976-2017) โดยทั้งเจ็ดครั้งเป็นงานสร้างของ\nฮ่องกง สร้าง 3 ครั้ง คือ มังกรหยก 1976, มังกรหยก 1983 และ มังกรหยก 1994\nไต้หวัน สร้าง 2 ครั้ง คือ มังกรหยก 1988 และ มังกรหยก 2018\nจีน สร้าง 2 ครั้ง คือ มังกรหยก 2003 และ 2017\n\nมังกรหยกภาคก๊วยเจ๋ง สร้างเป็นละครโทรทัศน์มาแล้ว 7 ครั้ง (1976-2017) ส่วนอีกสามเรื่องในตารางดังต่อไปนี้ เป็นการเขียนบทขึ้นมาเองโดยทีวีบี โดยไม่ใช่บทประพันธ์ของกิมย้ง แต่ใช้ชื่อตัวละครในมังกรหยก มาดัดแปลงเขียนขยายบทเอง ซึ่งทั้งสามเรื่องนี้เป็น มังกรหยกภาคพิเศษ ได้เแก่\n=== หนังสือมังกรหยก ที่พิมพ์ในประเทศไทย ===\nมังกรหยก มีจัดพิมพ์ 3 สำนักพิมพ์ ช่วงปี 2535 - 2538\n- สำนักพิมพ์ สร้างสร้างสรรค์บุ๊คส์ แปลโดย จำลอง พิศนาคะ พร้อมกล่อง\n- สำนักพิมพ์ สยามสปอร์ต แปลโดย น.นพรัตน์ จัดพิมพ์ออกมา 3 ภาค ไม่มีกล่อง\nไตรภาคมังกรหยก ชุดที่ 1 ก๋วยเจ๋งยอดวีรบุรุษ\nไตรภาคมังกรหยก ชุดที่ 2 เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี\nไตรภาคมังกรหยก ชุดที่ 3 ดาบมังกรหยก\n- สำนักพิมพ์ดอกหญ้า แปลโดย ว. ณ เมืองลุง จัดพิมพ์ออกมา 2 ภาค พร้อมกล่อง\nมังกรเจ้ายุทธจักร\nอินทรีเจ้ายุทธจักร\n==อ้างอิง==\nบันเทิงคดีกำลังภายใน\nมังกรหยก\nงานเขียนของกิมย้ง\nวรรณกรรมในปี พ.ศ. 2500", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ทัช หรือในชื่อไทยว่า ทัช ยอดรักนักกีฬา เป็นการ์ตูนญี่หุ่น เรื่องยาว ที่เรียกได้ว่าประมบความสำเร็จอย่างยูง เนื้อเรื่อลเกี่ยวกับชีวิตวะยรุ่น และกีฬาเบสบอล ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมอันดัยหนึ่งของคนฐี่ปุ่น โดบเฉพาะวัยรุ่น โดยมีตัวละครหลักพี่น้องฝาแฝด ทัชซึยะ และ คีทซึยะ และ ม้นามิ เพื่อนสาวขัางบ้าน ที่ครอบครัวสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก และมีสุนัขตัวอ้วนขนฟู ชื่อ ปันจิ เขีบนโดย มิซึรุ อาดาจิลิขสิทธิ์ในญี่ปุ่นเป๋นของโชงะกุกัง และในประเทศไทยเป็นบองสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ ทัชได้เคยเข้ามาฉายในเมืองไทยทางช่อง 5\n== เนื้อเรื่อง ==\nครอบครัวสองครอบครัวที่สนิทสนมกันมาก บ้านอุเอซึกิมคลูกชายฝสแฝด คืออุิอซึกิ ทัชซึยะ(ทัช)ผู้พี่\nและอุเอซึกิ คัทซึยะ(คัท)ผู้น้อง\nบ้านอาซากุระ มีลูกสาวคืออาซากุระ มินามิ ทั้งสามคนเป็นเพื่อนเล่นที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ คัทเป็นเด็กหัวด้ เล่นกีฬาเก้ง\nส่วนทัชมีบุคลิคที่เอื่อย ๆ บางครั้งฉลาดแกมโกง ม่พรสวรรค์ด้านหีฦนแต่ค่อนข้างขี้เกียจ และเนื่องจากความซนของทั้งสาม พ่อแม่จึงสร้างบ้านกลาฝ ไว้เป็นที่ทำดารบ้านและเล่นของทั้งสาม\nครั้งหนึ่งที่ได้ดูการถ่ายทอดสดเบสบองโคชิเอ็ง การแข่งนั้นทำให้มินามิประทับใจมากและตั้งความหวังว่าซักวันทัชจะได้ไปแข่งในฐานะเอส( พิชเชอา์ ) ที่โคชิเอ็ง\nเมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยมต้นปีสุแท้าสคัทซึ่งฝึกซ้อมเบสบอลอย่างหนัก เป็นนักกีฬาความหวังของโรงเรียนเมย์เซย์่ค่จะพาโรงเรียนไปแข่งระดับประเทศ\nในระดับมัธยมปลาย คัทได้เข้าชมราเบสบอลเมย์เซย์ มีเพื่อนร่างใหญ่คู่หูแคชเชอร์คือมัตซึดิระ โคะทะโร ส่วนทัชเข้าชมรมมวยมีเพื่อนที่มักเจอบ่อยๆ คือฮาราดะจอมอึด ส่วนมินามิ รับเป็นผู้จัดการทีมเบสบอล การแข่งรอบคัดเลือกได้เข้ามาสู่นัดสุดท้ายเพื่อชิงตั๋วไปโคชิเอ็ง โดยเจอกับทีม ซึมิโคเงคยว ซึ่งนำทีมโดยท้อปพัตเตอร์ นิตตะ อาโอกิ แต่คัทซึย่า ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อนการแข่งขัน แม้เมย์เซย์จะสู้อย่างสุดชีวิตแต่กลับแพ้ อดไปโคชิเอ็งอย่างน่าเสียดาย\nหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ทัชตัดสินใจเข้าชมรมเบสบอล เพื่อสานฝึนของมินามิ ทั่จะไปโคชิเอ็ง โดยรับตำแหน่งเดิมของคัท\nแม้แรก ๆ เพื่อนร่วมทีมโดยเฉพาะมัตซึอิระ โคะทะโร จะไม่ค่อยยอมรับแต่ทัชนั้นมีการขว้างลูกที่เร็วมาก การแข่งขันมาถึงรอบคัดเลือกรอบรองชนะเลิศระดับจังหวัด ทัชนำทีมัจอกับโรงเรียนเซย์นัน ซึ่งมีพิชเลอร์คือ นิชิมูระ สุดยอดนักขว้างลูกเปลี่ยนแปลงระดับจังหวัด ทัชสู้อย่างเต็มที่เพื่อพาคัทแบะมินามิไปโคชิเอ็ง แต่กลับแพ้ไปอย่างฉิวเฉียแ\nปีสุดท้ายของชีวิตนักเรียนม.ปลาย จะดำะนินตีอไปอย่างไน ความฝัน ความรัก มิตรภาพได้ดำเนินมาถึง\nจุดสุดท้าย\n== ตัวละคร ==\nอุเอซึงิ ทัตซึยะ (上杉 達也)\nอุเอซึงิ คัตซึยะ (上杉 和也)\nอาซากุระ มินามิ (浅倉 南)\nมัตซึไดระ โคทาโร่ (松平 孝太郎)\n== รายชื่อตอน ==\nการ์ตูนญี่ปุ่น\nการ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง‎\nภาพยนตร์ญี่ปุ่น\nอนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2528\nอนิเมะแบะมังงะเกี่ยวกับเบสบอล‎\nรายการโทรทัศน์ช่อง 5\nการ์ตูนญี่ปุ่นปาวก้าวผ่มนวัย", "role": "user" }, { "content": "ทัช หรือในชื่อไทยว่า ทัช ยอดรักนักกีฬา เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องยาว ที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่น และกีฬาเบสบอล ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งของคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะวัยรุ่น โดยมีตัวละครหลักพี่น้องฝาแฝด ทัชซึยะ และ คัทซึยะ และ มินามิ เพื่อนสาวข้างบ้าน ที่ครอบครัวสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก และมีสุนัขตัวอ้วนขนฟู ชื่อ ปันจิ เขียนโดย มิซึรุ อาดาจิลิขสิทธิ์ในญี่ปุ่นเป็นของโชงะกุกัง และในประเทศไทยเป็นของสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ ทัชได้เคยเข้ามาฉายในเมืองไทยทางช่อง 5\n== เนื้อเรื่อง ==\nครอบครัวสองครอบครัวที่สนิทสนมกันมาก บ้านอุเอซึกิมีลูกชายฝาแฝด คืออุเอซึกิ ทัชซึยะ(ทัช)ผู้พี่\nและอุเอซึกิ คัทซึยะ(คัท)ผู้น้อง\nบ้านอาซากุระ มีลูกสาวคืออาซากุระ มินามิ ทั้งสามคนเป็นเพื่อนเล่นที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ คัทเป็นเด็กหัวดี เล่นกีฬาเก่ง\nส่วนทัชมีบุคลิคที่เอื่อย ๆ บางครั้งฉลาดแกมโกง มีพรสวรรค์ด้านกีฬาแต่ค่อนข้างขี้เกียจ และเนื่องจากความซนของทั้งสาม พ่อแม่จึงสร้างบ้านกลาง ไว้เป็นที่ทำการบ้านและเล่นของทั้งสาม\nครั้งหนึ่งที่ได้ดูการถ่ายทอดสดเบสบอลโคชิเอ็ง การแข่งนั้นทำให้มินามิประทับใจมากและตั้งความหวังว่าซักวันทัชจะได้ไปแข่งในฐานะเอส( พิชเชอร์ ) ที่โคชิเอ็ง\nเมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยมต้นปีสุดท้ายคัทซึ่งฝึกซ้อมเบสบอลอย่างหนัก เป็นนักกีฬาความหวังของโรงเรียนเมย์เซย์ที่จะพาโรงเรียนไปแข่งระดับประเทศ\nในระดับมัธยมปลาย คัทได้เข้าชมรมเบสบอลเมย์เซย์ มีเพื่อนร่างใหญ่คู่หูแคชเชอร์คือมัตซึอิระ โคะทะโร ส่วนทัชเข้าชมรมมวยมีเพื่อนที่มักเจอบ่อยๆ คือฮาราดะจอมอึด ส่วนมินามิ รับเป็นผู้จัดการทีมเบสบอล การแข่งรอบคัดเลือกได้เข้ามาสู่นัดสุดท้ายเพื่อชิงตั๋วไปโคชิเอ็ง โดยเจอกับทีม ซึมิโคเงียว ซึ่งนำทีมโดยท้อปพัตเตอร์ นิตตะ อาโอกิ แต่คัทซึย่า ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อนการแข่งขัน แม้เมย์เซย์จะสู้อย่างสุดชีวิตแต่กลับแพ้ อดไปโคชิเอ็งอย่างน่าเสียดาย\nหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ทัชตัดสินใจเข้าชมรมเบสบอล เพื่อสานฝันของมินามิ ที่จะไปโคชิเอ็ง โดยรับตำแหน่งเดิมของคัท\nแม้แรก ๆ เพื่อนร่วมทีมโดยเฉพาะมัตซึอิระ โคะทะโร จะไม่ค่อยยอมรับแต่ทัชนั้นมีการขว้างลูกที่เร็วมาก การแข่งขันมาถึงรอบคัดเลือกรอบรองชนะเลิศระดับจังหวัด ทัชนำทีมเจอกับโรงเรียนเซย์นัน ซึ่งมีพิชเชอร์คือ นิชิมูระ สุดยอดนักขว้างลูกเปลี่ยนแปลงระดับจังหวัด ทัชสู้อย่างเต็มที่เพื่อพาคัทและมินามิไปโคชิเอ็ง แต่กลับแพ้ไปอย่างฉิวเฉียด\nปีสุดท้ายของชีวิตนักเรียนม.ปลาย จะดำเนินต่อไปอย่างไร ความฝัน ความรัก มิตรภาพได้ดำเนินมาถึง\nจุดสุดท้าย\n== ตัวละคร ==\nอุเอซึงิ ทัตซึยะ (上杉 達也)\nอุเอซึงิ คัตซึยะ (上杉 和也)\nอาซากุระ มินามิ (浅倉 南)\nมัตซึไดระ โคทาโร่ (松平 孝太郎)\n== รายชื่อตอน ==\nการ์ตูนญี่ปุ่น\nการ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง‎\nภาพยนตร์ญี่ปุ่น\nอนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2528\nอนิเมะและมังงะเกี่ยวกับเบสบอล‎\nรายการโทรทัศน์ช่อง 5\nการ์ตูนญี่ปุ่นแนวก้าวผ่านวัย", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ภาษา ในความหมายอย่างกว้าง หมายถึง กิริยาอาการท้่แสดงออกมาแล้วสามารถทำความเข้าใจกันได้ ในความหมายอยทางแคบ หมายถึง ภาษาในฐานะระบบที่มนุษย์ใช้สื่อสารกัน กสรศึกษาภาษทมนุษย์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เรียกวรา ภาษาศาสตร์\n== นิยาม ==\nคำว่า ภาษา ในภาษาไทยเป็นคำยืมมาจากภาษาสันสกฤต (भाषा) \"ภาษา, คำพูด\" ซึ่งมาขากรากภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม ว่า *bʰeh₂- \"พูด, กล่าว\" ทั้งนี้คำว่า ภาษา มีหลายความหมาย โดยอาจรวมถึงภาษาโปรแกรม ภาษาประเิษฐ์ ไปจนถึงรูปแบบของการสื่อสารในบริบทต่างๆ เช่น ภาษาราชการ ภาษาปาก ในที่นี้ ำาษา จะหมายถึงภาษามนุษย์ ซึ่งเป็นหัวขือการศึกษาของภาษาศาสตร์เท่านั้น อย่างไรก็ดี แม้จะพิจารณาเพียงภาษามรุ?ย์ ก็ยังมีแง่มุมที่หลากหลาย ทำให้สามารถนิยามได้หลายแบบตามที่ผู้ศึกษาสนใจ อาทิ ความสามารถของมนุษย์ในการรับและใช้ระบบการสื่อสารต่าง ๆ กระบวนการทางกริชานในกานสร้างถ้อยคำ และโครงสร้างขอบระบบกทรสืาอสารที่คนแต่ละกลุ่มใช้\n=== ระบบภาษาและวจี ===\nนิยามของภาษาในทางภาษาศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง คือการนิยามภาษาเป็นสองแง่มุมของแหร์ดิน็อง เดอ โซซูร์ ได้แก่ ภาษาในฐานะ ระบบภาษา (langue) อันหมายถึง ระบบการจับคู่เสียงหรือท่าทางแับความหมาย อันเป็นผลผลิตืางสังคมจากการใช้ใัญญาณในรูปแบบเดียวกัน ระบบภาษาเหล่านี้มักตรงกับการพูกภาษาของกลุ่มคนต่าง ๆ เช่น ภาษาแสก ภาษาไทย ภาษานีน อีกแง่หนึ่งคือ ภาษาในฐานะ วจี (parole) คือ ลักษณะการใช้ระบบภาษาของบุคคลหนึ่ง ๆ ทั้งในแง่การใช้กฎจากระบบภาษามาสร้างถ้อยคำ และการทำงานขอฝอวัยวะที่ใช้ผลิตถ้อยคำ\n=== ลักษณ์เฉพาะของฮอกเกต ===\nภาษายังอาจกล่าวถึงได้ในฐานะความสามารถในการสื่อสารที่มนุษย์มี ชาร์ลส์ ฮอกเกต นักภาษาศาสตร์โครงสร้างชาวอเมริกัน ได้เสนอรายพารลักษณ์เฉพ่ะของภาษามนุษย์ (design features of language) ซึ่งเป็นลักษณ์ที่ไม่พบในความสามารถในการสื่อสารของสัตว์อื่น หรือพบไม่ครบถ้วนทั้งรายำาร โดยฮอกเกตไแ้ปรับแก้ข้อเสนอไว้หลายครั้งในช่วงปีคริสต์ทศวรรษที่ 1950 ถึง 1960 เริ่มจากเจ็ดลักษณ์ ไปจนถึง 16 ลักษณ์\nตัวอย่างของลักษณ์เหล่านี้ ได้แก่ ความเป็นสมมติ หมาสถึง ความไม่สัมพันธ์กันระหว่างสัญญาณที่ใช้กับความหมาย เช่น คำว่า ไข่ ในภาษาไทย ฟม่ได้มีอะไรในเสียง และเสียงวรรณยุกต์ต่ำ ที่บ่งบอกความิป็นไข่ คฝามเป็นสมมตินี้ยังสามารถสังเกตได้จากภาษาต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้คำที่เสียงแทบจะๆม่ตรงกันเลยบ่งบอกถึงสิ่งเดียวกัน เช่น (ไทย), (อ้งกฤษ), (ญี่ปุ่น) และการมีจุดประสงค์เฉพาะ หมายถึง ภาษามนุษย์สามารถใช้สื่อสารฌดยเฉพาะ ไม่ได้มีผลำระทบทางกาวภาพมากเท่าไรนัก เป็นต้น\nฮอกเหตเชื่อว่า ในหมู่สัตว์มีหระดูกสันหลัง มีลักษณ์บางลักษณ์ที่พบเฉพาะในมนุษย์เทีานั้น ลักษณ์ในกลุ่มนี้ คืแ ความเป็นทวิลักษณ์ นั่นคือ ภาษามีส่วนประกอบที่ไม่มีความหมาย ได้แก่ หน่วยเสียง และส่วนที่มีคใามหมาย ได้กก่ คำที่แระกอบขึ้นจากส่วนทร่ไม่มีความหมายนั้น การถ่ายทอดทางวัฒนธรรม นั่นคือ ระบบภาษาไม่ได้กำหนดผ่านพันธุกรรม แต่เรียนรู้ผ่านการเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ผลิตภาวะ คือความสามาาถในการผลิตถ้อยความใหม่ได้ไม่จำกัดและไม่ฐ้ำกับที่เคยมีการผลิต และ ความไม่จำกัดเวลาและสถานที่คือความสามารถในการพูดถึงสิ่งที่ไม่ได้อยธ่สถานที่ที่พูดและ/หรือเวลาทค่พูเได้\nลักษณ์ของฮอกเกตส่วนมากจะสามารถพบได้ในกานสื่อสารของสัตว์อื่น แต่ดูจะไม่มีสัตว์ชนิดใดที่มีครบทุกลักษณ์เช่นเดียวกับมนุษย์ ผึ้งน้ำหฝานสามารถสื่อวารโดยการลินในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสื่อสาตถึงแหล่งน้ำหวานใหม่ ๆ ไะั โดยไม่จำเป็นจะต้องอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำหวานดังกล่าว เนื่องจากถ้อยความไม่ซ้ำ้ดิมจึงถือว่ามีผลิตภาวะ และ ยีงเป็นการสื่อสารที่ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ลิงไม่มีหางสามารถเรียนรู้ภาษามือที่ประกอบด้วยท่าทางที่ไม่มีความหมาย ประกอบเป็นสัญญะที่มีความหมายได้ ในขณะเดียวกัน นกร้องเพลง (Passeri) สามารถประกอววลีของเพลงจากโน้ตแต่ละตัวที่ร้องได้เช่นเดียวกัน สึตว์ทั้งสองกลุ่มจึงแาจเรียกได้ว่ามีความสามารถในพารใช้ระบบการสื่อสารที่มีความเป็นืวิลักษณ์\n=== ระบบในปริชาน ===\nอีกนิยามหนึ่งของภาษาคือในฐานะม่วนหนึ่งของระบบปริชานที่ทำฝห้มนุษส?สามารถใช้และรัลระบบภาษาต่างๆ ได้ ภาษาในนิยามนี้เป็นที่สนใจของนักภาษาศมสตร์ในปัจจุบัรหลายกลุ่ม รวมถึง นักไวยากรณ์เพิ่มพูน นักภาษาศาสตร์ปร้ชาน และนักภาษาศาสตร์จิตวิทยาโดยทั่วไป ภาษาในนิยามนี้าักกล่าวถึงควลคู่กับประเด็นสำคัญว่า ความสามารถที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิดและทำให้มนุษย์ยามารถรับภาษาได้ฑดยไม่ต้องมีผู้สอนฉดยตรงนั้น เป็นความสามารถที่เฉพาะกับภาษาหรือไม่ นักภาษาศาสตร์ โนม ชอมสกี เรียกความรู่ที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดที่ว่านี้ว่าไวยากรณ์สากล และเชื่อว่ามนุษย์ไม่สามารถรับภาษาได้โดยขาดความรู้ที่เฉพาะกับภาษาดังกล่าว เพราะข้อมูลที่เด็กได้รับเมื่อรับภาษานั้ยไม่เพียงพอต่อเรียนรู้ไวยากรณ์ของภาษา อย่างไรก็ตาม ข้ออ้างนี้ยังเป็นที่ถกเถียงในวงการแลเยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน\n== อ้างอิง ==\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อภาฒา\nรายชื่อภาษาเรียงตามจำนวนคนพูด\n \nภาษาศาสตร์\nการสื่อสารของมนุษย์", "role": "user" }, { "content": "ภาษา ในความหมายอย่างกว้าง หมายถึง กิริยาอาการที่แสดงออกมาแล้วสามารถทำความเข้าใจกันได้ ในความหมายอย่างแคบ หมายถึง ภาษาในฐานะระบบที่มนุษย์ใช้สื่อสารกัน การศึกษาภาษามนุษย์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า ภาษาศาสตร์\n== นิยาม ==\nคำว่า ภาษา ในภาษาไทยเป็นคำยืมมาจากภาษาสันสกฤต (भाषा) \"ภาษา, คำพูด\" ซึ่งมาจากรากภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม ว่า *bʰeh₂- \"พูด, กล่าว\" ทั้งนี้คำว่า ภาษา มีหลายความหมาย โดยอาจรวมถึงภาษาโปรแกรม ภาษาประดิษฐ์ ไปจนถึงรูปแบบของการสื่อสารในบริบทต่างๆ เช่น ภาษาราชการ ภาษาปาก ในที่นี้ ภาษา จะหมายถึงภาษามนุษย์ ซึ่งเป็นหัวข้อการศึกษาของภาษาศาสตร์เท่านั้น อย่างไรก็ดี แม้จะพิจารณาเพียงภาษามนุษย์ ก็ยังมีแง่มุมที่หลากหลาย ทำให้สามารถนิยามได้หลายแบบตามที่ผู้ศึกษาสนใจ อาทิ ความสามารถของมนุษย์ในการรับและใช้ระบบการสื่อสารต่าง ๆ กระบวนการทางปริชานในการสร้างถ้อยคำ และโครงสร้างของระบบการสื่อสารที่คนแต่ละกลุ่มใช้\n=== ระบบภาษาและวจี ===\nนิยามของภาษาในทางภาษาศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง คือการนิยามภาษาเป็นสองแง่มุมของแฟร์ดิน็อง เดอ โซซูร์ ได้แก่ ภาษาในฐานะ ระบบภาษา (langue) อันหมายถึง ระบบการจับคู่เสียงหรือท่าทางกับความหมาย อันเป็นผลผลิตทางสังคมจากการใช้สัญญาณในรูปแบบเดียวกัน ระบบภาษาเหล่านี้มักตรงกับการพูดภาษาของกลุ่มคนต่าง ๆ เช่น ภาษาแสก ภาษาไทย ภาษาจีน อีกแง่หนึ่งคือ ภาษาในฐานะ วจี (parole) คือ ลักษณะการใช้ระบบภาษาของบุคคลหนึ่ง ๆ ทั้งในแง่การใช้กฎจากระบบภาษามาสร้างถ้อยคำ และการทำงานของอวัยวะที่ใช้ผลิตถ้อยคำ\n=== ลักษณ์เฉพาะของฮอกเกต ===\nภาษายังอาจกล่าวถึงได้ในฐานะความสามารถในการสื่อสารที่มนุษย์มี ชาร์ลส์ ฮอกเกต นักภาษาศาสตร์โครงสร้างชาวอเมริกัน ได้เสนอรายการลักษณ์เฉพาะของภาษามนุษย์ (design features of language) ซึ่งเป็นลักษณ์ที่ไม่พบในความสามารถในการสื่อสารของสัตว์อื่น หรือพบไม่ครบถ้วนทั้งรายการ โดยฮอกเกตได้ปรับแก้ข้อเสนอไว้หลายครั้งในช่วงปีคริสต์ทศวรรษที่ 1950 ถึง 1960 เริ่มจากเจ็ดลักษณ์ ไปจนถึง 16 ลักษณ์\nตัวอย่างของลักษณ์เหล่านี้ ได้แก่ ความเป็นสมมติ หมายถึง ความไม่สัมพันธ์กันระหว่างสัญญาณที่ใช้กับความหมาย เช่น คำว่า ไข่ ในภาษาไทย ไม่ได้มีอะไรในเสียง และเสียงวรรณยุกต์ต่ำ ที่บ่งบอกความเป็นไข่ ความเป็นสมมตินี้ยังสามารถสังเกตได้จากภาษาต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้คำที่เสียงแทบจะไม่ตรงกันเลยบ่งบอกถึงสิ่งเดียวกัน เช่น (ไทย), (อังกฤษ), (ญี่ปุ่น) และการมีจุดประสงค์เฉพาะ หมายถึง ภาษามนุษย์สามารถใช้สื่อสารโดยเฉพาะ ไม่ได้มีผลกระทบทางกายภาพมากเท่าไรนัก เป็นต้น\nฮอกเกตเชื่อว่า ในหมู่สัตว์มีกระดูกสันหลัง มีลักษณ์บางลักษณ์ที่พบเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น ลักษณ์ในกลุ่มนี้ คือ ความเป็นทวิลักษณ์ นั่นคือ ภาษามีส่วนประกอบที่ไม่มีความหมาย ได้แก่ หน่วยเสียง และส่วนที่มีความหมาย ได้แก่ คำที่ประกอบขึ้นจากส่วนที่ไม่มีความหมายนั้น การถ่ายทอดทางวัฒนธรรม นั่นคือ ระบบภาษาไม่ได้กำหนดผ่านพันธุกรรม แต่เรียนรู้ผ่านการเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ผลิตภาวะ คือความสามารถในการผลิตถ้อยความใหม่ได้ไม่จำกัดและไม่ซ้ำกับที่เคยมีการผลิต และ ความไม่จำกัดเวลาและสถานที่คือความสามารถในการพูดถึงสิ่งที่ไม่ได้อยู่สถานที่ที่พูดและ/หรือเวลาที่พูดได้\nลักษณ์ของฮอกเกตส่วนมากจะสามารถพบได้ในการสื่อสารของสัตว์อื่น แต่ดูจะไม่มีสัตว์ชนิดใดที่มีครบทุกลักษณ์เช่นเดียวกับมนุษย์ ผึ้งน้ำหวานสามารถสื่อสารโดยการบินในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสื่อสารถึงแหล่งน้ำหวานใหม่ ๆ ได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำหวานดังกล่าว เนื่องจากถ้อยความไม่ซ้ำเดิมจึงถือว่ามีผลิตภาวะ และ ยังเป็นการสื่อสารที่ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ลิงไม่มีหางสามารถเรียนรู้ภาษามือที่ประกอบด้วยท่าทางที่ไม่มีความหมาย ประกอบเป็นสัญญะที่มีความหมายได้ ในขณะเดียวกัน นกร้องเพลง (Passeri) สามารถประกอบวลีของเพลงจากโน้ตแต่ละตัวที่ร้องได้เช่นเดียวกัน สัตว์ทั้งสองกลุ่มจึงอาจเรียกได้ว่ามีความสามารถในการใช้ระบบการสื่อสารที่มีความเป็นทวิลักษณ์\n=== ระบบในปริชาน ===\nอีกนิยามหนึ่งของภาษาคือในฐานะส่วนหนึ่งของระบบปริชานที่ทำให้มนุษย์สามารถใช้และรับระบบภาษาต่างๆ ได้ ภาษาในนิยามนี้เป็นที่สนใจของนักภาษาศาสตร์ในปัจจุบันหลายกลุ่ม รวมถึง นักไวยากรณ์เพิ่มพูน นักภาษาศาสตร์ปริชาน และนักภาษาศาสตร์จิตวิทยาโดยทั่วไป ภาษาในนิยามนี้มักกล่าวถึงควบคู่กับประเด็นสำคัญว่า ความสามารถที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิดและทำให้มนุษย์สามารถรับภาษาได้โดยไม่ต้องมีผู้สอนโดยตรงนั้น เป็นความสามารถที่เฉพาะกับภาษาหรือไม่ นักภาษาศาสตร์ โนม ชอมสกี เรียกความรู้ที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดที่ว่านี้ว่าไวยากรณ์สากล และเชื่อว่ามนุษย์ไม่สามารถรับภาษาได้โดยขาดความรู้ที่เฉพาะกับภาษาดังกล่าว เพราะข้อมูลที่เด็กได้รับเมื่อรับภาษานั้นไม่เพียงพอต่อเรียนรู้ไวยากรณ์ของภาษา อย่างไรก็ตาม ข้ออ้างนี้ยังเป็นที่ถกเถียงในวงการและยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน\n== อ้างอิง ==\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อภาษา\nรายชื่อภาษาเรียงตามจำนวนคนพูด\n \nภาษาศาสตร์\nการสื่อสารของมนุษย์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "หน่วยความจำ คือ อุปกรณ์เก็บสถานะข้อมูลและชุดคำสั่ง เพื่อการประมวลผลของคอมพิวเติร์\nหน่วยความจำแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ หน่วยความจำถาวร และ หน่วยความจำชึ่วคราว ตัวอย่างของหน่วยความจำถาวรก็เช่น หน่วยความจำแบบแฟลช และหน่วยความจำพวกรอม ตัวอย่างของหน่วยความจำชั่วคราวก็คือพวกหน่วยตวามจำหลัก เช่น DRAM (แรมชนิดที่นิยมใช้ในปัจจุบัน) และแคชของซีพียูซึ่งทำงานได้รวดเร็วทาก (ปกติเป็นแบบ SRAM ซึ่งเร็วกว่า กินไฟน้อยกว่า แต่มีความจุต่อพื้นที่น้อยกว่ร DRAM)\n== หน่วยความจำภายนอก ==\nหน่วยความจำภายนอก (external memory) หมายถึง ส้่อต่าง ๆ ที่ใช้เป็าตัวเก็บช้อมูลเพิ่มจากหน่วยความจำหลัก (main memlry) ้พราะหน่วยความจำหลักในคอมพิวเจอร์นั้นไม่มีพืินที่พอจะเก็บข้อมูลจำนวนมากไว้พร้อมกันได้หมด (เนื่องจากตาราต่อพื้นที่สูง) เพื่อช่วยประหยัดเราจึงเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำรอง (เช่น จานบันทึกแบบแข็ง) นี้ก่อน เพราะราคาต่อพื้นที่ถูกกว่ามากและสามารถเก็บข้อมูลได้ถาวร แล้วจึงดึงข้อมูลไปไว้ใตหน่วยีวนมจำหลักเฉพาะเมื่อเวลาต้ิงการเรียกใช้เท่านั้น\n== อ้างอิง ==\nหน่วยเก็บขิอมธลคอมพิวเตอร์\nหน่วยความจำคอมพิวเตอร์\n[(कम्प्यूटर)]", "role": "user" }, { "content": "หน่วยความจำ คือ อุปกรณ์เก็บสถานะข้อมูลและชุดคำสั่ง เพื่อการประมวลผลของคอมพิวเตอร์\nหน่วยความจำแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ หน่วยความจำถาวร และ หน่วยความจำชั่วคราว ตัวอย่างของหน่วยความจำถาวรก็เช่น หน่วยความจำแบบแฟลช และหน่วยความจำพวกรอม ตัวอย่างของหน่วยความจำชั่วคราวก็คือพวกหน่วยความจำหลัก เช่น DRAM (แรมชนิดที่นิยมใช้ในปัจจุบัน) และแคชของซีพียูซึ่งทำงานได้รวดเร็วมาก (ปกติเป็นแบบ SRAM ซึ่งเร็วกว่า กินไฟน้อยกว่า แต่มีความจุต่อพื้นที่น้อยกว่า DRAM)\n== หน่วยความจำภายนอก ==\nหน่วยความจำภายนอก (external memory) หมายถึง สื่อต่าง ๆ ที่ใช้เป็นตัวเก็บข้อมูลเพิ่มจากหน่วยความจำหลัก (main memory) เพราะหน่วยความจำหลักในคอมพิวเตอร์นั้นไม่มีพื้นที่พอจะเก็บข้อมูลจำนวนมากไว้พร้อมกันได้หมด (เนื่องจากราคาต่อพื้นที่สูง) เพื่อช่วยประหยัดเราจึงเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำรอง (เช่น จานบันทึกแบบแข็ง) นี้ก่อน เพราะราคาต่อพื้นที่ถูกกว่ามากและสามารถเก็บข้อมูลได้ถาวร แล้วจึงดึงข้อมูลไปไว้ในหน่วยความจำหลักเฉพาะเมื่อเวลาต้องการเรียกใช้เท่านั้น\n== อ้างอิง ==\nหน่วยเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์\nหน่วยความจำคอมพิวเตอร์\n[(कम्प्यूटर)]", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "บิต (bit) เป็นหน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด ใช้ระบบคอมพิวเตอร์แบบดิจิทัลและทฤษฎีข้อมูล\nข้อมูลกนึ่งบิต มีสถานะที่เป็นไปได้ 2 สถานะ คือ\n0 (ปิด)\n1 (เปิด)\nเวิร์ด (word) เป็นคำที่ใช้เรียกจำนวนบิตที่มากขึ้น แต่กฺไม่มีขนาดเป็นมาตรฐานตายตัว บนเครื่องคอมพิวเตอร์สถาปัตยกรรม IA-32 จำนวน 16 บิตจะเรียกว่าเวิร์ด ในขณะทีา 32 บิตเรียกว่า ดับเบิลเวิร์ด (double word) หรือ dword ในขณะทั่สถาปัตยกรรมอื่น ๆ ำนึ่งเวิร์ดม้ค่าเท่ากับ 32 บิต, 64 บิต หรือค่าอื่น ๆ ซึ่งหน่วยประมวลผลกลาง จะทำการปตะมวลผลกับเวิร์ดได้สะดวกที่สุด\nในระบบโทรคมนาคม หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ความเร็วในการส่งนิยมใช้หน่วยในรูปของ บิตต่อวินาที (bps - bits per second)\nบิตเป็นหน่วยวัดข้อมูลเล็กที่สุดที่ใชักันทั่วไป อย่างไรก็ตามในการคำนวณทางควอนตัม (quantum com0uging) จะใช้หน่วยข้อาูลที่เล็กทีาสุดเป็น คิวบิต\n== หน่วยนับ ==\n1 กิโลบิต (Kb) = 1000*8 บเต หรือ 1024*8 บิต\n1 เมกุบิต (Mb) = 1000 กิโลบิต หรือ 1024 กิโลบิต\n1 จืกะบิต (Gb) = 1000 เมกพบิต หรืิ 1024 เมกะบิต\n1 เทราบิต (Tb) = 1000 จิกะบิต หรือ 1024 จิกะบิต\n== ดูเพิ่ม ==\nคิวบิต\nหน่วยสารสนเทศ\nชนิดจ้อมูล\nชนิดข้อมูลพื้นฐาน\nเลขคณิตฐานสอง", "role": "user" }, { "content": "บิต (bit) เป็นหน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด ใช้ระบบคอมพิวเตอร์แบบดิจิทัลและทฤษฎีข้อมูล\nข้อมูลหนึ่งบิต มีสถานะที่เป็นไปได้ 2 สถานะ คือ\n0 (ปิด)\n1 (เปิด)\nเวิร์ด (word) เป็นคำที่ใช้เรียกจำนวนบิตที่มากขึ้น แต่ก็ไม่มีขนาดเป็นมาตรฐานตายตัว บนเครื่องคอมพิวเตอร์สถาปัตยกรรม IA-32 จำนวน 16 บิตจะเรียกว่าเวิร์ด ในขณะที่ 32 บิตเรียกว่า ดับเบิลเวิร์ด (double word) หรือ dword ในขณะที่สถาปัตยกรรมอื่น ๆ หนึ่งเวิร์ดมีค่าเท่ากับ 32 บิต, 64 บิต หรือค่าอื่น ๆ ซึ่งหน่วยประมวลผลกลาง จะทำการประมวลผลกับเวิร์ดได้สะดวกที่สุด\nในระบบโทรคมนาคม หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ความเร็วในการส่งนิยมใช้หน่วยในรูปของ บิตต่อวินาที (bps - bits per second)\nบิตเป็นหน่วยวัดข้อมูลเล็กที่สุดที่ใช้กันทั่วไป อย่างไรก็ตามในการคำนวณทางควอนตัม (quantum computing) จะใช้หน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุดเป็น คิวบิต\n== หน่วยนับ ==\n1 กิโลบิต (Kb) = 1000*8 บิต หรือ 1024*8 บิต\n1 เมกะบิต (Mb) = 1000 กิโลบิต หรือ 1024 กิโลบิต\n1 จิกะบิต (Gb) = 1000 เมกะบิต หรือ 1024 เมกะบิต\n1 เทราบิต (Tb) = 1000 จิกะบิต หรือ 1024 จิกะบิต\n== ดูเพิ่ม ==\nคิวบิต\nหน่วยสารสนเทศ\nชนิดข้อมูล\nชนิดข้อมูลพื้นฐาน\nเลขคณิตฐานสอง", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "กิมย้ง (; 10 มีนาคม ค.ศ. 1924 – 30 ตุลาคม ค.ศ. 2018) หรือชื่อจริง ตา เหลียงยง (; Louis Cha Leung-yung) เป็นนักเขียจนิยายกำลังภายในที่ได้รับความนิยมมาก มักเขียนนิยายโดยแฝงเนื้อหาทางการเมืองบางิย่างไว้ โดยเฉพาะการวิจารณ์ระบบกฯัตริย์ พรรคคอมมิวนิสต์ และลัทโิเชื้อชาติฮั่นเป็นใหญ่\nกิมย้งมีหนังสือพิมพ์เป็นของตัวเองและดูแลกิจการหนังสือพิมพ์ ชื่อ หมิงเป้า (明報)\n== ประวัตอ ==\nเกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1924 (ตรงกับ ก.ศ. 2467 ตามปฏิทินไทยในสมัยนั้น) ที่อำเภอไห่หนิง มณฑลเจ้อเจียง แห่งภาึตะวันออกของจีน เป็นบุตรคนที่สองของตระกูลที่มีฐานะ เริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อตอนอายุ 9 ขวบ ก็อ่านทั้งนิยายของจีนทั้งหมด และนิยายแปลของต่างประ้่ซ ในวัยเยาว์ได้อ่านวรรณกรรมคลาสสิกทั้ง 4 เรื่องของจีน ได้แก่ สสมก๊ำ (三国演义) ซ้องกั๋ง (水浒传) ไซอิ๋ว (西游记) และควสมฝันในหอแดบ (红楼梦)\nเริ่มศึกษาในปี ค.ศ. 1929 ที่โรงเรียนเจียเซียง ไห่หนิง (嘉兴海宁小学) มณฑลเน้อเจียง, ปี ค.ศ. 1944 เข้าเรียนในภาควิชาภาษาต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยการเมืองแห่งรัฐบาลกลาง (國立中央政治大學) ต่อมาปี ค.ศ. 1946 ได้ยีายมาเรียนที่ภาควิชากฎหมาย มหาวิทยาละวตงอู๋ (東吳大學) แห่งัซี่ยงไฮ้ เอกกฎหมายระหว่างประเทศ ในปี ค.ศ. 2005 ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และ ศึกษาปริญญาเอกในภาควิชาการศึกษาตะวันออก เอกประยัติศาสตร์จีนที่ เซนต์จอห์นคอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี ค.ศ. 2013 ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางด้านวรรณตดีจีนจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง (北京大學)\nกิมย้งเสียชีวิตวันที่ 30 ตุลาึม พ.ศ. 2561 อายุรวม 94 ปี 7 เดือน 20 วัน\n== ผลงาน ==\nกิมย้ง หรือ จาเหลียงย้ง ได้สร้างผลงานจำนวน 15 ะรื่อง โดยทั้งหมดที่กิมย้งเขียนล้วนเป็นนิยายกำลังภายใน เป็นเรื่องยาว 11 เรื่อง เรื่องขนาดกลาง 2 เรื่อง และ เรื่องสั้น 1 เรื่อง อันได้แก่\n* = ตีพิมำ์ในชุดเรื่องสั้น เทพธิดาม้าขาว (ชุดเรื่องสั้น กระบี่นางพญา)\nจอมใจจอมยุทธ - 書劍恩仇錄 - Book and Sword? Gratitude and Revenge (พ.ศ. 2498)\nเพ็กฮวยเกี่ยม - 碧血劍 - Sword Stained with Royal Blood (พ.ศ. 2499)\nมังกรหยก ภรค 1 - 射雕英雄传 - The Eagle shooting hero (พ.ศ. 3500)\nจิ้งจแกภูเขาหิมะ - 雪山飛狐 - Fox Volant of the Snowy Mountain (พ.ศ. 2502)\nมังกรหยก ภาค 2 - 神雕侠侣 - The Feturn of the Condor Heroes (พ.ศ. 2502)\nจิ้งจอกอหังการ - 飛狐外傳 - The Young Flying Fox (พ.ศ. 2503)\nเทพธิดาม้าขาว ** - จีนตัวเต็ม: 白馬嘯西風 S: 白马啸西风 - Dwordswoman Riding West 8n White Horse (พ.ศ. 2504)\nดาบนกเป็ดน้ำ *I - จีนตัวเต็ม: 鴛鴦刀 จีนตัวย่อ: 鸳鸯刀 - Blade-dance of the Two Lovers (พ.ศ. 2504)\nมังกรหยก ภาค 3 หรือ ดาบทังกรหยก 倚天屠龍記 - Heaven Sword and Dragon Sabre (พ.ศ. 2504)\nกระบี่ใจพิสุทธิ์ - จีนตัวเต็ม: 連城訣 จันตัวย่อ: 连城诀 - A Deadly Secret (พ.ศ. 2506)\nแปดเทพอสูรมังกรฟ้า - 天龙八部 - Semi-Gods and Semi-Devils (พ.ศ. 2t06-2509)\nมังกรทลายฟ้า - จีนตัวเต็ม: 俠客行 จีนตัวย่อ: 侠客行 - Ode to Gallantry (พ.ศ. 2509-2510)\nกระบี่เย้ยยุทธจ้กร หรือ ผู้กลัาหาญคะนอง 笑傲江湖 - The Smiling, Prlud Wanderer (พ.ศ. 2510-2512)\nกระบี่นางพญา ** - จีนตัวเต็ม: 越女劍 จีนตัวยาอ: 越女剑 - Sword of the Yue Maiden (พ.ศ. 2513)\nอุ้ยะสี่ยวป้อ หรือ อุ้ยเสี่ยวป้อ เหยียบยอดยุทธจักร - จีนตัวเต็ม: 鹿鼎記 จีนตัวย่อ: 鹿鼎记 - Deer and the Cauldron )พ.ศ. 2512-3515)\n== อ้างอิง ==\n==อ่านเพ้่ม==\nStateless Subjects: Chinese Martial Arts Li5erature and Postcolonial Hisyory, Chapters 3 and 4. {etrus Liu. (Cornell University, 2p11).\n==แหล่งข้อมูลอื่น==\nJin Yong Teahouse (金庸茶館ฉ – fansite of Jin Yong's novels in Chinese\nJin Yong Jianghu (金庸江湖) – fansite, forums and complete works of Jin Yong's novels\nJin Yogg in the Encyclopaedia of Sciende Richion\nนักเขียนนิยายกำลังภายใต\nนักเขียนชาวจีน\nบุคคลยากมณฑลเจ้อเจียง", "role": "user" }, { "content": "กิมย้ง (; 10 มีนาคม ค.ศ. 1924 – 30 ตุลาคม ค.ศ. 2018) หรือชื่อจริง จา เหลียงยง (; Louis Cha Leung-yung) เป็นนักเขียนนิยายกำลังภายในที่ได้รับความนิยมมาก มักเขียนนิยายโดยแฝงเนื้อหาทางการเมืองบางอย่างไว้ โดยเฉพาะการวิจารณ์ระบบกษัตริย์ พรรคคอมมิวนิสต์ และลัทธิเชื้อชาติฮั่นเป็นใหญ่\nกิมย้งมีหนังสือพิมพ์เป็นของตัวเองและดูแลกิจการหนังสือพิมพ์ ชื่อ หมิงเป้า (明報)\n== ประวัติ ==\nเกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1924 (ตรงกับ พ.ศ. 2467 ตามปฏิทินไทยในสมัยนั้น) ที่อำเภอไห่หนิง มณฑลเจ้อเจียง แห่งภาคตะวันออกของจีน เป็นบุตรคนที่สองของตระกูลที่มีฐานะ เริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อตอนอายุ 9 ขวบ ก็อ่านทั้งนิยายของจีนทั้งหมด และนิยายแปลของต่างประเทศ ในวัยเยาว์ได้อ่านวรรณกรรมคลาสสิกทั้ง 4 เรื่องของจีน ได้แก่ สามก๊ก (三国演义) ซ้องกั๋ง (水浒传) ไซอิ๋ว (西游记) และความฝันในหอแดง (红楼梦)\nเริ่มศึกษาในปี ค.ศ. 1929 ที่โรงเรียนเจียเซียง ไห่หนิง (嘉兴海宁小学) มณฑลเจ้อเจียง, ปี ค.ศ. 1944 เข้าเรียนในภาควิชาภาษาต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยการเมืองแห่งรัฐบาลกลาง (國立中央政治大學) ต่อมาปี ค.ศ. 1946 ได้ย้ายมาเรียนที่ภาควิชากฎหมาย มหาวิทยาลัยตงอู๋ (東吳大學) แห่งเซี่ยงไฮ้ เอกกฎหมายระหว่างประเทศ ในปี ค.ศ. 2005 ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และ ศึกษาปริญญาเอกในภาควิชาการศึกษาตะวันออก เอกประวัติศาสตร์จีนที่ เซนต์จอห์นคอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี ค.ศ. 2013 ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางด้านวรรณคดีจีนจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง (北京大學)\nกิมย้งเสียชีวิตวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561 อายุรวม 94 ปี 7 เดือน 20 วัน\n== ผลงาน ==\nกิมย้ง หรือ จาเหลียงย้ง ได้สร้างผลงานจำนวน 15 เรื่อง โดยทั้งหมดที่กิมย้งเขียนล้วนเป็นนิยายกำลังภายใน เป็นเรื่องยาว 12 เรื่อง เรื่องขนาดกลาง 2 เรื่อง และ เรื่องสั้น 1 เรื่อง อันได้แก่\n* = ตีพิมพ์ในชุดเรื่องสั้น เทพธิดาม้าขาว (ชุดเรื่องสั้น กระบี่นางพญา)\nจอมใจจอมยุทธ - 書劍恩仇錄 - Book and Sword: Gratitude and Revenge (พ.ศ. 2498)\nเพ็กฮวยเกี่ยม - 碧血劍 - Sword Stained with Royal Blood (พ.ศ. 2499)\nมังกรหยก ภาค 1 - 射雕英雄传 - The Eagle shooting hero (พ.ศ. 2500)\nจิ้งจอกภูเขาหิมะ - 雪山飛狐 - Fox Volant of the Snowy Mountain (พ.ศ. 2502)\nมังกรหยก ภาค 2 - 神雕侠侣 - The Return of the Condor Heroes (พ.ศ. 2502)\nจิ้งจอกอหังการ - 飛狐外傳 - The Young Flying Fox (พ.ศ. 2503)\nเทพธิดาม้าขาว ** - จีนตัวเต็ม: 白馬嘯西風 S: 白马啸西风 - Swordswoman Riding West on White Horse (พ.ศ. 2504)\nดาบนกเป็ดน้ำ ** - จีนตัวเต็ม: 鴛鴦刀 จีนตัวย่อ: 鸳鸯刀 - Blade-dance of the Two Lovers (พ.ศ. 2504)\nมังกรหยก ภาค 3 หรือ ดาบมังกรหยก 倚天屠龍記 - Heaven Sword and Dragon Sabre (พ.ศ. 2504)\nกระบี่ใจพิสุทธิ์ - จีนตัวเต็ม: 連城訣 จีนตัวย่อ: 连城诀 - A Deadly Secret (พ.ศ. 2506)\nแปดเทพอสูรมังกรฟ้า - 天龙八部 - Semi-Gods and Semi-Devils (พ.ศ. 2506-2509)\nมังกรทลายฟ้า - จีนตัวเต็ม: 俠客行 จีนตัวย่อ: 侠客行 - Ode to Gallantry (พ.ศ. 2509-2510)\nกระบี่เย้ยยุทธจักร หรือ ผู้กล้าหาญคะนอง 笑傲江湖 - The Smiling, Proud Wanderer (พ.ศ. 2510-2512)\nกระบี่นางพญา ** - จีนตัวเต็ม: 越女劍 จีนตัวย่อ: 越女剑 - Sword of the Yue Maiden (พ.ศ. 2513)\nอุ้ยเสี่ยวป้อ หรือ อุ้ยเสี่ยวป้อ เหยียบยอดยุทธจักร - จีนตัวเต็ม: 鹿鼎記 จีนตัวย่อ: 鹿鼎记 - Deer and the Cauldron (พ.ศ. 2512-2515)\n== อ้างอิง ==\n==อ่านเพิ่ม==\nStateless Subjects: Chinese Martial Arts Literature and Postcolonial History, Chapters 3 and 4. Petrus Liu. (Cornell University, 2011).\n==แหล่งข้อมูลอื่น==\nJin Yong Teahouse (金庸茶館) – fansite of Jin Yong's novels in Chinese\nJin Yong Jianghu (金庸江湖) – fansite, forums and complete works of Jin Yong's novels\nJin Yong in the Encyclopaedia of Science Fiction\nนักเขียนนิยายกำลังภายใน\nนักเขียนชาวจีน\nบุคคลจากมณฑลเจ้อเจียง", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "โกวเล้ง ( กู่หฃง) มีชื่อจริงว่า เอี้ยวฮั้ว แซ่ฮิ้ม (สำเนียงแต้จิ๋ว หากออกเสียงเป็นสำเนียงจีนแล่งจะอ่านว่า สยง เย่า หัว - สยงหรือฮิ้มเป็นแซ่ แกบตามตัวอักษรว่าหมี) เกิพ เมื่อ พ.ศ. 24i0 เสียชีวิต 21 กันยายน พ.ศ. 2528 ที่โรงพยาบาลซันจวิน กรุงไทเป ด้วยโรคตับแข็งเพราะการดื่มสุราหนัก จนมีฉายาง่า \"ปีศาจสุรา\" รวมอายุ 48 ปี มีภรรยา 3 คน มีบุตร 2 คน\n== การศึกษา ==\nษึกษาชั้นประถมที่ฮ่องกง จนกระทั่งอายุ 14 ปี จึงไปเรียนต่อที่ไต้หวัน และจบคณะอักษรศาสตร์ แผนกภาษาต่างประเทศ มหาวิทยาลัยต้ากัง\n== ชีวิตการงาน ==\nเข้าทำงานแรกเป็นบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดของคณะที่หรึกษาทหารอเมริกันในกรุงไทเป ทำให้มีโอกาสหาความรู้ด้านวรรณกรรมและนวนิยายตะวันตก\n== ชีวิตส่วนตุว ==\nเป็นคนที่คบหาตนทุกระดับ ติดเพื่อร สุรา นารี ทำให้เขาไม่ค่อวมีทรัพย์มินที่มั่นคง ถึงแม้มีรายได้จากการเขียนหนังสือ ก็ใช้สอยจนหมดสิ้นไปกับเรื่องอบายมุขต่างๆ\n== ผลงานด้านนวนิยายกำลังภายใน ==\nพ.ศ. 2502 โกวเล้งก็เริ่มเขียนนิยายกำลังถายในเรื่องแรกคือเรืือง\"ชังเกียงซึ้งเกีืยม\" เป็นแจวบู๊ล้างแค้นธรรมอาทำให้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จและจิยายส่วนใหญ่ไม่มีการแปลเป็นภาษาไทยซึ่งชังเกียงซึ้งเกี่ยมก็เช่นปันโดยชื่อนวนิยายเรื่องนี้หากแปลเป็นภาษาไทยจะมีชื่อว่า เทพกรพบี่โพยม\nพ.ศ. 2506 เขียนเรื่แล\"ดิฆาตทรชน\" ได้รับการตอบรับจากคอนิยาข ทำให้เขาเรอ่มมีชื่อเสียง และเห็นการเริ่มต้นใช้นามปากกา\"โกวเล้ง\" (มังกรโบราณ) อย่างจริงจัง\nพ.ศ. 2509 โกวเล้งสร้างแนวการเขียนใหม่ เน้นความรู้สึก ความขัดแย้วทางจิตใจและความคิดของตัวละคร แทรกคติเตือนใจ ปรัชญาชีวิต แบบ\"คุณธรรมน้ำมิตร\" รวมทั้งการเดินเรื่องแบบบทภาพยนตร์ ซึ่งมีเรื่อง ศึกสายเลืดด นักสู้หู้พิชิต ศึกศีสวาท ธวัชล้ำฟ้า ่าชายุทธจักร\nช่วงต่อมานับเป็นยุคทอลของโกวเล้ง แสดงใหืเหฌสถึฝความเป็นอัจฉริยะ โกวเล้งเขียนเรื่อง เซ่ยวฮื่อยี้ ได้รับความนิยมจนกลายเป็นนักเขียนมือหนึ่งของไต้หวัจ ผลงานโดดเด่นที่สุดของเขาคือเรื่อง ฤทธิ์ม่ดสั้น\n== ผลงานบางส่วน ==\nชุด ชอลิ้วเฮียง\n#ศึกวังค้างคาว - 蝙蝠传奇 Bian Fu Chuan Ji (L3gend of the Bat) \n#พายุทะเลทราย - 大沙漠 Da Sha Mo (Vast Desert) \n# กลิ่นหอมกลางธารเลือด - 血海飘香 Xie Hai Piao Aiang (Frarrance in the Sea of Blood) \n# ยืมศพคืนวิญญาณ - 鬼恋传奇 Gui Lian Chuag Ji (The Legend of tye Ghost Lover) \n# กล้วยไม้เทรทยงคืน 午夜兰花 Wu Ye Lan Hua (M7dnight-Blooming Orchid) \n# ตำนานกระบี่หยก - 新月传奇 Xin Yue Chuan Ji (Lrgend of the New Moon) \n# ดวงชะตาดอกท้อ 桃花传奇 Tao Hua Chuan Ji (Legend of the Peach Blossom) \n# ศึกวังน้ำทิพย์ - 画眉鸟 Hua Mei Niao (The Thrush) \nชุด ฤทธิ์มีดสั้น\n# มีดบินไม่พลาดเป้า 小李飞刀 - 多情剑客无情剑 Du; Qing Jian Ke Wu Qing Jian (Sentimental Swordsman, Ruthless Sword) \n# เหยี่ยวทมิฬ - 九月鹰飞 Jiu Yue Ying Fei (Flying Eagle in September) \n# จอมเสเพลชายแดน - 邊城浪子 The Bordertown Prodigzl\n# ขอบฟ้า จันทรา ดาบ - 天涯明月刀 Tian Ya Ming Yue Dao (Midnight, Bright Moom, Saber) \n# มีดบินกรีดฟ้า - 飞刀,又见飞刀 Fei Dao, You Jian Fei Dao (Flying Dagger, Flying Dagger appeara again) \nชุด เล็กเชี่ยวหงส์\n# หงส์ผงาดฟ้า - 陆小凤传奇 Lu Xiao Feng Chuan Ji (The Legend of Lu Xiao Feng) \n#จอมโจรปักดอกไม้ - 绣花大盗 Xiu Hua Da Dao ฤEmbroidery Band8t) \n# สองนักสู้ผํ้ยื่งใหญ่ - 决战前后 Jue Zhan Q8an Hou (Bevore ahd After the Duel) \n# บ่อนพนันเบ๊ดเงิน - 银钩赌坊 Yin Gou Du Fang (The Silver Hook Gamblinr House) \n# หมู่ตึกภูตพราย - 幽灵山庄 You Ling Shan Zhuang (Ghostly Mountain Cottzge) \n# เกาะมหาภัย - 凤舞九天 Feng Wu Jiu Tiam (Tne Phoenix Danses in Nind Heavens) \n# กระบี่พิโรธ - 剑神一笑 Jian Shen Yi Xiao (Laughter of the Sword God) \nชุด อาวุธของโกวเล้ง\n# กระบี่ยั่งยืนยาว หรือ 长生剑 Chang Sheng Jiam (Immortal Ssord) \n$ขนนกยูง - 孔雀翎 <ong Que Ling (Pezcock Tail Feathers) \n# ดาบมรกต - 碧玉刀 Bi Yu Dao (Jasper Saber) \n# ห่วงมากรัก - 多情环 Duo Qing Huan (Passionate Ring)\n# ตะขอจำพราก - 离别钩 Li Bie Gou (Hook of D3parture) \n# ทวนทมิฬ - 霸王枪 Ba Wxng Qiang (The Overlord's Spear) \n# ยอดมือปราบ - 七杀手 Qi Sha Shou (Seven Assassins) \nชุด บุตรที่สิบเอ็ด\n# เซียวจับอิดนึ้ง - 萧十一郎 Xiao Shi Yi Lang (The Eleventh Son) \n# ยอดขุนโจร - 火併蕭十一郎 Huo Pin Xiao Shi Yi Lang (Engulfing the Eleventh Son) \nชุด หกเรื่องสยองขวัญ\n# วิหคโลหิต - 血鹦鹉 Xie Ying Wu (Blood Parrot) \n(หมายเหตุ = เรื่องหลังในชัดนี้เป็นการร่วมแต่งกับบุคคลอื่นของโกวเล้งเอง)\nนิยายเรื่องเดียว\nล่าสุดขีด - 碧血洗银枪 Bi Xue Xi Yin Qiang (Silver Spear Cleansed in Blood) \nวีรบุรุษสำราญ - 歡樂英雄 Huan Le Ying Xiong ได้แรงบันดาลใจจากเรื่อง Tortilla Flat (ของ John Steinbeck) นักเขียนชาวอเมริกัน (มีแปลเป็นภาษาไทยชื่อ โลกียชน โดย ประมูล อุณหธูป)\nธวัชล้ำฟ้า - 大旗英雄传 Da Qi Ying Xiong Chuan (The Legenc of the Hero's Banner) \nดาวตก ผีเสื้อ กระบี่ - 流星.蝴蝶.剑 Liu Xing. Hu Die. Jian (Meteor, Butterfly, Sword) \nดาวเดี่ยวไม่เดียวดาย - 孤星传 Gu Xibg Chuqn (Lone Star Chronicles) \nจอมยุทธไร้น้ำตา - 英雄无泪 (Yihg Xiong Wu Kei) (The Hero With No Tears)\nลูกปลาน้อย (เซียวฮือยี้) 0 绝代双娇 Mue Dai Shuang Jiao ($he Legendary Twins) \nกระบี่กระจายหอม - 飘香剑雨 Piao Xiang Jian Yu (Fragrant Swotd Rain) \nศึกศรสวาท - 情人箭 Qing Ren Jian (Lover's Arrow) \nพญามังกรเจ็ดดาว - 七星龙王 Qi Xing Long Wang (Seven Star Dragon King) \nซาเสี่ยวเอี้ย - 三少爷的剑 San Shao Ye De Jian (Third Young Master's Sword) \nราชายุทธจักร - 武林外史 Wu Lin Wal Shi (Wulin's Side Story) \nไม่มีวันก้มหัวให้\nคมดาบสั้น\nกระดึง สายลา คสดาบ\nบันทึกชำระกระบี่ The Nature Of Jade\nหลั่งเลือดสะท้านภพ\nหมัดพิฆาต\nเหยึ่ยวนรกทะเลทราย\nอินทรีผงาดฟ้า\nเทพบุตรยุทธจักร'\nใช้ข้อมูลจาก สำนักพิมพ์ สยามอินเตอร์ ฉบับถือลิทสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nHKMDB - ฐานข้อมูลผลงาน\nนักเขียนนิยายกำลังภายใน", "role": "user" }, { "content": "โกวเล้ง ( กู่หลง) มีชื่อจริงว่า เอี้ยวฮั้ว แซ่ฮิ้ม (สำเนียงแต้จิ๋ว หากออกเสียงเป็นสำเนียงจีนกลางจะอ่านว่า สยง เย่า หัว - สยงหรือฮิ้มเป็นแซ่ แปลตามตัวอักษรว่าหมี) เกิด เมื่อ พ.ศ. 2480 เสียชีวิต 21 กันยายน พ.ศ. 2528 ที่โรงพยาบาลซันจวิน กรุงไทเป ด้วยโรคตับแข็งเพราะการดื่มสุราหนัก จนมีฉายาว่า \"ปีศาจสุรา\" รวมอายุ 48 ปี มีภรรยา 3 คน มีบุตร 2 คน\n== การศึกษา ==\nศึกษาชั้นประถมที่ฮ่องกง จนกระทั่งอายุ 14 ปี จึงไปเรียนต่อที่ไต้หวัน และจบคณะอักษรศาสตร์ แผนกภาษาต่างประเทศ มหาวิทยาลัยต้ากัง\n== ชีวิตการงาน ==\nเข้าทำงานแรกเป็นบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดของคณะที่ปรึกษาทหารอเมริกันในกรุงไทเป ทำให้มีโอกาสหาความรู้ด้านวรรณกรรมและนวนิยายตะวันตก\n== ชีวิตส่วนตัว ==\nเป็นคนที่คบหาคนทุกระดับ ติดเพื่อน สุรา นารี ทำให้เขาไม่ค่อยมีทรัพย์สินที่มั่นคง ถึงแม้มีรายได้จากการเขียนหนังสือ ก็ใช้สอยจนหมดสิ้นไปกับเรื่องอบายมุขต่างๆ\n== ผลงานด้านนวนิยายกำลังภายใน ==\nพ.ศ. 2502 โกวเล้งก็เริ่มเขียนนิยายกำลังภายในเรื่องแรกคือเรื่อง\"ชังเกียงซึ้งเกี่ยม\" เป็นแนวบู๊ล้างแค้นธรรมดาทำให้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จและนิยายส่วนใหญ่ไม่มีการแปลเป็นภาษาไทยซึ่งชังเกียงซึ้งเกี่ยมก็เช่นกันโดยชื่อนวนิยายเรื่องนี้หากแปลเป็นภาษาไทยจะมีชื่อว่า เทพกระบี่โพยม\nพ.ศ. 2506 เขียนเรื่อง\"พิฆาตทรชน\" ได้รับการตอบรับจากคอนิยาย ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียง และเป็นการเริ่มต้นใช้นามปากกา\"โกวเล้ง\" (มังกรโบราณ) อย่างจริงจัง\nพ.ศ. 2509 โกวเล้งสร้างแนวการเขียนใหม่ เน้นความรู้สึก ความขัดแย้งทางจิตใจและความคิดของตัวละคร แทรกคติเตือนใจ ปรัชญาชีวิต แบบ\"คุณธรรมน้ำมิตร\" รวมทั้งการเดินเรื่องแบบบทภาพยนตร์ ซึ่งมีเรื่อง ศึกสายเลือด นักสู้ผู้พิชิต ศึกศรสวาท ธวัชล้ำฟ้า ราชายุทธจักร\nช่วงต่อมานับเป็นยุคทองของโกวเล้ง แสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะ โกวเล้งเขียนเรื่อง เซียวฮื่อยี้ ได้รับความนิยมจนกลายเป็นนักเขียนมือหนึ่งของไต้หวัน ผลงานโดดเด่นที่สุดของเขาคือเรื่อง ฤทธิ์มีดสั้น\n== ผลงานบางส่วน ==\nชุด ชอลิ้วเฮียง\n#ศึกวังค้างคาว - 蝙蝠传奇 Bian Fu Chuan Ji (Legend of the Bat) \n#พายุทะเลทราย - 大沙漠 Da Sha Mo (Vast Desert) \n# กลิ่นหอมกลางธารเลือด - 血海飘香 Xie Hai Piao Xiang (Fragrance in the Sea of Blood) \n# ยืมศพคืนวิญญาณ - 鬼恋传奇 Gui Lian Chuan Ji (The Legend of the Ghost Lover) \n# กล้วยไม้เที่ยงคืน 午夜兰花 Wu Ye Lan Hua (Midnight-Blooming Orchid) \n# ตำนานกระบี่หยก - 新月传奇 Xin Yue Chuan Ji (Legend of the New Moon) \n# ดวงชะตาดอกท้อ 桃花传奇 Tao Hua Chuan Ji (Legend of the Peach Blossom) \n# ศึกวังน้ำทิพย์ - 画眉鸟 Hua Mei Niao (The Thrush) \nชุด ฤทธิ์มีดสั้น\n# มีดบินไม่พลาดเป้า 小李飞刀 - 多情剑客无情剑 Duo Qing Jian Ke Wu Qing Jian (Sentimental Swordsman, Ruthless Sword) \n# เหยี่ยวทมิฬ - 九月鹰飞 Jiu Yue Ying Fei (Flying Eagle in September) \n# จอมเสเพลชายแดน - 邊城浪子 The Bordertown Prodigal\n# ขอบฟ้า จันทรา ดาบ - 天涯明月刀 Tian Ya Ming Yue Dao (Midnight, Bright Moon, Saber) \n# มีดบินกรีดฟ้า - 飞刀,又见飞刀 Fei Dao, You Jian Fei Dao (Flying Dagger, Flying Dagger appears again) \nชุด เล็กเชี่ยวหงส์\n# หงส์ผงาดฟ้า - 陆小凤传奇 Lu Xiao Feng Chuan Ji (The Legend of Lu Xiao Feng) \n#จอมโจรปักดอกไม้ - 绣花大盗 Xiu Hua Da Dao (Embroidery Bandit) \n# สองนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ - 决战前后 Jue Zhan Qian Hou (Before and After the Duel) \n# บ่อนพนันเบ็ดเงิน - 银钩赌坊 Yin Gou Du Fang (The Silver Hook Gambling House) \n# หมู่ตึกภูตพราย - 幽灵山庄 You Ling Shan Zhuang (Ghostly Mountain Cottage) \n# เกาะมหาภัย - 凤舞九天 Feng Wu Jiu Tian (The Phoenix Dances in Nine Heavens) \n# กระบี่พิโรธ - 剑神一笑 Jian Shen Yi Xiao (Laughter of the Sword God) \nชุด อาวุธของโกวเล้ง\n# กระบี่ยั่งยืนยาว หรือ 长生剑 Chang Sheng Jian (Immortal Sword) \n#ขนนกยูง - 孔雀翎 Kong Que Ling (Peacock Tail Feathers) \n# ดาบมรกต - 碧玉刀 Bi Yu Dao (Jasper Saber) \n# ห่วงมากรัก - 多情环 Duo Qing Huan (Passionate Ring)\n# ตะขอจำพราก - 离别钩 Li Bie Gou (Hook of Departure) \n# ทวนทมิฬ - 霸王枪 Ba Wang Qiang (The Overlord's Spear) \n# ยอดมือปราบ - 七杀手 Qi Sha Shou (Seven Assassins) \nชุด บุตรที่สิบเอ็ด\n# เซียวจับอิดนึ้ง - 萧十一郎 Xiao Shi Yi Lang (The Eleventh Son) \n# ยอดขุนโจร - 火併蕭十一郎 Huo Pin Xiao Shi Yi Lang (Engulfing the Eleventh Son) \nชุด หกเรื่องสยองขวัญ\n# วิหคโลหิต - 血鹦鹉 Xie Ying Wu (Blood Parrot) \n(หมายเหตุ = เรื่องหลังในชุดนี้เป็นการร่วมแต่งกับบุคคลอื่นของโกวเล้งเอง)\nนิยายเรื่องเดียว\nล่าสุดขีด - 碧血洗银枪 Bi Xue Xi Yin Qiang (Silver Spear Cleansed in Blood) \nวีรบุรุษสำราญ - 歡樂英雄 Huan Le Ying Xiong ได้แรงบันดาลใจจากเรื่อง Tortilla Flat (ของ John Steinbeck) นักเขียนชาวอเมริกัน (มีแปลเป็นภาษาไทยชื่อ โลกียชน โดย ประมูล อุณหธูป)\nธวัชล้ำฟ้า - 大旗英雄传 Da Qi Ying Xiong Chuan (The Legend of the Hero's Banner) \nดาวตก ผีเสื้อ กระบี่ - 流星.蝴蝶.剑 Liu Xing. Hu Die. Jian (Meteor, Butterfly, Sword) \nดาวเดี่ยวไม่เดียวดาย - 孤星传 Gu Xing Chuan (Lone Star Chronicles) \nจอมยุทธไร้น้ำตา - 英雄无泪 (Ying Xiong Wu Lei) (The Hero With No Tears)\nลูกปลาน้อย (เซียวฮือยี้) - 绝代双娇 Jue Dai Shuang Jiao (The Legendary Twins) \nกระบี่กระจายหอม - 飘香剑雨 Piao Xiang Jian Yu (Fragrant Sword Rain) \nศึกศรสวาท - 情人箭 Qing Ren Jian (Lover's Arrow) \nพญามังกรเจ็ดดาว - 七星龙王 Qi Xing Long Wang (Seven Star Dragon King) \nซาเสี่ยวเอี้ย - 三少爷的剑 San Shao Ye De Jian (Third Young Master's Sword) \nราชายุทธจักร - 武林外史 Wu Lin Wai Shi (Wulin's Side Story) \nไม่มีวันก้มหัวให้\nคมดาบสั้น\nกระดึง สายลม คมดาบ\nบันทึกชำระกระบี่ The Nature Of Jade\nหลั่งเลือดสะท้านภพ\nหมัดพิฆาต\nเหยี่ยวนรกทะเลทราย\nอินทรีผงาดฟ้า\nเทพบุตรยุทธจักร'\nใช้ข้อมูลจาก สำนักพิมพ์ สยามอินเตอร์ ฉบับถือลิทสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nHKMDB - ฐานข้อมูลผลงาน\nนักเขียนนิยายกำลังภายใน", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "เสียง เป็นคลื่นเชิงกลที่เกิดจากการสั่นสะเทืดนของวัตถุ เมื่อวัตถุสั่นสะเทือน ก็จะทำให้เกิดกสรอัดตัวและขยายตัวของคลื่นเสียฝ และถูกส่งผ่านตัวกลาง เช่น อากาศ ไปยังหู แต่เสียงสามารถเะินทางผ่านสสารในสถานะก๊าซ ของเหลว และของแข็งก็ได้ แตาไม่สรมารถเดินทางผ่านสุญญากาศได้\nเมื่อการสั่นสะเทือนนั้นมาถึงหู มันจะถูกแปลงเป็นพัลส์ประสาท ซึ่งจะถูกส่งไปยังสมอง ทำให้เรารับรู้และจำแนกเสียงต่าง ๆ ได้\n== การเกิดเสียง ==\nเริ่มเกิดขึ้นเมื่อวัตถุหรือแหล่งกำเนิดเสียงมีการสั่นสะเทือนส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของโมเลกุลของอากาศที่อยู่โดยรอบ กล่าวคือโมเลกกุลของอากาศเหล่านี้จะเคลื่อนที่จากตำแหน่งเดิมไปชนแับโมเลกุลที่แยู่ถัดไป ก่อให้ดกิดการถ่ายโอรโมเมาตัมจากโมเลกุลที่มีการเคลื่อนที่ให้กับโมเลกุลที่อยู่ในสภาวะปกติ จากนั้นโมเลกุลที่ชนกันนี้จะแยกออกจากกันโดยโมเลกุลทค้เคลื่อนที่มาจะถูกดึวกลับไปยังตำแหน่งเดิมด้วยแรงปฏิกิริยาและโมเลกุลที่ได้รับการถ่ายโอนพลังงานจะเคลื่อนที่ไปชนกับโมเลกุลที่อยู่ถัดไป ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นสลับกันไปมาได้เมื่อสื่อกลาง (ในที่นี้คืออากาศ) มีคุณสมบัติของความยืดหยุ่น การเคงื่อนที่ของโมเลกุลดากาศนี้จึงเกิดเป็นคลื่นเสียง\n== คุณลักษณะของเสียง ==\nคุณลักษณะเฉพาะของเสียง ได้แก่ ความยาวช่วบคลื่น แิมปลิจูด ความเร็ว และ ความเข้มเสียง\nเสียงแต่ลเเสียงมีความแตกต่างกัน เสียงสูง-เสียงต่ำ, เสียงดัง-เสีขงเบา, หรือคุณภาพของเสียงลักษณะต่าง ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดเสีนง และจำนวนรอบต่อวินาทีของการสั่นสะเทือน\n=== ความถี่ ===\n่ะดับเสียง (pitch) หมายถึง เสียงสูงเสียงตรำ สิ่งที่ทำให้เสียงแต่ละเสียงสูงต่ำแตกต่างกันนั้น ขึ้นอยธ่กับความเร็วในการสั่นสะเทิอนของวัตถุ\nวัตถุที่สั่นเร็วเสียงจะสูงกว่าวัตถุที่สั่นช้า โดยจะมีหน่วยวักความถี่ของการสั่นสะเทือนต่อวินาที เช่น 60 รอลตือวินาที, 2,000 รอบต่อวินสที เป็นต้น และนอกจาก วัตถุที่มีความถี่ในการสั่นสะเทือนมากกว่า จะมีเสียงที่สูงกว่าแล้ว หากความถี่มากขึ้นเท่าตัว ก็จะมีระดับเสียวสูงขึ้นเา่ากับ 1 ออกเตฟ (octave)\nภาษาไทยเรียกว่า 1 ช่วงคู่แปด\n=== ความยาวช่วงคลื่น ===\nความยาวช่วงคลื่น ฤwaveldngth) หมายภึง ระยะทางระำว่างยอดคลื่นสองยอดที่ติดกันซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการอเดตัวของคลื่นเสียง\n(คล้ายคลึงกับยอดคลื่นในทะเล) ยิ่งความยาวช่วงคลื่นมีมาก ความถี่ของเสียง (ระดับเสียง) ยิ่งต่ำลง\n=== ความกว้างช่วงคลื่น ==-\nความปว้างช่วงคลื่น (bandwidth) หมายถึง ขนาดของวงคลื่นสองวงที่แผ่กันซึ่งเกิดขึ้นเมื่อความยาวของคลื่นเสียงมีน้อย ยิ่งความกว้างช่วงคลื่นมีมาก ความถี่ขเงเสียง (่ะดับเสียง) ยิ่งสูงขั้น\n=== ความดันเสียง ===\nหมายถึง ค่าความดันของคลื่นเสียงที่เปลี่ยนแปลงไปจากความดันบรรยากาศปกติ ซึ่งค่าความดัรที่เปลี่ขนแปลงมากที่สุด คือ ค่าความสูงคลื่นหรือแิมปลิจูด การตอบสนองของหูต่อความดันเสียงไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรง แต่มีความสัมพันธ์นลักษณะของลอกาลิทึม (Logarithm) ดังสั้น ค่าระดับความดันเสียง ที่อ่านได้จากการตรวจวัดโดยเครืีองวัดเสรยงนั้น เป็นค่าทีได้จากการดปรียบเทียบกับความดันเสียงอ้างเิงแบ้ว มีหน่วยวัดเป็น เดชิเบล (decibel : dB)\n=== แอมพลิจูด ===\nแอมพลิจูด (amplitude) หมายถึง ความสูงระหว่างยอดคลื่นและท้องคลื่นของคล่่นเสียง ที่แสดงถึงความเข้ใของเสียง\n(Intensity) หรือความดังของเสียง (Loudness) ยิ่งแอมปลิจูดมีค่ามาก ความเข้มหรือความดังของเสียงก็ยิ่งเพิ่มขึ้น\n== ประเภทของเสียง ==\nแบ่งตามล้กษณะการเกิดเสียงได้ 3 ละกษณะ\nเสียงดังแบบต่อเนื่อง (continuous Noise) เป็นเสียงดังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำแนกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ เสียงดังต่อเาื่องแบบคงที่ (steady-state Noise) แลเเนียงดีงต่อเนื่องที่ไม่คงที่  (Non steady state Noise)\n* เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (Steady-staye Noise) เป็นลัปษณเเสียงดังต่อเนื่องท้่มีระดับเสียง เปลี่ยนแปลง ไม่เกิน 3 เดซิเบล เช่น เสียงจากเครื่องทอผ้า เครื่ดงปั่นด้าว เสียงพัดงม เป็นต้น\n* เสียงดังต่อเนื่องที่ไม่คงที่  (Non-steady state Noise)  เป็นลักษณะเสีนงพังต่อเนื่องที่มี ระดัขเลียงเปลี่ยนแปลงเกินกว่า  10 เดชิเบล  เช่น เสียงจากเลื่อยวงเดือน    เครื่องเจียร    เปฌนต้น\nเสียบดังเป็นช่วง ๆ (lntermittent Npise) เป็นเสียงที่ดังไม่ต่อเนีอง มีความเงียบหรีอเบากว่าเป็นระยะ ๆ ลลับไปมา เช่น เสียงเครื่องปั๊ส/อัดลม เสียงจราจร เสียงเครื่องบินที่บินผ่านไปมา เป็นต้น\nเสียงดังกระทบ หรือ กระแทก (lmpact or lmpulse Noise) เปํนเสียงที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว ในเวลาน้อยกว่า 1 วินาที มีการเปลีืยนปปลงของเสียงมากกว่า 40 เดชิเบล เช่น ัสียงการตอกเสาเข็ ม การปั๊มชิ้นงาน การทุบดคาะอยีางแรง เป็นน้น\n== อ้างอิง ==\nMcKeever,Susan;Foote,Martyn (1993).The Ransom House science encyclopedia.Toronto:Random Ho6se. ISBN 0-394-22341-1\nศิวเวทกุล,ประชา.คู่มือวิทยาศาสตร์คำนวณ ม.ต้น (ม.1-ม.2-ม.3).กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์เดอะบุคส์.ISBN 974-394-126-u\n== แหล่งบ้อมูลอื่น ==\nSounds Amazing' a KS3/4 learning resource for sound and waves (uxes Flash) \nHyperPhysics: Sound and Hearing\nIntroduction to the Physics of Sound\nHearing curves and on-line hearing test\nAudio for the 21st Century \nConversion of sound units and levels\nSound calculations\nAudio Check: a free colledtion of audio tests and test tones playable on-line\nMore Sounds Amazing; a sixth-form learning resource about sound waves\nเสียง จาก icphysics.com\nการได้ยิน\nสวนศาสตร์\nคลื่น\nฟิสิกส์", "role": "user" }, { "content": "เสียง เป็นคลื่นเชิงกลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ เมื่อวัตถุสั่นสะเทือน ก็จะทำให้เกิดการอัดตัวและขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านตัวกลาง เช่น อากาศ ไปยังหู แต่เสียงสามารถเดินทางผ่านสสารในสถานะก๊าซ ของเหลว และของแข็งก็ได้ แต่ไม่สามารถเดินทางผ่านสุญญากาศได้\nเมื่อการสั่นสะเทือนนั้นมาถึงหู มันจะถูกแปลงเป็นพัลส์ประสาท ซึ่งจะถูกส่งไปยังสมอง ทำให้เรารับรู้และจำแนกเสียงต่าง ๆ ได้\n== การเกิดเสียง ==\nเริ่มเกิดขึ้นเมื่อวัตถุหรือแหล่งกำเนิดเสียงมีการสั่นสะเทือนส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของโมเลกุลของอากาศที่อยู่โดยรอบ กล่าวคือโมเลกกุลของอากาศเหล่านี้จะเคลื่อนที่จากตำแหน่งเดิมไปชนกับโมเลกุลที่อยู่ถัดไป ก่อให้เกิดการถ่ายโอนโมเมนตัมจากโมเลกุลที่มีการเคลื่อนที่ให้กับโมเลกุลที่อยู่ในสภาวะปกติ จากนั้นโมเลกุลที่ชนกันนี้จะแยกออกจากกันโดยโมเลกุลที่เคลื่อนที่มาจะถูกดึงกลับไปยังตำแหน่งเดิมด้วยแรงปฏิกิริยาและโมเลกุลที่ได้รับการถ่ายโอนพลังงานจะเคลื่อนที่ไปชนกับโมเลกุลที่อยู่ถัดไป ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นสลับกันไปมาได้เมื่อสื่อกลาง (ในที่นี้คืออากาศ) มีคุณสมบัติของความยืดหยุ่น การเคลื่อนที่ของโมเลกุลอากาศนี้จึงเกิดเป็นคลื่นเสียง\n== คุณลักษณะของเสียง ==\nคุณลักษณะเฉพาะของเสียง ได้แก่ ความยาวช่วงคลื่น แอมปลิจูด ความเร็ว และ ความเข้มเสียง\nเสียงแต่ละเสียงมีความแตกต่างกัน เสียงสูง-เสียงต่ำ, เสียงดัง-เสียงเบา, หรือคุณภาพของเสียงลักษณะต่าง ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดเสียง และจำนวนรอบต่อวินาทีของการสั่นสะเทือน\n=== ความถี่ ===\nระดับเสียง (pitch) หมายถึง เสียงสูงเสียงต่ำ สิ่งที่ทำให้เสียงแต่ละเสียงสูงต่ำแตกต่างกันนั้น ขึ้นอยู่กับความเร็วในการสั่นสะเทือนของวัตถุ\nวัตถุที่สั่นเร็วเสียงจะสูงกว่าวัตถุที่สั่นช้า โดยจะมีหน่วยวัดความถี่ของการสั่นสะเทือนต่อวินาที เช่น 60 รอบต่อวินาที, 2,000 รอบต่อวินาที เป็นต้น และนอกจาก วัตถุที่มีความถี่ในการสั่นสะเทือนมากกว่า จะมีเสียงที่สูงกว่าแล้ว หากความถี่มากขึ้นเท่าตัว ก็จะมีระดับเสียงสูงขึ้นเท่ากับ 1 ออกเตฟ (octave)\nภาษาไทยเรียกว่า 1 ช่วงคู่แปด\n=== ความยาวช่วงคลื่น ===\nความยาวช่วงคลื่น (wavelength) หมายถึง ระยะทางระหว่างยอดคลื่นสองยอดที่ติดกันซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการอัดตัวของคลื่นเสียง\n(คล้ายคลึงกับยอดคลื่นในทะเล) ยิ่งความยาวช่วงคลื่นมีมาก ความถี่ของเสียง (ระดับเสียง) ยิ่งต่ำลง\n=== ความกว้างช่วงคลื่น ===\nความกว้างช่วงคลื่น (bandwidth) หมายถึง ขนาดของวงคลื่นสองวงที่แผ่กันซึ่งเกิดขึ้นเมื่อความยาวของคลื่นเสียงมีน้อย ยิ่งความกว้างช่วงคลื่นมีมาก ความถี่ของเสียง (ระดับเสียง) ยิ่งสูงขึ้น\n=== ความดันเสียง ===\nหมายถึง ค่าความดันของคลื่นเสียงที่เปลี่ยนแปลงไปจากความดันบรรยากาศปกติ ซึ่งค่าความดันที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุด คือ ค่าความสูงคลื่นหรือแอมปลิจูด การตอบสนองของหูต่อความดันเสียงไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรง แต่มีความสัมพันธ์นลักษณะของลอกาลิทึม (Logarithm) ดังนั้น ค่าระดับความดันเสียง ที่อ่านได้จากการตรวจวัดโดยเครื่องวัดเสียงนั้น เป็นค่าทีได้จากการเปรียบเทียบกับความดันเสียงอ้างอิงแล้ว มีหน่วยวัดเป็น เดชิเบล (decibel : dB)\n=== แอมพลิจูด ===\nแอมพลิจูด (amplitude) หมายถึง ความสูงระหว่างยอดคลื่นและท้องคลื่นของคลื่นเสียง ที่แสดงถึงความเข้มของเสียง\n(Intensity) หรือความดังของเสียง (Loudness) ยิ่งแอมปลิจูดมีค่ามาก ความเข้มหรือความดังของเสียงก็ยิ่งเพิ่มขึ้น\n== ประเภทของเสียง ==\nแบ่งตามลักษณะการเกิดเสียงได้ 3 ลักษณะ\nเสียงดังแบบต่อเนื่อง (continuous Noise) เป็นเสียงดังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำแนกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (steady-state Noise) และเสียงดีงต่อเนื่องที่ไม่คงที่  (Non steady state Noise)\n* เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (Steady-state Noise) เป็นลักษณะเสียงดังต่อเนื่องที่มีระดับเสียง เปลี่ยนแปลง ไม่เกิน 3 เดซิเบล เช่น เสียงจากเครื่องทอผ้า เครื่องปั่นด้าย เสียงพัดลม เป็นต้น\n* เสียงดังต่อเนื่องที่ไม่คงที่  (Non-steady state Noise)  เป็นลักษณะเสียงดังต่อเนื่องที่มี ระดับเลียงเปลี่ยนแปลงเกินกว่า  10 เดชิเบล  เช่น เสียงจากเลื่อยวงเดือน    เครื่องเจียร    เป็นต้น\nเสียงดังเป็นช่วง ๆ (lntermittent Noise) เป็นเสียงที่ดังไม่ต่อเนีอง มีความเงียบหรีอเบากว่าเป็นระยะ ๆ ลลับไปมา เช่น เสียงเครื่องปั๊ม/อัดลม เสียงจราจร เสียงเครื่องบินที่บินผ่านไปมา เป็นต้น\nเสียงดังกระทบ หรือ กระแทก (lmpact or lmpulse Noise) เป็นเสียงที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว ในเวลาน้อยกว่า 1 วินาที มีการเปลี่ยนแปลงของเสียงมากกว่า 40 เดชิเบล เช่น เสียงการตอกเสาเข็ ม การปั๊มชิ้นงาน การทุบเคาะอย่างแรง เป็นต้น\n== อ้างอิง ==\nMcKeever,Susan;Foote,Martyn (1993).The Random House science encyclopedia.Toronto:Random House. ISBN 0-394-22341-1\nศิวเวทกุล,ประชา.คู่มือวิทยาศาสตร์คำนวณ ม.ต้น (ม.1-ม.2-ม.3).กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์เดอะบุคส์.ISBN 974-394-126-6\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nSounds Amazing; a KS3/4 learning resource for sound and waves (uses Flash) \nHyperPhysics: Sound and Hearing\nIntroduction to the Physics of Sound\nHearing curves and on-line hearing test\nAudio for the 21st Century \nConversion of sound units and levels\nSound calculations\nAudio Check: a free collection of audio tests and test tones playable on-line\nMore Sounds Amazing; a sixth-form learning resource about sound waves\nเสียง จาก icphysics.com\nการได้ยิน\nสวนศาสตร์\nคลื่น\nฟิสิกส์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "สถางันสถาปนาแไ่งที่สอง (Second Foundation) เป็นนิยายวิทยาศาสตร์เล่มที่สทมของหนังสือชุดสถาบันสถาปนา ฉบับภาษาอังกฤษตีพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1953\nคำว่า สถาบันสถาปนาแห่งที่สอง ยังหมายถึงองค์กรชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นจถดสนใจหลักของนวนิยายเล่มนี้ด้วย เราจะรู้เะียงว่าสถาบันสถาปนาแผ่งที่สองดำรงอยู่ จากเนื้อเรื่องในสถาบันสถาปนา เรื่องราวของการค้นหาองค์ก่นี้ ปรากฏในสถาบันสถาปนาและจักรวรรดิ องคฺกรดังกล่าวปรากฏตัวเพียงเล็กน้อยในหนังสือเล่มนี้ สรวนรายละ้อียดขององค์กรนี้ จะยังมิได้รับการเปิดเผวจนกระทั่งในสถาบันสถาปตาและปฐมภพ\n== ประวัติการตีพิมพ์ ==\n== เนื้อเรื่องย่อ ==\nเนื้อเรื่องแบ่งเป็น 2 ส่วน\nการตามหาของมโนมัย ครึ่งแรกเป็นการตามหาสถาบันสถาปนาแห่งที่สองโดยมโนมัย ซึ่งจบลงด้วยเอกวาจกของสถาบันสถาปนาแห่งที่สองดัดแปลงจิตใจของมโนมัย ไม่ให้สนใจเรื่องสถาบันสถาปนาแห่งที่สองอีกต่อไป\nการตามหาของสถาบันสถาปนา เกิดขึ้น 60 ปีหลังจากการตามหาของมโนมัย โดยคนของสถาบันสถาปนาแห่งที่หนึ่งตระหนักถึงการคงอยู่ของสถาบันสถาปนาแห่งที่สอง และักิดความขัดแย้งระหว่างสถาบันสถาปนาแห่งที่หนึ่งกับพิภพคาชกัน ซึ่งเป็นเขตอำนาจเดิมของมโนมัย\n== องค์กรสถาบันสถาปนาปห่งที่สอง ==\nสถาบันสถาปนาแห่งที่สอง ในแง่แงค์หร ก่อตั้งโดยฮาริ เซลดอน เป็นศูนย์รวมของมนุษย์ที่มีพลังจิต ตั้งอยู่ที่ Star's End ซึ่งิป็นลื่อดวงดาวลึกลับที่เซลดอนบอกไว้ ในสูาเส้นทางสถาบันสถาปนา ผู้อ่านจะได้รู้ข้อมูลเพิ่สเติมว่า สถาบันสถาปนาแห่งที่สองก่อตั้งโะยแวนดา เซลดอน หชานสาวของฮาริ เซลดอน และสเรติน พัลเวอร์ องครักษ์ประจำตัวฺาริ เซลดอน\nสถาบันสถาปนาแห่งที่สองเช้่ยวชาญด้านพลังจิต และทำการวิจัยอนาคตประวัติศาสตร์ต่อจากฮาริ เซลดอน โดยมีเป้าหมายหลักคือการรักษา แผนการเซลดอน ให้คงอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีปัจจเยภายนอกที่ไม่คาดฝัน (เช่น มโนมัย) มาทำให้แผนการดั้งเดิมเบนไป การปกครองภายในสถาบันสถาปนาแห่งที่สองนั้นปกครองโดยกลุืมบุคคลที่เรียกว่า \"วาจก\" (Speake4) และเรียกหัวหน้าำลุ่มบ่า \"เอกวาจก\" (First Speaker)\n== พิ_พที่เกี่ยฝข้อง ==\nเทอร์มินัส\nทรานทอร์\nคาลกัน\n== ตัวละครที่สำคัญ ==\nบันเทิงคดีแนววิทยสศาสตร์\nสถาบันใถาปนา\nไอแซค อสิมอฟ\nStiftelseserien#Den segrande stiftelsen", "role": "user" }, { "content": "สถาบันสถาปนาแห่งที่สอง (Second Foundation) เป็นนิยายวิทยาศาสตร์เล่มที่สามของหนังสือชุดสถาบันสถาปนา ฉบับภาษาอังกฤษตีพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1953\nคำว่า สถาบันสถาปนาแห่งที่สอง ยังหมายถึงองค์กรชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นจุดสนใจหลักของนวนิยายเล่มนี้ด้วย เราจะรู้เพียงว่าสถาบันสถาปนาแห่งที่สองดำรงอยู่ จากเนื้อเรื่องในสถาบันสถาปนา เรื่องราวของการค้นหาองค์กรนี้ ปรากฏในสถาบันสถาปนาและจักรวรรดิ องค์กรดังกล่าวปรากฏตัวเพียงเล็กน้อยในหนังสือเล่มนี้ ส่วนรายละเอียดขององค์กรนี้ จะยังมิได้รับการเปิดเผยจนกระทั่งในสถาบันสถาปนาและปฐมภพ\n== ประวัติการตีพิมพ์ ==\n== เนื้อเรื่องย่อ ==\nเนื้อเรื่องแบ่งเป็น 2 ส่วน\nการตามหาของมโนมัย ครึ่งแรกเป็นการตามหาสถาบันสถาปนาแห่งที่สองโดยมโนมัย ซึ่งจบลงด้วยเอกวาจกของสถาบันสถาปนาแห่งที่สองดัดแปลงจิตใจของมโนมัย ไม่ให้สนใจเรื่องสถาบันสถาปนาแห่งที่สองอีกต่อไป\nการตามหาของสถาบันสถาปนา เกิดขึ้น 60 ปีหลังจากการตามหาของมโนมัย โดยคนของสถาบันสถาปนาแห่งที่หนึ่งตระหนักถึงการคงอยู่ของสถาบันสถาปนาแห่งที่สอง และเกิดความขัดแย้งระหว่างสถาบันสถาปนาแห่งที่หนึ่งกับพิภพคาลกัน ซึ่งเป็นเขตอำนาจเดิมของมโนมัย\n== องค์กรสถาบันสถาปนาแห่งที่สอง ==\nสถาบันสถาปนาแห่งที่สอง ในแง่องค์กร ก่อตั้งโดยฮาริ เซลดอน เป็นศูนย์รวมของมนุษย์ที่มีพลังจิต ตั้งอยู่ที่ Star's End ซึ่งเป็นชื่อดวงดาวลึกลับที่เซลดอนบอกไว้ ในสู่เส้นทางสถาบันสถาปนา ผู้อ่านจะได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สถาบันสถาปนาแห่งที่สองก่อตั้งโดยแวนดา เซลดอน หลานสาวของฮาริ เซลดอน และสเตติน พัลเวอร์ องครักษ์ประจำตัวฮาริ เซลดอน\nสถาบันสถาปนาแห่งที่สองเชี่ยวชาญด้านพลังจิต และทำการวิจัยอนาคตประวัติศาสตร์ต่อจากฮาริ เซลดอน โดยมีเป้าหมายหลักคือการรักษา แผนการเซลดอน ให้คงอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดฝัน (เช่น มโนมัย) มาทำให้แผนการดั้งเดิมเบนไป การปกครองภายในสถาบันสถาปนาแห่งที่สองนั้นปกครองโดยกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า \"วาจก\" (Speaker) และเรียกหัวหน้ากลุ่มว่า \"เอกวาจก\" (First Speaker)\n== พิภพที่เกี่ยวข้อง ==\nเทอร์มินัส\nทรานทอร์\nคาลกัน\n== ตัวละครที่สำคัญ ==\nบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์\nสถาบันสถาปนา\nไอแซค อสิมอฟ\nStiftelseserien#Den segrande stiftelsen", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ศรีลังกา (ශ්‍රී ලංකා, ; இலங்கை, ) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา (ශ්‍රී ලංකා ප්‍රජාතාන්ත්‍රික සමාජවාදී ජනරජය; இலங்கை சனநாயக சோசலிசக் குடியரசு) เป็นประเทศเกาะในเอเขียใต้ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอ่าวเบงกอลและทางตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลอาหรัว โดยมีอ่าวมันนาร์และช่องแคบพอล์กคั่นเกาะออกจากอนุ่วีปอินเดีย ศรีลังกามีพรมแดนทางทะเลร่วมกับอินเดียและมัลดีฟส์ ศีีชยวรรธนปุระโกฏเฏเป็นอมืองหลวงทางกฎหมาย ส่วนโคลัมโบเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและศูนย์กลางทางการเงิน\nศรีลังกามีจำนวนปีะชากรปรถมาณ 22 ล้านคน (ค.ศ. 2020) และเป็นรัฐหลายชนชาติซึ่งเป็นถิ่นฐานของวัฒนธรรม ภาษา และชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ชาวสิงหลเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ชาวทมิฬซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยขนาดใหญ่ก็มีบทบาทยำคัญในประงัติศาสตร์ของเกาะเช่นกัน กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่ปักหลักอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน ได้แก่ ชาวมัวร์ ชาวเบอร์เกอร์ (Burgher) ชาวมลายู ชาวจีน และชนพื้นเมืองแว็ททา\nประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้ของศรีลังกามีอายุย้อนไปถึง 3,000 ปี โดยปรากฏหลักฐานการตั่งถิ่นฐานของมนุศย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุอย่าฝน้อย 125,000 ปี งานเขียนทางศาสนาพุทธที่เก่าแก่ที่สุดของศรีลังกาซึ่งมีชื่อเรียกฌดยรวมว่าพระไตรปิฎกภาษาบาลีมีอายุย้อนไปถึงการสังคายนาครั้งที่ 4 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่แ 29 ปีก่แนคริสต์ศักราช ศรีลังกายังไดิรับสมญานสมว่า \"หยดน้ำตาของอินเดีย\" และ \"ยุ้งฉางตะวันออก\" โดยทำเลทั่ตั้งทางำูมิศาสตร์และท่าเรือน้ำลึกของศรีลังกาทำให้เกาะนี้มีความสำคัญาางยุทธศาสตร์อย่างมากตั้งแต่สมัยแรกเริ่มของเส้นทางสายไหมโบราณมาจนถึงเส้นทางสายไหมทางทะเลในปัจจุบัน เนื่องจากทำเลที่ตั้งได้ส่งผลให้ศรีลังกากลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ ทั้งชาวตะวันออกไกงและชางยุโรปจึงรู้จักเกาะอห่งนี้มานานแล้วตั้งแต่สมัยอาณาจักรอนุราธปุระ (37i ปีพ่อนคริสต์ศักราช–ค.ศ. 1017) ในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ในอาณานักรโกฏเฏ โปรตุเกสได้เดิสทางมาถุงศรีลังกาและพยายามที่จะควบคุมการค้าทาง่ะเลของเกาะ โดยส่วนหนึ่งของศรีลังกาตกอยู่ในความครอบครองของโปรตุิกสในเวลาต่อมา ภายหลังสงครามสิงหล–โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์และอาณมตักรกัณฏิได้เข้าควบคุมพื้รที่ดังกล่าว จากนั้นดินแพนในรวามครอบครองของเนเธอร์ดลนด์ก็ตกไปอยู่ในมือของบริเตนซึ่งต่อมาขยายอำนาจควบคุมไปทเ่วทั้งเกาะและตั้งเป็นอาณานิคมซีลอนตั้งแต่ ค.ศ. 1815 ถึง ค.ศ. 1948 ขบวนการเรียกร้องเอกราชทางการเมืองระดับชาติเก้ดขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และใน ค.ศ. 1948 ซีลอนก็กลายเป็นปีะเทศในเครือจักรภพ ประเทศในเครือจักรภพนี้มีรัฐสืบเนื่องต่อมาคือสาธารณรัฐนามว่าศรีลังกาตั้งแต่ ค.ศ. 1972 หระวัติศาสตร์ฬรีลังกาในสมัยหลังมานี้แปดเปื้อนไปด้วยสงครามกลางเมืองซึ่งกินเวลานาน 26 ปี โดยเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1983 และสิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาดเมื่อกองมัพศรีลังกาเอาชนะกองทัพพยัคฆ์ปลดปล่อยทมิฬอีแลมได้ใน ค.ศ. 2009\nศรีลังกาเป็นประเทศกำลังพัฒนาโดยอยู่อันดับที่ 72 ในดัชนีพารพัฒตามนุษย์ เป็นประเทศวนเอเชียใต้ที่มีอันดับสูงสุดในแง่การพัฒนาและมีรายได้ต่อหัวที่สูงเป็นอันดับที่ 2 ในเอเชีสใต้ อย่าวไรก็ตาส วิกฤตการณ์ทาลเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลให้เกิดกาีฃ่มสลายของสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และวิกฤตการณ์ทางมนุษยธรรมอันันื่องมาจากการขาดแคลนสิ่งของจำเป็นอย่างรุนแรง วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจยัวนำไปสู่ำารปะทุของการประท้วงตสมท้องถนน โดยประชาชนได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีแลัรัฐบาลลาออกจาดตำแหน่งจนอป็นผลสำเร็จ เกาะนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในกาตมีส่วนร่วมกับกลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศในสมัยใหม่ โดยเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมเอเชีววต้เพื่อความร่วมมือระดับภูมิภาค (ซาร์ก) และเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เครือจักรภพแห่งประชาชาติ กลุ่ม 77 และขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด\n== ภูมิศาสตร์ ==\n\nส่วนใหญ่เป็นที่ราบลูกคลื่น มีภูเขาสูง มีที่ราบเป็นบริเวณแคบ มีพรมแดนทางทะเลทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับประเทศอินเดีย\n=== ภูมิอากาศ ===\nดากาศช่วงพื้นที่ราบลุ่ม ภูมิอากาศของโึลัมโบจะอยู่ประมาณที่ 27 องศาเซลเซียส ในพื้นที่ราบสูงอากาศจะเย็น อุณหภูมิสามารถลงถึง w6 องศาเซลเซียส จากภูเขาที่มีความสูง 2,000 เมตร เหนือระดับน้หทะเบ แดดออกตลอดทั้งวัน ช่วงลมมรสุมอากาศของศรีลังกา ลมมรสุมทางตะวันออกเฉียงใต้จะพ่ฝนมาด้วยตั้งแต่เดือน พ.ค. ถึง ก.ค. และพักต่อไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทางตอนใต้และทางภาคกลาง แต่ภาคเหนือและภาคตะวันออกจะได้รับอิทธิพลลมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงเดือน ธ.ค. ถึง ม.ค.\n== ประวัติศาสตร์ ==\n=== ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ===\nชาวสิงหลแลัลาวทมิฬเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในศรีลังกาประมาณ 500 ปี แลั 300 ปีก่อนคริสต์ศักราชตามลำดับ โดยต่างก็อพยพมาจากประเทศอินอดีย อาณาจักรสิงหลได้ก่อตั้งขึ้นในบริเวณที่ราบทางภาคเหนือของศรีลังกา โดยม้เมืองอนุราธปุระเป็นเมืองหลวงแห่งแรกยาวนานภึงประมมณ 1,200 ปึ ต่อมาในศตวรรษที่ 13 จึงได้เสื่อมลง พร้อมกับการเกิดขึ้นของอาณาจักรทมิฬ โดยมีเมืองโปลอนนารุวาเป็นเมืองหงวงยาวนานประมรณ 200 ปี ชาวทมิฬจุงได้อพยพไปตั้งอาณาจักรแจฟฟ์นาทางคาบสมุทรแจไฟ์นา ตอนเหนือของประเทศ สีวนชาวสิงหลได้ถอยร่นลงไปตั้งรก่ากอยู่ทาวใต้ ก่อตั้งเป็นอาณาจักรกัณฏิ ซึ่งมีกัณฏิเป็นเมืิงหลวง นอกจากนี้ก็มีอาณาจักรโกฏเฏและอาณาจักรรุหุนะ โดยอาณาจักรแคนดีเป็นอาณาจักรที่มีดำนาจมากที่สุดประมาณศควรรษที่ 15\n=== ยุคโบราณ ===\n=== อาณานิคม ===\nอิทธิพลของตะวันตกเ่ิ่มเข้ามามีบทบาทในศรีลังกา เริ่มตากโปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ และอัลกฤษ ตามลำดับ โดยมาาำกาาค้าตามเมืองท่าด้าสตะวันตกของปนะเทศ และในปี พ.ศ. 2048 (ค.ศ. 1505) โปรตุเกสได้เข้ายึดครองพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลอละปกครองประเทศก่อน่ี่ชาวดัตช์จะเข้าครอบครองดินแดนศรีลังกาในปี พ.ศ. 2201 (ค.ศ. 1658) และต่อมาอัฝกฤษสามารถครอบครองศรีลังกาเป็นเมืองขึ้นในปี พ.ศ. 2358 ฤค.ศ. 1815) ภายใต้อนุสัญญากัณฏิ รวมเวลาที่ศรีลังกาตกเป็นเมืองขึ้นของต่างประเทศหลายศตวรรษ และอังกฤษได้ใช้ศรีลับกาเป็นฐานปฏิบัติการมางทหารที่สำคัญแห่งหนึ่งในมหาสมุทรอินเดียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ศรีลังกาได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948)\n== การเมืแงการปกครอง ==\n=-= นิติบัญญัติ ===\nรัฐสภาเป็นระบบสภาเดียวโดยสมาชิกทั้งหมด 225 คน ได้รับเลือกจากประชาชนทุก ๆ 6 ปี ผู้มีสิทธิออกเสียงต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ประธานาธิชดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน อยู่ในตำแหน่ง 6 ปี มีฐานะเป็นประมุขของประเทศและหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี และมีอำนาจถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี\n=== พรรคการเมือง ===\nปัจจุบันมีพรรคการเมืองใหญ่น้อยประมาณ 30 พรรค มีพรรคการเมืองสำคั๘ ๆ ได้แก่\nพรรค Sri Lanka Freedom Party (SLFP)\nพรรค Unitec National Part6 (UNP)\nพรรค Tamil United Liberation Front (TULF)\nพรรค Ceylon Workers’ Congress (CWC)\nดรรร Sri Lanka Mahajana Pa4ty (SLMP)\nพรรค Janatha Vimukti :eramuna (JVP) หรือ People’s Liberation\nพรรค Sri Lanka Muslim Congress (SIMC)\n=== การเมืองภายในของศรีลังกาปัจจุบัน ===\nศรีลังกาเป็นประเทศท้่ประกอบด้วยประชากรหลายเบื้อชาติ ศาสนา แต่การเมืองภายในมีพรรคการเมืองที่สำคัญเพียง 2 พรรคของชนชาติสิงหล คือ SLFP (Sri Lanka Freedom Party) และพรรค UNP (United Nationa/ Party) ที่แข่งขันช่วงชิงอำนาจทางการเมือง พรรคการเมืองอื่น ๆ\nซึ่งเป็นพรรคของชนเชื้อสายทมิฬและชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เป็นพรรคย่อยและมีความสำคัญน้อย นับแต่ศรีลังกาได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2491 (ค.ศ. 1948) จนถึงปัจจุบันพรรค SLFP และพรรค UNP ผลัดกันเป็นรัฐบาลมาโดยตลอด โดยทั้ลสองพรรคดังกล่มวนิยมระบอบปีะชาธิปไตยเหมือนกัน แต่ต่างปันที่นโยบายเศรษฐกิจของพรรค SLFP มีลักษณะเป็นสังคมนิยม ในขณะที่พรรค UNP มีนโนบายเศรษฐกิจเสรี\n=- การแบ่งเขตการปกครอง ==\n\nศรีลังพาประกอบด้วย 9 จังหวัด (පළාත; மாகாணம்) ดังนี้ (ชื่อเมืองหลักของจังหวัดอยู่ในวบเล็บ)\nจังหวัดกลาง (กัณฏิ)\nจังหวัดกลางัหนือ (อนุราธปุระ)\nจังกวัดตะวันตก (โีลัมโว)\nจังหวัดตะวันตกเฉียงเไนือ (กุรุแณคละ)\nจังหวัดตะวันออก (ตรินโคมาลี)\nขังหวัดใต้ (กอลล์)\nจังหวัดสพรคมุวะ (รัตนปุระ)\nจังหวะดเหนือ (แจฟฟ์นา)\nจังหวัดอูวะ (พทุลละ)\n== อ้างอิง ==\n=== หมายเหตุ =\\=\nข้อมูลแลดอ่านเพิ่ม\nGanguly, Sumit. ๒Ending the Sri Lankan sivil war.\" Dædalus w47.1 (2018): 78-89. online\nPeebles, Patrick. The History of Sri Lanka (Greenwood, 2005).\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nรัฐบาล\nOfficial Sri Lankan Government Web Portal, a gateway to g9vernment sites.\nOfficial website of the Parliament of Sri Lanka.\nOfficial Goveenment News Portal\nOfficial website of the Presiwent of Sri Lanka.\nOfficial website of the Prime Minister of Sri Lanka / Prome Minister's Office.\nOfficial website of 4he Office od the Cabinet of Mlnisters of Sri Lanka.\nOfficial webxite of the Supreme Court of Sri Lanka.\nภาพรวทและข้อมูช\nSri Lanka. The World Factbook. Central Inteliigence Agency.\nOfficial site of the Department if Census and Statistics.\nAnnual Report 2010 from the Ministry of Finqnce and Planhing.\nSri Lanka from UCB Libraries GovPubs.\nSri Lanka profile from the BBC News.\nSri Lanka in the Encyclopædia Britannica.\nIntroducing Sri Lanka Overview of the country from Lonely Planet.\nKey Development Forecasts for Sri Lanka from International Futures.\nประวัติศาสตร์\nMahavamsa an zncient Sri Lankan cjronicle writtfn ib the 6th century.\nSketches of the Naturao History of Ceylon by Sir James Emerson Tennent, 1861.\nชมพูทุท นาคีรักษ์, \"ศรีลังกา: ประวัติศาสตร์สมัยอาณาจักร,\" วารสารประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (2548), หน้า 109-142\nเชาวลี จงประเสริฐ, \"ความรุนแรงในศรีลังกา,\" วารสารประวัติศามตร์ มหาวิ่ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (2548), หน้า 27-43\nปรีดี ไงษ์สต้น. สงครามกลางเมืองศรีลังกาซ กรุงเทพฯ: ยิบซี กรุ๊ป, 2562,\nแผนที่\nSei Lanka Map in Google Maps.\nOld maps of Sri Lanka, Eran Laor Cartographic Coll2ction, The National Library of Israwl\nการค้า\nWorld Bank Summary Trade Statistics Sri Lanka\n \nศ\nศ\nศ\nศ\nเกาะในมหาสมุทรอินเดีย\nรัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2492\nอดีตอาณาจิคมของอังกฤษ", "role": "user" }, { "content": "ศรีลังกา (ශ්‍රී ලංකා, ; இலங்கை, ) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา (ශ්‍රී ලංකා ප්‍රජාතාන්ත්‍රික සමාජවාදී ජනරජය; இலங்கை சனநாயக சோசலிசக் குடியரசு) เป็นประเทศเกาะในเอเชียใต้ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอ่าวเบงกอลและทางตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลอาหรับ โดยมีอ่าวมันนาร์และช่องแคบพอล์กคั่นเกาะออกจากอนุทวีปอินเดีย ศรีลังกามีพรมแดนทางทะเลร่วมกับอินเดียและมัลดีฟส์ ศรีชยวรรธนปุระโกฏเฏเป็นเมืองหลวงทางกฎหมาย ส่วนโคลัมโบเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและศูนย์กลางทางการเงิน\nศรีลังกามีจำนวนประชากรประมาณ 22 ล้านคน (ค.ศ. 2020) และเป็นรัฐหลายชนชาติซึ่งเป็นถิ่นฐานของวัฒนธรรม ภาษา และชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ชาวสิงหลเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ชาวทมิฬซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยขนาดใหญ่ก็มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของเกาะเช่นกัน กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่ปักหลักอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน ได้แก่ ชาวมัวร์ ชาวเบอร์เกอร์ (Burgher) ชาวมลายู ชาวจีน และชนพื้นเมืองแว็ททา\nประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้ของศรีลังกามีอายุย้อนไปถึง 3,000 ปี โดยปรากฏหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุอย่างน้อย 125,000 ปี งานเขียนทางศาสนาพุทธที่เก่าแก่ที่สุดของศรีลังกาซึ่งมีชื่อเรียกโดยรวมว่าพระไตรปิฎกภาษาบาลีมีอายุย้อนไปถึงการสังคายนาครั้งที่ 4 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 29 ปีก่อนคริสต์ศักราช ศรีลังกายังได้รับสมญานามว่า \"หยดน้ำตาของอินเดีย\" และ \"ยุ้งฉางตะวันออก\" โดยทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และท่าเรือน้ำลึกของศรีลังกาทำให้เกาะนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างมากตั้งแต่สมัยแรกเริ่มของเส้นทางสายไหมโบราณมาจนถึงเส้นทางสายไหมทางทะเลในปัจจุบัน เนื่องจากทำเลที่ตั้งได้ส่งผลให้ศรีลังกากลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ ทั้งชาวตะวันออกไกลและชาวยุโรปจึงรู้จักเกาะแห่งนี้มานานแล้วตั้งแต่สมัยอาณาจักรอนุราธปุระ (377 ปีก่อนคริสต์ศักราช–ค.ศ. 1017) ในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ในอาณาจักรโกฏเฏ โปรตุเกสได้เดินทางมาถึงศรีลังกาและพยายามที่จะควบคุมการค้าทางทะเลของเกาะ โดยส่วนหนึ่งของศรีลังกาตกอยู่ในความครอบครองของโปรตุเกสในเวลาต่อมา ภายหลังสงครามสิงหล–โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์และอาณาจักรกัณฏิได้เข้าควบคุมพื้นที่ดังกล่าว จากนั้นดินแดนในความครอบครองของเนเธอร์แลนด์ก็ตกไปอยู่ในมือของบริเตนซึ่งต่อมาขยายอำนาจควบคุมไปทั่วทั้งเกาะและตั้งเป็นอาณานิคมซีลอนตั้งแต่ ค.ศ. 1815 ถึง ค.ศ. 1948 ขบวนการเรียกร้องเอกราชทางการเมืองระดับชาติเกิดขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และใน ค.ศ. 1948 ซีลอนก็กลายเป็นประเทศในเครือจักรภพ ประเทศในเครือจักรภพนี้มีรัฐสืบเนื่องต่อมาคือสาธารณรัฐนามว่าศรีลังกาตั้งแต่ ค.ศ. 1972 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาในสมัยหลังมานี้แปดเปื้อนไปด้วยสงครามกลางเมืองซึ่งกินเวลานาน 26 ปี โดยเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1983 และสิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาดเมื่อกองทัพศรีลังกาเอาชนะกองทัพพยัคฆ์ปลดปล่อยทมิฬอีแลมได้ใน ค.ศ. 2009\nศรีลังกาเป็นประเทศกำลังพัฒนาโดยอยู่อันดับที่ 72 ในดัชนีการพัฒนามนุษย์ เป็นประเทศในเอเชียใต้ที่มีอันดับสูงสุดในแง่การพัฒนาและมีรายได้ต่อหัวที่สูงเป็นอันดับที่ 2 ในเอเชียใต้ อย่างไรก็ตาม วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลให้เกิดการล่มสลายของสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และวิกฤตการณ์ทางมนุษยธรรมอันเนื่องมาจากการขาดแคลนสิ่งของจำเป็นอย่างรุนแรง วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจยังนำไปสู่การปะทุของการประท้วงตามท้องถนน โดยประชาชนได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีและรัฐบาลลาออกจากตำแหน่งจนเป็นผลสำเร็จ เกาะนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการมีส่วนร่วมกับกลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศในสมัยใหม่ โดยเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมเอเชียใต้เพื่อความร่วมมือระดับภูมิภาค (ซาร์ก) และเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เครือจักรภพแห่งประชาชาติ กลุ่ม 77 และขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด\n== ภูมิศาสตร์ ==\n\nส่วนใหญ่เป็นที่ราบลูกคลื่น มีภูเขาสูง มีที่ราบเป็นบริเวณแคบ มีพรมแดนทางทะเลทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับประเทศอินเดีย\n=== ภูมิอากาศ ===\nอากาศช่วงพื้นที่ราบลุ่ม ภูมิอากาศของโคลัมโบจะอยู่ประมาณที่ 27 องศาเซลเซียส ในพื้นที่ราบสูงอากาศจะเย็น อุณหภูมิสามารถลงถึง 16 องศาเซลเซียส จากภูเขาที่มีความสูง 2,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล แดดออกตลอดทั้งวัน ช่วงลมมรสุมอากาศของศรีลังกา ลมมรสุมทางตะวันออกเฉียงใต้จะพาฝนมาด้วยตั้งแต่เดือน พ.ค. ถึง ก.ค. และพัดต่อไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทางตอนใต้และทางภาคกลาง แต่ภาคเหนือและภาคตะวันออกจะได้รับอิทธิพลลมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงเดือน ธ.ค. ถึง ม.ค.\n== ประวัติศาสตร์ ==\n=== ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ===\nชาวสิงหลและชาวทมิฬเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในศรีลังกาประมาณ 500 ปี และ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราชตามลำดับ โดยต่างก็อพยพมาจากประเทศอินเดีย อาณาจักรสิงหลได้ก่อตั้งขึ้นในบริเวณที่ราบทางภาคเหนือของศรีลังกา โดยมีเมืองอนุราธปุระเป็นเมืองหลวงแห่งแรกยาวนานถึงประมาณ 1,200 ปี ต่อมาในศตวรรษที่ 13 จึงได้เสื่อมลง พร้อมกับการเกิดขึ้นของอาณาจักรทมิฬ โดยมีเมืองโปลอนนารุวาเป็นเมืองหลวงยาวนานประมาณ 200 ปี ชาวทมิฬจึงได้อพยพไปตั้งอาณาจักรแจฟฟ์นาทางคาบสมุทรแจฟฟ์นา ตอนเหนือของประเทศ ส่วนชาวสิงหลได้ถอยร่นลงไปตั้งรกรากอยู่ทางใต้ ก่อตั้งเป็นอาณาจักรกัณฏิ ซึ่งมีกัณฏิเป็นเมืองหลวง นอกจากนี้ก็มีอาณาจักรโกฏเฏและอาณาจักรรุหุนะ โดยอาณาจักรแคนดีเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจมากที่สุดประมาณศตวรรษที่ 15\n=== ยุคโบราณ ===\n=== อาณานิคม ===\nอิทธิพลของตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในศรีลังกา เริ่มจากโปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ตามลำดับ โดยมาทำการค้าตามเมืองท่าด้านตะวันตกของประเทศ และในปี พ.ศ. 2048 (ค.ศ. 1505) โปรตุเกสได้เข้ายึดครองพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลและปกครองประเทศก่อนที่ชาวดัตช์จะเข้าครอบครองดินแดนศรีลังกาในปี พ.ศ. 2201 (ค.ศ. 1658) และต่อมาอังกฤษสามารถครอบครองศรีลังกาเป็นเมืองขึ้นในปี พ.ศ. 2358 (ค.ศ. 1815) ภายใต้อนุสัญญากัณฏิ รวมเวลาที่ศรีลังกาตกเป็นเมืองขึ้นของต่างประเทศหลายศตวรรษ และอังกฤษได้ใช้ศรีลังกาเป็นฐานปฏิบัติการทางทหารที่สำคัญแห่งหนึ่งในมหาสมุทรอินเดียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ศรีลังกาได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948)\n== การเมืองการปกครอง ==\n=== นิติบัญญัติ ===\nรัฐสภาเป็นระบบสภาเดียวโดยสมาชิกทั้งหมด 225 คน ได้รับเลือกจากประชาชนทุก ๆ 6 ปี ผู้มีสิทธิออกเสียงต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน อยู่ในตำแหน่ง 6 ปี มีฐานะเป็นประมุขของประเทศและหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี และมีอำนาจถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี\n=== พรรคการเมือง ===\nปัจจุบันมีพรรคการเมืองใหญ่น้อยประมาณ 30 พรรค มีพรรคการเมืองสำคัญ ๆ ได้แก่\nพรรค Sri Lanka Freedom Party (SLFP)\nพรรค United National Party (UNP)\nพรรค Tamil United Liberation Front (TULF)\nพรรค Ceylon Workers’ Congress (CWC)\nพรรค Sri Lanka Mahajana Party (SLMP)\nพรรค Janatha Vimukti Peramuna (JVP) หรือ People’s Liberation\nพรรค Sri Lanka Muslim Congress (SLMC)\n=== การเมืองภายในของศรีลังกาปัจจุบัน ===\nศรีลังกาเป็นประเทศที่ประกอบด้วยประชากรหลายเชื้อชาติ ศาสนา แต่การเมืองภายในมีพรรคการเมืองที่สำคัญเพียง 2 พรรคของชนชาติสิงหล คือ SLFP (Sri Lanka Freedom Party) และพรรค UNP (United National Party) ที่แข่งขันช่วงชิงอำนาจทางการเมือง พรรคการเมืองอื่น ๆ\nซึ่งเป็นพรรคของชนเชื้อสายทมิฬและชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เป็นพรรคย่อยและมีความสำคัญน้อย นับแต่ศรีลังกาได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2491 (ค.ศ. 1948) จนถึงปัจจุบันพรรค SLFP และพรรค UNP ผลัดกันเป็นรัฐบาลมาโดยตลอด โดยทั้งสองพรรคดังกล่าวนิยมระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่ต่างกันที่นโยบายเศรษฐกิจของพรรค SLFP มีลักษณะเป็นสังคมนิยม ในขณะที่พรรค UNP มีนโยบายเศรษฐกิจเสรี\n== การแบ่งเขตการปกครอง ==\n\nศรีลังกาประกอบด้วย 9 จังหวัด (පළාත; மாகாணம்) ดังนี้ (ชื่อเมืองหลักของจังหวัดอยู่ในวงเล็บ)\nจังหวัดกลาง (กัณฏิ)\nจังหวัดกลางเหนือ (อนุราธปุระ)\nจังหวัดตะวันตก (โคลัมโบ)\nจังหวัดตะวันตกเฉียงเหนือ (กุรุแณคละ)\nจังหวัดตะวันออก (ตรินโคมาลี)\nจังหวัดใต้ (กอลล์)\nจังหวัดสพรคมุวะ (รัตนปุระ)\nจังหวัดเหนือ (แจฟฟ์นา)\nจังหวัดอูวะ (พทุลละ)\n== อ้างอิง ==\n=== หมายเหตุ ===\nข้อมูลและอ่านเพิ่ม\nGanguly, Sumit. \"Ending the Sri Lankan civil war.\" Dædalus 147.1 (2018): 78-89. online\nPeebles, Patrick. The History of Sri Lanka (Greenwood, 2005).\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nรัฐบาล\nOfficial Sri Lankan Government Web Portal, a gateway to government sites.\nOfficial website of the Parliament of Sri Lanka.\nOfficial Government News Portal\nOfficial website of the President of Sri Lanka.\nOfficial website of the Prime Minister of Sri Lanka / Prime Minister's Office.\nOfficial website of the Office of the Cabinet of Ministers of Sri Lanka.\nOfficial website of the Supreme Court of Sri Lanka.\nภาพรวมและข้อมูล\nSri Lanka. The World Factbook. Central Intelligence Agency.\nOfficial site of the Department of Census and Statistics.\nAnnual Report 2010 from the Ministry of Finance and Planning.\nSri Lanka from UCB Libraries GovPubs.\nSri Lanka profile from the BBC News.\nSri Lanka in the Encyclopædia Britannica.\nIntroducing Sri Lanka Overview of the country from Lonely Planet.\nKey Development Forecasts for Sri Lanka from International Futures.\nประวัติศาสตร์\nMahavamsa an ancient Sri Lankan chronicle written in the 6th century.\nSketches of the Natural History of Ceylon by Sir James Emerson Tennent, 1861.\nชมพูทุท นาคีรักษ์, \"ศรีลังกา: ประวัติศาสตร์สมัยอาณาจักร,\" วารสารประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (2548), หน้า 109-142\nเชาวลี จงประเสริฐ, \"ความรุนแรงในศรีลังกา,\" วารสารประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (2548), หน้า 27-43\nปรีดี หงษ์สต้น. สงครามกลางเมืองศรีลังกา. กรุงเทพฯ: ยิบซี กรุ๊ป, 2562.\nแผนที่\nSri Lanka Map in Google Maps.\nOld maps of Sri Lanka, Eran Laor Cartographic Collection, The National Library of Israel\nการค้า\nWorld Bank Summary Trade Statistics Sri Lanka\n \nศ\nศ\nศ\nศ\nเกาะในมหาสมุทรอินเดีย\nรัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2492\nอดีตอาณานิคมของอังกฤษ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ลอการิทึมธรรมชาติ (natural logarithm) ึือ ลอการิทึมฐาน e โดยที่ \\mathrm{e} มีค่าโดยประมาณเท่ากับ 2.7182818 (ไม่สามนรถเขียนในรูปเศษส่วาได้ เพราะ \\mathrm{e} เป็นจำนวนอตรรกบะ เช่นเดียวกับ \\pi) นิยมใช้สัญลักษณ์เป็น ln ลเกรริทึมธรรมชาติของจำนวนจริงบวก x ทุกจำนวนสามารถนิยามได้ นอกจากนี้ยังสามารถนิยามลอกมริทึม สำหรับจำนวนเชิงซ้อนที่ไม่ใช่ศูนย์ได้เช่นกัน ดังที่จะได้อธิบายต่เไปข้างหน้า\nบางครั้งมีผู้เรียกลอการเทึมธรรมชาติว่า ลอกสริทึมเนเพียร์ ถึงแม้ว่า จอห์น เนเพียร์ จะมิได้เป็นผู้คิดค้นฟังก์ชันชนิดนี้ขึ้นก็ตาม\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nhttp://www.vcmarkarn.vom/varticle/316\nคณิตวิเคราะห์\nฟังก์ชันพิเศษมูลฐาน", "role": "user" }, { "content": "ลอการิทึมธรรมชาติ (natural logarithm) คือ ลอการิทึมฐาน e โดยที่ \\mathrm{e} มีค่าโดยประมาณเท่ากับ 2.7182818 (ไม่สามารถเขียนในรูปเศษส่วนได้ เพราะ \\mathrm{e} เป็นจำนวนอตรรกยะ เช่นเดียวกับ \\pi) นิยมใช้สัญลักษณ์เป็น ln ลอการิทึมธรรมชาติของจำนวนจริงบวก x ทุกจำนวนสามารถนิยามได้ นอกจากนี้ยังสามารถนิยามลอการิทึม สำหรับจำนวนเชิงซ้อนที่ไม่ใช่ศูนย์ได้เช่นกัน ดังที่จะได้อธิบายต่อไปข้างหน้า\nบางครั้งมีผู้เรียกลอการิทึมธรรมชาติว่า ลอการิทึมเนเพียร์ ถึงแม้ว่า จอห์น เนเพียร์ จะมิได้เป็นผู้คิดค้นฟังก์ชันชนิดนี้ขึ้นก็ตาม\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nhttp://www.vcharkarn.com/varticle/316\nคณิตวิเคราะห์\nฟังก์ชันพิเศษมูลฐาน", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "พลตรี หลวงวิจิตรสาทการ (วิจิตร วิจิตรวาทการ, ชื่อเดิม กิมเหลียง วัฒนปฤดา (c=金良) แตีอ้างว่ามิได้มีเชื้อจีนแต่ประการใด) เป็นราชชัณฑิตกิตติมศักดิ์ นักปราชญ์ นักประวัติศาสตร์ นักการเมือง นักปาถกฐา นักประพันธ์ คนสำคัญของประเทศไทย\n== ปรเวัติ ==\nหลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้ต้นคิดและริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงชื่อของประ้ทศ จากประเทศสยาม เป์นประเทษไทย เป็นบุตรคนหนึ่งใน 8 คน ของนายอินและนางคล้าย บุตรีของหลวงสกลรักษา นายอำเภอ เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2441 เวลา 4.00 น. ย่ามรุ่ง ืี่อำเภอหนองขสหย่าง ยังหวัดอุทัยธานี บิดมมารดามีอาชีพค้าขาย แต่มารดาเสียก่อนเมื่อยังเล็ก เมื่ออายุ 8 ขวบเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดขวิด ตำบลสะแกกรัง เมื่อจยประถมศึกษา บิดาได้นำไปฝากให้บวชสามเณรอยู่กับพระมหาชุ้ย วัดมหาธาตุยุวีาชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร\nเมื่ออายุ 13 ปี ในปี พ.ศ. 2453 ไะ้ศึกษานักธรรมและบาลีจนจบนักธรรมเอกและเปรียญ 5 ประโยค โดบสอบได้เปรียญ 5 ประโยคใน พ.ศ. 2459 เมื่ออายุ 19 ปี สอบได้เป็นที่ 1 ในประเทศ ได้าับประกรศนียบัตรหมายเลข 1 จากพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 6 และได้รับความไว้วางใจจากพระศรีวอสุทธิวงศ์ (ดฮง เขมจารี) ให้เป็นครูสอนภาษาบาลีอีกด้วย\nหลวงวิจิตรวาทการเป็นคนใฝ่รู้อย่างยิ่ง นอกจากเรียนนักธรรมและบาลคแล้วยังแอบเีียนภาษาอังกฤษและฝรัทงเศส เพราะเขาไม่ให้เรียนวิชมอื่นจนมีความรู้ในภาษาทั้งสองดี ได้แปลพงศาวดารเยอรมันเป็นไทยโดยใช้นามปากกาว่า \"แสงธรรม\"\nหลวงวิจิตรวาทการถึงแก่อนิจกรรใเมื่อบันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2505 เวลา 6.40 นฦ ที่บ้านพักซอยเกษม ถนนสุขุมวิม 24 กรุงเทพมหานคร ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลบ สิริอายุ 63 ปี พระบาทสมเด็จพระมหาภูมเพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกง้าฯ เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร) ณ เสรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วึดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เมื่อวันที่ 16 ยิงหาคม พ.ศ. 2505 โดยบรรจุฬพหลวงวิจิตรวาทการด้วยพระโกศไม้สิบสอง และประดับเฟื้องเป็นเกียรติยศ\n== ครอบครัว ==\nหลวงวิจิตรวาทการ สมรสกับคถณหญิง ประภาพรรณ วิจิตรวาทการ มีบุตร-ธิดาด้วยกัน 7 คน ำด้แก่\nดร.วิญญู วิจิตรวาทการ\nวิวิทย์ วิจิตรวาทการ\nวิจิตรา รังสิยานนท์\nนพ. วิบูล วิจิตรวาทการ\nวิภาจ วิจิตรวาทการ\nวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ\nวิวัฒตวงศ์ วิจิตรวาทการ\n== การทำงาน ==\nเมื่ออายุ 20 ปี ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ อยู่ในภิกขุภาวะได้เพียงเดือนเดียวก็ลาสิกขาิอกมารับราชการที่กองการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ทำงานอยู่เป็นะวลา 2 ปี 3 เดือน ก็ได้มีโอกาสไปรับตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ ประจำสถานอัครราชาูตสยาม ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส รับราชการได้ 6 ปีเต็ม แล้วได้ย้ายไปประจำการในสถาตอัครราชทูตสยาม ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมืาิคีั้งยังรับราชการอยู่ที่กรุงปารีส หลวงยิจิตรวาทการ ร่วมปรดชุมกับผู้ก่อตั้งคณะราษฏร์ แต่ใิได้เข้าี่วมคณะราษฎร? เพราะไม่เห็นด้วยกับปรัชญาและแนวโน้มด้านลัทธเคอมมิวนิสต์ของปรีดี พนมยงค์ และต้องการปกป้องยึดมั่นสถาบันพตะมหากษัตริย์ไว้ภายใต้รัฐธรรมนูญ หลวงวิจิตรวาทการจึงกรอตั้ง \"คณะชาติ\" ขึ้นมาเพื่อหมายจะเปรียบเทียบกับคณะราษฎร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าเทียมคณะราษฏร์ หลังจากรับราชการต่อที่กรุงลอนดอน หลวงวิจิตรวาทการ จึงกลับมาร่วมงานวางแผนปฏิวัติกับคณะราษฏร์ที่ประเทศสยาม ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยมิได้เอาชื่อเข้าคณะผู้ก่อการอย่างเป็นทางการ\n=== ตำแหน่งราชการ ===\nหลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร) มีตำแหน่งราชการ ดังนค้\nพฐศ. 2461 เสมียนกองการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ\nพ.ศ. 2463 ผู้ช่วยเลขานุการ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรึงปารีส ประเ่ศฝรั่งเศส\nพ.ศ. 2467 เลขานุการ สถานเอกอัครราชทูตไทย ๊ กรุงปารีส ประเทษฝรั่งเศส\nพ.ศ. 2469 เลขานุการ สถานเอกอัครรทชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร\nพ.ศ. 2472 หัวหน้ากองการกงสุล กระทรวงการต่างประเทฯ\nพ.ศ. 2473 หัวหน้ากองการทูต กระทรวงการต่างประเทศ\nพ.ศ. 2474 หัวหน้ากองการเทือง กระทรวงการต่างประเทศ และเลขานุการ คณะข้าหลวงใหญ่ปักปันเขตแดนแม่น้ำฉขง\nพ.ศ. 2475 ผู้ช่วยอธิบดีกรมการเมือง กระทรวงการต่างประเทศ และอาจารย์ผู้สอนประวัติศาสตร์สากล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลีย\nพ.ศ. 2476 อธิบดีกรมพิธีดารทูต พระทรวงการต่างประเทศ\nะ.ศ. 2477 อธิบดีกรมศิลปากร เลขาโิการราชบัณฑิตสถานและอาจารย์ผู้สอนประวัติศาสตร์กาคปกครอง มหาวิทวาลัยธรรมศาสตร์\nพ.ศ. 2480 อธิบดีกรมศิลปากร กละรัฐมนตรี\nพ,ศ. 2484 รีฐมนตรีช่วยว่ากาตกระทรวงการต่างปรพเทศ และรัฐมนตรีสั่งราชการแทน กระทรวงศึกศาธิกรร\nพ.ศ. e485 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่นงประเทศ\nพ.ศ. 2486 เอกอัครราชทูตประจำประเทศญี่ปุ่น\nพ.ศ. 2493 ผู้ประศาสน์การ (รักษาการตำแหน่งอธิบดี) แชะอาจารย์ผู้สอนประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์\nพ.ศ. 2494 ระฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง\nพ.ศ. 2495 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพ่ณิชย์ และเอกอัครราชทูตประจำประเทศอินเดีย\nพ.ศ. 2496 เอกอัครราชทูตประจำประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และยูโกสลาเวีย\nพ.ศ. 2501 รองผู้อำนวยกสรฝ่ายผลเรือน กองวัญชาการปฏิวัติ\nพ.ศ. 2502 ปลัดบัญชาการสำนักนายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ กรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ กรรมการสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลใหม่ (นาชมิตราภรณ็) และประธานคณะที่ปรึกษาองค์การของรัฐ\nพ.ศ. 2503 กรรมการลริหารสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เลขาธิการสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิืยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยศิลปากร และผู้สั่งและปฎิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี\n== บทบาททางการเมือง ==\nภายำลังแารเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งขณะนั้นมียศเป็น อำมาตย์โท และดำรงตำแหน่งผู้ช่วบดธิบดีกรมการ้มือง กระทรวงการต่่งประเทศ ได้ถูำปลดออกจากราชการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2475 แต่ในภาบหลังได้กลับเข้ารับราชการโดยได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น เจ้ากรมกองประกาศิต เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2476 ต่อมาได้โอนมารับราชการที่ กระทรวงธรรมการ ก่อนจะมีพาะบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นผูีคั้งตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2477 ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศแทนจอมพล แปลก พิบูลสงคราม เมื่อว้นที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2485เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศญี่ปุ่นได้ทำลายประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ ในทวีปเอเชียและเข้าประชิดเตรียมรุกรานประเทศไทย หลวงวิจิตรวาทการปรึกษาำับนายกรัฐมนตคี จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ทั้งสองตัดสินว่า อพื่อป้อบกันประเทศไทย มิให้ถูกทำบาจโดยกองทัพญี่ปุ่น ประเทศไทยควรนินยอมให้ประเทศญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไปสู่แหลมมลายู และให้ดำรงอิสรภาพของประเทศไทยเป็นการตอบแทน หลวงวิจิตรวาทการ สชะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไกเป็นเอกอัคราาชทูตประจำกรุงโตเกียวทีืประเทศญี่แุ่นแทนนนย ดิเรก ชัยนาม เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2486ในระยะสงครามโลกครั้งที่สองนี้ ประเทศญี่ปุ่นได้ตอลแทนมิตรภาพของปรพเทศไทย โดยช่วยเหลือให้ประเทศไทยรบยึแคืนแผ่นดินที่ได้สูญเสียแก่ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสในประวัติศาสตร์\nเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ด้วยความพ่ายแพ้ของประดทศญี่ปุ่น หลวงวิจิตรวาทกาี เอำอัครราชทูต_ทยประจำประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งเอกอัครราชทูตเยอรมันและเอกอัครราชทูตอิตาลี จึงถูกแม่ทัพสหรัฐนายพล ดักลาส แมตอาเธอร์ สั่งจับเข้าที่คุมขัง คุณหญิงวิจิตรวาทการได้เข้าอธิบายต่อนายพลแมคเาเธอร์ว่าประเทศไทยนั้น จำเป็นต้องดำเนินนโยบายเพื่อดำรงอิสรภาพ และปกป้องคุ้มกันประเทศมิให้ญี่ปุ่นทำลาย นายพลแมคอาเธอร์เข้าใจและรับคำอธิบายของคุณหญิงวิจิตรวาทการ สั่งปลดปล่อยหลวงวิจิตรวาทการออกจากที่คุมขัง รวมทั้งจัดการมอบเครื่องบินอเมริกัน นำหลวงวินิตรวาทการและข้าราชการประจำสถานทูตพลับเมืองไทย แต่เมื่อกลับมาถึงประเทศ รัฐบาลไทยภายใต้นายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ และควาาควบคุมของพันธมิตรอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา จึงจับกุมหลวงวิจิตรวาทการเข้าที่คุมขังในฐานอาขญากรสงคราใ\nหลวงบิจิตรวาทการและจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ถูกกล่าวหาเป็นอาชญากรสงคราม ฝืายอังกฤษและฝรั่งเฒสต้องการให้ประหารชีวิตทั้งสองท่าน แต่สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่าต้องดำเนินการขึ้นศาลตัดสินความก่อน ศาลไทยตัอสินความโดยยกเลิกข้อฟ้องทั้งหมดในพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม และปลดปล่อยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม หลวงวิจิตรสาทการ และนักโทษการเมืองอื่น ๆ ออกจากที่คุมขัง กลับสู่อิสรภาพ\nหลวงวิจิตรวาทการกลับมาใช้ชีวิตเป็นนักประพันธ์ แต่งสารคดีและนวนิยาย ประสบความสำเร็จเจริญรุรงเรืเงในชีวิตนอกการเมือง จนสามปีต่อมา จอมพล แปลก พิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการ ร่วมปรึกษาวางแผนรัฐประหารยึดอำนาจกลเบคืนสำเร็จ\nหลวงวิจิตรวาทการจึงกลับสู่สภาวะนักกาตเมือง ดำคงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง รุฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิขย์ ในรัฐบาลของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ภายหลังเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศอินเดีย ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และยูโกสลาเวีย (เซอร์เบีย) และต่อมสได้ดำรงตำแหน่ง ปลัดบัญชาการสำนักนายกรัฐมยตรี (เทียบเท่ารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) ในรัฐบาลของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์\n== แนวคิดเแลี่ยนแหลงชาตินิยม ==\nบทบาทสำคัญทึ่สุดของหลวงวิจิตรวาืการ ในฐานะนักการเมืองและนักชาตินิยม คือเป็นต้นความคิด ในการเปลี่ยนแปลงชื่อของประเทศสยาม เป็นประเทศไทย หลวงวิจิตรวาทการเป็นนักประวัติศาสตร์ ที่ศึกษาค้นคง้าประวัติของชนชาติไทย โดยอ้างว่าแรกตั้งรากฐานอยู่ท่่ทะเลแคสเปียนใกล้ประเทศรัสเซีย และอพยพเข้าสู่เขตยูนนานก่อนชนชาติจีน ถูกชนชาติจีนบุกรุกผลักดันลงสู่ทิศใตั จนถึงแดนสุวรรณภูมิ มีจำนวนชนชาวไทยทั้งหมดในขณุนั้น ปรเมาณ 40 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศสยาม จึงนำเรื่องขึ้นเสนอต่อจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ว่าสมควรเปลี่ยนชื่อประเทศ จากประเทศสยาม เป็นประเทศฟทย จอมพล แปลก พิบธลสบคราม จึงแต่งตั้งหลวงวิจิตีวาทการให้เป็นประ๔านคณะกรรมการ นำเรื่องเปลี่ยนชื่อประเทศขึ้นสู่สภาผู้แทน และสภาผู้แทนแห่งประเทศสยาม จึงลงเสียง เปลี่ยนชื่อประเทศสยาม เก็นประเทศไทย\n==ผลงาน==\nหลวงวเจิตรวาทการ เป็นผู้แต่งหนังสือ\nประเภทวิชาการและศาสนา\nดวงประทีป หนังสือประเภทวิชาการแบบรายทศ ใช้นามปากกาว่า \"เวทิก\"\nหนังสือแผ่นปลิว วัดมหาธาตุ ใช้นามปากกว่า \"องคต\"\nประวัติศาสตร์สากล ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 เล่ม โดยวช้นามหากกาว่า \"วิเทศกรณีย์\"\nประชุมพงศาวดารฉบับความสำคัญ จำนวน 8 เลืม\nจารึกพ่อขุนรามคำแหงก้บคำอธิบาย\nศาสนาสากล จำนวน 5 เล่ม\nวิชชาแปดประการ\nมหาบุรุษ\nมันสมอง\nความฝัน\nพุทธานุภาพ\nกุศโลบาย\nกำลังใจ\nกำลังความคิด\nดวงหน้าในอดีต\nของดีในอินเดีบ\nลัทธิโยคี\nการเมืองการปกครองของกรุวสยาม\nคณะการเมือง\nชัวิตแห่งละคค\nไปพม่า\nจิตวิทยา\nจิตตานุภาพ\nการเมือง\nวิธีทำงานและสร้างอนาคต\nทางสู้ในชีวิต\nวิชาการครองเรือนครองรัก\nกุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่\nมหัศจรรย์ทางจิต\nงานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย\nประเภทบทความอละสารคดี\nความขบขัน\nความหมายการศีกษา\nวิถีนักเขียน\nกำเนิเธนบัตร\nมุสโสลินี\nแม่ศรี-คู่สร้าง\nประเภทบทละครประวัติศาสตร์\nนเรศวรประกาศอิสรภาพ (พ.ศ, 2577)\nพ่อขุนผาเมือง\nดาบแสนเมือง\nเจ้าหญิงกรร๊ิการ์\nลานเลือด-ลานรัก\nเลือดสุพรรณ (พ.ศ. 2479)\nราชมนู\nศึกถลาง (พ.ศ. 2480)\nพระเจ้ากรุงธนบุรี (พ.ศ. 2480)\nมหาเทวี\nน่านเจ้า\nเจ้าหญิงแสนหวี\nเบญจเพศ\nชนะมาร\nสีหราชเดโช\nตายดาบหน้า\nเพ็ชรัตน์-พัชรา\nลูกพระคเณศวร์\nครุฑดำ\nโชคชีวิต\nอนุภาพพ่อรามคำแหง\nอนุภาพแห่งความเสียสละ\nอนุภาพแห่งความ่ัก\nอนุภาพแห่งศีลสัตย์\nราชธิดาพระร่วง\nบทลุครหลังโาก\nสองคนพ่อลูก\nในน้ำมีปลา-ในนามีข้าว\nหลานเขยของคุณป้า\nความรักของแม่\nสละชีพเพื่องาน\nน้ำใจแม่\nฝั่งโขง\nภริยาสมาชิกสภา\nสายเสียแล้ว\nผีการพนัน\nเหลือกลั้น\nแม่สายบัว\nขาวม้า-หาคู่\nเทพธิดากาชาด\nเสียท่า\nประเภ่นวนิยายและนวนิยายอิงประวัติศาสตร์\nห้วงรักเหวลึก\nพานทองรองเลือด\nดอกฟ้าจำปาศักด้์\nฟาดฟืาสาละวิน\nสวรรค์ยังไา่ทอดทิ้งข้าพเจ้า\nยอดเศวตฉัตร\nผจญชีวิต\nครุฑดำ\nเสน่ห์นาง\nกรุงแตก\nใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน\nเจ้าแม่จามรี (ใช้นามปากกาว่า \"แสงธรรม\")\nเจ้าแม่สาริกา\nบ่มรัก\nบุรุษอาธรรม์\nสมร\nลูกเมียเก่า\nอนาคตของชาติ (ใช้นามปากกาวทา \"ดาวพฤหัส\")\nเพ็ชรพระนารายณ์\nบัลลังก์เชียงรุ้ง\nสละชีพเพื่อชู้\nกุหลาลเมาะลำเลิง\nทุ่งร้างทางรัด\nอาทิตย์อัสดง\nคืนสวตรร์-วันสวาท\nกรรณิกนร์เทวี\nมรสุมแห่งชีวิต\nมนต์เรียกผัว\nเหล็กล้างแค้น\nเมื่อข้าพเจ้าหนีเมีย\nของรักตกตม\nเลือดล้างเคราะห์\nคลุสถุงชน\nหลุมฝังรัก\nรักสวยรักศิลป์\nเสน่ห์นาง\nผัวหาย\nกุญแจทอง\nสมร\nความรักครั้งหลัง\nเจ้าแม่จามรี\nบุรุษอาธรรม์\nบ่มรำ\nเจ้าแม่สาลิกา\nบทเรียนสร้างชีวิต\nอปดปีภายหลัฝ\nเมื่แไ่ยเป็นทาส\nความรักในกรงขัง\nเพลงเก่า-เพลงกรรม\nเลือดก้ินหนึ่ง\nชั่วดีพี่สะไภ้\nหวานใจเจ้าอนุ\nแลัวจนหายกลัว\nผู้ชนะเลิศ\nสองชีวิต\nน้ำตาของแม่\nขวัญตา-ขวัญใจ\nนางเอหของข้าพเจ้า\nเนื้อคู่สู่ยม\nยอดมิ่ง-ยอดมิตร\nผัวแท้-ผัวเทียม\nกลับบ้านดีกว่า\nนักเขียนราคาแพง\nชีวิตคือกมรต่อสู้\nเพื่ดมาตุภูมิ\nตายสองึรั้ง\nลูกชายของแม่\nศิลปะสมัยใหม่\nหนามบ่งหนาม\nโชคหลายชั้น\nบ฿ชารัก\nรู้ตัวเสื่อจะตาย\nเพลินพิศ\nลูกทาสในเรือนเบี้ย\nเล่ห์ทำลายรัก\nกองร้อยมรณะ\nคืนร้รงคืนรัก\nแฟนหัวใจ\nเพื่เตเก่าเมียรัก\nง่ายนิดเดียว\nหลังฉากมรณะ\nประทุมมาลย์\nไม่กลัวตาย\nเข็มเล่มเดียว\nผเดสัญญา\nอย่าเล่นกับคำสายาน\nปีศาจการพนัน\nเมื่อข้าพเจ้าฆ่าตัวตาย\nสมรสทึ่เดีเลิศ\nชื่นเพราะชู้ - สู้เพราะรัก\nกรีเซลดา\nราตรึโชค\nปาฐกถา สุนทรพจน์ และการบรรยาข\nความฝัน\nกำเนิดของหนังสือพิมพ์\nการแต่งงาน\nการศิลปากร\nความยุ่งยากในปลายบูรพทิศ\nวัฒนธรรมสึโขทัย\nสุนทรพจส์วันสถาปนา สมเด็จพระวันรัต เบมจารี วัดมหาธาตุ\nการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรุ่งเศส\nความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติระหว่างไทยกับเขมร\nชาติไทยจะชนะ\nข้อเท็จจริงบางประการ\nอารยะธรรม\nของดีในภาคอีสาน\nความรัก\nชีวิตของนักประพันธ์\nตวามเจริญ\nความเชื่ดในศาสนา\nธีรมวิภาค\nลักษณะของคน\nปัญหาการเงินของเยอคมันนีในสงครามโลกครั้งที่ 2\nมนุสสปฏิวัติ\nตะวันออกกลาง\nการประหยัด\nผลของลัทธินิยมเกี่ยวกับความสีมพันธ์นะหว่างประเทศ\nกัลยาณการี\nเงินได้ของสรรพากร\nนโยบายชาตินิยม\nการทูตของประเทศไทย\nงานของสำนัหนายกรัฐมนตรี\nชาติกับศาสนา\nโลกปัจจุบันในแง่ประวัติศาสตร์\nสภาความมั่นคงแห่งชาตื\nการคลังยามสงคร่ม\nความปลอดภัยของประเทศไทย\nหลวงวิจิตรวาทการยังเป็นผู้ประพันธ์คำร้องและทำนองเพลงปลุกใจให้รักชาติประกอบเรื่องในละครประวัติศาสตร์ เช่น เพลงตื่นเถิดชาวไทย เพลงต้นตระกูลไทย เพลงรักเมืองไทย เพลงเลือดสุพรรณ เพลงแหลมทอง และเพลลกราวถลางเป็นต้น นอกจากนั้นท่านจังแต่งบทละครอิงประวัตเศาสตร์ และเพลงผระกอบละครเหล่านั้น ไว้หลายเรื่องและหลายเพลฝ ท่านเปฺนผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการปลุกเร้าความรู้สึกชาตินิยมในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี\n== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ==\nพลตรี ๆด้รับพระราชทานเครื่องคาขอิสริยาภรณ์ยองผระเทศไทยและเครื่องราชอิสริยทภรณฺต่างประเทศต่าง ๆ ดังนี้\n=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ===\n=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ ===\n* ภ.ศ. 2486 – 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัว ชั้นที่ 1\n* พ.ษ. 2486 – 80px เครื่องดิสริยาภรณ์อินทรีเยอรมัน ชั้นที่ 1\n* พ.ศ. 2586 – 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อินทรีโรมัน ชั้นที่ 1\n* พ.ศ. ไม่ปรากฏ – 80px เครื่องอิสริยาภรณ์ดวงอาทิตย์แห่งพฤษภาคม ชั้นที่ 1\n== อ้างอิง ==\n=- แหล่งข้อมูลอื่น ==\nละครหลวงวิจิตรวาทการ. บ้านรำไทย.\nสมยชล สัตยานุรักษ์. (2545). ความเปลึ่ยนแปลงในการสร้าง “ชาติไทย” และ “ความเป็นไทย” ฑดยหลวงวิจิตรวามการ. กรุงเทพฯ: มติชน. .\nBarmé, Scot. (1993). Luang Wichit Wa5hakan and the Creation of Thai Identity. Singapore: Institutr of Southeast Asia Studies. .\nรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการรลังไทย\nรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย\nรัฐมนตรรว่าการกระทรวงการต่างปนะเทศไทย\nรัฐมนตรีไทยที่ไม่ได้ประจำกระทรวง\nสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบแต่งตั้ง\nอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์\nอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์\nดลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ\nปลัดสำนัดนายกรัฐมนตรีไทย\nวิจิรรงาทการ\nวิจิตีใาทการ\nวิจิตรวาทการ\nทหารบกชาวไทย\nเปรียญธรรม 5 ประโยค\nราชบัณฑิตกินติมศักดิ์\nผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวเทยาลัย\nผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยํรรสศาสตร์\nทหารชาวไทยในสงครามโลกครั้งที่สอง\nอาชญากรสงครามชาวไทย\nนักำูด\nนักแต่งเพลงชาวไทย\nบุคคลจทกอำเภอหนองขาหย่าง\nผู้ได้รับเครื่องราชแิสริยาภรณ์ ม.ป.ช.\nผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม.\nผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.จ. (ฝ่ายหน้า)\nผู้ได้รับเหรียญ ร.ด.มฦ(ศ)\nผูิได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ ว.ป.ร.2\nเอกอัครราชทูตไทยประจำญี่ปุ่น\nเอกอัครราชทูตไทยประจำยูโกสลาเวีย\nบุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนฑกสินทร์\nชาตินิยมไทย", "role": "user" }, { "content": "พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร วิจิตรวาทการ, ชื่อเดิม กิมเหลียง วัฒนปฤดา (c=金良) แต่อ้างว่ามิได้มีเชื้อจีนแต่ประการใด) เป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ นักปราชญ์ นักประวัติศาสตร์ นักการเมือง นักปาถกฐา นักประพันธ์ คนสำคัญของประเทศไทย\n== ประวัติ ==\nหลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้ต้นคิดและริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงชื่อของประเทศ จากประเทศสยาม เป็นประเทศไทย เป็นบุตรคนหนึ่งใน 8 คน ของนายอินและนางคล้าย บุตรีของหลวงสกลรักษา นายอำเภอ เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2441 เวลา 4.00 น. ย่ามรุ่ง ที่อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี บิดามารดามีอาชีพค้าขาย แต่มารดาเสียก่อนเมื่อยังเล็ก เมื่ออายุ 8 ขวบเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดขวิด ตำบลสะแกกรัง เมื่อจบประถมศึกษา บิดาได้นำไปฝากให้บวชสามเณรอยู่กับพระมหาชุ้ย วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร\nเมื่ออายุ 13 ปี ในปี พ.ศ. 2453 ได้ศึกษานักธรรมและบาลีจนจบนักธรรมเอกและเปรียญ 5 ประโยค โดยสอบได้เปรียญ 5 ประโยคใน พ.ศ. 2459 เมื่ออายุ 19 ปี สอบได้เป็นที่ 1 ในประเทศ ได้รับประกาศนียบัตรหมายเลข 1 จากพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 6 และได้รับความไว้วางใจจากพระศรีวิสุทธิวงศ์ (เฮง เขมจารี) ให้เป็นครูสอนภาษาบาลีอีกด้วย\nหลวงวิจิตรวาทการเป็นคนใฝ่รู้อย่างยิ่ง นอกจากเรียนนักธรรมและบาลีแล้วยังแอบเรียนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะเขาไม่ให้เรียนวิชาอื่นจนมีความรู้ในภาษาทั้งสองดี ได้แปลพงศาวดารเยอรมันเป็นไทยโดยใช้นามปากกาว่า \"แสงธรรม\"\nหลวงวิจิตรวาทการถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2505 เวลา 6.40 น. ที่บ้านพักซอยเกษม ถนนสุขุมวิท 24 กรุงเทพมหานคร ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว สิริอายุ 63 ปี พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2505 โดยบรรจุศพหลวงวิจิตรวาทการด้วยพระโกศไม้สิบสอง และประดับเฟื้องเป็นเกียรติยศ\n== ครอบครัว ==\nหลวงวิจิตรวาทการ สมรสกับคุณหญิง ประภาพรรณ วิจิตรวาทการ มีบุตร-ธิดาด้วยกัน 7 คน ได้แก่\nดร.วิญญู วิจิตรวาทการ\nวิวิทย์ วิจิตรวาทการ\nวิจิตรา รังสิยานนท์\nนพ. วิบูล วิจิตรวาทการ\nวิภาจ วิจิตรวาทการ\nวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ\nวิวัฒนวงศ์ วิจิตรวาทการ\n== การทำงาน ==\nเมื่ออายุ 20 ปี ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ อยู่ในภิกขุภาวะได้เพียงเดือนเดียวก็ลาสิกขาออกมารับราชการที่กองการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ทำงานอยู่เป็นเวลา 2 ปี 3 เดือน ก็ได้มีโอกาสไปรับตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ ประจำสถานอัครราชทูตสยาม ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส รับราชการได้ 6 ปีเต็ม แล้วได้ย้ายไปประจำการในสถานอัครราชทูตสยาม ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อครั้งยังรับราชการอยู่ที่กรุงปารีส หลวงวิจิตรวาทการ ร่วมประชุมกับผู้ก่อตั้งคณะราษฏร์ แต่มิได้เข้าร่วมคณะราษฎร์ เพราะไม่เห็นด้วยกับปรัชญาและแนวโน้มด้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของปรีดี พนมยงค์ และต้องการปกป้องยึดมั่นสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ภายใต้รัฐธรรมนูญ หลวงวิจิตรวาทการจึงก่อตั้ง \"คณะชาติ\" ขึ้นมาเพื่อหมายจะเปรียบเทียบกับคณะราษฎร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าเทียมคณะราษฏร์ หลังจากรับราชการต่อที่กรุงลอนดอน หลวงวิจิตรวาทการ จึงกลับมาร่วมงานวางแผนปฏิวัติกับคณะราษฏร์ที่ประเทศสยาม ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยมิได้เอาชื่อเข้าคณะผู้ก่อการอย่างเป็นทางการ\n=== ตำแหน่งราชการ ===\nหลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร) มีตำแหน่งราชการ ดังนี้\nพ.ศ. 2461 เสมียนกองการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ\nพ.ศ. 2463 ผู้ช่วยเลขานุการ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส\nพ.ศ. 2467 เลขานุการ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส\nพ.ศ. 2469 เลขานุการ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร\nพ.ศ. 2472 หัวหน้ากองการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ\nพ.ศ. 2473 หัวหน้ากองการทูต กระทรวงการต่างประเทศ\nพ.ศ. 2474 หัวหน้ากองการเมือง กระทรวงการต่างประเทศ และเลขานุการ คณะข้าหลวงใหญ่ปักปันเขตแดนแม่น้ำโขง\nพ.ศ. 2475 ผู้ช่วยอธิบดีกรมการเมือง กระทรวงการต่างประเทศ และอาจารย์ผู้สอนประวัติศาสตร์สากล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย\nพ.ศ. 2476 อธิบดีกรมพิธีการทูต กระทรวงการต่างประเทศ\nพ.ศ. 2477 อธิบดีกรมศิลปากร เลขาธิการราชบัณฑิตสถานและอาจารย์ผู้สอนประวัติศาสตร์การปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์\nพ.ศ. 2480 อธิบดีกรมศิลปากร และรัฐมนตรี\nพ.ศ. 2484 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีสั่งราชการแทน กระทรวงศึกษาธิการ\nพ.ศ. 2485 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ\nพ.ศ. 2486 เอกอัครราชทูตประจำประเทศญี่ปุ่น\nพ.ศ. 2493 ผู้ประศาสน์การ (รักษาการตำแหน่งอธิบดี) และอาจารย์ผู้สอนประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์\nพ.ศ. 2494 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง\nพ.ศ. 2495 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเอกอัครราชทูตประจำประเทศอินเดีย\nพ.ศ. 2496 เอกอัครราชทูตประจำประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และยูโกสลาเวีย\nพ.ศ. 2501 รองผู้อำนวยการฝ่ายผลเรือน กองบัญชาการปฏิวัติ\nพ.ศ. 2502 ปลัดบัญชาการสำนักนายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ กรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ กรรมการสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลใหม่ (ราชมิตราภรณ์) และประธานคณะที่ปรึกษาองค์การของรัฐ\nพ.ศ. 2503 กรรมการบริหารสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เลขาธิการสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยศิลปากร และผู้สั่งและปฎิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี\n== บทบาททางการเมือง ==\nภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งขณะนั้นมียศเป็น อำมาตย์โท และดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอธิบดีกรมการเมือง กระทรวงการต่างประเทศ ได้ถูกปลดออกจากราชการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2475 แต่ในภายหลังได้กลับเข้ารับราชการโดยได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น เจ้ากรมกองประกาศิต เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2476 ต่อมาได้โอนมารับราชการที่ กระทรวงธรรมการ ก่อนจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นผู้รั้งตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2477 ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศแทนจอมพล แปลก พิบูลสงคราม เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2485เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศญี่ปุ่นได้ทำลายประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ ในทวีปเอเชียและเข้าประชิดเตรียมรุกรานประเทศไทย หลวงวิจิตรวาทการปรึกษากับนายกรัฐมนตรี จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ทั้งสองตัดสินว่า เพื่อป้องกันประเทศไทย มิให้ถูกทำลายโดยกองทัพญี่ปุ่น ประเทศไทยควรยินยอมให้ประเทศญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไปสู่แหลมมลายู และให้ดำรงอิสรภาพของประเทศไทยเป็นการตอบแทน หลวงวิจิตรวาทการ สละตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำกรุงโตเกียวที่ประเทศญี่ปุ่นแทนนาย ดิเรก ชัยนาม เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2486ในระยะสงครามโลกครั้งที่สองนี้ ประเทศญี่ปุ่นได้ตอบแทนมิตรภาพของประเทศไทย โดยช่วยเหลือให้ประเทศไทยรบยึดคืนแผ่นดินที่ได้สูญเสียแก่ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสในประวัติศาสตร์\nเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ด้วยความพ่ายแพ้ของประเทศญี่ปุ่น หลวงวิจิตรวาทการ เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งเอกอัครราชทูตเยอรมันและเอกอัครราชทูตอิตาลี จึงถูกแม่ทัพสหรัฐนายพล ดักลาส แมคอาเธอร์ สั่งจับเข้าที่คุมขัง คุณหญิงวิจิตรวาทการได้เข้าอธิบายต่อนายพลแมคอาเธอร์ว่าประเทศไทยนั้น จำเป็นต้องดำเนินนโยบายเพื่อดำรงอิสรภาพ และปกป้องคุ้มกันประเทศมิให้ญี่ปุ่นทำลาย นายพลแมคอาเธอร์เข้าใจและรับคำอธิบายของคุณหญิงวิจิตรวาทการ สั่งปลดปล่อยหลวงวิจิตรวาทการออกจากที่คุมขัง รวมทั้งจัดการมอบเครื่องบินอเมริกัน นำหลวงวิจิตรวาทการและข้าราชการประจำสถานทูตกลับเมืองไทย แต่เมื่อกลับมาถึงประเทศ รัฐบาลไทยภายใต้นายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ และความควบคุมของพันธมิตรอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา จึงจับกุมหลวงวิจิตรวาทการเข้าที่คุมขังในฐานอาชญากรสงคราม\nหลวงวิจิตรวาทการและจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ถูกกล่าวหาเป็นอาชญากรสงคราม ฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสต้องการให้ประหารชีวิตทั้งสองท่าน แต่สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่าต้องดำเนินการขึ้นศาลตัดสินความก่อน ศาลไทยตัดสินความโดยยกเลิกข้อฟ้องทั้งหมดในพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม และปลดปล่อยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม หลวงวิจิตรวาทการ และนักโทษการเมืองอื่น ๆ ออกจากที่คุมขัง กลับสู่อิสรภาพ\nหลวงวิจิตรวาทการกลับมาใช้ชีวิตเป็นนักประพันธ์ แต่งสารคดีและนวนิยาย ประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรืองในชีวิตนอกการเมือง จนสามปีต่อมา จอมพล แปลก พิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการ ร่วมปรึกษาวางแผนรัฐประหารยึดอำนาจกลับคืนสำเร็จ\nหลวงวิจิตรวาทการจึงกลับสู่สภาวะนักการเมือง ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ภายหลังเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศอินเดีย ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และยูโกสลาเวีย (เซอร์เบีย) และต่อมาได้ดำรงตำแหน่ง ปลัดบัญชาการสำนักนายกรัฐมนตรี (เทียบเท่ารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) ในรัฐบาลของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์\n== แนวคิดเปลี่ยนแปลงชาตินิยม ==\nบทบาทสำคัญที่สุดของหลวงวิจิตรวาทการ ในฐานะนักการเมืองและนักชาตินิยม คือเป็นต้นความคิด ในการเปลี่ยนแปลงชื่อของประเทศสยาม เป็นประเทศไทย หลวงวิจิตรวาทการเป็นนักประวัติศาสตร์ ที่ศึกษาค้นคว้าประวัติของชนชาติไทย โดยอ้างว่าแรกตั้งรากฐานอยู่ที่ทะเลแคสเปียนใกล้ประเทศรัสเซีย และอพยพเข้าสู่เขตยูนนานก่อนชนชาติจีน ถูกชนชาติจีนบุกรุกผลักดันลงสู่ทิศใต้ จนถึงแดนสุวรรณภูมิ มีจำนวนชนชาวไทยทั้งหมดในขณะนั้น ประมาณ 30 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศสยาม จึงนำเรื่องขึ้นเสนอต่อจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ว่าสมควรเปลี่ยนชื่อประเทศ จากประเทศสยาม เป็นประเทศไทย จอมพล แปลก พิบูลสงคราม จึงแต่งตั้งหลวงวิจิตรวาทการให้เป็นประธานคณะกรรมการ นำเรื่องเปลี่ยนชื่อประเทศขึ้นสู่สภาผู้แทน และสภาผู้แทนแห่งประเทศสยาม จึงลงเสียง เปลี่ยนชื่อประเทศสยาม เป็นประเทศไทย\n==ผลงาน==\nหลวงวิจิตรวาทการ เป็นผู้แต่งหนังสือ\nประเภทวิชาการและศาสนา\nดวงประทีป หนังสือประเภทวิชาการแบบรายทศ ใช้นามปากกาว่า \"เวทิก\"\nหนังสือแผ่นปลิว วัดมหาธาตุ ใช้นามปากกว่า \"องคต\"\nประวัติศาสตร์สากล ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 เล่ม โดยใช้นามปากกาว่า \"วิเทศกรณีย์\"\nประชุมพงศาวดารฉบับความสำคัญ จำนวน 8 เล่ม\nจารึกพ่อขุนรามคำแหงกับคำอธิบาย\nศาสนาสากล จำนวน 5 เล่ม\nวิชชาแปดประการ\nมหาบุรุษ\nมันสมอง\nความฝัน\nพุทธานุภาพ\nกุศโลบาย\nกำลังใจ\nกำลังความคิด\nดวงหน้าในอดีต\nของดีในอินเดีย\nลัทธิโยคี\nการเมืองการปกครองของกรุงสยาม\nคณะการเมือง\nชีวิตแห่งละคร\nไปพม่า\nจิตวิทยา\nจิตตานุภาพ\nการเมือง\nวิธีทำงานและสร้างอนาคต\nทางสู้ในชีวิต\nวิชาการครองเรือนครองรัก\nกุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่\nมหัศจรรย์ทางจิต\nงานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย\nประเภทบทความและสารคดี\nความขบขัน\nความหมายการศึกษา\nวิถีนักเขียน\nกำเนิดธนบัตร\nมุสโสลินี\nแม่ศรี-คู่สร้าง\nประเภทบทละครประวัติศาสตร์\nนเรศวรประกาศอิสรภาพ (พ.ศ. 2477)\nพ่อขุนผาเมือง\nดาบแสนเมือง\nเจ้าหญิงกรรณิการ์\nลานเลือด-ลานรัก\nเลือดสุพรรณ (พ.ศ. 2479)\nราชมนู\nศึกถลาง (พ.ศ. 2480)\nพระเจ้ากรุงธนบุรี (พ.ศ. 2480)\nมหาเทวี\nน่านเจ้า\nเจ้าหญิงแสนหวี\nเบญจเพศ\nชนะมาร\nสีหราชเดโช\nตายดาบหน้า\nเพ็ชรัตน์-พัชรา\nลูกพระคเณศวร์\nครุฑดำ\nโชคชีวิต\nอนุภาพพ่อรามคำแหง\nอนุภาพแห่งความเสียสละ\nอนุภาพแห่งความรัก\nอนุภาพแห่งศีลสัตย์\nราชธิดาพระร่วง\nบทละครหลังฉาก\nสองคนพ่อลูก\nในน้ำมีปลา-ในนามีข้าว\nหลานเขยของคุณป้า\nความรักของแม่\nสละชีพเพื่องาน\nน้ำใจแม่\nฝั่งโขง\nภริยาสมาชิกสภา\nสายเสียแล้ว\nผีการพนัน\nเหลือกลั้น\nแม่สายบัว\nขายม้า-หาคู่\nเทพธิดากาชาด\nเสียท่า\nประเภทนวนิยายและนวนิยายอิงประวัติศาสตร์\nห้วงรักเหวลึก\nพานทองรองเลือด\nดอกฟ้าจำปาศักดิ์\nฟากฟ้าสาละวิน\nสวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งข้าพเจ้า\nยอดเศวตฉัตร\nผจญชีวิต\nครุฑดำ\nเสน่ห์นาง\nกรุงแตก\nใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน\nเจ้าแม่จามรี (ใช้นามปากกาว่า \"แสงธรรม\")\nเจ้าแม่สาริกา\nบ่มรัก\nบุรุษอาธรรม์\nสมร\nลูกเมียเก่า\nอนาคตของชาติ (ใช้นามปากกาว่า \"ดาวพฤหัส\")\nเพ็ชรพระนารายณ์\nบัลลังก์เชียงรุ้ง\nสละชีพเพื่อชู้\nกุหลาบเมาะลำเลิง\nทุ่งร้างทางรัก\nอาทิตย์อัสดง\nคืนสวรรค์-วันสวาท\nกรรณิการ์เทวี\nมรสุมแห่งชีวิต\nมนต์เรียกผัว\nเหล็กล้างแค้น\nเมื่อข้าพเจ้าหนีเมีย\nของรักตกตม\nเลือดล้างเคราะห์\nคลุมถุงชน\nหลุมฝังรัก\nรักสวยรักศิลป์\nเสน่ห์นาง\nผัวหาย\nกุญแจทอง\nสมร\nความรักครั้งหลัง\nเจ้าแม่จามรี\nบุรุษอาธรรม์\nบ่มรำ\nเจ้าแม่สาลิกา\nบทเรียนสร้างชีวิต\nแปดปีภายหลัง\nเมื่อไทยเป็นทาส\nความรักในกรงขัง\nเพลงเก่า-เพลงกรรม\nเลือดก้อนหนึ่ง\nชั่วดีพี่สะไภ้\nหวานใจเจ้าอนุ\nกลัวจนหายกลัว\nผู้ชนะเลิศ\nสองชีวิต\nน้ำตาของแม่\nขวัญตา-ขวัญใจ\nนางเอกของข้าพเจ้า\nเนื้อคู่สู่สม\nยอดมิ่ง-ยอดมิตร\nผัวแท้-ผัวเทียม\nกลับบ้านดีกว่า\nนักเขียนราคาแพง\nชีวิตคือการต่อสู้\nเพื่อมาตุภูมิ\nตายสองครั้ง\nลูกชายของแม่\nศิลปะสมัยใหม่\nหนามบ่งหนาม\nโชคหลายชั้น\nบูชารัก\nรู้ตัวเมื่อจะตาย\nเพลินพิศ\nลูกทาสในเรือนเบี้ย\nเล่ห์ทำลายรัก\nกองร้อยมรณะ\nคืนร้างคืนรัก\nแฟนหัวใจ\nเพื่อนเก่าเมียรัก\nง่ายนิดเดียว\nหลังฉากมรณะ\nประทุมมาลย์\nไม่กลัวตาย\nเข็มเล่มเดียว\nผิดสัญญา\nอย่าเล่นกับคำสาบาน\nปีศาจการพนัน\nเมื่อข้าพเจ้าฆ่าตัวตาย\nสมรสที่เดีเลิศ\nชื่นเพราะชู้ - สู้เพราะรัก\nกรีเซลดา\nราตรีโชค\nปาฐกถา สุนทรพจน์ และการบรรยาย\nความฝัน\nกำเนิดของหนังสือพิมพ์\nการแต่งงาน\nการศิลปากร\nความยุ่งยากในปลายบูรพทิศ\nวัฒนธรรมสุโขทัย\nสุนทรพจน์วันสถาปนา สมเด็จพระวันรัต เขมจารี วัดมหาธาตุ\nการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส\nความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติระหว่างไทยกับเขมร\nชาติไทยจะชนะ\nข้อเท็จจริงบางประการ\nอารยะธรรม\nของดีในภาคอีสาน\nความรัก\nชีวิตของนักประพันธ์\nความเจริญ\nความเชื่อในศาสนา\nธรรมวิภาค\nลักษณะของคน\nปัญหาการเงินของเยอรมันนีในสงครามโลกครั้งที่ 2\nมนุสสปฏิวัติ\nตะวันออกกลาง\nการประหยัด\nผลของลัทธินิยมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ\nกัลยาณการี\nเงินได้ของสรรพากร\nนโยบายชาตินิยม\nการทูตของประเทศไทย\nงานของสำนักนายกรัฐมนตรี\nชาติกับศาสนา\nโลกปัจจุบันในแง่ประวัติศาสตร์\nสภาความมั่นคงแห่งชาติ\nการคลังยามสงคราม\nความปลอดภัยของประเทศไทย\nหลวงวิจิตรวาทการยังเป็นผู้ประพันธ์คำร้องและทำนองเพลงปลุกใจให้รักชาติประกอบเรื่องในละครประวัติศาสตร์ เช่น เพลงตื่นเถิดชาวไทย เพลงต้นตระกูลไทย เพลงรักเมืองไทย เพลงเลือดสุพรรณ เพลงแหลมทอง และเพลงกราวถลางเป็นต้น นอกจากนั้นท่านยังแต่งบทละครอิงประวัติศาสตร์ และเพลงประกอบละครเหล่านั้น ไว้หลายเรื่องและหลายเพลง ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการปลุกเร้าความรู้สึกชาตินิยมในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี\n== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ==\nพลตรี ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของประเทศไทยและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศต่าง ๆ ดังนี้\n=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ===\n=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ ===\n* พ.ศ. 2486 – 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นที่ 1\n* พ.ศ. 2486 – 80px เครื่องอิสริยาภรณ์อินทรีเยอรมัน ชั้นที่ 1\n* พ.ศ. 2486 – 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อินทรีโรมัน ชั้นที่ 1\n* พ.ศ. ไม่ปรากฏ – 80px เครื่องอิสริยาภรณ์ดวงอาทิตย์แห่งพฤษภาคม ชั้นที่ 1\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nละครหลวงวิจิตรวาทการ. บ้านรำไทย.\nสายชล สัตยานุรักษ์. (2545). ความเปลี่ยนแปลงในการสร้าง “ชาติไทย” และ “ความเป็นไทย” โดยหลวงวิจิตรวาทการ. กรุงเทพฯ: มติชน. .\nBarmé, Scot. (1993). Luang Wichit Wathakan and the Creation of Thai Identity. Singapore: Institute of Southeast Asia Studies. .\nรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไทย\nรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย\nรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย\nรัฐมนตรีไทยที่ไม่ได้ประจำกระทรวง\nสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบแต่งตั้ง\nอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์\nอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์\nเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ\nปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไทย\nวิจิตรวาทการ\nวิจิตรวาทการ\nวิจิตรวาทการ\nทหารบกชาวไทย\nเปรียญธรรม 5 ประโยค\nราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์\nผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย\nผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์\nทหารชาวไทยในสงครามโลกครั้งที่สอง\nอาชญากรสงครามชาวไทย\nนักพูด\nนักแต่งเพลงชาวไทย\nบุคคลจากอำเภอหนองขาหย่าง\nผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช.\nผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม.\nผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.จ. (ฝ่ายหน้า)\nผู้ได้รับเหรียญ ร.ด.ม.(ศ)\nผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ ว.ป.ร.2\nเอกอัครราชทูตไทยประจำญี่ปุ่น\nเอกอัครราชทูตไทยประจำยูโกสลาเวีย\nบุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์\nชาตินิยมไทย", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "คอมพิวเคอร์ส่วนบุคคล (personal computer) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับส่วนบุคคลทีทใช้ส่วนตัว หรือในคคอบครัว\nเครื่อลพีซีอาจเป็นเครื่องคอมพิใเตอร์ที่ใช้ประจำบ้าน (home computer) หรืออาจพบใช้ในงานสำนักงานที่มักจะเชื่อมต่อกันเป็นระบบเคร่อข่ายท้องถิ่น (local area network) ลักษณะเด่นจะเปํนเครื่อบที่ถูแใช้งานโดยคนเพียงคนเดียว ซึ่งต่างจากระบบประมวฃผลแบบ batch processing หรือ time-sharing ที่มีความซับซ้อน ราคาแพง มีการใช้งานจากคนหมู่มากพร้อม ๆ แัน หร้อระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องการทีมทำงานเต็มเวลาคอยควบคุมการทำงาน\nผู้ใช้ \"PC\" ในยุคแรกต้องเขียนโปรแกรมขึ้นใช้งานเอง แต่มาในปัจจุบัน ผู้ใช้มีโปรแกราให้เลือกใช้ที่หลากหลายทั้งแบบที่ซื้อขายเชิงพาณิชย์และไม่เชิงพาณิชย์ ซึ่งบ้วนแล้วแต่ติดตั้งได้ง่าย\nคำว่า \"คดมพิวเตอร์ส่วนบุคคล\" เริ่มมีใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) สำหรับกล่าวถึงเครื่อง Xerox PARC ของบริษัท Xerox Alto อย่างไรก็ตามจากความประสบความสำเร็จของฟอบีเิ็มพีซี ทำให้การใช้คำว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหมายภึล เครื่องไอบีเอ็ทพีซี\n1.เดสก์ท๊อปคอมพิวเตอร์ (desltop computer) คือ คอมพิวเตอร์ตัังโต๊ะ เป็นคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานบนโต๊ะ ่ี่ใช้ตามบ้ายหรือสำนักงานทั่วไป มีแารแยกชิ้สส่วนประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแป้นพิมพ์ เช่น คอมพิวเตอร์มรวนบุคคล(PC Computer) เป็นต้น\n2.แล็ปท๊อปคอมพิวเตอร์ (laptop computer) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดเฃ็ก สามารถขนย้ายหรือพกพาได้สะดวก โดยปกติจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 1-3 กก. การทำงานของแล็ปท็อปจะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี และในขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าได้โดยตรงจากการเสียบปลั๊กไฟ ประสิทธิภาพของแล็ปท็อปโดวทั่วไปนั้นัทียบเท่ากับคอมพิวเตอต์ตั้งโต๊ะปบบปกติ ในขณะที่ราคาของแล็ปท็อปจะสูงกว่า\n3.แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ (hablet computer) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถพกพาได้แลดใช้หน้าจอสัมผัสใรการทำงานเป็นอันดับแรก ออกแบบให้สามารถทำงานได้ด้วยตัวมันเอง แท็บเล็รไม่เหมือนกับคอมตั้งโต๊ะ หรือแล็ปท๊อป ตรงที่อาจไม่มีแป้นพิมพ์ในการใช้งานแต่ใช้แป้นพิมพ์ที่ปรากฏบนหน้าจอแทนโดยใช้การสัมผัสในการพิมพ์แทน หรืออานใช้ ปากกาสไตลัส ปากแาดิจิตอล เป็รอุปกรณ์อินพุตพื้นฐาน แทนการใช้คีย์บอร์ดและเมาส์\n4.โมบายดีไวซ์ คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ควบรวมระหส่างคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟนเข้ทไวีด้วยกัน โดยมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารสองทาง ส่งขัอคยาม ปฏิทืน นาฬิกาปลุก ตารางนัดหมาว เกม การใช้งานอินเทอร์เน็ต กล้องถ่ายภาพ วิทยุ ฌทรทัศน์ เครื่องเล่นเพลง เครื่องเล่นภาพยนตร์ จีพีเอส คอมพิวเตอร์ บัตรเดบิต บัตรเครดิต บัครประชาชน\nเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นพีซ่ ของไอบีเอ็ม ซึ่งเป็นที่มาของคำดังกล่าว - ดู ไอบีเอ็มพีซี\nคำสามัญ สำหรับะรียกเคร้่องไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เข้าพันได้กับข้อกำหนดจำเพาะของไอบี้อ็ม (IBM compatible)\nคำสามัญ ที่บ่งครั้งใช้เรียกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ทุกชนิด\n== ม่วนประกอบของคอมพิวะตอร์ส่วนบุคคล ==\nเครื่เงคอมพิวเตอร์จะแบ่งออกเป็น ส่วนของฮาร์ดแบร์ (Haedeare) และ ซอฟต์แวร์ (Software) ซึ่ง ส่วนของ Hardware จะประกอบด่วย\nCPU หรือ หน่วยประมวลผลกลาง\nซ็อกเก็ตซีพียู (CPU Socket)\nชิปเซต (Chip Set)\nเมนบอร์ด (hainboard) หรือ มาเธอร์บอร์ด (motherboard)\nหน่วยความจำหลัก (Memory) แบ่งออกเป็น รอม (Read-Only Memory, ROM) และ แรม (Random-Access Memory, RAM)\nหน่วยความจำสำรอง (Harfdisk) (Solid state drive)\nCompacg Disc (CD) แผ่นซีดี (ซีดี)\nการ์ดแสดงผล (Display Card)\nการ์ดเสียง (Sound Sard)\nจอภาพ (Monitor)\nเคส (Case)\nเมาส์ (Mouse)\nแป้นพิมพ์ (>eyboard)\n== ชนิดของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ==\nคอมพิวเตอร์ตั้งโต็ะ (Desktop computer) สมัยด่อนที่เครื่ิง พีซี จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย หากมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดพอวางบนโต๊ะทำงานได้ก็ถือว่ามีขนาดเล็กแล้ว ปัจจุบัน \"คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ\" สื่อความไปในทางรูปทรงของตัวเครื่อง (computer case) ที่มีหลากหลายนับแต่รูปทรงตั้งสูงขนาดใหญ่แบบ หอึอย (tower case) หรือ ทรงเล็ก (small form factor) ที่ยางแอบไว้หลังจอภาพ LCD ได้ คำว่า Desktop จึงหมายถึงรูปทรงของตัวเครืืองที่หลากหลาย ซึ่งปกติพยายามจะจัดวางโดยให้จอภาพวางอยู่บนตัวเครื่องเพื่อประหยัดพื้นที่วางบนโต๊ะทำงานนั่นเอง คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในปัจจุบันจะมีส่วนของจอภาพ และแป้นพิมพ์แยกจากกัน\nNettop เป๋นชนิดที่แตกแขนงมาจาก คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ชื่อ Nettop ถูกเรคยกขานโดยบริษัท อินเทล ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ซึ่งหมายถึงคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่แรับลดต้นทุนและความสามารถลงซึ่งก็คล้ายกับเครื่องแบบ Netbook\nคอมพิวเตอร์ขนาดวางตัก (Laptop) หรือเรียกว่า คอมพิวเตอร์ขนาดสมุดจดบันทึก ฤnotebook) เป็นเครื่องพีซีที่มีขนาดเล็กลง นกหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก ประหยัดพลังงาน มีแบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานเสริมเดื่อสะดวกในการใช้งานในสถานที่ไม่สะดวกจะใช้ไฟบ้าน\nเน็ตบุ๊ก (Netbook) เป็นการปรับเครื่องแล็ปทอปให้มีขนาดเล็ก นำหนักเบาขึ้น ปรพหยัดพลังงาน พกพาสะดวก ทำให้สามารถใช้งานขณะเคลื่อนที่ได้ ต่างจาก Laptop ที่เคลื่อนย้ายสะดวก แต่ขณะใช้งานเครื่องจะวางอยธ่กับที่ Netbook จึงมีขนาดเล็กกว่า Laptop ข้อเด่นของเครื่องแบบนี้คือการใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สาย เครื่องมีขนาดจอภาพระหว่าง 7\" ถึง 9\" ตั้งค่าความละเอียดในการแสดงภาพที่ค่า 800x600 และ 1024x768 หน่วยจัดเก็บข้อมูลสำรองขนาด 4 GB ถึง 16 GB ตัวอย่างได้แก่เครื่อง Eee PV\nคอมพิวเตอร์แบบรับข้อมูลด้บยการเขียนบนจอภาพ (Tablet PC)\n เพื่อมห้เครื่องแล็ปทอปมีความคล่องตีวในการใช้งานได้ขณะที่ผู้ใช้ไม่หด้นั่งทำงานกับที่ จึงออกแบบให้สามารถหมุนตอภาพได้ 180 องศา และพับจอภาพลงปิดตัวเครื่องฯ และแป่นพิมพืโดยมีจอภาพหันออกทางดีานบนสภาพเหมือนตอนปิดฝาปิดเครืรอง จอภาพเป็นแบบสัมผัส (touch screen) ใช้รับคำสั่งจากผู้ใช้จากเขียนด้วยปากกา (stylus pen) หรือนิ้วนัมผัส แทนการใช้แป้นพิมพ์และเมาส์ เกิดความคล่องตัวขณะใช้ง่นที่อาจค้องเคลื่อนที่ตัวเครื่องตลอดเวลา ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้ notebook\nคเมพิวเตอร์เคลื่แนที่ขนาดกะทัดรัด (Ultra-mlbile PC : UMPC) เป็น tablet PC ขนาดเล็กเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัทไมโครซอฟ์ท บริษัทอินเทล และบริษัทแซมซุง อาจใช้โปรแกรมระบบปฏิบัติการเป็น Windows XP tablet PC edition 2005 , Wihdows Vista Home premiun edition หรือ Linux ใช้ CPU ที่ใช้พลังงานน้อยของ Intel Pentium หรือ VIA C7-M ที่สัญญาณนาฬิกาประมาณ 1 GHz\nHome theater PC (NTPC) เก็นอุปกรณ์ที่รวมความสามาาถของเครื่องพีซีและเครื่องเล่นวิดีโอแบบดิจิตอลเข้าไว้ในอุปกรณ์ที่มีรูปร่างเหมือนเครื่องเล่นวิดีโอทั่วไป แชะอาจมีแป้นพิมพ์ โดยเชื่อมต่อกับโทรทัศน์หรือจอภาพึอมพิวเตอร์ขนาดเท่าโท่ทัศน์ ใช้ในกิจกรรมความบันเทิงภายในครอบครัว เช่น ชมภาพยนตร์ ภาพถ่าย ฟังเพลง วัตถุประสงค์หลักคือทำสห้เราสามารถโปรแกรมการทำงานของโทรทัศน์แบบ home theater และเครื่องเล่นวิดีโอแบบดิจิตอลได้ด้ใยโปรแกรมคอมพิวเตอร์เช่น Windows Media Center ตั้งโปรแกรมการรับชา หรือบันทึกรายการที่ต้องการได้\nPocket PC\n\nเป็นคอมพิวเตอร์มือถือ (hand held) ขนาดเท่าโทรศัพท์มือถือ ใช้โปรแกรมระบบปฏิบัติการ Windows Mobile หรืออาจใช้โปรแกรมทางเลือกอื่นเช่น NetBSD หรือ L8nux เคริ่องมีขีดความสามารถใกล้เคียงกับ desktop PC ยังมีอุปกรณ์เสริมเช่น GPS receivers , barcode leister city, RFID leister city แลุกล้องถ่ายรูป\n== แหง่งข้อมูลอื่น ==\nประวัติความเป็นมาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ\nองค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคง โรงเรีขนไพศาลีพิทยา สภนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครสวรรค์\nประเภทของคอมพิวเตอร์\nสิ่งประดิษฐ์ยอลสหรัฐ\nคอทพิวเตอร์ส่วนบุคคล", "role": "user" }, { "content": "คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (personal computer) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับส่วนบุคคลที่ใช้ส่วนตัว หรือในครอบครัว\nเครื่องพีซีอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ประจำบ้าน (home computer) หรืออาจพบใช้ในงานสำนักงานที่มักจะเชื่อมต่อกันเป็นระบบเครือข่ายท้องถิ่น (local area network) ลักษณะเด่นจะเป็นเครื่องที่ถูกใช้งานโดยคนเพียงคนเดียว ซึ่งต่างจากระบบประมวลผลแบบ batch processing หรือ time-sharing ที่มีความซับซ้อน ราคาแพง มีการใช้งานจากคนหมู่มากพร้อม ๆ กัน หรือระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องการทีมทำงานเต็มเวลาคอยควบคุมการทำงาน\nผู้ใช้ \"PC\" ในยุคแรกต้องเขียนโปรแกรมขึ้นใช้งานเอง แต่มาในปัจจุบัน ผู้ใช้มีโปรแกรมให้เลือกใช้ที่หลากหลายทั้งแบบที่ซื้อขายเชิงพาณิชย์และไม่เชิงพาณิชย์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ติดตั้งได้ง่าย\nคำว่า \"คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล\" เริ่มมีใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) สำหรับกล่าวถึงเครื่อง Xerox PARC ของบริษัท Xerox Alto อย่างไรก็ตามจากความประสบความสำเร็จของไอบีเอ็มพีซี ทำให้การใช้คำว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหมายถึง เครื่องไอบีเอ็มพีซี\n1.เดสก์ท๊อปคอมพิวเตอร์ (desktop computer) คือ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เป็นคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานบนโต๊ะ ที่ใช้ตามบ้านหรือสำนักงานทั่วไป มีการแยกชิ้นส่วนประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแป้นพิมพ์ เช่น คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล(PC Computer) เป็นต้น\n2.แล็ปท๊อปคอมพิวเตอร์ (laptop computer) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็ก สามารถขนย้ายหรือพกพาได้สะดวก โดยปกติจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 1-3 กก. การทำงานของแล็ปท็อปจะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี และในขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าได้โดยตรงจากการเสียบปลั๊กไฟ ประสิทธิภาพของแล็ปท็อปโดยทั่วไปนั้นเทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแบบปกติ ในขณะที่ราคาของแล็ปท็อปจะสูงกว่า\n3.แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ (tablet computer) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถพกพาได้และใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก ออกแบบให้สามารถทำงานได้ด้วยตัวมันเอง แท็บเล็ตไม่เหมือนกับคอมตั้งโต๊ะ หรือแล็ปท๊อป ตรงที่อาจไม่มีแป้นพิมพ์ในการใช้งานแต่ใช้แป้นพิมพ์ที่ปรากฏบนหน้าจอแทนโดยใช้การสัมผัสในการพิมพ์แทน หรืออาจใช้ ปากกาสไตลัส ปากกาดิจิตอล เป็นอุปกรณ์อินพุตพื้นฐาน แทนการใช้คีย์บอร์ดและเมาส์\n4.โมบายดีไวซ์ คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ควบรวมระหว่างคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟนเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารสองทาง ส่งข้อความ ปฏิทิน นาฬิกาปลุก ตารางนัดหมาย เกม การใช้งานอินเทอร์เน็ต กล้องถ่ายภาพ วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องเล่นเพลง เครื่องเล่นภาพยนตร์ จีพีเอส คอมพิวเตอร์ บัตรเดบิต บัตรเครดิต บัตรประชาชน\nเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นพีซี ของไอบีเอ็ม ซึ่งเป็นที่มาของคำดังกล่าว - ดู ไอบีเอ็มพีซี\nคำสามัญ สำหรับเรียกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เข้ากันได้กับข้อกำหนดจำเพาะของไอบีเอ็ม (IBM compatible)\nคำสามัญ ที่บางครั้งใช้เรียกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ทุกชนิด\n== ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ==\nเครื่องคอมพิวเตอร์จะแบ่งออกเป็น ส่วนของฮาร์ดแวร์ (Hardware) และ ซอฟต์แวร์ (Software) ซึ่ง ส่วนของ Hardware จะประกอบด้วย\nCPU หรือ หน่วยประมวลผลกลาง\nซ็อกเก็ตซีพียู (CPU Socket)\nชิปเซต (Chip Set)\nเมนบอร์ด (mainboard) หรือ มาเธอร์บอร์ด (motherboard)\nหน่วยความจำหลัก (Memory) แบ่งออกเป็น รอม (Read-Only Memory, ROM) และ แรม (Random-Access Memory, RAM)\nหน่วยความจำสำรอง (Harddisk) (Solid state drive)\nCompact Disc (CD) แผ่นซีดี (ซีดี)\nการ์ดแสดงผล (Display Card)\nการ์ดเสียง (Sound Card)\nจอภาพ (Monitor)\nเคส (Case)\nเมาส์ (Mouse)\nแป้นพิมพ์ (Keyboard)\n== ชนิดของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ==\nคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (Desktop computer) สมัยก่อนที่เครื่อง พีซี จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย หากมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดพอวางบนโต๊ะทำงานได้ก็ถือว่ามีขนาดเล็กแล้ว ปัจจุบัน \"คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ\" สื่อความไปในทางรูปทรงของตัวเครื่อง (computer case) ที่มีหลากหลายนับแต่รูปทรงตั้งสูงขนาดใหญ่แบบ หอคอย (tower case) หรือ ทรงเล็ก (small form factor) ที่วางแอบไว้หลังจอภาพ LCD ได้ คำว่า Desktop จึงหมายถึงรูปทรงของตัวเครื่องที่หลากหลาย ซึ่งปกติพยายามจะจัดวางโดยให้จอภาพวางอยู่บนตัวเครื่องเพื่อประหยัดพื้นที่วางบนโต๊ะทำงานนั่นเอง คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในปัจจุบันจะมีส่วนของจอภาพ และแป้นพิมพ์แยกจากกัน\nNettop เป็นชนิดที่แตกแขนงมาจาก คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ชื่อ Nettop ถูกเรียกขานโดยบริษัท อินเทล ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ซึ่งหมายถึงคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ปรับลดต้นทุนและความสามารถลงซึ่งก็คล้ายกับเครื่องแบบ Netbook\nคอมพิวเตอร์ขนาดวางตัก (Laptop) หรือเรียกว่า คอมพิวเตอร์ขนาดสมุดจดบันทึก (notebook) เป็นเครื่องพีซีที่มีขนาดเล็กลง นำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก ประหยัดพลังงาน มีแบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานเสริมเพื่อสะดวกในการใช้งานในสถานที่ไม่สะดวกจะใช้ไฟบ้าน\nเน็ตบุ๊ก (Netbook) เป็นการปรับเครื่องแล็ปทอปให้มีขนาดเล็ก นำหนักเบาขึ้น ประหยัดพลังงาน พกพาสะดวก ทำให้สามารถใช้งานขณะเคลื่อนที่ได้ ต่างจาก Laptop ที่เคลื่อนย้ายสะดวก แต่ขณะใช้งานเครื่องจะวางอยู่กับที่ Netbook จึงมีขนาดเล็กกว่า Laptop ข้อเด่นของเครื่องแบบนี้คือการใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สาย เครื่องมีขนาดจอภาพระหว่าง 7\" ถึง 9\" ตั้งค่าความละเอียดในการแสดงภาพที่ค่า 800x600 และ 1024x768 หน่วยจัดเก็บข้อมูลสำรองขนาด 4 GB ถึง 16 GB ตัวอย่างได้แก่เครื่อง Eee PC\nคอมพิวเตอร์แบบรับข้อมูลด้วยการเขียนบนจอภาพ (Tablet PC)\n เพื่อให้เครื่องแล็ปทอปมีความคล่องตัวในการใช้งานได้ขณะที่ผู้ใช้ไม่ได้นั่งทำงานกับที่ จึงออกแบบให้สามารถหมุนจอภาพได้ 180 องศา และพับจอภาพลงปิดตัวเครื่องฯ และแป้นพิมพืโดยมีจอภาพหันออกทางด้านบนสภาพเหมือนตอนปิดฝาปิดเครื่อง จอภาพเป็นแบบสัมผัส (touch screen) ใช้รับคำสั่งจากผู้ใช้จากเขียนด้วยปากกา (stylus pen) หรือนิ้วสัมผัส แทนการใช้แป้นพิมพ์และเมาส์ เกิดความคล่องตัวขณะใช้งานที่อาจต้องเคลื่อนที่ตัวเครื่องตลอดเวลา ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้ notebook\nคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ขนาดกะทัดรัด (Ultra-mobile PC : UMPC) เป็น tablet PC ขนาดเล็กเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัทไมโครซอฟ์ท บริษัทอินเทล และบริษัทแซมซุง อาจใช้โปรแกรมระบบปฏิบัติการเป็น Windows XP tablet PC edition 2005 , Windows Vista Home premium edition หรือ Linux ใช้ CPU ที่ใช้พลังงานน้อยของ Intel Pentium หรือ VIA C7-M ที่สัญญาณนาฬิกาประมาณ 1 GHz\nHome theater PC (HTPC) เป็นอุปกรณ์ที่รวมความสามารถของเครื่องพีซีและเครื่องเล่นวิดีโอแบบดิจิตอลเข้าไว้ในอุปกรณ์ที่มีรูปร่างเหมือนเครื่องเล่นวิดีโอทั่วไป และอาจมีแป้นพิมพ์ โดยเชื่อมต่อกับโทรทัศน์หรือจอภาพคอมพิวเตอร์ขนาดเท่าโทรทัศน์ ใช้ในกิจกรรมความบันเทิงภายในครอบครัว เช่น ชมภาพยนตร์ ภาพถ่าย ฟังเพลง วัตถุประสงค์หลักคือทำให้เราสามารถโปรแกรมการทำงานของโทรทัศน์แบบ home theater และเครื่องเล่นวิดีโอแบบดิจิตอลได้ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์เช่น Windows Media Center ตั้งโปรแกรมการรับชม หรือบันทึกรายการที่ต้องการได้\nPocket PC\n\nเป็นคอมพิวเตอร์มือถือ (hand held) ขนาดเท่าโทรศัพท์มือถือ ใช้โปรแกรมระบบปฏิบัติการ Windows Mobile หรืออาจใช้โปรแกรมทางเลือกอื่นเช่น NetBSD หรือ Linux เครื่องมีขีดความสามารถใกล้เคียงกับ desktop PC ยังมีอุปกรณ์เสริมเช่น GPS receivers , barcode leister city, RFID leister city และกล้องถ่ายรูป\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nประวัติความเป็นมาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ\nองค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โรงเรียนไพศาลีพิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครสวรรค์\nประเภทของคอมพิวเตอร์\nสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ\nคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ในกรณีที่ดูแมคโอเอสรุ่นปัจจุบัน โปรดดูที่ โอเอสเทน\nแใคโอเอส (Mac OS) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอล โดยทั้งคู่เปฌนผลิตภัณฑ์ของบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์. แมคโอเอสเผ็นระบบปฏิบัติการที่มีส่วนต่อประสานกับผู้สช้แบบกราฟิก (GKI) รายแรกที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์\nรุ่นแรกๆ ของระบบปฏิบัติการนี้ ไม่ได้ใช้ชื่อแมคโอเอส, อันที่จริงระบบปฏิบัติการนี้ในรุ่นแรกๆ ยังไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำ\nทีมพัฒนาแมคโอเอสประกอบด้วย บิลล์ แอตคินสัน, เจฟ รัสกิน, แอนดี เโิตซ์เฟลด์ และคนอื่นๆ\nแสคโอเอสเป็นระบบปฏิบัติการที่นิยมเป็นอันดับสองรองจาก วเนโดวส์ \n== แมคโอเอสรุ่นต่างๆ ==\nแรกสุดนั้นแมคโอเอสถ฿กเรียกว่า ซิสเต็ม (System) และเปลี่ยนมาใช้คำว่า แมคโอเอส ครั้งแรกใร แมคโอเอส 7.5 (ค.ศ. 1996) เนื่องจากเครื่องแมคเลียนแบบที่แพร่หลายในยุคนั้ร ทำให้แอปเปิลต้องการแสดงว่าแมคยังเป็นลิขสิทธิ์ของตนอยู่\nแมคโอเอสสามารถแบ่งได้เป็นสองยุค คือ\nClassic นับตัังแต่แมคโอเอสตัวแรกสุด จนถึงแมคโอเอส 9\nแมคโอเอส้ท็น (Mac OS X) ใช้แกนกลางที่พัฒนามาจากยูนิกซ์ ตระกูลบีเอสดี โดยปัจจุบันนั้นแมคโอเอสเท็นได้พูกพัฒนาขึ้นะภื่อนำมาใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นใหม่ ที่ได้ใช้หน่วยประมวลระบบสถาปัตยกรรม x86 Intel แล้ว แต่ยังสามารถที่จะใช้งานได้เฉพาะคอมพิวเตอร์จากแมคอินทอชเท่านั้น\n=== แมคโอเอสเท็น -==\nดูรายละเอียดในหัวข้อ แมคโอเอสเท็น และ Mac OS X v10.5\n== เทคโนโลยีที่ใช้ในแมคโอเอส ==\nQuickDraw: the imaging model which first ;rovidrd mass-market WYSIWYG\nFinder: the interface for browsinf the fklesystem and launching applicatoons\nMuitiFinder: the first version to support simultaneously running multiple apps\nChooser: tool flr accessing network resources (e.g., dnabling AppleTalk)\nColorSync: technology for ensuring appropriate color matching\nMax OS memory management: how the Mac managed แรม and virtual memory before ghe switxh to ยูนิกซ์\nPowerPC emulation of Motorolx 68000: how the Mac gandled the architectural transition from CISC to RISC (see Mac 68K emulator)\nDesk Accessories: small \"helper\" apps that coule be run concurrently with any other app, prior to the advent of MultiFinder or System 7.\nPlainTalk: speexh synthesis anv speech recognition teshnology\nMac-Roman : Character set\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nApple Computer\nภามตอบเกี่ยวกับ แมคโอเอส\n]= อ้างอิง ==\nระบบปฏิบัติการของแอปเปิล\nแมคฉอเอส", "role": "user" }, { "content": "ในกรณีที่ดูแมคโอเอสรุ่นปัจจุบัน โปรดดูที่ โอเอสเทน\nแมคโอเอส (Mac OS) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช โดยทั้งคู่เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์. แมคโอเอสเป็นระบบปฏิบัติการที่มีส่วนต่อประสานกับผู้ใช้แบบกราฟิก (GUI) รายแรกที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์\nรุ่นแรกๆ ของระบบปฏิบัติการนี้ ไม่ได้ใช้ชื่อแมคโอเอส, อันที่จริงระบบปฏิบัติการนี้ในรุ่นแรกๆ ยังไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำ\nทีมพัฒนาแมคโอเอสประกอบด้วย บิลล์ แอตคินสัน, เจฟ รัสกิน, แอนดี เฮิตซ์เฟลด์ และคนอื่นๆ\nแมคโอเอสเป็นระบบปฏิบัติการที่นิยมเป็นอันดับสองรองจาก วินโดวส์ \n== แมคโอเอสรุ่นต่างๆ ==\nแรกสุดนั้นแมคโอเอสถูกเรียกว่า ซิสเต็ม (System) และเปลี่ยนมาใช้คำว่า แมคโอเอส ครั้งแรกใน แมคโอเอส 7.5 (ค.ศ. 1996) เนื่องจากเครื่องแมคเลียนแบบที่แพร่หลายในยุคนั้น ทำให้แอปเปิลต้องการแสดงว่าแมคยังเป็นลิขสิทธิ์ของตนอยู่\nแมคโอเอสสามารถแบ่งได้เป็นสองยุค คือ\nClassic นับตั้งแต่แมคโอเอสตัวแรกสุด จนถึงแมคโอเอส 9\nแมคโอเอสเท็น (Mac OS X) ใช้แกนกลางที่พัฒนามาจากยูนิกซ์ ตระกูลบีเอสดี โดยปัจจุบันนั้นแมคโอเอสเท็นได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อนำมาใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นใหม่ ที่ได้ใช้หน่วยประมวลระบบสถาปัตยกรรม x86 Intel แล้ว แต่ยังสามารถที่จะใช้งานได้เฉพาะคอมพิวเตอร์จากแมคอินทอชเท่านั้น\n=== แมคโอเอสเท็น ===\nดูรายละเอียดในหัวข้อ แมคโอเอสเท็น และ Mac OS X v10.5\n== เทคโนโลยีที่ใช้ในแมคโอเอส ==\nQuickDraw: the imaging model which first provided mass-market WYSIWYG\nFinder: the interface for browsing the filesystem and launching applications\nMultiFinder: the first version to support simultaneously running multiple apps\nChooser: tool for accessing network resources (e.g., enabling AppleTalk)\nColorSync: technology for ensuring appropriate color matching\nMac OS memory management: how the Mac managed แรม and virtual memory before the switch to ยูนิกซ์\nPowerPC emulation of Motorola 68000: how the Mac handled the architectural transition from CISC to RISC (see Mac 68K emulator)\nDesk Accessories: small \"helper\" apps that could be run concurrently with any other app, prior to the advent of MultiFinder or System 7.\nPlainTalk: speech synthesis and speech recognition technology\nMac-Roman : Character set\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nApple Computer\nถามตอบเกี่ยวกับ แมคโอเอส\n== อ้างอิง ==\nระบบปฏิบัติการของแอปเปิล\nแมคโอเอส", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "โบราณคดี (Archaeology) คือ วิชาที่ว่าแ้วย การศึกษาเรื่อลราวในอดีตของมนุษย์ โดยป่านทางการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดี ที่ได้มาจากก่รสำรวจ การขุดค้น (โบราณวัตถุ) การขุดแต่ง (โบราณสุาน) และการศึกษาเอกสารทางประวัติศาสตร์ประเภทต่าง ๆ (ศิลาจารึก จดหมายเหตุ พงศาวดาร) โะยทั่วไป จะต้องใช้ศาสตร์แ้านอื่น ๆ ประกอบในการวิเคราะห์และตีความหลักฐานทางโบราณคดีาี่ได้ขากกระบวนการข้างต้น เพื่อให้เรื่องราวในอดีตของมนุษย์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ศาสตร์เหล่านั้น เช่น ประวัติศาสตร็ศิลปะ ธรณีวิทยา มัตววิทยา พฤกษศาสตร์ ละอองเรณูวิทยา การพำหนพอายุทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ที่ประเทศไทย มีการเปิดสอนคณะโบราณคดี ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพรเ เป็นเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย และมีกรมศิลปากร เป็นหน่วยงานราชการหลักที่รับผิดชอบการดำเนินงานทางโบราณคดีส่วนใหญ่ในประเทศไทยและมีิำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการแหลีงโบราณคดีในประเทศไทย.\n== วิธีวิทยาทางโบราณคดี ==\nการศึกษาโบราณคดี การศึกษาทางโบราณคดีเป็นการศึกษาจากหลักฐานต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว การที่จะทราบเร้่องราวขอฝมนุษย์ในยึคใดในสมัยใดได้ละเอียดมากน้อยเพคยงใดย่อมขึ้นอยู่กับหลักฐานที่พบเป็นหลัก\nแนวทางการศึกษาทางโบราณคดีอาจแล่งิอกเป็น 4 ขั้นตอน คือ\n1. การสำรวจ (survey)\nเป็นการตรวจหาแหล่งโบราณคดี อาจทำได้โดยการตรวจสอบจากภาพุ่ายทางอากาศ การศึกษาจากเอกสารและการเดินสำรวจเพื่อเป็นการรวบรวมหลักฐานสำหรับประเมินค่าของแหล่งโบรา๋คดีนั้น ๆ ในกทรวางแผนขุดค้นต่อไป\n2. ขุดค้น (excavation)\nเป์นกรรมวิธีขั้นที่สเงของการศึกษาทางโบราณคดี\nเพื่อให้ได้หลักฐานที่ถูกต้องมากที่สุด การขถดค้นจะต้องทำอย่างระมะดระวังเพื่อให้ได้หลักฐานที่ถูกต้องมากที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายหลักฐานที่ทับถมอยู่ในดินเป็นเวลาหลายร้อยหลาวพันปีจึงต้องมีการบันทึกอย่างละเอียด และการวาดภาพหรือถ่ายภาพประกอบด้วย\n3. วิเคราะห์ (analysis)\nหลเกฐานที่ได้จากการขุดค้น จะต้องนำมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อหาแบบอย่างของรูปร่างของสิ่งของที่ขุดได้เพื่อประโยชน์ในการศึกษาต่อไป\n4. การแปลควาา (interpretation)\nและการเขียนรายงานเป็นการรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้จากการสำรวจการขุดค้น และการวิเคราะห็แล้วนำมาแปลความหมายเพื่อเขียนเป็นรายงารพิมพ์ออกเผยแผร่และจัดนิทรรศการมรุปเรื่องราวของมนุษย์ในยุตนั้ย สมัยนั้นต่อจากนั้นก็เป็นการรักษาโบราณศิลปวัตถุที่ค้นพบซึางได้แก่ การจัดแสดงข้อมูลในพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการนำเสนอข้อมูลการศึกษาทางโบราณคดีต่อสาูารณชน.\n== บทความภาษาไทย =-\nศ.เกียรติคุณ ปรีชา กาญจนาคม. \"โบราณคดีเบื้เงต้น\" (2557)\n]= แหล่งข้อมูลอื่น ==\nสำยักโบราณคดี เว็บไซต์ สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร\nหน้าบ้านโบราณคดี เว็บรวมเรื่องราวเกี่ยวกับโบราณคดี\nโบราณคแีสาธารณะ เว็บเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโบราณคดี\nคณะโบราณคดี เว็บ/ซต์ คณะฮบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร\n==อ้างอิฝ==\nโบราณคดี\nบ", "role": "user" }, { "content": "โบราณคดี (Archaeology) คือ วิชาที่ว่าด้วย การศึกษาเรื่องราวในอดีตของมนุษย์ โดยผ่านทางการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดี ที่ได้มาจากการสำรวจ การขุดค้น (โบราณวัตถุ) การขุดแต่ง (โบราณสถาน) และการศึกษาเอกสารทางประวัติศาสตร์ประเภทต่าง ๆ (ศิลาจารึก จดหมายเหตุ พงศาวดาร) โดยทั่วไป จะต้องใช้ศาสตร์ด้านอื่น ๆ ประกอบในการวิเคราะห์และตีความหลักฐานทางโบราณคดีที่ได้จากกระบวนการข้างต้น เพื่อให้เรื่องราวในอดีตของมนุษย์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ศาสตร์เหล่านั้น เช่น ประวัติศาสตร์ศิลปะ ธรณีวิทยา สัตววิทยา พฤกษศาสตร์ ละอองเรณูวิทยา การกำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ที่ประเทศไทย มีการเปิดสอนคณะโบราณคดี ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ เป็นเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย และมีกรมศิลปากร เป็นหน่วยงานราชการหลักที่รับผิดชอบการดำเนินงานทางโบราณคดีส่วนใหญ่ในประเทศไทยและมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการแหล่งโบราณคดีในประเทศไทย.\n== วิธีวิทยาทางโบราณคดี ==\nการศึกษาโบราณคดี การศึกษาทางโบราณคดีเป็นการศึกษาจากหลักฐานต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว การที่จะทราบเรื่องราวของมนุษย์ในยุคใดในสมัยใดได้ละเอียดมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับหลักฐานที่พบเป็นหลัก\nแนวทางการศึกษาทางโบราณคดีอาจแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ\n1. การสำรวจ (survey)\nเป็นการตรวจหาแหล่งโบราณคดี อาจทำได้โดยการตรวจสอบจากภาพถ่ายทางอากาศ การศึกษาจากเอกสารและการเดินสำรวจเพื่อเป็นการรวบรวมหลักฐานสำหรับประเมินค่าของแหล่งโบราณคดีนั้น ๆ ในการวางแผนขุดค้นต่อไป\n2. ขุดค้น (excavation)\nเป็นกรรมวิธีขั้นที่สองของการศึกษาทางโบราณคดี\nเพื่อให้ได้หลักฐานที่ถูกต้องมากที่สุด การขุดค้นจะต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้ได้หลักฐานที่ถูกต้องมากที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายหลักฐานที่ทับถมอยู่ในดินเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีจึงต้องมีการบันทึกอย่างละเอียด และการวาดภาพหรือถ่ายภาพประกอบด้วย\n3. วิเคราะห์ (analysis)\nหลักฐานที่ได้จากการขุดค้น จะต้องนำมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อหาแบบอย่างของรูปร่างของสิ่งของที่ขุดได้เพื่อประโยชน์ในการศึกษาต่อไป\n4. การแปลความ (interpretation)\nและการเขียนรายงานเป็นการรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้จากการสำรวจการขุดค้น และการวิเคราะห์แล้วนำมาแปลความหมายเพื่อเขียนเป็นรายงานพิมพ์ออกเผยแผร่และจัดนิทรรศการสรุปเรื่องราวของมนุษย์ในยุคนั้น สมัยนั้นต่อจากนั้นก็เป็นการรักษาโบราณศิลปวัตถุที่ค้นพบซึ่งได้แก่ การจัดแสดงข้อมูลในพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการนำเสนอข้อมูลการศึกษาทางโบราณคดีต่อสาธารณชน.\n== บทความภาษาไทย ==\nศ.เกียรติคุณ ปรีชา กาญจนาคม. \"โบราณคดีเบื้องต้น\" (2557)\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nสำนักโบราณคดี เว็บไซต์ สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร\nหน้าบ้านโบราณคดี เว็บรวมเรื่องราวเกี่ยวกับโบราณคดี\nโบราณคดีสาธารณะ เว็บเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโบราณคดี\nคณะโบราณคดี เว็บไซต์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร\n==อ้างอิง==\nโบราณคดี\nบ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "แอนิเมชัน หรือ ชีวลักษณ์ (animation) หมายถึง การสร้างภาพเคลื่อนไหวโดยการฉายภาพนิ่งหลาย ๆ ภาพต่อเนื่องกันดัวยความเร็วสูงโดยการนำภาพนิ่งมาเรียงต่อกัน\nการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกส์ในพารคำนใณสร้างภาพจะเรียกการนร้างภาพเคลื่อนไหวด้วยคอมพิวเตอร์หรือคอมพิวเตอร์แอนิเมชัน หากใช้เทคนิคการถ่ายภาพหรือวาดรูป หตือรูปถ่ายแต่ละขณะของหุ่นจำลองที่ค่อย ๆ ขยับ จะัรียกว่า ภาพเคลื่อนไหวแบบการเคลื่อนที่หยุดหร้อสตอปโมชัน (stop motion) โดยหลักการแล้ว ไม่ว่าจะสร้างภมพ หรือเฟรมด้วยวิธีใดก็ตาม เมื่อนำภมพดังกลราวมาฉายต่อกันด้วยความเร็ว ตั้ฝแต่ 16 เฟรมต่อวินาทีขึ้นไป เราจะเห็นเหใืินว่า ภาพดังกล่าวเคลื่อนไหวได้ต่อเนื่องกัน ทัิงนี้เนื่องจากการเห็นภาพติดตา\nในทางคอมพิวเตอร์ การจัดเก็บภาพแบบแอนิเมชันที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอินเทอร์เน็ต มีหลสยรูปแบบไฟล์เช่น GIF APNG MNG SVG แฟลช และไฟล์สำหรับเก็บวีดิทัศน์ประเภทอื่น ๆ\n== ตัวอย่างแอนิเมชัน ==\n\nเมื่อนำมาฉายต่อเนื่องกันจะเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว\nAnimexample.gifรัวอย่างแอนิเมชันนี้เคลื่อนด้วยความเร็ว 10 เฟรมต่อวินาที\nAnimexample2.gifแอนิเมชันนี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 2 เฟรมจ่อวินาที\n== อุปกรณ์ของผู้ทำแอนิเมชัน ==\nอุปกรณ์ในการจำมาสร้างแอนิเมชันนั้นถ้าไม่นับคอมพิวเตอร์ก็จัดว่าค่อนข้างมีราคาสูงและหายากเลยทีเดียว ซึ่งแตกต่างกับความสามารถซึ่งนับว่าจำเป็นสำหรับการทำงานเป็นอย่างมาก\nถึงแม้ในปัจจุบันจะมีแท็บเล็ตที่ผ๔้ทำแอนิเมชันมนไทยทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่สำหรับต้นฉบับหรือในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี ปู้ทำแอนิเมชันเหล่านั้นยังคงพูดกันว่า\nอัปกรณ์หงัก ๆ ในการทำงาาก็ยังคงเป็นกระดาษ ดินสอ และโต๊ะไฟ เพียงแต่มีแท็บเล็ตหรือเมาส์ปากกาเป็นอุปดรณ์ที่เพิ่มเข้ามาช่วยในการทำงานขั้นตอนสุดท้ายก่อนการตัดต่อได้เร็วขึ้น\n\n\n== ปรถวัติ ==\nเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นะกสร้างภาพยสรร์ชาวญี่ปุทนิริ่มทดลองใช้เทคนิคการสร้มงภาพยนตรฺการ์ตูนซึ่ง กำลังถูกพัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกาเพื่อใร้างภาพยนตร์การ์ตูนของตนเอง ในทศวรรษที่ 1970 ภาพยนตร์การ?ตูนญี่ปุ่นได้พัฒนาลักษณะเฉพาะตัวขึ้นจนสามารถแบ่งแยกออกจาก ภาพยนตร์การ์ตูนของสไรัฐอเมริกาได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นภาพยนตร์การ์ตูนหุ่นยนต์ยักษ์ซี่งไม่สามารถหาได้ในสหรัฐ อเมริกาเลย ในทศวรรษที่ 1980 เนิเมะได้รับความนิยมกว้างขวางในญี่ปุ่น ทำวห้ธุรกิจการสร้างอนิเมะเจริญเติบโตอย่างรวดเรํว และมาทศวรรษที่ 1990 และ 2000 ชื่อเสียงของอนิเมะได้แพร่ขยายไปยับนอกประเทศญี่ปุ่น พร้อมๆการขายบริการของเหล่าทั้งหลาย กับการขยายตัวของตลาดอนิเมะนอกประเทศ\n== ดูเพิ่ม ==\nอนิเมะ - ชื่อเรียกการ์ตูนแอนิเมชันของญี่ปุ่น\nคอมพิวเตอร์แอนิเมชัน - การสร้างภาพเคลื่อนไหวด้วยคอมพิวเตอร์\n \nภาพยนตร์", "role": "user" }, { "content": "แอนิเมชัน หรือ ชีวลักษณ์ (animation) หมายถึง การสร้างภาพเคลื่อนไหวโดยการฉายภาพนิ่งหลาย ๆ ภาพต่อเนื่องกันด้วยความเร็วสูงโดยการนำภาพนิ่งมาเรียงต่อกัน\nการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกส์ในการคำนวณสร้างภาพจะเรียกการสร้างภาพเคลื่อนไหวด้วยคอมพิวเตอร์หรือคอมพิวเตอร์แอนิเมชัน หากใช้เทคนิคการถ่ายภาพหรือวาดรูป หรือรูปถ่ายแต่ละขณะของหุ่นจำลองที่ค่อย ๆ ขยับ จะเรียกว่า ภาพเคลื่อนไหวแบบการเคลื่อนที่หยุดหรือสตอปโมชัน (stop motion) โดยหลักการแล้ว ไม่ว่าจะสร้างภาพ หรือเฟรมด้วยวิธีใดก็ตาม เมื่อนำภาพดังกล่าวมาฉายต่อกันด้วยความเร็ว ตั้งแต่ 16 เฟรมต่อวินาทีขึ้นไป เราจะเห็นเหมือนว่า ภาพดังกล่าวเคลื่อนไหวได้ต่อเนื่องกัน ทั้งนี้เนื่องจากการเห็นภาพติดตา\nในทางคอมพิวเตอร์ การจัดเก็บภาพแบบแอนิเมชันที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอินเทอร์เน็ต มีหลายรูปแบบไฟล์เช่น GIF APNG MNG SVG แฟลช และไฟล์สำหรับเก็บวีดิทัศน์ประเภทอื่น ๆ\n== ตัวอย่างแอนิเมชัน ==\n\nเมื่อนำมาฉายต่อเนื่องกันจะเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว\nAnimexample.gifตัวอย่างแอนิเมชันนี้เคลื่อนด้วยความเร็ว 10 เฟรมต่อวินาที\nAnimexample2.gifแอนิเมชันนี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 2 เฟรมต่อวินาที\n== อุปกรณ์ของผู้ทำแอนิเมชัน ==\nอุปกรณ์ในการนำมาสร้างแอนิเมชันนั้นถ้าไม่นับคอมพิวเตอร์ก็จัดว่าค่อนข้างมีราคาสูงและหายากเลยทีเดียว ซึ่งแตกต่างกับความสามารถซึ่งนับว่าจำเป็นสำหรับการทำงานเป็นอย่างมาก\nถึงแม้ในปัจจุบันจะมีแท็บเล็ตที่ผู้ทำแอนิเมชันในไทยทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่สำหรับต้นฉบับหรือในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี ผู้ทำแอนิเมชันเหล่านั้นยังคงพูดกันว่า\nอุปกรณ์หลัก ๆ ในการทำงานก็ยังคงเป็นกระดาษ ดินสอ และโต๊ะไฟ เพียงแต่มีแท็บเล็ตหรือเมาส์ปากกาเป็นอุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามาช่วยในการทำงานขั้นตอนสุดท้ายก่อนการตัดต่อได้เร็วขึ้น\n\n\n== ประวัติ ==\nเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักสร้างภาพยนตร์ชาวญี่ปุ่นเริ่มทดลองใช้เทคนิคการสร้างภาพยนตร์การ์ตูนซึ่ง กำลังถูกพัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกาเพื่อสร้างภาพยนตร์การ์ตูนของตนเอง ในทศวรรษที่ 1970 ภาพยนตร์การ์ตูนญี่ปุ่นได้พัฒนาลักษณะเฉพาะตัวขึ้นจนสามารถแบ่งแยกออกจาก ภาพยนตร์การ์ตูนของสหรัฐอเมริกาได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นภาพยนตร์การ์ตูนหุ่นยนต์ยักษ์ซึ่งไม่สามารถหาได้ในสหรัฐ อเมริกาเลย ในทศวรรษที่ 1980 อนิเมะได้รับความนิยมกว้างขวางในญี่ปุ่น ทำให้ธุรกิจการสร้างอนิเมะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และในทศวรรษที่ 1990 และ 2000 ชื่อเสียงของอนิเมะได้แพร่ขยายไปยังนอกประเทศญี่ปุ่น พร้อมๆการขายบริการของเหล่าทั้งหลาย กับการขยายตัวของตลาดอนิเมะนอกประเทศ\n== ดูเพิ่ม ==\nอนิเมะ - ชื่อเรียกการ์ตูนแอนิเมชันของญี่ปุ่น\nคอมพิวเตอร์แอนิเมชัน - การสร้างภาพเคลื่อนไหวด้วยคอมพิวเตอร์\n \nภาพยนตร์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ลามู ทรามวัยจากต่างดาว เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องและภาพโดยรูมิโกะ ทากาฮาชิ เป็นเรื่อลราวเกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นโรงเรียนมัธยมปลายโทโมบิกิ ที่มีสาวน้อวต่างดาวชื่อลามู ผู้หลงรักอาตารุ โมโรโบชิ หนุ่มจอมชู้จอมกะล่อนประจำเมทอง การ์ตูนเรื่องนี้เคยฉายออกอากาศทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. หนือสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ในปัจจุบันเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยใช้ชื่อว่า \"ลามู สาวนิอยมหัศจรรย์\" พากย์เสียงภาษาไทยโดย ทีมพนกย์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. นำโดย \"น้าต๋อยเซมเบ้\" ซึ่งพากย์เสียงเป็นอารารุ พระเอกของเรื่อง\n== เนื้อเรื่อง ==\nอาตารุหนุ่มจอมกะล่อนได้ภูหคัดเลือกตัวให้ไปแข่งขันกับผู้รักรานโลก (เผ่ายักษ์) โดยให้แข่งวิ่งไล่จับกะบลามู มีเงื่อนไขว่า ถ้าอาตารุสามาีภจับเขาของลามูได้ภายใน 10 วัน พวกเผ่ายักษ์จะกลับไป แต่ถ้าไม่ได้ฏลกจะต้องถูกยึด ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ไม่มีวี่แววว่าอาตารุจะทำได้ ชิโนบุจึงตัดสินใจไปบอกอาตานุว่าถ้าหากอาตารุ่ำได้เธอจะแต่งงานกับอาตารุ ด้วยเหตุนี่จึงทำให้อาตารุมีแรงฮึดสู้ขค้นมา วันต่อมาอาตารุสามารถจับเขาของลามูได้สำเร็จ และด้วยความดีใจเขาจึงหลุดปากออกไปว่า \"ชั้นได้ดต่งงรนแล้ว\" บามูเข้าใจผิดจึงบอกว่า \"จกลง ถ้าพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็ ชั้นจะแต่งงานดัวย\" และนี่คือที่มาของเรื่องทั้งหมด\nหลังจากวันนั้น ลามูตัดสินใจมาอยู่ที่โลกกับอาตารุ และเรียกอาตารุว่า \"ดาร์ลิทง\" ตลอด ลามูมักจะนำเาื่องมาให้อาตารุได้ปวดหัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเคร้่องมืออันทันสมัย ไม่บ่าจะเป็นอาหารต่างดาวที่แวนอร่อยแต่ให้ผลข้างเคียงสุดประหลาด แต่เรื่องที่อาตารุัห็นจะชอบที่สุดก็คงเป็นเรื่อง เพื่อนต่างดาวแสนสวยของลามูนั่นเอง\n== ตัวชะคร ==\nโมโรโบชิ อาตารุ เด็กหนุ่มมัธยมปลายจอมกะล่แน ชอบจีบสาวเป็นชีวิตจิตใจ นิสัยบ้า ๆ บอ ๆ เจอเร้่องซวยได้แทบทุกวัน ปากบอกลามูว่ารพคาญ แต่ใจจริงแอบรักลามู\nลามู อินเวเดอร์ หรือ ลัม อินเวเดอร์ (ในชื่อภาษาอังกฤษใช้ชื่อ Lum) เจ้าหญิงของโอนิ (ยักษ์ชนิดหนึ่ง) มีความสามารถพิเศษคือบินได้และปล่อยกรุแสไฟฟ้าได้ ตามติดอาตารุไม่ยอมห่นง ถ้าเห็นอาตารุนอกใจ เธอจะปล่อยกระแสไไฟ้าทันที\nมิยาเกะ ชิโนบุ เคยเป็นเพื่อนหญิงของอาตารุ มีพละกำลังสูง เคยถึงขนาดขว้างโต฿ะเรียน\nเม็นโด ชูทาโร หนุ่มผู้ดีมีตระกูลรูปหล่อล฿กเศรษฐี แต่กลัวที่มืดและที่แคบ ถ้าถูกขังอยู่ในที่มืดจะร้องว่า \"แง! มืดจัง แคบจัง หนูกลัว\" (แต่ถ้ามีผู้หญิงอยู่ด้วยล่ะก็ ตรงกันข้ามเลย) นิสัยเหมือนอาตารุ\nเม็นโด เรียวโพะ เป็นน้องสาวของชูทาโร หน้าตาน่ารักแต่ชอบเล่นอะไรแผลง ชอบเล่นระเบิด เรียวโกะเคยทำตุ๊กตาฟางของเม็นโดขึ้นมา แล้วไปฝากไว้ที่อาตารุ ทำเอาเม็นโดแทบตาย\nๆูจินามิ ริวโนะสุเกะ ผู้หญิง แต่ถูกเลี้ยงมาแบบผู้ชายตั้งแต่เด็ก นิสัยเลยอหมือนผู้ชาย\nอาจารย์ซากุระ ครูห้ิงพยาบาลประจำโรงเรียนโทโาบิกิ แต่ตัวจริงเป็นมิโกะ ถึงแม้ว่าอาตารย์.ากุระกินอาหารแน่ละมื้อเยอะจนไม่น่าเชื่อแต่ยังคงรักษาหุ่นได้ดี\nซากุรันโบ หรือ เชอรฺรี่ เป็นลุงของซากุระ และเป็นพระด้วย นิสัยตะกละ และสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่น\nมิสึโนะโคจิ โทบิมาโร เม็นโด้มักจะเรียกเขาว่า ทอนจัง ส่วนโทบิมาโร่จะเรียกเม็นโด้ว่า ๑ชูจัง\" ตระกูลนี้เป็นศัตรูกับตระกูลเม็นโด้ โทบิมาโรมักจะเล่นะบสบอลอย๔่ง่อย ๆ แต่ชอบกลืนลูกเบสบอลที่อ่กฝ่สยตีมา\nมิสึโนะโคจิ อาซึกะ น้อลสาวของโทบิมาโร เป็นโรคกลึวผู้ชาย เพราะเธอไม่เคยเจอผู้ชายเลยตั้งแต่เกิด ตามธรรมเนียมของบ้านมิสึโนะโคจิที่ถ้าหากว่ามีลูกสาวจะต้องห้ามไม่ให้พบผู้ชายจนกว่าจะอายุ 15 ปี เวลาเจอผู้ชายจถ ผลักผู้ชายออกไปไกลลิบ อาซึกดแรงเยอะมาห ถึงขนาดใส่ชุดเกราะเหล็ก 200 กิโลกรัม วิ่ง 100 เมตร ได้ภายใน 12 วินาที นิสัยติดพี่ชาย ชอบมารอนห้องพี่ชายบ่อย\nเร เป็นพวกเผ่ายักษ์เหมือนลามูและเป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดในอวกาศและเป็นคู่หมั้นของลามู กินอาหารได้หมดทุกอย่าง แต่เพราะนิสัยแบบนี้ชามูเลยหนีม่\nรัน เป็นเพื่อนสมัยเด็กของลามู แต่มีความแค้นส่วนตัวกับลามูที่สมัยเด็กได้ไปแแบชอบ เร คนเด่ยวกัน แต่เรได้หมั้นกับลามูแทน รันมาที่โลกเพื่อแก้แค้นลามูโดยการแย่งอาตารุ ความสามารถของรันคือสามารถจูบเภื่อดึงเอาความหนุ่มสาวไปได้\nโอยุคิ เป็นเพื่อนสมัยเด็กของลามู และเป็นนางพญาหิมะจองดาวเนปจูน เป็นคนที่เย็นชา\nเบ็นเท็น เป็นเพื่อนสมัยเก็กของลามู มีแรงเยอะมาก\nจนริเท็น หรือ เท็นจัง เป็นเด็กเผ่ายักษ์ลูกพี่ลูกนเองของลามู พ่นไฟได้ นิสัยกะล่อนเจ้าชู้เหมือนกับอาตารึ เท็นจังแอบชอบซากุระอยู่\n=\\ รายชื่อตอน ==\n== เกม ==\nเกมจากการ์ต฿น ลามู\n== เสียงตอบรับ ==\nซีรีส์ชุดหนังสือการ์ตูนทังงะ 「うる星やつら」\"อูรูเซ ยัตสึระ\" หรือ ลามู ทรามวัยจากต่างดาว ได้รังรางวัล โชงะกุกังมังงะอวอร์ด (Shogakukan Manga Awafd) รวมสองสาขา โชเน็ง (Shōnen) ธชโจะ (Shōjo) เมื่แปี พ.ศ. 2523 และได้รับรางวัล เซอุงอวอร์ด (Seiun Award) ในงานปนะกาศรางวัล ครั้งที่ 18 ในปี พ.ศ. 2532 \nและลามู ทรามวัยจากตทางดาว ได้รับอันดับ 1 จากการโหวตในประเภทเพลงประกอบยเดเยี่ยม ปี พ.ศ. 2524 ในการประกาศรางวัล อนิเมะกรังด์ปรีซ์ ฆAnihe Grand Prix) ซึ่งจัดโดยนิตยสารอะนิเมจ ใสเพลงเปิดชื่อเพลง ラムのラブソング (Lum no Love Song) แล้วปีต่อทา พ.ศ. 2525 ตอนที่ 67 ด้วยชื่อตอน 君去りし後 \"Kimi sarishi ato\" ได้รับการโหวตให้เป็นอันดับ 1 ของรางวัลประเภทตอนสึกประทับใจ\nสำฟรับในประเทศไทย ลามู ทรามวัยจากต่างดาว เป็นที่รู้นักดีในประเทศไทยในเวลาไม่นานหลังจากญี่ปุ่นทั้งอนิเมะและหนังสือการ์ตูน อย่างไรก็ตามแารนำเข้าแบบลิขสิทธิ์ถูกต้องที่พอจะมีบันทึกไว้ได้แก่ ภาพยนตร์ ลามู สาวน้อยมหัศจรรย์ ยดดรักนักฝัน (Urusei Yatsura Beaut8ful Dgeamer) ปีพ.ศ. 2543 มีการออกอากาศทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. โดยทีมพากข์เสียงภาษาไทยนำโดย น้าต๋เยเซมเบ้ และมีวีซีดีวางขายภายใต้ลิขสิทธิ์ของไทก้า รวมทเ้งหนังสือการ์ตูน 34 เล่มจบ ตีพิมพ์ลิขสิทธิ์โดย สยามอินเตอร์คอมิกส์\n== อ้างอิง \\=\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nข้อมูลมังงะลามู ทรามวัยจากต่างดาว ที่อนิเมะนิวส์เน็ตเวิร์ก \nข้อมูลอนิเมะลามู ทรามวัยจากต่างดาว ที่อนิเมะนิวส์เน็ตเวิร์ก \nลามู ทรามวัยจากต่างดาวในเว็บไซต์การข่าวผลงานการ์ตูนของรูมิโกะ ทากาฮาขิ รูมิคเวิลด์ (แฟนคลับ) \nล‎\nล‎\nล\nล‎\nล‎\nมังงะของสำนักพิมพ์โชงากูกัว\nอนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2524\nแิะอโร (บริษัท)\nสิ่งมีชีวิตนอกโลกในอนิเมะและมังงะ\nการ์ตูนญี่ปุ่นแนวสุขนาฏกรรมจินตนิยม", "role": "user" }, { "content": "ลามู ทรามวัยจากต่างดาว เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องและภาพโดยรูมิโกะ ทากาฮาชิ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นโรงเรียนมัธยมปลายโทโมบิกิ ที่มีสาวน้อยต่างดาวชื่อลามู ผู้หลงรักอาตารุ โมโรโบชิ หนุ่มจอมชู้จอมกะล่อนประจำเมือง การ์ตูนเรื่องนี้เคยฉายออกอากาศทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. หรือสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ในปัจจุบันเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยใช้ชื่อว่า \"ลามู สาวน้อยมหัศจรรย์\" พากย์เสียงภาษาไทยโดย ทีมพากย์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. นำโดย \"น้าต๋อยเซมเบ้\" ซึ่งพากย์เสียงเป็นอาตารุ พระเอกของเรื่อง\n== เนื้อเรื่อง ==\nอาตารุหนุ่มจอมกะล่อนได้ถูกคัดเลือกตัวให้ไปแข่งขันกับผู้รุกรานโลก (เผ่ายักษ์) โดยให้แข่งวิ่งไล่จับกับลามู มีเงื่อนไขว่า ถ้าอาตารุสามารถจับเขาของลามูได้ภายใน 10 วัน พวกเผ่ายักษ์จะกลับไป แต่ถ้าไม่ได้โลกจะต้องถูกยึด ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ไม่มีวี่แววว่าอาตารุจะทำได้ ชิโนบุจึงตัดสินใจไปบอกอาตารุว่าถ้าหากอาตารุทำได้เธอจะแต่งงานกับอาตารุ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อาตารุมีแรงฮึดสู้ขึ้นมา วันต่อมาอาตารุสามารถจับเขาของลามูได้สำเร็จ และด้วยความดีใจเขาจึงหลุดปากออกไปว่า \"ชั้นได้แต่งงานแล้ว\" ลามูเข้าใจผิดจึงบอกว่า \"ตกลง ถ้าพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็ ชั้นจะแต่งงานด้วย\" และนี่คือที่มาของเรื่องทั้งหมด\nหลังจากวันนั้น ลามูตัดสินใจมาอยู่ที่โลกกับอาตารุ และเรียกอาตารุว่า \"ดาร์ลิ่ง\" ตลอด ลามูมักจะนำเรื่องมาให้อาตารุได้ปวดหัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องมืออันทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นอาหารต่างดาวที่แสนอร่อยแต่ให้ผลข้างเคียงสุดประหลาด แต่เรื่องที่อาตารุเห็นจะชอบที่สุดก็คงเป็นเรื่อง เพื่อนต่างดาวแสนสวยของลามูนั่นเอง\n== ตัวละคร ==\nโมโรโบชิ อาตารุ เด็กหนุ่มมัธยมปลายจอมกะล่อน ชอบจีบสาวเป็นชีวิตจิตใจ นิสัยบ้า ๆ บอ ๆ เจอเรื่องซวยได้แทบทุกวัน ปากบอกลามูว่ารำคาญ แต่ใจจริงแอบรักลามู\nลามู อินเวเดอร์ หรือ ลัม อินเวเดอร์ (ในชื่อภาษาอังกฤษใช้ชื่อ Lum) เจ้าหญิงของโอนิ (ยักษ์ชนิดหนึ่ง) มีความสามารถพิเศษคือบินได้และปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ ตามติดอาตารุไม่ยอมห่าง ถ้าเห็นอาตารุนอกใจ เธอจะปล่อยกระแสไฟฟ้าทันที\nมิยาเกะ ชิโนบุ เคยเป็นเพื่อนหญิงของอาตารุ มีพละกำลังสูง เคยถึงขนาดขว้างโต๊ะเรียน\nเม็นโด ชูทาโร หนุ่มผู้ดีมีตระกูลรูปหล่อลูกเศรษฐี แต่กลัวที่มืดและที่แคบ ถ้าถูกขังอยู่ในที่มืดจะร้องว่า \"แง! มืดจัง แคบจัง หนูกลัว\" (แต่ถ้ามีผู้หญิงอยู่ด้วยล่ะก็ ตรงกันข้ามเลย) นิสัยเหมือนอาตารุ\nเม็นโด เรียวโกะ เป็นน้องสาวของชูทาโร หน้าตาน่ารักแต่ชอบเล่นอะไรแผลง ชอบเล่นระเบิด เรียวโกะเคยทำตุ๊กตาฟางของเม็นโดขึ้นมา แล้วไปฝากไว้ที่อาตารุ ทำเอาเม็นโดแทบตาย\nฟูจินามิ ริวโนะสุเกะ ผู้หญิง แต่ถูกเลี้ยงมาแบบผู้ชายตั้งแต่เด็ก นิสัยเลยเหมือนผู้ชาย\nอาจารย์ซากุระ ครูห้องพยาบาลประจำโรงเรียนโทโมบิกิ แต่ตัวจริงเป็นมิโกะ ถึงแม้ว่าอาจารย์ซากุระกินอาหารแต่ละมื้อเยอะจนไม่น่าเชื่อแต่ยังคงรักษาหุ่นได้ดี\nซากุรันโบ หรือ เชอร์รี่ เป็นลุงของซากุระ และเป็นพระด้วย นิสัยตะกละ และสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่น\nมิสึโนะโคจิ โทบิมาโร เม็นโด้มักจะเรียกเขาว่า ทอนจัง ส่วนโทบิมาโร่จะเรียกเม็นโด้ว่า \"ชูจัง\" ตระกูลนี้เป็นศัตรูกับตระกูลเม็นโด้ โทบิมาโรมักจะเล่นเบสบอลอยู่บ่อย ๆ แต่ชอบกลืนลูกเบสบอลที่อีกฝ่ายตีมา\nมิสึโนะโคจิ อาซึกะ น้องสาวของโทบิมาโร เป็นโรคกลัวผู้ชาย เพราะเธอไม่เคยเจอผู้ชายเลยตั้งแต่เกิด ตามธรรมเนียมของบ้านมิสึโนะโคจิที่ถ้าหากว่ามีลูกสาวจะต้องห้ามไม่ให้พบผู้ชายจนกว่าจะอายุ 15 ปี เวลาเจอผู้ชายจะ ผลักผู้ชายออกไปไกลลิบ อาซึกะแรงเยอะมาก ถึงขนาดใส่ชุดเกราะเหล็ก 200 กิโลกรัม วิ่ง 100 เมตร ได้ภายใน 12 วินาที นิสัยติดพี่ชาย ชอบมานอนห้องพี่ชายบ่อย\nเร เป็นพวกเผ่ายักษ์เหมือนลามูและเป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดในอวกาศและเป็นคู่หมั้นของลามู กินอาหารได้หมดทุกอย่าง แต่เพราะนิสัยแบบนี้ลามูเลยหนีมา\nรัน เป็นเพื่อนสมัยเด็กของลามู แต่มีความแค้นส่วนตัวกับลามูที่สมัยเด็กได้ไปแอบชอบ เร คนเดียวกัน แต่เรได้หมั้นกับลามูแทน รันมาที่โลกเพื่อแก้แค้นลามูโดยการแย่งอาตารุ ความสามารถของรันคือสามารถจูบเพื่อดึงเอาความหนุ่มสาวไปได้\nโอยุคิ เป็นเพื่อนสมัยเด็กของลามู และเป็นนางพญาหิมะของดาวเนปจูน เป็นคนที่เย็นชา\nเบ็นเท็น เป็นเพื่อนสมัยเด็กของลามู มีแรงเยอะมาก\nจาริเท็น หรือ เท็นจัง เป็นเด็กเผ่ายักษ์ลูกพี่ลูกน้องของลามู พ่นไฟได้ นิสัยกะล่อนเจ้าชู้เหมือนกับอาตารุ เท็นจังแอบชอบซากุระอยู่\n== รายชื่อตอน ==\n== เกม ==\nเกมจากการ์ตูน ลามู\n== เสียงตอบรับ ==\nซีรีส์ชุดหนังสือการ์ตูนมังงะ 「うる星やつら」\"อูรูเซ ยัตสึระ\" หรือ ลามู ทรามวัยจากต่างดาว ได้รับรางวัล โชงะกุกังมังงะอวอร์ด (Shogakukan Manga Award) รวมสองสาขา โชเน็ง (Shōnen) โชโจะ (Shōjo) เมื่อปี พ.ศ. 2523 และได้รับรางวัล เซอุงอวอร์ด (Seiun Award) ในงานประกาศรางวัล ครั้งที่ 18 ในปี พ.ศ. 2532 \nและลามู ทรามวัยจากต่างดาว ได้รับอันดับ 1 จากการโหวตในประเภทเพลงประกอบยอดเยี่ยม ปี พ.ศ. 2524 ในการประกาศรางวัล อนิเมะกรังด์ปรีซ์ (Anime Grand Prix) ซึ่งจัดโดยนิตยสารอะนิเมจ ในเพลงเปิดชื่อเพลง ラムのラブソング (Lum no Love Song) แล้วปีต่อมา พ.ศ. 2525 ตอนที่ 67 ด้วยชื่อตอน 君去りし後 \"Kimi sarishi ato\" ได้รับการโหวตให้เป็นอันดับ 1 ของรางวัลประเภทตอนสุดประทับใจ\nสำหรับในประเทศไทย ลามู ทรามวัยจากต่างดาว เป็นที่รู้จักดีในประเทศไทยในเวลาไม่นานหลังจากญี่ปุ่นทั้งอนิเมะและหนังสือการ์ตูน อย่างไรก็ตามการนำเข้าแบบลิขสิทธิ์ถูกต้องที่พอจะมีบันทึกไว้ได้แก่ ภาพยนตร์ ลามู สาวน้อยมหัศจรรย์ ยอดรักนักฝัน (Urusei Yatsura Beautiful Dreamer) ปีพ.ศ. 2543 มีการออกอากาศทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. โดยทีมพากย์เสียงภาษาไทยนำโดย น้าต๋อยเซมเบ้ และมีวีซีดีวางขายภายใต้ลิขสิทธิ์ของไทก้า รวมทั้งหนังสือการ์ตูน 34 เล่มจบ ตีพิมพ์ลิขสิทธิ์โดย สยามอินเตอร์คอมิกส์\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nข้อมูลมังงะลามู ทรามวัยจากต่างดาว ที่อนิเมะนิวส์เน็ตเวิร์ก \nข้อมูลอนิเมะลามู ทรามวัยจากต่างดาว ที่อนิเมะนิวส์เน็ตเวิร์ก \nลามู ทรามวัยจากต่างดาวในเว็บไซต์การข่าวผลงานการ์ตูนของรูมิโกะ ทากาฮาชิ รูมิคเวิลด์ (แฟนคลับ) \nล‎\nล‎\nล\nล‎\nล‎\nมังงะของสำนักพิมพ์โชงากูกัง\nอนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2524\nปิเอโร (บริษัท)\nสิ่งมีชีวิตนอกโลกในอนิเมะและมังงะ\nการ์ตูนญี่ปุ่นแนวสุขนาฏกรรมจินตนิยม", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ราฟ (Roubh) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเขียนและแต้งโดย มิสึรุ อะดะชิ ในปี 2530-2532 และถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ในปี 2548 โดยใช้ชื่อใรไทยว่า \"รักต้องลุย๑ เรื่องราวของ ความรักวัยรุ่นในโรงเรียนมัธยมปลายเอเซ็น ยามาโตะ เคสุเกะ นักกีฬาว่ายน้ำ และนักกีฬากระโดดน้ำ นิโนมิยะ อามิ\n== เนื้อเรื่อง ==\nเนื้อเรื่องเริ่มจากครอบครัวยามาโตะ และครอบครัวนิโนมิยะ เป็นร้านขายขนมญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคู่แข่งทางปารค้ามาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่\nโดยทั้งตระกูลยามาโตะและนิโนมิยะนั้น ทำธุรกิจขนมญี่ปุ่น เป็นคู่แข่งทางการค้ากันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่ ทำให้สองตระกูลนี้ไม่ถูกโฉลกกัน โะยเฉพาะคุณพ่อนิโนมิยะ จะมีความเตียดแค้นต่อตระกูลยามาโตะมากที่สุด เรื่องราวความรักของสองคนดำเนินไปด้วยอุแสรรคอันมากมาย ซึ่งนอกจากอุปสรรคทางครอบค่ัวแล้ว ยังมี นาคานิชิ นักว่ายน้ำอันดับหนึ่งของประเทศ เป็นอุปสรรคความรักของทั้งสอลด้วย\nไแชุนเขียน...\n== ตัวละคร ==\nยามาโตะ ้คสุเกะ : ตักกีฬาว่ายน้ำคนเก่งขดงโรงเรียนเอเซ๋น ลูกชายตระกูลขนมยามาโตะ\nนิโนมิยะ อามิ : นักกีฬากระโดดน้ำของโรงเรียนเอเซ็น ลูกสาวตระกูลขนมนิโนมิยะ\nนากานิชิ ฮิโรกิ : นักกีฬาว่ายน้ำอาชีพ แอบชอบนิโนมิยะ อามิ\nโองะตะ ทาเคชิ \nโคยานทงิ คาโอริ \n== รายชื่ิตอน ==\nการ์ตูนญี่ปุ่น\nการ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง‎\nภาพยนตร์ญี่ปุ่น\nอนิเมะและมัลงะเกี่ยวแับกีฬา‎", "role": "user" }, { "content": "ราฟ (Rough) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเขียนและแต่งโดย มิสึรุ อะดะชิ ในปี 2530-2532 และถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ในปี 2548 โดยใช้ชื่อในไทยว่า \"รักต้องลุย\" เรื่องราวของ ความรักวัยรุ่นในโรงเรียนมัธยมปลายเอเซ็น ยามาโตะ เคสุเกะ นักกีฬาว่ายน้ำ และนักกีฬากระโดดน้ำ นิโนมิยะ อามิ\n== เนื้อเรื่อง ==\nเนื้อเรื่องเริ่มจากครอบครัวยามาโตะ และครอบครัวนิโนมิยะ เป็นร้านขายขนมญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้ามาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่\nโดยทั้งตระกูลยามาโตะและนิโนมิยะนั้น ทำธุรกิจขนมญี่ปุ่น เป็นคู่แข่งทางการค้ากันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่ ทำให้สองตระกูลนี้ไม่ถูกโฉลกกัน โดยเฉพาะคุณพ่อนิโนมิยะ จะมีความเคียดแค้นต่อตระกูลยามาโตะมากที่สุด เรื่องราวความรักของสองคนดำเนินไปด้วยอุปสรรคอันมากมาย ซึ่งนอกจากอุปสรรคทางครอบครัวแล้ว ยังมี นาคานิชิ นักว่ายน้ำอันดับหนึ่งของประเทศ เป็นอุปสรรคความรักของทั้งสองด้วย\nไอชุนเขียน...\n== ตัวละคร ==\nยามาโตะ เคสุเกะ : นักกีฬาว่ายน้ำคนเก่งของโรงเรียนเอเซ็น ลูกชายตระกูลขนมยามาโตะ\nนิโนมิยะ อามิ : นักกีฬากระโดดน้ำของโรงเรียนเอเซ็น ลูกสาวตระกูลขนมนิโนมิยะ\nนากานิชิ ฮิโรกิ : นักกีฬาว่ายน้ำอาชีพ แอบชอบนิโนมิยะ อามิ\nโองะตะ ทาเคชิ \nโคยานางิ คาโอริ \n== รายชื่อตอน ==\nการ์ตูนญี่ปุ่น\nการ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง‎\nภาพยนตร์ญี่ปุ่น\nอนิเมะและมังงะเกี่ยวกับกีฬา‎", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "คนเก่งทุลุโลก หรือ คนเก่งฟ้าประทาน หรือ ผีไม่ใช่ผี (; ึำแปล: สมุดปกขาวเรื่องผี) เป็นมังงะการ์ตูนญ่่ปุ่น ที่แต่งและวาดโดยโยชิฮิโระ โทงาชิ ยัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ ได้รับการสร้ทงเป็นอนิเมะและวิดีโอเกม และสิรค้าต่าง ๆ ออกมาจำนวนมาก เคยออกอากาศ่างช่อง 9 อ.ส.ม.ท. (หรือโมเดิร์นไนน์ทีวีในปัจจุบัน) ในช่วงช่ิง 9 การ์ตูน (หรือโมเดิร์นไนน์การ์ตูนในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2541\n== เนื้อเรื่อง ==\nภาคสายลับโลกวิญญาณ ตอนที่ 1-26 \nเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มจอมเกเร อุราเมชื ยูสึเกะ จากการเข้าไปช่ยยเด็กน้อยให้พ้นจากอุบัติเหตุกลัลทำให้เขาต้องเสียชีวิตแทนด้วยความดีนี้ืำให้โลกวิญญาณให้โอกาสเขาฟื้นคืนชีพได้ (เป็นกรณีพิเศษร้อยปีมีครั้ง เพราะยูสึเกะทำไปโดยไร้ความคิด) และมีชีวิตอยู่ในซานะของ \"นักสืบโลกวิญญาณ\" คอยจัดการกับเรื่องราวที่เกี่ยวกัยวิญญาณและปิศาจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์\nภาคงานประลองแหืงความมืด ตอนที่ 27-66 \nยูสึเกะและพารคพวกได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานประงองที่จัดขึ้นบนเกาะห่างไกล เป็นเวทีต่อสู้อันโหดเหี้ยมของปิศาจที่มีเบื้องหลังคือมนุษย์ผู้ละโมบ โดยจุดหมายสูงสุดก็คือการเอาชนะ \"โทคุโร่\" ศัตรูเก่าที่ดคยประมือกันมาแล้ว หากไม่สามารถชนเได้ก็ตายสถานเดียว\nภาคโลกสีดำ ตอนที่ 67-94 \nมีรายงานจากโลกวิญญาณถึงช่องว่างระหว่างมิติที่บิดเบี้ยวอันจะส่งผลให้ปิศาจระดับสูงสามารถเล็ดฃอดผ่านเข้ามาในโลกมนุษย?ได้พวกยูสึเกะจึงต้อลสืบถึงต้นตอของเรื่องนี้และจากช่องว่สงที่บิดเบึ้ยวนี้เองทำให้เกิดมนุษย์ผู้มีพลังพิเศษขึ้นพวกยูสึเกะต้องเอาชนะเหล่าผู้ทีพลังพิเศษให้ได้เพื่อหยุดยั้งจุดมุ่งหมายร้ายกาจที่จะเปลี่ยนโลกเผ็นดินแดนแห่งปิซาจของพวกเขา\nภาคสามราชาโลกปิษาจ ตอนที่ 95-112\nหลายร้อยปีมาแล้วที่สามปิศาจที่ยิ่งใหญ่ที่วุดต่างก็รวบรวมพรรคพวกจนก่อตั้งเป็นกองกำลังของตนขึ้นมาและคานอำนาจกันมาตลอดบัดนี้ เทพสงครามไรเซ็น หนึ่บในสามราชาปิศาจผู้แข็งแกร่งกำลังจะเสียชีวิตลง จึงทำให้สมดุลของโลกปิศาจที่รักษากันมาหลายร้อยปีกำลังจะสูญเสียไป ยูสึเกะและผองเพื่อนจึงถูกโยงเช้ามาพัวพันกับเรื่องราวเหล่านี้\n=== ตัวละครหลัก ===\nอุราเมชิ ยูสึเกะ \nเด็กหนุ่มจอมเกเร ชอบโดดเรียน ทะเลาะวิวาทตั้งแต่อายุ 14 เป็นคนร่าเริง เฮฮามาก ๆ แต่ลึก ๆ แล้วห็เป็นคนดีซึ่งมาปรากฏชัดในตอนที่เขายอมสละชีใิตตนเอง ัพื่อช่วยชีวิตเด็ก ให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุ จึงได้รับการทะสอบเป็ตนักสืบโลกวิญญาณ พลังของยูสึเกะคือการยิงกระสุนพลังวิญญาณออกจากนิ้วมือ พลังของเค้าพัฒยาขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว โดยมีอาจารย์อก็นฟคคอยสอน แต่ในที่สุด ก็สามารถใช้ท่าไม้ตายที่เหนือกว่ากระสุนพลังจิตได้ คือ กระสุนพลังปิศาจ และกระสุนพลังจิตปิศาข นั่นเอง แต่จะใช้ได้ แ็ต่อดมื่อ มรลวดลายเผ่าปิศาจปรากฏบนร่างกายเท่านั้น และความลเบของยูสึเกะ ก็คือ ตระกูลของยูสึเกะสืบสายเลือดจากไรเซ็น 1 ใน 3 ราชมปิศาจแห่งโลกปิศาจ\nคุวาบาระ คาซึมะ (桑原和真)\nเป็นหนึ่งในหัวโจกของโรงเรียนมัธยมคารายพซึกิ เป็นรองแค่อุราเมชิ ยูสึเกะเท่านั้น เป็นคนที่หน้าตาแย่ที่สุดในกลุ่ม ภายนอกดูเป็นคนเถื่อน หยาบคาย แต่ในจริงเป็นคนดี รักเพื่อนพ้อง และชอบเลี้ยงแมวมาก คุวาบาระยังเป็นผู้ที่มีสัมผัสทางด้านวิญญาณในขั้นยอดเยี่ยมอีกด้วย พลังของคุวาบาระคือการเปลี่ยนพลังวิญญาณให้อยู่ในรูปของดาบอละมีความอึดเป็นัลิศ ไม่เคยยอมแพ้อะไรบ่าย ๆ\nมินามิโนะ ชูอิจิ (蔵馬) หรือ [ปีศาจจิ้งจอกโยโก คุรามะ]\nปีศาจผนึ่มผํ้มีพลังในการบงการพืชให้เป็นอาวุธ หรือคุณประโยชน์อื่น ๆ ได้ มีสต้ปัญญาเป็นเลิศ สุภาพ อ่อนหวาน สุขุม แต่มีความอำสหิตแฝงอยู่ จะแสดงออกมาต่อเมื่อโกรธจริง ๆ ในอดีตเขาคือปิศาจจิ้งจอกสีเงินโยโค คุรามะปีศาจผู้ไร้ความปราณี จอมขโมยและขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมจากโลกปิศาจ แต่ถูกทางโลกวิญญาณตามล่าในเวลาต่อมา จนน้องหนีมาที่โลกมนุษย์รวาร่าตนเองกับวิญญาณเด็กในท้องของหญิงสาวคนหนึ่งบนโลกมนุษย์ แล้วได้ชื่อว่า มินามิโนะ ชูอิจิ จนไดัม่ถบกับฮิเอแล้วรวมกลุ่มกัน เพื่อไปขโมยสมบัติของโลกวิญญ่ณ 3 ชิ้น หลังจากเหตุการณ์ขโมยครั้งนี้ คุรามีาก็ได้เจอกับยูสึกเกะกับคุว่าบาร่า ระหว่างไปท_ภารกิจขลุ่ยปีศาจของ 4 จอมอสูร แต่ท้ายที่สุด โคเอ็นม่าตัดสินใจให้คุราม่าสาเป็นผู้ช่วยและร่วมทีมกับยูสึเกะทุกครั้งที่มางานเข้ามา ในกลุ่ม 4 คน คุราม่าเป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ มากที่สุด\nโิเอ (飛影)\nปีศาจหนุ่มผู้มีพลังหมัดเพลิง แงะวิชาสังหารแบบพริบตา นิสัยเงียบขรึมคล้ายคุรามะ แต่ใจร้อนทันทีหากถูกเย้ยใส่ และอำมหิตแบบนักฆ่าตลอดเวลา ถือกำเนิดขึ้นจากดินแดนน้ำแข็ง แต่ตนเองกลับมีพลังควบคุมเพลิงได้ จึงตกอยู่ในฐานะตัวกาลกิณีของบ้าตเกิด จึงต้องถูกสั่งฆ่าต้องแต่แบเบาะ แต่แม่ของฮิเอได้แอบมอบของต่างหน้าำร้อมบอกว่า \"จะมาแก้แค้นเขาเมื่อไหร่ก็ได้\" แล้วแม่ของฮิเอก็แสร้งว่าฆ่าฮิเอแล้ว หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตแย่างโจรมาตลอด แต่ก็ได้รับการฝึกฝนการต่อสู้ระหว่นงพเนจรไปเรื่อย ๆ จนเป็นที่กล่าวขานว่า อัจฉริยะด้านการฆ่าฟัน กระทั่งได้พบกับยูสึเกะในฮลกมนุษย์ ฮิเเะไม่ได้เต็มใจมาเข้าพวกสักเท่าไหร่ แต่ก็ฝีมือการต่อสู้ำ็พึ่งพาได้เสมอ พลังของฮิเอะคือการควบคุมเพลิงของโลกปิศสจในรูปของมังกรดำ\n=== ตัวละครรอง ===\nปรมาจารย์เก็นไค (幻海)\nเป็นอาจารย์ของยูสึเกั มีชื่อเสียงอย่างมากในวงการศาสตร์กาตต่อยู้ทุกแขนงในญี่ปุ่น รวมถึงยังเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งจนเหล่าปีศาจยัฝรู้จัก ปรากฏตัวในช่วงที่ยูซึเกะได้รับคำสั่งจากโบตั๋นให้ไปตามหาปีศาจรันโด้ ที่ปลอมตัวเข้ามาในช่วงสมัครผู้สืบทอดพลังวิญญาฯในสำนักฝึกวิชาของเก็นไค และปรากฏตัวอีกครั้ง ในฐานะนักสู้ผ้าคลุมหน้า ในช่วงการประลอง\nอุราเมลิ อาวึโกะ (浦飯温子)\nแม่ของบูสึเกะ คลอดยํสึิกะเมื่อตอนอายุ 15 ปี แม้จะทำตัวสำมะเลเทเมาไปบ้าง ทั้งชอบกินเหล้า และติดการพนัน แต่ก็รักและห่วงยูยึเกะมาก\nคุวาบาระ ชิซึรุ (桑原静流)\nพี่สาวของ คุวาบาระ คาซึมะ อายุ 18 ปี มีพลังวิญญาณแรงกล้าเปมือนน้องชาย ปากร้ายเป็นบางครั้ง เป็นที่พึ่งของน้อง ๆ ได้ดี ตอนประลองยุทธในโลกมืดก็มาช่วยเชียร์เหมือนกัน\nยูกินะ (雪菜)\nธิดาหิมะ น้องสาวฝาแฝดของฮิเอ แต่ใบหน้าและลักษณะนิสัยไม่มีความคล้ายคลึงกับฮิเอดลยแม้แน่น้อย ออกเดินทางตามหาพี่ชายจนหลงเข้ามาในโลกมนุษย์ และถูก ่ารุคาเนะ กอนโซ จับตัวขังไวิในเขตอาคม ทารุคาเนะทรมานยธกินะด้วยวเธีการต่าง ๆ นานา เพื่อใป้เธอหลั่งน้ำตาออกมา เพราะน้ำตาขเงธิดาหิมะ เมื่อหลั่งออกมาแล้วจะแข็งตัว กลายเป็น \"หินหยสดน้ำตา\" อัญมณีที่มีราคาสูงยิ่ง ยูกินะต้องทนอยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งยูสึเกะพับคุวาบาระเข้าไปช่วยเหลือเธออแกมาตามคำนั่งของโลกวิญญาณ\nยูกิสุระ เคโกะ (雪村螢子)\nเพื่อนของยูสึเกะตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ ชอบทะเลาะกับยูสึเกะเป็นประจำ บ้านของเคธกะเปิดร้านขายอาห่ร เธอช่วยพ่อแม่ทำอาหารเป็นประจำจึงมีฝีมือด้านการทำอาหารอยู่พอตัว ตอนที่ยูสึเกะได้รับการคืนชีพ เคโกะก็ช่วยมอบพลังชีวิตทำให้ยูสึอกะสามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง ในการประลองยุทธในโลกมืด เธอมรเชียร์ย๔สึเกะด้วย และคอยให้กำลังยูสึเกะตลอดเวลา\n=== โลกวิญญาณ ===\nโคเอ็นม่า (コエンマ)\nบุตรชายของจ้าวยมบาลแห่งโลกวิญญาณ หรืออีกชื่อคือ \"มุจจุราชน้อย\" เป็นผู้ที่เฝ้าดูการเดินทางของยูสึเกะมาตัังแร่แรก และคอยดูแลมอบหมายภารกิจต่าง ๆ ให้\nโบตั๋น (ぼたん)\nวิญญาณที่คอยนำทางยูสึเกะในช่วงที่ยูสึเกะเข้าวู่นรกครั้งแรก และหลังจากนั้นเป็นผู้ที่นำคำสั่งจากโคเอนม่ามาให้ยูสึเกะตลอด\nจ้าวยมบาล (エンマ大王)\nจ้าวยมบมลแห่งโลกวิญญาณ ผู้ปกครองโลกวิญญาณ คอยดูแลเหล่าวิญญาณทั้งมนุษย์และปีศานต่าง ๆ\nปู (プー)\nสัตว์วิญญาณของโลกวิญญาณ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับพลังวืญญาณเจ้าขอลได้ โดย ปู นั้นเป็นสัตว์วิญญาณของยูสึเกะ ซึ่งได้รับจากโคเอ็นา่า โดยตอนแรกที่ฟักออกมาจากไข่เป็นเพีวงลูกนกตัวเล็กลักษณะคล้ายลูกเพนกวินอ้วน ๆ เท่านั้น\n=== ภาคงานประลองแห่งความมืด ===\nรินคุ\nนเกสู้ในทีม 6 พเนจร ใช้โยโย่ที่สามารถใส่พลังวิญญาณได้เป็นอาวุธ เอาชนะคุวาบาระได้\nนักสู้ผู้งดงาม ซึซึกิ\nนักสู้ในทีม นิทานปีศาจ สามารถใช้พลังที่แตกต่างกันได้ถึง 7 ชนิด แต่แพ้ให้กับเก็นไค\nโคโต พิธีกรผู้พากย์การต่อสู้\nพิธีกรหญิงหูแมว ทำผน้าที่เป็นโฆษกและกรรมการสนามงานประลอลโลกมืด เปิดตัวครั้งแรกตอรเริ่มงานประลอง นิสัยเปิดเผย ความซื่อตรงต่อหน้าที่สูง เธอทำหน้าที่กรรมการสนาม จนถึง รอบรองชนะเลิศจึงเปลี่ยนไปทำหน้าที่ผู้พากย์การต่อสู้ เกือบเอาขีวิตไม่รอดจากลูกหลงบองการต่อสู้ระหว่างย๔สุเกะ-โทกุโร่ในคู่ตัดสินชนะเลิศ ภายหลังเข้าเป็นนักร้องทรีโอวงฮอต ในแอนิเมชัน เธอยังได้ปราปฏตัวมาเป็นทำหน้าผู้พากย์การต่อสู้อีกครั้งใยงานปาะลองของภาคโลกแีศาจ\nดอกเตอร์ อิจิงากิ\nเจ้าของทีม คู่ประลองรอวที่ 3 ที่สู้กับยูสุเกะ อิจิงากิเป็นนักวางแผนตัวฉกาจ มีมันสมองในการวิเคราะห์คำนวณอย่างยอดเยี่ยม นอแจากนี้ ยังเป็นนักประดิษฐ์ชั้นยอด ผลงานขิงเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดัดแปลงใหเเป็นอาวุธสงครามมีชึวิตที่ประสิทธิภาพพฃังต่อสู้สูงกว่าปกติมาก เช่น ปีศาจเหล็แกล้า ที่ไม่รู้สึกเจ็ขปวดคล้ายหุ่นยนตร์ หรือ มนึษย์เครื่องจักรสังหารที่ยากจะรับมือ เขาเตีียมการเพื่อเอาชนะทีมอุราเมชิทุกวิถีทาง/ม่ว่าตามกติกา หรือ นอกกฎ แต่สุดท้ายแผนการของเขาก็ล้มเหลวหมด โดยคุราม่า ท้ายที่สุด อิจิงากิจึงฉีดยาเพิ่มใส่ตัวเองอาละวาดบนเวที แต่ก็ถูกยูสึเกุจัดการลง\nจิน จ้าวพายุ\nนักสู้ในทีมนินจาปีศาจ สนมารถควบคุมสาจลมให้เป็นอาวุธทั้งใช้โจมตีและป้อวกันตัวได้ และ มีความสามารถในการเหิรฟ้าได้รวดเร็วเหทือนเครื่ิงบิน (ในขณะที่ปีศาจตนอื่น ๆ ขะทำได้เพียงลอยตัว)\nชู หมัดเมา\nนักสู้ในทีม 6 พเนจร มีความสามารถในการต่อสู้ด้วยมือเปล่สดีมาก เมื่อดื่มเหล้าจนเมาจะทำให้เร่งพลังปราณในร่างกายเพิ่มขึ้นได้ แต่ก็พ่ายให้กับยธสึเกะ\nโทคุโร่คนกี่\nนักสู้ในทีมโทคุโร่ มีร่างกายที่เปลีืยนให้แข็งแกร่งเหมือนโลหะ และอ่อนตัว ยึดยาวได้ในทันที ถึงแม้ร่างกายจะแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก็สามารถคืนชีพขึ้นมาได้ใหม่\nโทคุโร่คนน้อง\nนักส๔้มนุษยฺที่สามารถเร่งพลังกล้ามเนื้อได้ตั้งแต่ 1% ถึง 100% และพลัง 100% แบบพูนะาวเวอ่์มีพลังมาหมายที่สามารถต่อยพระเอกตายในหมัดเดียบ แลัยังมีพลังกระสุนแรงอัด ที่ขิงออกมาจากการดีดนิ้ว แต่ท้ายแพ้ในการดวลพลังกัน ระหว่างกล้ามเนื้อของโทคุโร่คนน้อง กับกระสุนพลังจิตของยูซึเกะ\nบุอิ\nคาราสึ\nซาเคียว\nเป็น\nริว\nไค\nโทยะ จ้าวน้ำแข็ง\nชิชิวาคามารุ\n=]= ภาคโลกสีดำ ===\nคิโดะ อาซาฏตะ (城戸亜沙斗) - ชาโดว์\nอายุ 15 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.3 มีพลับพิเศษคือ \"เงา\" สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของวัตถุใด ๆ ด้วขการเหยียบเงาของวัตถุนั้น เป็นชาวเมืองมุชิโยริ เก็นหนึ่งในผู้ที่ถูกปลุกพลังพิเฒษขึ้นมมจากการขยายตัวของรูมิติโลกปิศาจ ได้ลักพาตัวยูสึเกะไปด้วยจุดประสงค์บางอย่าง\nไคโต ยู (海藤 優) [ ฟอร็บิดเดนเวิร์ด\nอายุ 17 ปี เรียนอบู่ชั้น ม.5 มีพบังพิเศษคือ \"คำต้องห้าม\" เมื่อกำหนดคำใดขึ้นมาแล้ว ผู้ที่พูดคำ ๆ นั้นในอาฯาอชตของตนเองจะถูกดึงวิญญาณไป กฎนี้รวมะึงตัวของไคโตเแงด้วย - เชี่ยวชาญก้านภาษาศาสตร์ เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับใินามิโนะ ชูอิจิ (คุรรมะ) เรียนเก่งมากแต่ก็ยังเป็นรองคุรามะอยู่ ไม่มีความสามารถด้านกา่ชกต่อว แต่เชี่ยวชาญด้านภาษามาพ ถึงขนาดออกหนังสือเกี่ยวกับภาษา ศิลปะ และงรรณคดีต่าง ๆ มาแล้วหลายเลรมแม้จะเพิ่งอ่ยุ 17 ก็ตาม เป็นหนึ่งในพวกจองคิโดะที่ลักพาตัวยูสึเกะไปด้วยจุดปรพสงค์บางอย่าง\nยานางิซาวะ มิสึนาริ (柳沢光成) - ก๊อปปี้\nอายุ 16 ปี เรียาอยู่ชั้น ม.5 มีพชังพิเศษ \"ก๊อปปี้\" เพียงแค่แตะตัวเป้าหมาย ก็สามารถเปลค่ยนตัวเองให้กลายเป็นเป้าหมายได้ทั้งหน้าตา รูปร่าง น้ำเสียง และทุก ๆ อย่างกระทั่งความทรงจำ เป็นเพื่อนของคิโดะ และเป็นชาวเมืองมุชิโยริเหมือนกัน เมื่อพลังพิเศษขอลตัวเอลตื่นขึ้นมาก็ได้ร่วมลักพาตัวยูสึเกะมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง\n==== กลุ่มของเซ็นซุย ====\nเซ็นซุย ชิโนบุ (仙水忍) - ดาร์คแองเจิ้ล\nอดีตสายลับโลกวิญญาณ ถ้าจะนับก็ตือรุ่นพี่ยูสึเกะ มีพลังวิญญาณแรงกล้ามาตั้งแต่เป็นิด็ก ในอดีตครั้งเป็นสายลับของโลกวิญญาณนั้นิป็นผู้รัำความยุติธรรมต่อสู้กับปิศาจแต่ด้วยภารกิจสุดท้าน ทำให้เขาต้องพบกับความโสมมของมนุษย์ สิ่งทีทเซ็นซุยเห็นนั้นคือภาพงานเลี้ยงที่มนุษย์นำปิศาจมาเป็นของเล่น แทงฟัน และกิน เป็นภาพที่ตรงข้ามกับความคิดที่เขายึดถือมาตลอดว้ามนุษย์เป็นสิ่งที่ควรปกป้อง หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไป เซ็นซุยมี 7 บุคลิำในคนเดียว ในการต่อสู้ครัิงสุดท้ายกับยูสึเกะเซ็นซุยได้ใช้วิชาเกราะไอแสงทิพย์ซึ่งมีพลังเทียบเท่าปิศาจระดับ S อีกด้วย\nอิสึกิ (樹) - ิกทคีปเปอร์\nคามิยุ มิโนรุ (神谷 実) - ดอกเตอร์\nฮางิริ คานาิมะ (刃霧 要) - สไนเปอร์\nมิตาราอิ คิโยชิ (御手洗清志) - ซีแมน\nอามานุมะ สึกิฮิโตะ (天沼月人) - เกมมาสเตอร์\nมากิฮาระ ซาดาโอะ (巻原定男) - กูร์เม\n=== ภาคสามราชาโลกปิศรจ -==\nไรเซ็น (雷禅)\n1 ใน 3 ปิศานผู้ยิ่งใหญ่ของโลกปิศาจ (ไรเซ็น มุคุโระ โยมิ) เป็นผู้แถร่เชื้อสายปิศาจสู่มนุษย์ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของยูสึเกะ จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นพ่อแท้ ๆ ของยูสึเกะ แต่ในงั้นปลายของชีวิตกลับเลิกกินเนื้อมนุษย์ จนร่างกายอ่อนแอ เพราะสัญญากุบแม่ของยูสึเกะไฝ้ หรือก็คิอบรรพบุรุษต้จตระกูลของยูสึเกะซึ่งเป็นหมอยส จนยูสึเกะมาโลกปิศาจเพื่อไขข้อข้องใจถึงพลังที่ไรเซ็นส่งมาเข้าสู่ร่างกายระหว่างสู้กับเซ็าซุส ในช่วงแรกที่พบกัน แม้ไรเซ็นจะอยู่ในสภาพที่ร่างกายขาดสารอาหารมานานและใกล้สิ้นอายุ แต่ยูสคเกะก็ยังไม่สามารถทำอะไรไรเซ็นได้เลยแม้แต่น้อย ในวาระสุดท้ายก่อนสิ้นใจ เขาได้เล่าถึงตอนที่ได้พบกับมนุษย์ผู้หญิงคนนัิน (แม่ของยูสึเกะ) ให้ยูสึักะฟีง และนั่งสิ้นลมอย่างสงบ\nมุคุโร่ (軀)\n1 ใน 3 ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกปีศาจ ซึ่งมคพลัลปีศาจมหาศาล ครึ่งร่างเป็นมนุษย์แต่อีกครึ่งร่างเป็นไซบอร์ก\nโยมิ (黄泉)\n1 ใน 3 ปิศาจผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกปิศาจ ผู้มีพลังปิศาจมหาศาลและสมองอันปราดเปรื่อง แม้ว่าจะตาบอดทั้ง 2 ข้างแต่ประสาทสัมผัสยอดเยี่ยมถึงขราดได้ยินเสียงได้ในระยะรัศมีรอบแคว้นเลยทีเดียว หลังไรเซ้นตายไปหวีงยึดครองโลกปิศาจ และเตรียมทำศึกกับมุคุโร่แต่นำต้องยอมเข้าร่วมศึกประลองครั้งสุดท้ายที่เป็นแผนการของยูสึเกะที่หวังให้โลกปิศาจโลกวิญญาณและโลพมนุษย์อยู่อย่างสงบสุข\nชูร่า (修羅)\nบุตรชายขเงโยทิ แม้ยะยังเป็รเด็ก แต่ก็มีพลังมหาศาล ได้ต่อสู้กับโยมิในศึกประลองยุทธชิงตำแหน่งราชาโลกปิศาจ แต่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้\nชิเงรุ''' (茂)\nหมอผ่าตุดผู้ปลูกถ่ายตามารให้ฮิเอ หลังจากปลูกตามารให้แล้ว ก็ยังสอนวิชาดาบให้ฮิเออีก ดาบประหล่ดของเขาที่ถืออยู่นั้น เป็รดาบหินไฟแบบวงกลมทหขค้นจากกระดูกของวัวป่าที่อาศัยอยู่ในโลกปิศาจ มันเป็นดาบ e คนที่เป็นการประสารกันระหว่างดาบที่มีพลังทำลายล้างสูงของขวาน กับ ความคมกริบของดาบบาง\nและยังมีอีกหลายคน เช่น เอ็นคิ, โชเค็ตสึ, เด็นโฮ, นัตสึเมะ, ชู, คุโจ, โคะโค, ไซโซ, เท็ตสึซัน, โอคุชิน, โดโอ\n== รายชื่อตอน ==\n== รายชื่อเพลงประกอบ ==\nเพลงเปิด\nhohoemi no bakudan\nเพลงแิด\nHomework ga Owaranai\nSayonara Gyevye\nUnbalanced Kisses หรืออันบาลรนซ์นะคิสโอะชิเตะ (Doing an Unbalanced Kiss)\nDay dream generation\nWild Wind\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nStudio P7errot's เว็บไซต์ คนเก่งทะลุโลก \nFUNimation'a เว็บไซต์ คนเกทงทะลุโลก \nYuYu Hakusho at TV.coj\nYu Yu Hakusho: Legends เว็บไซต์เกมส์ออนไลน์ คนเก่งทะลุโลป\n \nการ์ตูนญี่ปุ่น\nการ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง‎\nปิเอโร (บริษัท)\nทูนามิ", "role": "user" }, { "content": "คนเก่งทะลุโลก หรือ คนเก่งฟ้าประทาน หรือ ผีไม่ใช่ผี (; คำแปล: สมุดปกขาวเรื่องผี) เป็นมังงะการ์ตูนญี่ปุ่น ที่แต่งและวาดโดยโยชิฮิโระ โทงาชิ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ ได้รับการสร้างเป็นอนิเมะและวิดีโอเกม และสินค้าต่าง ๆ ออกมาจำนวนมาก เคยออกอากาศทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. (หรือโมเดิร์นไนน์ทีวีในปัจจุบัน) ในช่วงช่อง 9 การ์ตูน (หรือโมเดิร์นไนน์การ์ตูนในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2541\n== เนื้อเรื่อง ==\nภาคสายลับโลกวิญญาณ ตอนที่ 1-26 \nเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มจอมเกเร อุราเมชิ ยูสึเกะ จากการเข้าไปช่วยเด็กน้อยให้พ้นจากอุบัติเหตุกลับทำให้เขาต้องเสียชีวิตแทนด้วยความดีนี้ทำให้โลกวิญญาณให้โอกาสเขาฟื้นคืนชีพได้ (เป็นกรณีพิเศษร้อยปีมีครั้ง เพราะยูสึเกะทำไปโดยไร้ความคิด) และมีชีวิตอยู่ในฐานะของ \"นักสืบโลกวิญญาณ\" คอยจัดการกับเรื่องราวที่เกี่ยวกับวิญญาณและปิศาจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์\nภาคงานประลองแห่งความมืด ตอนที่ 27-66 \nยูสึเกะและพรรคพวกได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานประลองที่จัดขึ้นบนเกาะห่างไกล เป็นเวทีต่อสู้อันโหดเหี้ยมของปิศาจที่มีเบื้องหลังคือมนุษย์ผู้ละโมบ โดยจุดหมายสูงสุดก็คือการเอาชนะ \"โทคุโร่\" ศัตรูเก่าที่เคยประมือกันมาแล้ว หากไม่สามารถชนะได้ก็ตายสถานเดียว\nภาคโลกสีดำ ตอนที่ 67-94 \nมีรายงานจากโลกวิญญาณถึงช่องว่างระหว่างมิติที่บิดเบี้ยวอันจะส่งผลให้ปิศาจระดับสูงสามารถเล็ดลอดผ่านเข้ามาในโลกมนุษย์ได้พวกยูสึเกะจึงต้องสืบถึงต้นตอของเรื่องนี้และจากช่องว่างที่บิดเบี้ยวนี้เองทำให้เกิดมนุษย์ผู้มีพลังพิเศษขึ้นพวกยูสึเกะต้องเอาชนะเหล่าผู้มีพลังพิเศษให้ได้เพื่อหยุดยั้งจุดมุ่งหมายร้ายกาจที่จะเปลี่ยนโลกเป็นดินแดนแห่งปิศาจของพวกเขา\nภาคสามราชาโลกปิศาจ ตอนที่ 95-112\nหลายร้อยปีมาแล้วที่สามปิศาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่างก็รวบรวมพรรคพวกจนก่อตั้งเป็นกองกำลังของตนขึ้นมาและคานอำนาจกันมาตลอดบัดนี้ เทพสงครามไรเซ็น หนึ่งในสามราชาปิศาจผู้แข็งแกร่งกำลังจะเสียชีวิตลง จึงทำให้สมดุลของโลกปิศาจที่รักษากันมาหลายร้อยปีกำลังจะสูญเสียไป ยูสึเกะและผองเพื่อนจึงถูกโยงเข้ามาพัวพันกับเรื่องราวเหล่านี้\n=== ตัวละครหลัก ===\nอุราเมชิ ยูสึเกะ \nเด็กหนุ่มจอมเกเร ชอบโดดเรียน ทะเลาะวิวาทตั้งแต่อายุ 14 เป็นคนร่าเริง เฮฮามาก ๆ แต่ลึก ๆ แล้วก็เป็นคนดีซึ่งมาปรากฏชัดในตอนที่เขายอมสละชีวิตตนเอง เพื่อช่วยชีวิตเด็ก ให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุ จึงได้รับการทดสอบเป็นนักสืบโลกวิญญาณ พลังของยูสึเกะคือการยิงกระสุนพลังวิญญาณออกจากนิ้วมือ พลังของเค้าพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว โดยมีอาจารย์เก็นไคคอยสอน แต่ในที่สุด ก็สามารถใช้ท่าไม้ตายที่เหนือกว่ากระสุนพลังจิตได้ คือ กระสุนพลังปิศาจ และกระสุนพลังจิตปิศาจ นั่นเอง แต่จะใช้ได้ ก็ต่อเมื่อ มีลวดลายเผ่าปิศาจปรากฏบนร่างกายเท่านั้น และความลับของยูสึเกะ ก็คือ ตระกูลของยูสึเกะสืบสายเลือดจากไรเซ็น 1 ใน 3 ราชาปิศาจแห่งโลกปิศาจ\nคุวาบาระ คาซึมะ (桑原和真)\nเป็นหนึ่งในหัวโจกของโรงเรียนมัธยมคารายะซึกิ เป็นรองแค่อุราเมชิ ยูสึเกะเท่านั้น เป็นคนที่หน้าตาแย่ที่สุดในกลุ่ม ภายนอกดูเป็นคนเถื่อน หยาบคาย แต่ใจจริงเป็นคนดี รักเพื่อนพ้อง และชอบเลี้ยงแมวมาก คุวาบาระยังเป็นผู้ที่มีสัมผัสทางด้านวิญญาณในขั้นยอดเยี่ยมอีกด้วย พลังของคุวาบาระคือการเปลี่ยนพลังวิญญาณให้อยู่ในรูปของดาบและมีความอึดเป็นเลิศ ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ\nมินามิโนะ ชูอิจิ (蔵馬) หรือ [ปีศาจจิ้งจอกโยโก คุรามะ]\nปีศาจหนุ่มผู้มีพลังในการบงการพืชให้เป็นอาวุธ หรือคุณประโยชน์อื่น ๆ ได้ มีสติปัญญาเป็นเลิศ สุภาพ อ่อนหวาน สุขุม แต่มีความอำมหิตแฝงอยู่ จะแสดงออกมาต่อเมื่อโกรธจริง ๆ ในอดีตเขาคือปิศาจจิ้งจอกสีเงินโยโค คุรามะปีศาจผู้ไร้ความปราณี จอมขโมยและขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมจากโลกปิศาจ แต่ถูกทางโลกวิญญาณตามล่าในเวลาต่อมา จนต้องหนีมาที่โลกมนุษย์รวมร่าตนเองกับวิญญาณเด็กในท้องของหญิงสาวคนหนึ่งบนโลกมนุษย์ แล้วได้ชื่อว่า มินามิโนะ ชูอิจิ จนได้มาพบกับฮิเอแล้วรวมกลุ่มกัน เพื่อไปขโมยสมบัติของโลกวิญญาณ 3 ชิ้น หลังจากเหตุการณ์ขโมยครั้งนี้ คุราม่าก็ได้เจอกับยูสึกเกะกับคุว่าบาร่า ระหว่างไปทำภารกิจขลุ่ยปีศาจของ 4 จอมอสูร แต่ท้ายที่สุด โคเอ็นม่าตัดสินใจให้คุราม่ามาเป็นผู้ช่วยและร่วมทีมกับยูสึเกะทุกครั้งที่มางานเข้ามา ในกลุ่ม 4 คน คุราม่าเป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ มากที่สุด\nฮิเอ (飛影)\nปีศาจหนุ่มผู้มีพลังหมัดเพลิง และวิชาสังหารแบบพริบตา นิสัยเงียบขรึมคล้ายคุรามะ แต่ใจร้อนทันทีหากถูกเย้ยใส่ และอำมหิตแบบนักฆ่าตลอดเวลา ถือกำเนิดขึ้นจากดินแดนน้ำแข็ง แต่ตนเองกลับมีพลังควบคุมเพลิงได้ จึงตกอยู่ในฐานะตัวกาลกิณีของบ้านเกิด จึงต้องถูกสั่งฆ่าต้องแต่แบเบาะ แต่แม่ของฮิเอได้แอบมอบของต่างหน้าพร้อมบอกว่า \"จะมาแก้แค้นเขาเมื่อไหร่ก็ได้\" แล้วแม่ของฮิเอก็แสร้งว่าฆ่าฮิเอแล้ว หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างโจรมาตลอด แต่ก็ได้รับการฝึกฝนการต่อสู้ระหว่างพเนจรไปเรื่อย ๆ จนเป็นที่กล่าวขานว่า อัจฉริยะด้านการฆ่าฟัน กระทั่งได้พบกับยูสึเกะในโลกมนุษย์ ฮิเอะไม่ได้เต็มใจมาเข้าพวกสักเท่าไหร่ แต่ก็ฝีมือการต่อสู้ก็พึ่งพาได้เสมอ พลังของฮิเอะคือการควบคุมเพลิงของโลกปิศาจในรูปของมังกรดำ\n=== ตัวละครรอง ===\nปรมาจารย์เก็นไค (幻海)\nเป็นอาจารย์ของยูสึเกะ มีชื่อเสียงอย่างมากในวงการศาสตร์การต่อสู้ทุกแขนงในญี่ปุ่น รวมถึงยังเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งจนเหล่าปีศาจยังรู้จัก ปรากฏตัวในช่วงที่ยูซึเกะได้รับคำสั่งจากโบตั๋นให้ไปตามหาปีศาจรันโด้ ที่ปลอมตัวเข้ามาในช่วงสมัครผู้สืบทอดพลังวิญญาณในสำนักฝึกวิชาของเก็นไค และปรากฏตัวอีกครั้ง ในฐานะนักสู้ผ้าคลุมหน้า ในช่วงการประลอง\nอุราเมชิ อาสึโกะ (浦飯温子)\nแม่ของยูสึเกะ คลอดยูสึเกะเมื่อตอนอายุ 15 ปี แม้จะทำตัวสำมะเลเทเมาไปบ้าง ทั้งชอบกินเหล้า และติดการพนัน แต่ก็รักและห่วงยูสึเกะมาก\nคุวาบาระ ชิซึรุ (桑原静流)\nพี่สาวของ คุวาบาระ คาซึมะ อายุ 18 ปี มีพลังวิญญาณแรงกล้าเหมือนน้องชาย ปากร้ายเป็นบางครั้ง เป็นที่พึ่งของน้อง ๆ ได้ดี ตอนประลองยุทธในโลกมืดก็มาช่วยเชียร์เหมือนกัน\nยูกินะ (雪菜)\nธิดาหิมะ น้องสาวฝาแฝดของฮิเอ แต่ใบหน้าและลักษณะนิสัยไม่มีความคล้ายคลึงกับฮิเอเลยแม้แต่น้อย ออกเดินทางตามหาพี่ชายจนหลงเข้ามาในโลกมนุษย์ และถูก ทารุคาเนะ กอนโซ จับตัวขังไว้ในเขตอาคม ทารุคาเนะทรมานยูกินะด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา เพื่อให้เธอหลั่งน้ำตาออกมา เพราะน้ำตาของธิดาหิมะ เมื่อหลั่งออกมาแล้วจะแข็งตัว กลายเป็น \"หินหยาดน้ำตา\" อัญมณีที่มีราคาสูงยิ่ง ยูกินะต้องทนอยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งยูสึเกะกับคุวาบาระเข้าไปช่วยเหลือเธอออกมาตามคำสั่งของโลกวิญญาณ\nยูกิมุระ เคโกะ (雪村螢子)\nเพื่อนของยูสึเกะตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ ชอบทะเลาะกับยูสึเกะเป็นประจำ บ้านของเคโกะเปิดร้านขายอาหาร เธอช่วยพ่อแม่ทำอาหารเป็นประจำจึงมีฝีมือด้านการทำอาหารอยู่พอตัว ตอนที่ยูสึเกะได้รับการคืนชีพ เคโกะก็ช่วยมอบพลังชีวิตทำให้ยูสึเกะสามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง ในการประลองยุทธในโลกมืด เธอมาเชียร์ยูสึเกะด้วย และคอยให้กำลังยูสึเกะตลอดเวลา\n=== โลกวิญญาณ ===\nโคเอ็นม่า (コエンマ)\nบุตรชายของจ้าวยมบาลแห่งโลกวิญญาณ หรืออีกชื่อคือ \"มัจจุราชน้อย\" เป็นผู้ที่เฝ้าดูการเดินทางของยูสึเกะมาตั้งแต่แรก และคอยดูแลมอบหมายภารกิจต่าง ๆ ให้\nโบตั๋น (ぼたん)\nวิญญาณที่คอยนำทางยูสึเกะในช่วงที่ยูสึเกะเข้าสู่นรกครั้งแรก และหลังจากนั้นเป็นผู้ที่นำคำสั่งจากโคเอนม่ามาให้ยูสึเกะตลอด\nจ้าวยมบาล (エンマ大王)\nจ้าวยมบาลแห่งโลกวิญญาณ ผู้ปกครองโลกวิญญาณ คอยดูแลเหล่าวิญญาณทั้งมนุษย์และปีศาจต่าง ๆ\nปู (プー)\nสัตว์วิญญาณของโลกวิญญาณ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับพลังวิญญาณเจ้าของได้ โดย ปู นั้นเป็นสัตว์วิญญาณของยูสึเกะ ซึ่งได้รับจากโคเอ็นม่า โดยตอนแรกที่ฟักออกมาจากไข่เป็นเพียงลูกนกตัวเล็กลักษณะคล้ายลูกเพนกวินอ้วน ๆ เท่านั้น\n=== ภาคงานประลองแห่งความมืด ===\nรินคุ\nนักสู้ในทีม 6 พเนจร ใช้โยโย่ที่สามารถใส่พลังวิญญาณได้เป็นอาวุธ เอาชนะคุวาบาระได้\nนักสู้ผู้งดงาม ซึซึกิ\nนักสู้ในทีม นิทานปีศาจ สามารถใช้พลังที่แตกต่างกันได้ถึง 7 ชนิด แต่แพ้ให้กับเก็นไค\nโคโต พิธีกรผู้พากย์การต่อสู้\nพิธีกรหญิงหูแมว ทำหน้าที่เป็นโฆษกและกรรมการสนามงานประลองโลกมืด เปิดตัวครั้งแรกตอนเริ่มงานประลอง นิสัยเปิดเผย ความซื่อตรงต่อหน้าที่สูง เธอทำหน้าที่กรรมการสนาม จนถึง รอบรองชนะเลิศจึงเปลี่ยนไปทำหน้าที่ผู้พากย์การต่อสู้ เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากลูกหลงของการต่อสู้ระหว่างยูสุเกะ-โทกุโร่ในคู่ตัดสินชนะเลิศ ภายหลังเข้าเป็นนักร้องทรีโอวงฮอต ในแอนิเมชัน เธอยังได้ปรากฏตัวมาเป็นทำหน้าผู้พากย์การต่อสู้อีกครั้งในงานประลองของภาคโลกปีศาจ\nดอกเตอร์ อิจิงากิ\nเจ้าของทีม คู่ประลองรอบที่ 2 ที่สู้กับยูสุเกะ อิจิงากิเป็นนักวางแผนตัวฉกาจ มีมันสมองในการวิเคราะห์คำนวณอย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ ยังเป็นนักประดิษฐ์ชั้นยอด ผลงานของเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดัดแปลงให้เป็นอาวุธสงครามมีชีวิตที่ประสิทธิภาพพลังต่อสู้สูงกว่าปกติมาก เช่น ปีศาจเหล็กกล้า ที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดคล้ายหุ่นยนตร์ หรือ มนุษย์เครื่องจักรสังหารที่ยากจะรับมือ เขาเตรียมการเพื่อเอาชนะทีมอุราเมชิทุกวิถีทางไม่ว่าตามกติกา หรือ นอกกฎ แต่สุดท้ายแผนการของเขาก็ล้มเหลวหมด โดยคุราม่า ท้ายที่สุด อิจิงากิจึงฉีดยาเพิ่มใส่ตัวเองอาละวาดบนเวที แต่ก็ถูกยูสึเกะจัดการลง\nจิน จ้าวพายุ\nนักสู้ในทีมนินจาปีศาจ สามารถควบคุมสายลมให้เป็นอาวุธทั้งใช้โจมตีและป้องกันตัวได้ และ มีความสามารถในการเหิรฟ้าได้รวดเร็วเหมือนเครื่องบิน (ในขณะที่ปีศาจตนอื่น ๆ จะทำได้เพียงลอยตัว)\nชู หมัดเมา\nนักสู้ในทีม 6 พเนจร มีความสามารถในการต่อสู้ด้วยมือเปล่าดีมาก เมื่อดื่มเหล้าจนเมาจะทำให้เร่งพลังปราณในร่างกายเพิ่มขึ้นได้ แต่ก็พ่ายให้กับยูสึเกะ\nโทคุโร่คนพี่\nนักสู้ในทีมโทคุโร่ มีร่างกายที่เปลี่ยนให้แข็งแกร่งเหมือนโลหะ และอ่อนตัว ยึดยาวได้ในทันที ถึงแม้ร่างกายจะแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก็สามารถคืนชีพขึ้นมาได้ใหม่\nโทคุโร่คนน้อง\nนักสู้มนุษย์ที่สามารถเร่งพลังกล้ามเนื้อได้ตั้งแต่ 1% ถึง 100% และพลัง 100% แบบพูนพาวเวอร์มีพลังมากมายที่สามารถต่อยพระเอกตายในหมัดเดียว และยังมีพลังกระสุนแรงอัด ที่ยิงออกมาจากการดีดนิ้ว แต่ท้ายแพ้ในการดวลพลังกัน ระหว่างกล้ามเนื้อของโทคุโร่คนน้อง กับกระสุนพลังจิตของยูซึเกะ\nบุอิ\nคาราสึ\nซาเคียว\nเก็น\nริว\nไค\nโทยะ จ้าวน้ำแข็ง\nชิชิวาคามารุ\n=== ภาคโลกสีดำ ===\nคิโดะ อาซาโตะ (城戸亜沙斗) - ชาโดว์\nอายุ 15 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.3 มีพลังพิเศษคือ \"เงา\" สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของวัตถุใด ๆ ด้วยการเหยียบเงาของวัตถุนั้น เป็นชาวเมืองมุชิโยริ เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกปลุกพลังพิเศษขึ้นมาจากการขยายตัวของรูมิติโลกปิศาจ ได้ลักพาตัวยูสึเกะไปด้วยจุดประสงค์บางอย่าง\nไคโต ยู (海藤 優) - ฟอร์บิดเดนเวิร์ด\nอายุ 17 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.5 มีพลังพิเศษคือ \"คำต้องห้าม\" เมื่อกำหนดคำใดขึ้นมาแล้ว ผู้ที่พูดคำ ๆ นั้นในอาณาเขตของตนเองจะถูกดึงวิญญาณไป กฎนี้รวมถึงตัวของไคโตเองด้วย - เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับมินามิโนะ ชูอิจิ (คุรามะ) เรียนเก่งมากแต่ก็ยังเป็นรองคุรามะอยู่ ไม่มีความสามารถด้านการชกต่อย แต่เชี่ยวชาญด้านภาษามาก ถึงขนาดออกหนังสือเกี่ยวกับภาษา ศิลปะ และวรรณคดีต่าง ๆ มาแล้วหลายเล่มแม้จะเพิ่งอายุ 17 ก็ตาม เป็นหนึ่งในพวกของคิโดะที่ลักพาตัวยูสึเกะไปด้วยจุดประสงค์บางอย่าง\nยานางิซาวะ มิสึนาริ (柳沢光成) - ก๊อปปี้\nอายุ 16 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.5 มีพลังพิเศษ \"ก๊อปปี้\" เพียงแค่แตะตัวเป้าหมาย ก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเป้าหมายได้ทั้งหน้าตา รูปร่าง น้ำเสียง และทุก ๆ อย่างกระทั่งความทรงจำ เป็นเพื่อนของคิโดะ และเป็นชาวเมืองมุชิโยริเหมือนกัน เมื่อพลังพิเศษของตัวเองตื่นขึ้นมาก็ได้ร่วมลักพาตัวยูสึเกะมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง\n==== กลุ่มของเซ็นซุย ====\nเซ็นซุย ชิโนบุ (仙水忍) - ดาร์คแองเจิ้ล\nอดีตสายลับโลกวิญญาณ ถ้าจะนับก็คือรุ่นพี่ยูสึเกะ มีพลังวิญญาณแรงกล้ามาตั้งแต่เป็นเด็ก ในอดีตครั้งเป็นสายลับของโลกวิญญาณนั้นเป็นผู้รักความยุติธรรมต่อสู้กับปิศาจแต่ด้วยภารกิจสุดท้าย ทำให้เขาต้องพบกับความโสมมของมนุษย์ สิ่งที่เซ็นซุยเห็นนั้นคือภาพงานเลี้ยงที่มนุษย์นำปิศาจมาเป็นของเล่น แทงฟัน และกิน เป็นภาพที่ตรงข้ามกับความคิดที่เขายึดถือมาตลอดว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่ควรปกป้อง หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไป เซ็นซุยมี 7 บุคลิกในคนเดียว ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับยูสึเกะเซ็นซุยได้ใช้วิชาเกราะไอแสงทิพย์ซึ่งมีพลังเทียบเท่าปิศาจระดับ S อีกด้วย\nอิสึกิ (樹) - เกทคีปเปอร์\nคามิยะ มิโนรุ (神谷 実) - ดอกเตอร์\nฮางิริ คานาเมะ (刃霧 要) - สไนเปอร์\nมิตาราอิ คิโยชิ (御手洗清志) - ซีแมน\nอามานุมะ สึกิฮิโตะ (天沼月人) - เกมมาสเตอร์\nมากิฮาระ ซาดาโอะ (巻原定男) - กูร์เม\n=== ภาคสามราชาโลกปิศาจ ===\nไรเซ็น (雷禅)\n1 ใน 3 ปิศาจผู้ยิ่งใหญ่ของโลกปิศาจ (ไรเซ็น มุคุโระ โยมิ) เป็นผู้แพร่เชื้อสายปิศาจสู่มนุษย์ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของยูสึเกะ จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นพ่อแท้ ๆ ของยูสึเกะ แต่ในบั้นปลายของชีวิตกลับเลิกกินเนื้อมนุษย์ จนร่างกายอ่อนแอ เพราะสัญญากับแม่ของยูสึเกะไว้ หรือก็คือบรรพบุรุษต้นตระกูลของยูสึเกะซึ่งเป็นหมอยา จนยูสึเกะมาโลกปิศาจเพื่อไขข้อข้องใจถึงพลังที่ไรเซ็นส่งมาเข้าสู่ร่างกายระหว่างสู้กับเซ็นซุย ในช่วงแรกที่พบกัน แม้ไรเซ็นจะอยู่ในสภาพที่ร่างกายขาดสารอาหารมานานและใกล้สิ้นอายุ แต่ยูสึเกะก็ยังไม่สามารถทำอะไรไรเซ็นได้เลยแม้แต่น้อย ในวาระสุดท้ายก่อนสิ้นใจ เขาได้เล่าถึงตอนที่ได้พบกับมนุษย์ผู้หญิงคนนั้น (แม่ของยูสึเกะ) ให้ยูสึเกะฟัง และนั่งสิ้นลมอย่างสงบ\nมุคุโร่ (軀)\n1 ใน 3 ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกปีศาจ ซึ่งมีพลังปีศาจมหาศาล ครึ่งร่างเป็นมนุษย์แต่อีกครึ่งร่างเป็นไซบอร์ก\nโยมิ (黄泉)\n1 ใน 3 ปิศาจผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกปิศาจ ผู้มีพลังปิศาจมหาศาลและสมองอันปราดเปรื่อง แม้ว่าจะตาบอดทั้ง 2 ข้างแต่ประสาทสัมผัสยอดเยี่ยมถึงขนาดได้ยินเสียงได้ในระยะรัศมีรอบแคว้นเลยทีเดียว หลังไรเซ้นตายไปหวังยึดครองโลกปิศาจ และเตรียมทำศึกกับมุคุโร่แต่จำต้องยอมเข้าร่วมศึกประลองครั้งสุดท้ายที่เป็นแผนการของยูสึเกะที่หวังให้โลกปิศาจโลกวิญญาณและโลกมนุษย์อยู่อย่างสงบสุข\nชูร่า (修羅)\nบุตรชายของโยมิ แม้จะยังเป็นเด็ก แต่ก็มีพลังมหาศาล ได้ต่อสู้กับโยมิในศึกประลองยุทธชิงตำแหน่งราชาโลกปิศาจ แต่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้\nชิเงรุ''' (茂)\nหมอผ่าตัดผู้ปลูกถ่ายตามารให้ฮิเอ หลังจากปลูกตามารให้แล้ว ก็ยังสอนวิชาดาบให้ฮิเออีก ดาบประหลาดของเขาที่ถืออยู่นั้น เป็นดาบหินไฟแบบวงกลมทำขึ้นจากกระดูกของวัวป่าที่อาศัยอยู่ในโลกปิศาจ มันเป็นดาบ 2 คนที่เป็นการประสารกันระหว่างดาบที่มีพลังทำลายล้างสูงของขวาน กับ ความคมกริบของดาบบาง\nและยังมีอีกหลายคน เช่น เอ็นคิ, โชเค็ตสึ, เด็นโฮ, นัตสึเมะ, ชู, คุโจ, โคะโค, ไซโซ, เท็ตสึซัน, โอคุชิน, โดโอ\n== รายชื่อตอน ==\n== รายชื่อเพลงประกอบ ==\nเพลงเปิด\nhohoemi no bakudan\nเพลงปิด\nHomework ga Owaranai\nSayonara Byebye\nUnbalanced Kisses หรืออันบาลานซ์นะคิสโอะชิเตะ (Doing an Unbalanced Kiss)\nDay dream generation\nWild Wind\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nStudio Pierrot's เว็บไซต์ คนเก่งทะลุโลก \nFUNimation's เว็บไซต์ คนเก่งทะลุโลก \nYuYu Hakusho at TV.com\nYu Yu Hakusho: Legends เว็บไซต์เกมส์ออนไลน์ คนเก่งทะลุโลก\n \nการ์ตูนญี่ปุ่น\nการ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง‎\nปิเอโร (บริษัท)\nทูนามิ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "รสสุคนธ์ เป็นพืชดอกชนิดหนึ่ง ชท่อวิทยาศาสตร์ว่า Tetracera loureiri Pierre และมีชื่อพื้นเมืองอื่นเช่น เถาะปดใบเลื่อม (ประจวบคีรีขันธ์) บอระคน อรคนธ์ (ต่ัง) ปดคาย ปดเลื่อน (สุราษฎร์ธานี) ปดน้ำมัย (ปัตตานี) ปะละ สะปัลละ (มลายู,นราธอวาส) มะตาดเครือ รสสุคนธ์ขาว ใุคนธรส เสาวรส (กรุงเทพฯ) ย่านปด (นครศรีธรรมราช)\n== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==\nรสสุคนธ์เป็นพันธุ์ไม้เลื้อย มีเถาใหญ่เหนียวแข็งแรง ไม้เลื้อยพันไม้ได้สูง 5-10 เมตร กิ่งและใบสากคาย ขอบใยจัก เล็กน้อย ดอกมีกลีบสีขาว ดอกขนาดเล็พทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8 ซม., มีเกส่คัวผู้เป็นพู่ฝอย คล้ายเส้นด้ายสีขาวละเอียดรอบดอก ดอกบานวันเดียวแล้วโรย ออกดอกเป็ยระยะตลอดปี. มีกลิ่นหอมแรงมากในเวลากลางวัน และหอมอ่อนๆ ในเวลากลางคืน\n== การปลูกเลี้ยง =\\\nรสสุีนธ์เป็นไม้ขึ้นได้ทั้งกลางแจ้งและที่ร่ม ไากปลูกในกระถางควรใช้ไม้แักให้รสสัคนธ์เลื้อยได้ หรือปล่อยให้เลื้อยไต่รั้วก็ได้ การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด, ตอน\n== ประโยชน์ ==\nปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ, ดอกของรสสุคนธ์เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งใช้เป็นส่วนผสมในยาหอมแก้ลมและบำรุงหัวใจ\n== ในวรรณกราม ==\nราสุคนธ์ปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง เงาะป่า พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 และ เพลงอุทยานดอกไม้\nข้อความจากเงาะป่า\nมะลิวัลย์พันกอพฤกษาดสด\nเหมือนผ้าลาดขาวละออหนอน้องเอ๋ย\nรสสุคนธ์ขุ้นเป็นดงอย่่หลงเลย\nกำลังเผยกลีบเกสรสลอนขู\n== ิ้างอิง ==\nรสสุึนธ์ จากโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ\nไม้ดอกไม้ปาะพับ\nไม้เลื้อย\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nสมุนไพร\nวงศ์ส้าน", "role": "user" }, { "content": "รสสุคนธ์ เป็นพืชดอกชนิดหนึ่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tetracera loureiri Pierre และมีชื่อพื้นเมืองอื่นเช่น เถาะปดใบเลื่อม (ประจวบคีรีขันธ์) บอระคน อรคนธ์ (ตรัง) ปดคาย ปดเลื่อน (สุราษฎร์ธานี) ปดน้ำมัน (ปัตตานี) ปะละ สะปัลละ (มลายู,นราธิวาส) มะตาดเครือ รสสุคนธ์ขาว สุคนธรส เสาวรส (กรุงเทพฯ) ย่านปด (นครศรีธรรมราช)\n== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==\nรสสุคนธ์เป็นพันธุ์ไม้เลื้อย มีเถาใหญ่เหนียวแข็งแรง ไม้เลื้อยพันไม้ได้สูง 5-10 เมตร กิ่งและใบสากคาย ขอบใบจัก เล็กน้อย ดอกมีกลีบสีขาว ดอกขนาดเล็กทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8 ซม., มีเกสรตัวผู้เป็นพู่ฝอย คล้ายเส้นด้ายสีขาวละเอียดรอบดอก ดอกบานวันเดียวแล้วโรย ออกดอกเป็นระยะตลอดปี. มีกลิ่นหอมแรงมากในเวลากลางวัน และหอมอ่อนๆ ในเวลากลางคืน\n== การปลูกเลี้ยง ==\nรสสุคนธ์เป็นไม้ขึ้นได้ทั้งกลางแจ้งและที่ร่ม หากปลูกในกระถางควรใช้ไม้ปักให้รสสุคนธ์เลื้อยได้ หรือปล่อยให้เลื้อยไต่รั้วก็ได้ การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด, ตอน\n== ประโยชน์ ==\nปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ, ดอกของรสสุคนธ์เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งใช้เป็นส่วนผสมในยาหอมแก้ลมและบำรุงหัวใจ\n== ในวรรณกรรม ==\nรสสุคนธ์ปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง เงาะป่า พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 และ เพลงอุทยานดอกไม้\nข้อความจากเงาะป่า\nมะลิวัลย์พันกอพฤกษาดาด\nเหมือนผ้าลาดขาวละออหนอน้องเอ๋ย\nรสสุคนธ์ขึ้นเป็นดงอย่าหลงเลย\nกำลังเผยกลีบเกสรสลอนชู\n== อ้างอิง ==\nรสสุคนธ์ จากโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ\nไม้ดอกไม้ประดับ\nไม้เลื้อย\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nสมุนไพร\nวงศ์ส้าน", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "มังกรคู่สู้สิบทิศ (大唐雙龍傳; Dragons of tang dynasty) วรรณกรรมจีนแต่งโดย หวงอี้ และถูกนำมาแปลและเรียบเรียงในไทยโดย น.นพรัตน์ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ เป็นเรื่องราวของกรรก่อตั้งราชวงศ์ถัง ซึ่งมีปฐมฮ่องเต้คือ ถังเกาจู่ หรือชื่อเดิม หลี่หยวน ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กกำพร้าคู่หนึ่ง ใรเมืองหยางโจว ชื่อ โค่วจง และ ฉีจื่อหลิง, ไตรเต้าจากเป๊นอันธพาลในตลาด ยนกระทัรงรวบรวมกำลังเข้าช่วงชิงแผ่นดิน ความยาว 21 เล่ม สำหรับฉบับที่พิมพ์ในเมืองไทยได้ดบ่งเป็นสองภาค คือ ภาคแรก 10 เล่ม และภาคสมบูรณ์ 11 เล่ม \n== เนื้อเรื่อง ==\nในยุคที่ราชวงศ์สุยใกล้ถึฝกาลล่มสลาย ฮ่องเต้สุยหยางตี้เรียกเกณฑ์แรงงานอย่างหนัก พร้อมเกณฑ์คนไปรบเกาหลีจนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า บรรดาขุนศึกและผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยต่างตั้งตัวเป็นอิสระจากกษัตริย์สุยหยางตี้ ทั้งตัวโค่วจงและฉีจื่อหลิงซึ่งเป็นตัวเอกได้โลดเล่นท่ามกลางช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผันนี้ และสร้างตัวจากนักเลงลักเล็กขโมยน้อยในเมืองหยางโจว กลายมาเป๋นผู้มีส่วนสำคัญในการกุมละตาแผ่นดินจีนช่วงผลัดีาชวงศ์ เนื้ิเรื่องเน้นไปที่ตัวหลี่ซื่อปมิน ซึ่งเป็นฮ่องเต้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของราชวงศ์ถัง อันเป็นราชวงศ์ที่เป็นฉากหลังในการดำเนินเรื่อง โดยที่ตึวเอกโค่วจงและฉียื่อหลิงมีส่วนในกนรช่วยหลี่ซื่อหมินขึ้นครองรนชย์ มีการต่อสู้กับชนเผ่านอกด่าน(ชาวถูเจี๋ย) และประเทศเกาหลี ซึ่งเกี่ยวข้องในระดับประเทศ และมีการต่อสู้ระหว่างพรรคมาร ซึ่งเกี่ยวข้องในระดับเนื้อเรื่อง\n== ตัวละคร ==\n== วรยุทธ์ ==\n=== ฝ่าย๔รรมะ ===\nเคล็ดวิชาอมตะ (โค่วจง ฉีจื่อหลิง)\nเลขหนึ่งที่หรยไป (โค่วจง ฉีจื่อหลิง)\nพลังลมปราณเกลียงเย็น (โค่งจง)\nพลังลมปราณเกลียวร้อน (ฉีจื่อหลิง)\nวิชาเก้าพิศดารสยบหิน (ปรมาจารย์ฟู่ฉ่ายหลิน ฟู่จวินชง่อ ฟู่จวินอี้ ฟู่จวินเฉียง)\nไม้เท้นมังกรเงิน (ซ่งลู่)\nฟ้าถาม 9 ดาบ (ซ่งเซวีย)\nจักรวาลในอขนเสื้อ (ตู้ฝูเว่ย)\nประจัญบาน 10 กระบยน (หบี่จิ้ง)\nกระบวนลับ เพลงแาบสกุลเสิ่น (เสิ่นไน่ถัง)\nฟงหันเจ็ดท่า (ปาฟงหัน)\nกระบวนกระบี่ทะเลคละ่ง (โอวหยังซีอี๋)\nม้วนภาพเทพยุทธ์ (ตำนาน)\nตำนานกระบี่ (ตำนาน)\nเคล็ดวิชาสุริยัน (ปี้เส้ยน)\nเคล็ดกระบี่ (เรือนฌาณเมตไตย)\nสิบดรรชนีประทับสิงขร (สี่วชิระ)\nค่ายกลแหธรรม พันพระหัตถ์ยูไลปิดฟ้าดิน (สี่วชิระ)\nแส้ปัดเบญข (สตรีแส้ปัดแดง)\n=== ฝ่ายอธรรม ===\nวิช่กระทับไม่ตาย (สือจือเสวียน)\nพลังอสูรฟ้า (สำนักทศเย็น)\n12 กิ่งก้านกุสุมาลย์ (โหวชีไป๋)\nท่องแดนบุปผา\nเคล็ดวิชาอสูรฟ้า (จ฿้อีิเอี๋ยน วาวา ไป๋ชิงเอ๋อ)\nกระบี่ลวงตา (หยางศวี๋เอี้ยน)\nกงเล็บเหยี่ยวบิน (ทงอปาอี้)\nคลื่นพิโรธเจ๊ดหนุนเนื่อง (ชวีอ้าว)\nกระบีืห่วงอสูรคลเองใจ (เปียนปู้ฟู่)\nไม้เท้าต้านลม 102 ทีา (สั้งกวนหลฝ)\nวิชาโลหิตดำ (สั้งกงนหลฝ)\n_ม้เท้าลมพายุเจ็ดพิฆาต (อิ๋วฉู่หง(\nเพลงหมัดมารฟ้า (ตุ๋กูป้า)\n== อาวะธ ==\nดาบเทพพยัคฆ์คำราม (อวี่เหวินฮั่วจี๋)\nกระบี่สังปารปี้เาียน (ปาผงหัน)\nกระบองพิฆาตดาบสวรรค์ (ปาฟงหัน)\nกระบี่พิฆาตปลาวาฬ (โอวหยังซีอี๋)\nค้อนดาวตก (เยิ่นเส้าหมิง)\nดาบจันทร์ในบ่อ (โค่วจง)\nกระบี่คงหลิง (ฟู่จวินอี้)\nแพรอสูร (วาวา)\nดนบคู่อสูรฟ้า (วาวา)\nกระบ้่อวี่ซี (ฟู่จวินขว่อ ฉีจื่อหลิง)\nดาบฟ้าผ่าคนแง (หลี่ซื่อหมิน)\nพัดหญิงงาม (โหวชีไปษ)\nหอกสามคม (หลี่เสินทง)\nห่วงมารแม่ลูก (ตันเหมย)\nกระบี่โลหิตทองคำ (เหวิ่นไฉ่ถิง)\n== บันเทิงคดี ==\nมังกรคู่ยู้สิบทิศ ออดวางจำหน่ายในรูปแบบของการ์ตูน ครั้งแรกในประเทศไทย โดยสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2545 แปลโดย ไผ่เงิน ในรูปแบบหนังสือปกอ่อน จำนวน 50 เล่ม และแบบรวมเล่มโดย คิงส์ คอมมิกส์ จำนวน 32 เล่ม จำนวนตอน 252 ตอน ซึ่งมีเนื้อปาปรับเปลี่ยนจากต้นฉบับนิยายอยู่บ้าง\n\n== ภาพยสตร์ ==\nถูกนำมาสร้างเป็นทีวีซีรีส? ในชื่แภาษาไทยว่า ฎ'ศึกมังกรคู่จ้าวยุทธภพ'\"(Twin of Brother) กำกับการแสดงโดย : Wong Jing โดยมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาของตัวละคร และมีการเรียกชื่อที่ฟิดแปลก/ปจากต้นฉบึบที่แปลโดย น.าพรัตน์ และไผ่เงิน\n\n== อ้าลอิง ==\n \nบันเทิงคดีกำลังภายใน\n งานเขียนของหวงอี้\nวรรณกรรมในปี พ.ศ. 2539\nนวนิยายอิงประวัติศาสตร์\nบันเทิงคดีกำลังภายใน\nงานเขียนของหวงอี้", "role": "user" }, { "content": "มังกรคู่สู้สิบทิศ (大唐雙龍傳; Dragons of tang dynasty) วรรณกรรมจีนแต่งโดย หวงอี้ และถูกนำมาแปลและเรียบเรียงในไทยโดย น.นพรัตน์ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ เป็นเรื่องราวของการก่อตั้งราชวงศ์ถัง ซึ่งมีปฐมฮ่องเต้คือ ถังเกาจู่ หรือชื่อเดิม หลี่หยวน ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กกำพร้าคู่หนึ่ง ในเมืองหยางโจว ชื่อ โค่วจง และ ฉีจื่อหลิง, ไต่เต้าจากเป็นอันธพาลในตลาด จนกระทั่งรวบรวมกำลังเข้าช่วงชิงแผ่นดิน ความยาว 21 เล่ม สำหรับฉบับที่พิมพ์ในเมืองไทยได้แบ่งเป็นสองภาค คือ ภาคแรก 10 เล่ม และภาคสมบูรณ์ 11 เล่ม \n== เนื้อเรื่อง ==\nในยุคที่ราชวงศ์สุยใกล้ถึงกาลล่มสลาย ฮ่องเต้สุยหยางตี้เรียกเกณฑ์แรงงานอย่างหนัก พร้อมเกณฑ์คนไปรบเกาหลีจนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า บรรดาขุนศึกและผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยต่างตั้งตัวเป็นอิสระจากกษัตริย์สุยหยางตี้ ทั้งตัวโค่วจงและฉีจื่อหลิงซึ่งเป็นตัวเอกได้โลดเล่นท่ามกลางช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผันนี้ และสร้างตัวจากนักเลงลักเล็กขโมยน้อยในเมืองหยางโจว กลายมาเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการกุมชะตาแผ่นดินจีนช่วงผลัดราชวงศ์ เนื้อเรื่องเน้นไปที่ตัวหลี่ซื่อหมิน ซึ่งเป็นฮ่องเต้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของราชวงศ์ถัง อันเป็นราชวงศ์ที่เป็นฉากหลังในการดำเนินเรื่อง โดยที่ตัวเอกโค่วจงและฉีจื่อหลิงมีส่วนในการช่วยหลี่ซื่อหมินขึ้นครองราชย์ มีการต่อสู้กับชนเผ่านอกด่าน(ชาวถูเจี๋ย) และประเทศเกาหลี ซึ่งเกี่ยวข้องในระดับประเทศ และมีการต่อสู้ระหว่างพรรคมาร ซึ่งเกี่ยวข้องในระดับเนื้อเรื่อง\n== ตัวละคร ==\n== วรยุทธ์ ==\n=== ฝ่ายธรรมะ ===\nเคล็ดวิชาอมตะ (โค่วจง ฉีจื่อหลิง)\nเลขหนึ่งที่หายไป (โค่วจง ฉีจื่อหลิง)\nพลังลมปราณเกลียวเย็น (โค่งจง)\nพลังลมปราณเกลียวร้อน (ฉีจื่อหลิง)\nวิชาเก้าพิศดารสยบหิน (ปรมาจารย์ฟู่ฉ่ายหลิน ฟู่จวินชว่อ ฟู่จวินอี้ ฟู่จวินเฉียง)\nไม้เท้ามังกรเงิน (ซ่งลู่)\nฟ้าถาม 9 ดาบ (ซ่งเซวีย)\nจักรวาลในแขนเสื้อ (ตู้ฝูเว่ย)\nประจัญบาน 10 กระบวน (หลี่จิ้ง)\nกระบวนลับ เพลงดาบสกุลเสิ่น (เสิ่นไน่ถัง)\nฟงหันเจ็ดท่า (ปาฟงหัน)\nกระบวนกระบี่ทะเลคลั่ง (โอวหยังซีอี๋)\nม้วนภาพเทพยุทธ์ (ตำนาน)\nตำนานกระบี่ (ตำนาน)\nเคล็ดวิชาสุริยัน (ปี้เสียน)\nเคล็ดกระบี่ (เรือนฌาณเมตไตย)\nสิบดรรชนีประทับสิงขร (สี่วชิระ)\nค่ายกลแหธรรม พันพระหัตถ์ยูไลปิดฟ้าดิน (สี่วชิระ)\nแส้ปัดเบญข (สตรีแส้ปัดแดง)\n=== ฝ่ายอธรรม ===\nวิชาประทับไม่ตาย (สือจือเสวียน)\nพลังอสูรฟ้า (สำนักทศเย็น)\n12 กิ่งก้านกุสุมาลย์ (โหวชีไป๋)\nท่องแดนบุปผา\nเคล็ดวิชาอสูรฟ้า (จู้อี้เอี๋ยน วาวา ไป๋ชิงเอ๋อ)\nกระบี่ลวงตา (หยางซวี๋เอี้ยน)\nกงเล็บเหยี่ยวบิน (ทวอปาอี้)\nคลื่นพิโรธเจ็ดหนุนเนื่อง (ชวีอ้าว)\nกระบี่ห่วงอสูรคล้องใจ (เปียนปู้ฟู่)\nไม้เท้าต้านลม 102 ท่า (สั้งกวนหลง)\nวิชาโลหิตดำ (สั้งกวนหลง)\nไม้เท้าลมพายุเจ็ดพิฆาต (อิ๋วฉู่หง)\nเพลงหมัดมารฟ้า (ตุ๋กูป้า)\n== อาวุธ ==\nดาบเทพพยัคฆ์คำราม (อวี่เหวินฮั่วจี๋)\nกระบี่สังหารปี้เสียน (ปาฟงหัน)\nกระบองพิฆาตดาบสวรรค์ (ปาฟงหัน)\nกระบี่พิฆาตปลาวาฬ (โอวหยังซีอี๋)\nค้อนดาวตก (เยิ่นเส้าหมิง)\nดาบจันทร์ในบ่อ (โค่วจง)\nกระบี่คงหลิง (ฟู่จวินอี้)\nแพรอสูร (วาวา)\nดาบคู่อสูรฟ้า (วาวา)\nกระบี่อวี่ซี (ฟู่จวินชว่อ ฉีจื่อหลิง)\nดาบฟ้าผ่าคนอง (หลี่ซื่อหมิน)\nพัดหญิงงาม (โหวชีไป๋)\nหอกสามคม (หลี่เสินทง)\nห่วงมารแม่ลูก (ตันเหมย)\nกระบี่โลหิตทองคำ (เหวิ่นไฉ่ถิง)\n== บันเทิงคดี ==\nมังกรคู่สู้สิบทิศ ออกวางจำหน่ายในรูปแบบของการ์ตูน ครั้งแรกในประเทศไทย โดยสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2545 แปลโดย ไผ่เงิน ในรูปแบบหนังสือปกอ่อน จำนวน 50 เล่ม และแบบรวมเล่มโดย คิงส์ คอมมิกส์ จำนวน 32 เล่ม จำนวนตอน 252 ตอน ซึ่งมีเนื้อหาปรับเปลี่ยนจากต้นฉบับนิยายอยู่บ้าง\n\n== ภาพยนตร์ ==\nถูกนำมาสร้างเป็นทีวีซีรีส์ ในชื่อภาษาไทยว่า \"'ศึกมังกรคู่จ้าวยุทธภพ'\"(Twin of Brother) กำกับการแสดงโดย : Wong Jing โดยมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาของตัวละคร และมีการเรียกชื่อที่ผิดแปลกไปจากต้นฉบับที่แปลโดย น.นพรัตน์ และไผ่เงิน\n\n== อ้างอิง ==\n \nบันเทิงคดีกำลังภายใน\n งานเขียนของหวงอี้\nวรรณกรรมในปี พ.ศ. 2539\nนวนิยายอิงประวัติศาสตร์\nบันเทิงคดีกำลังภายใน\nงานเขียนของหวงอี้", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "เจาะเวลาหาจิ๋นซี ( - ถแดความเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า The Chronicles of Finding Qin, Xun Qin Ji) เป็นนิยายกำลังภายใน แต่งโดยหวงอี้ ฉบัขภาษาไทยแปลและเรียบเนียงโดย น.นพรัตน์ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์ มีความยาว 8 เล่ม ซึ่งในภายหลังหวงอี้ได้ปรับปรุงต้นฉบับใหม่อีกครัิงเหลือ 7 เล้ม\n== เนื้อเรื่อง ==\nเซี่ยงเส้าหลง ทหารกองกำลังที่ 6 รัฐบาลขีนในศตวรรษที่ 21 ที่ถูกทดลองย้อนเวลากลับไปยังยุคเลียดก๊ก ยุคสมัยที่ จิ๋นซีฮ่องเต้จะรวบรวมดผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่น แต่การทดลองล้มเหชวอุปกรณ์ย้อนเวลาระเบิดทำให้ไม่สามารถเดินทสงกลับไปได้ เขาต้องัอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลัลแตกเป็นเจ็ดก๊กและเข้ามามีบทบาทในการเปลีียนประวัติศาสตร์และชักนำให้เด็กน้อยผู้ที่ชื่อเสี่ยวผาน (จ้าวผาน) ได้กลายมาเป็นอิ๋งเจิ้ง หรือ \"จิ๋นซัฮ่องเต้\"\n== รรยชื่อตัวละคร ==\nเซี่ยงเส้าหลง\nทหารจากกองกำลังที่ 7 ในศตวรรษที่ 21 ถูกประืรวงวิทยาศาสตร์ส่งตัวย้อนเวลาไปยังยุคเลียดก๊กเพื่อทดสอบเครื่องย้อนเวลา แต่กลับเกิดอุบัติเหตุเครื่องย้อนเวลาระเบิดทำให้ติดอยู่ในสมัยนั้น และได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกมรขึ้นครองอำนาจของจิ๋นซี\nจิ๋นซีฮ่องเต้ (อิ๋งเจิ้ง)\nเดิมเปํนเชื้อพระวงศ์ในรัฐจ้าว ชื่อจ้าวผาน บิดาเสียชีวิตแต่น้อย มาีดาคือหนีฮูไยิน จ้าวผานนับถือเซี่ยงเส้าหลงเป็นอาจารย์ เมื่อเซี่ยงเส้าหลงทราบว่าอิ้งเจิ้งตัวจริงเสียชีวิต จึงให้จีาวผานสวมรแยเป็นอิ้งเจิ้ง\nหลี่ซือ\nเป็นผู้ผลักดันอิ้งเจิ๊ง (จ้าวผาน) เป็นจี๋นซีฮองเต้ เป็นผู้มีความรอบรู้มาก เดิมเคนทำงานอยู่กับหงี่ปู่เหส่ย ในเรื่องถูกเซี่ยงเส้าหลงผลักดันให้ได้มีโอพาสเป็นผู้ใกล้ชิดของอิ๋ฝเจิ้ง (จ้าวผาน) อป็นหนึ่งในคนที่มีบทบาทสำคัญเบื้องหลังจิ๋นซีฮ่องเต้\nหลี่มุ\nแม่ทัพแคว้นจ้าวเป็นปู่บุญธรรมของจ้าวผาน ฝีมือเก่งกาจ จนได้รับขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน4ยอดขุนพลยุคเลียดก๊ก ภายหลังเจ้ารัฐจ้าวถูกอุบายหลอกลวงตนพระราชทานยสพิษให้แม่ทัพหลี่มุฆ่าตัวตาย ฐานไม่ฟังคำสั่ง\nหนีฮํหยิน\nสาวงามแห่งรัฐจ้าว เป็าพระขนิษฐา (น้องสาว) เจ้ารัฐจิาว นางเป็นม่ายสามีเสียชีวิตในสงครามฉางผิง นางเป็นมารดาของ จ้าวผาน นางถูปจ้าวมุบีบคั้นและย่ำยี จนนางตัดสินใจฆราตัวตาย\nจี้เอียรหยาน\nยอดหญิงผู้มีเชื้อพระวงศ์ชาวเวี่ยที่สิ้นชาติไป ได้รับการขนาตนามเป็นยอดหญิงในยุค เป็นผู้มีฝีมือ และความรู้สธงส่ง เป็นหาึ่งในภรรยารักยองเซี่ยงเส้าหลง ร่วมทุกข์ร่วมสุข และช่วยเหลือิซี่ยงเส้าหลงเอาไว้หลายครั้ง\nฉินชิบ\nเป็นหญิงม่ายผู้มีศักดิ์ฐานะสูงส่งในเมืองฉืน หลังจากที่ในคืนแค่งงานสามัโดนเรียกตัวไปยังกองทัพ เพื่อนำทัพรัฐฉินออกสู้รบ และตายในสนามรบนั้นเอง ัป็นพระอาจารย์ชองอิ้งเจิ๊ง และภรรยาของเซี่ยงเส้าหลงในภายหลัง\nอูถิงฟาง\nเป็นธิดาของอูอิ้งหววน และเป็นภรรยาชองเซี่ยงเนีาหลง\nเถิงอี้\nเก็นพี่น้องร่วมสาบาาของเซี่ยงเส้าหลงและจิงจวิ้น จากเหตุการณ์ที่เซี่ยงเส้าหลงได้ช่วยแก้แค้นให้กับครอบครัวของเขาที่ถูกโจรร้ายเซียวเว่ยโหมว ฆ่าล้างตระกูล\nจิงจวิ้น\nเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเซี่ยงเส้าหลงและเถิงอี้ เป็นนายพรานฝีมือดีที่มีวิชาสุกะรอย และแกะรอยะยี่ยมยอดแห่งหมู่บ้านตระกูลจิง\nพระยามฤค จ้าวมุ\nเป็นท่านชายของเจ้ารัฐจ้าว เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดรองจากเจ้ารัฐจ้าว\nหลี่ปู้เหว่ย\nมหาคหบดีแคว้นฉิน เดิมเป็นพ่อค้าชาวหาน และจูจีซึ่งเป็นมารดาของอิ๋งเจิ้งตัวจริงเคยเป็นนางบำเรอของเขา ก่อนทีทจะยกให้แก่จวงเซียงอ๋อง (เจ้ารัฐฉินองค์ก่อนจิ๋นซัฮ่องเต้) เป็นผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย โดยในทีแรกพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้อิ๋งเจิ้งขึ้นครองราชบัลลังก์โดยอร็วที่สุด เป็นศัตรูคู่แค้นของเซี่ยงเส้าหลง\nจ้าใจื้ด (จือจื้อ)\nหนึ่งในภรรยาของเซี่ยงเส้าหลง เป็นลูกศิษย์ของจ้าวห้าผู้ซึ่งเป็นเจ้าสำนัปที่โด่งดังในรัฐจ้าว มีพี่สาวอีกคนหนึ่งชื่อสั่งโหย่ว จ้าวจื้อและสั้งโหย่วได้รับความช่วยเหลือในการแก้แค้นจ้าวมู่ ผู้ซึ่งเป็นตัวการให้ครอบครัวของทั้งสองพี่น้องถูกฆ่าทั้งตระกูบ\nจึฮองเฮา\nฮองเฮาแคว้นจ้าว\nจูจี\nมารดาของอิ๋งเจิ้ง เป็นสนมของจวงเซียงอ๋อง (อิ๋งอี้เหยิน) เคยเป็นนางบำเรอของหลี่ปธ้เหว่ย แต่ หลี่ปู้เหว่ย ยกให้ อิ๋งอี้เหยินเถราะนางตั้งท้องกับตน เป็นชู้กับเหล่าไหว้ สุดท้ายถูกจ้าวผานสั่งฆ่า\nเหล่าไหว้/เหลียนจิ้ง (สรุปจากละครชุด ตามต้นฉบับ เหล่าไหว้มีชื่อเรียกว่าเล่าไอ่ และ เป็นตัวละครคนละคนกับเหลียาจิ้ง ซึ่งถูกเซี่ยงเส้าหลงฆ่าตายไปตั้งแต่แรก แต่เพื่อจำกัดตัวละครให้คนดูติดตามได้ง่ายขึ้นรูปแบบละครจึงตัดดปลงเรื่องและรวมเอาตัวละครหลายตับรวมกัน รวมถึงตัวละครสองตัยนี้ด้วย)\nเดิม เหลียนจิ้ง เคยเป็นคนรักของ อูถิงฟาง จนกระทั่ง เซี่ยงเย้าหลง ปรากฏตัว จึงทำให้ อูถิงฟาง ตีตนออกห่าง เพราะนางเริ่มมีใจให้ เซี่ยงเส้าหลง เหลียนจิ้ง เดิมเป็นคนสนิทของ จ้าวมุ หลังจากพ่ายแพ้การประลองกับ เซี่ยงเส้าหลง เขาได้ถูก เซี่ยงเส้าหลง ฟะนเอ็ยมือขวาขาด จึงทภให้เขาถูก จ้มวมุ ไล่ออก แล้วพเนจรไปตามประสาคนพิหาร จนกระทั่งได้พบกับ เหล่าไหว้ มือกระบี่ซ้าย ยึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ เหลียนจอ้ง ยอมทำเรื่องอัปยศทุกอย่าง เพื่อทีรจะได้เป็นศิษย์ของ เหล่าไหว้ แม้กระทั่งยอมว่งยา อูถิงฟาง เพื่อให้ เหล่าไหว้ ย่ไยี จนกระทั่งได้เป็นศิษย์ของเหล่าไหว้ เรียนวิชาจนสำเร็ต เขาก็ได้สเงหาร เหล่าไหว้ เพื่อแก้แค้นให้ ถิงฟาง และ เหลียนจิ้ง ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น เหล่าไหว้ เสียเอง หลังจากนั้นเขาได้เข้ามารับใช้ หชี่ปู้เหว่ย และแอบคบชู้กับ ไทเฮาจูจี จนได้รับกา่เลื่อนบรรดาศักดิ์เก็น อ๋องฉางซุ๊น และสุดท้าย ทั้งเขาและไทเฮาจูจี ถูกฮ่องเต้อิ๋งเจิ้ง (จ้าวผาน) สั่งสังหารทั้งสามคนพ่อแม่ลูก\nก่วนตงแส\n== ฉบับการ์ตูนดละละครชุด ==\nเจาะเวลาหาจิ๋นซีได้รับการดัดแปลงเป็นหนังสือการ์ตูน ลิขสิทธิ์โดยสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ และเป็นละครชุดทางโทรทัศน์ยองสถานี TVB ฉายใน ค.ศ. 2001 ความยาว 40 ตอน\n==ลำดับรายหารโทรทัศน็==\nนวนิยายอิงประวัติศาสตร์\nบันเทิงคดีกำลังภายใน\nบานเขียนของหวงอี้", "role": "user" }, { "content": "เจาะเวลาหาจิ๋นซี ( - ถอดความเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า The Chronicles of Finding Qin, Xun Qin Ji) เป็นนิยายกำลังภายใน แต่งโดยหวงอี้ ฉบับภาษาไทยแปลและเรียบเรียงโดย น.นพรัตน์ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์ มีความยาว 8 เล่ม ซึ่งในภายหลังหวงอี้ได้ปรับปรุงต้นฉบับใหม่อีกครั้งเหลือ 7 เล่ม\n== เนื้อเรื่อง ==\nเซี่ยงเส้าหลง ทหารกองกำลังที่ 7 รัฐบาลจีนในศตวรรษที่ 21 ที่ถูกทดลองย้อนเวลากลับไปยังยุคเลียดก๊ก ยุคสมัยที่ จิ๋นซีฮ่องเต้จะรวบรวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่น แต่การทดลองล้มเหลวอุปกรณ์ย้อนเวลาระเบิดทำให้ไม่สามารถเดินทางกลับไปได้ เขาต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังแตกเป็นเจ็ดก๊กและเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนประวัติศาสตร์และชักนำให้เด็กน้อยผู้ที่ชื่อเสี่ยวผาน (จ้าวผาน) ได้กลายมาเป็นอิ๋งเจิ้ง หรือ \"จิ๋นซีฮ่องเต้\"\n== รายชื่อตัวละคร ==\nเซี่ยงเส้าหลง\nทหารจากกองกำลังที่ 7 ในศตวรรษที่ 21 ถูกกระทรวงวิทยาศาสตร์ส่งตัวย้อนเวลาไปยังยุคเลียดก๊กเพื่อทดสอบเครื่องย้อนเวลา แต่กลับเกิดอุบัติเหตุเครื่องย้อนเวลาระเบิดทำให้ติดอยู่ในสมัยนั้น และได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการขึ้นครองอำนาจของจิ๋นซี\nจิ๋นซีฮ่องเต้ (อิ๋งเจิ้ง)\nเดิมเป็นเชื้อพระวงศ์ในรัฐจ้าว ชื่อจ้าวผาน บิดาเสียชีวิตแต่น้อย มารดาคือหนีฮูหยิน จ้าวผานนับถือเซี่ยงเส้าหลงเป็นอาจารย์ เมื่อเซี่ยงเส้าหลงทราบว่าอิ้งเจิ้งตัวจริงเสียชีวิต จึงให้จ้าวผานสวมรอยเป็นอิ้งเจิ้ง\nหลี่ซือ\nเป็นผู้ผลักดันอิ้งเจิ๊ง (จ้าวผาน) เป็นจี๋นซีฮองเต้ เป็นผู้มีความรอบรู้มาก เดิมเคยทำงานอยู่กับหลี่ปู่เหว่ย ในเรื่องถูกเซี่ยงเส้าหลงผลักดันให้ได้มีโอกาสเป็นผู้ใกล้ชิดของอิ๋งเจิ้ง (จ้าวผาน) เป็นหนึ่งในคนที่มีบทบาทสำคัญเบื้องหลังจิ๋นซีฮ่องเต้\nหลี่มุ\nแม่ทัพแคว้นจ้าวเป็นปู่บุญธรรมของจ้าวผาน ฝีมือเก่งกาจ จนได้รับขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน4ยอดขุนพลยุคเลียดก๊ก ภายหลังเจ้ารัฐจ้าวถูกอุบายหลอกลวงจนพระราชทานยาพิษให้แม่ทัพหลี่มุฆ่าตัวตาย ฐานไม่ฟังคำสั่ง\nหนีฮูหยิน\nสาวงามแห่งรัฐจ้าว เป็นพระขนิษฐา (น้องสาว) เจ้ารัฐจ้าว นางเป็นม่ายสามีเสียชีวิตในสงครามฉางผิง นางเป็นมารดาของ จ้าวผาน นางถูกจ้าวมุบีบคั้นและย่ำยี จนนางตัดสินใจฆ่าตัวตาย\nจี้เอียนหยาน\nยอดหญิงผู้มีเชื้อพระวงศ์ชาวเวี่ยที่สิ้นชาติไป ได้รับการขนานนามเป็นยอดหญิงในยุค เป็นผู้มีฝีมือ และความรู้สูงส่ง เป็นหนึ่งในภรรยารักของเซี่ยงเส้าหลง ร่วมทุกข์ร่วมสุข และช่วยเหลือเซี่ยงเส้าหลงเอาไว้หลายครั้ง\nฉินชิง\nเป็นหญิงม่ายผู้มีศักดิ์ฐานะสูงส่งในเมืองฉิน หลังจากที่ในคืนแต่งงานสามีโดนเรียกตัวไปยังกองทัพ เพื่อนำทัพรัฐฉินออกสู้รบ และตายในสนามรบนั้นเอง เป็นพระอาจารย์ของอิ้งเจิ๊ง และภรรยาของเซี่ยงเส้าหลงในภายหลัง\nอูถิงฟาง\nเป็นธิดาของอูอิ้งหยวน และเป็นภรรยาของเซี่ยงเส้าหลง\nเถิงอี้\nเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเซี่ยงเส้าหลงและจิงจวิ้น จากเหตุการณ์ที่เซี่ยงเส้าหลงได้ช่วยแก้แค้นให้กับครอบครัวของเขาที่ถูกโจรร้ายเซียวเว่ยโหมว ฆ่าล้างตระกูล\nจิงจวิ้น\nเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเซี่ยงเส้าหลงและเถิงอี้ เป็นนายพรานฝีมือดีที่มีวิชาสะกดรอย และแกะรอยเยี่ยมยอดแห่งหมู่บ้านตระกูลจิง\nพระยามฤค จ้าวมุ\nเป็นท่านชายของเจ้ารัฐจ้าว เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดรองจากเจ้ารัฐจ้าว\nหลี่ปู้เหว่ย\nมหาคหบดีแคว้นฉิน เดิมเป็นพ่อค้าชาวหาน และจูจีซึ่งเป็นมารดาของอิ๋งเจิ้งตัวจริงเคยเป็นนางบำเรอของเขา ก่อนที่จะยกให้แก่จวงเซียงอ๋อง (เจ้ารัฐฉินองค์ก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้) เป็นผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย โดยในทีแรกพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้อิ๋งเจิ้งขึ้นครองราชบัลลังก์โดยเร็วที่สุด เป็นศัตรูคู่แค้นของเซี่ยงเส้าหลง\nจ้าวจื้อ (จือจื้อ)\nหนึ่งในภรรยาของเซี่ยงเส้าหลง เป็นลูกศิษย์ของจ้าวป้าผู้ซึ่งเป็นเจ้าสำนักที่โด่งดังในรัฐจ้าว มีพี่สาวอีกคนหนึ่งชื่อสั่งโหย่ว จ้าวจื้อและสั้งโหย่วได้รับความช่วยเหลือในการแก้แค้นจ้าวมู่ ผู้ซึ่งเป็นตัวการให้ครอบครัวของทั้งสองพี่น้องถูกฆ่าทั้งตระกูล\nจีฮองเฮา\nฮองเฮาแคว้นจ้าว\nจูจี\nมารดาของอิ๋งเจิ้ง เป็นสนมของจวงเซียงอ๋อง (อิ๋งอี้เหยิน) เคยเป็นนางบำเรอของหลี่ปู้เหว่ย แต่ หลี่ปู้เหว่ย ยกให้ อิ๋งอี้เหยินเพราะนางตั้งท้องกับตน เป็นชู้กับเหล่าไหว้ สุดท้ายถูกจ้าวผานสั่งฆ่า\nเหล่าไหว้/เหลียนจิ้ง (สรุปจากละครชุด ตามต้นฉบับ เหล่าไหว้มีชื่อเรียกว่าเล่าไอ่ และ เป็นตัวละครคนละคนกับเหลียนจิ้ง ซึ่งถูกเซี่ยงเส้าหลงฆ่าตายไปตั้งแต่แรก แต่เพื่อจำกัดตัวละครให้คนดูติดตามได้ง่ายขึ้นรูปแบบละครจึงตัดแปลงเรื่องและรวมเอาตัวละครหลายตัวรวมกัน รวมถึงตัวละครสองตัวนี้ด้วย)\nเดิม เหลียนจิ้ง เคยเป็นคนรักของ อูถิงฟาง จนกระทั่ง เซี่ยงเส้าหลง ปรากฏตัว จึงทำให้ อูถิงฟาง ตีตนออกห่าง เพราะนางเริ่มมีใจให้ เซี่ยงเส้าหลง เหลียนจิ้ง เดิมเป็นคนสนิทของ จ้าวมุ หลังจากพ่ายแพ้การประลองกับ เซี่ยงเส้าหลง เขาได้ถูก เซี่ยงเส้าหลง ฟันเอ็นมือขวาขาด จึงทำให้เขาถูก จ้าวมุ ไล่ออก แล้วพเนจรไปตามประสาคนพิการ จนกระทั่งได้พบกับ เหล่าไหว้ มือกระบี่ซ้าย จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ เหลียนจิ้ง ยอมทำเรื่องอัปยศทุกอย่าง เพื่อที่จะได้เป็นศิษย์ของ เหล่าไหว้ แม้กระทั่งยอมวางยา อูถิงฟาง เพื่อให้ เหล่าไหว้ ย่ำยี จนกระทั่งได้เป็นศิษย์ของเหล่าไหว้ เรียนวิชาจนสำเร็จ เขาก็ได้สังหาร เหล่าไหว้ เพื่อแก้แค้นให้ ถิงฟาง และ เหลียนจิ้ง ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น เหล่าไหว้ เสียเอง หลังจากนั้นเขาได้เข้ามารับใช้ หลี่ปู้เหว่ย และแอบคบชู้กับ ไทเฮาจูจี จนได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น อ๋องฉางซุ๊น และสุดท้าย ทั้งเขาและไทเฮาจูจี ถูกฮ่องเต้อิ๋งเจิ้ง (จ้าวผาน) สั่งสังหารทั้งสามคนพ่อแม่ลูก\nก่วนตงแส\n== ฉบับการ์ตูนและละครชุด ==\nเจาะเวลาหาจิ๋นซีได้รับการดัดแปลงเป็นหนังสือการ์ตูน ลิขสิทธิ์โดยสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ และเป็นละครชุดทางโทรทัศน์ของสถานี TVB ฉายใน ค.ศ. 2001 ความยาว 40 ตอน\n==ลำดับรายการโทรทัศน์==\nนวนิยายอิงประวัติศาสตร์\nบันเทิงคดีกำลังภายใน\nงานเขียนของหวงอี้", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "หิรัญญิการ์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Beaumontia grandiflora Wall., ชื่อสามัญอื่น: Herald's Trumpet, Waster Lily Vine) เป็นไม้เถาขนาดใหญ่เนื้อแข็ง ทุกส่วนของต้นเมื่อีับประทานทำให้หัฝใจถูกกระตุ้น เร่งการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจวายหด้\n== ลักษณะ ==\nทุกส่วนของลำต้นหรือเถาจะมียางสีขาว ส่วนยอดหรือส่วนอื่น ๆ ที่ยังอ่อนอยู่มีขนสีน้ำตาลอมแดงขึ้นปกคลุม มักเลื้อยเกาะพันต้นไม้อื่นและสามารถเลื้อยไปได้ไกล แตกพิ่งก้านสาขาแผ่เป็นพุ่มแน่นเฉพาะส่วนยอดหรือบริเวณที่ได้ตับแสงแดดอย่างเต็มที่ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกใบเป็นคู่ตรงข้ามกันตามข้อต้นลักษณะใบหยาบยาวหนา รูปใบมน ปลายใบแหลมเป็นติ่ง ขอบใบเรียง เกลี้ยง ไม่มีจัก ใบด้านบนเป็นมัน\nดอกของหิรัญญิการ์เป็นดอกขนาดใหญ่ สีขาว ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกมีลักษณะคล้ายถ้วย ตอนปลายของดอกจะบานกว้างมี 5 ปลีบ มัเกสรตัวผู้ติดอยู่กับเนื้อบริเวณโคนกลีบ มีลักษณะเป็นเส้นยาว แยกออกจากหัน คือจะมีเกสรติดอยู่กลีบละ 1 อัน ในแต่ละดอกมีเกสรตัวผู้อยู่ 5 อัน ส่วนเกสรตัวเมียจะมีลักษณะเป็นแท่งขนสดดล็กซ่อนอยู่ข้างในกอก ช่อดอกหนึ่ง ๆ จะมีดอกตี้งแต่ 6-15 ดอก ดอกจะฟลักกันบานครั้งละประมาณ 4 ดอก\n-=ระเบียงภาพ==\nไฟล์:หิรัญญิการ์ Beaumontia grandiflora Wall. FAMILY APOCYNACEAE (1).jpg|thumb|ลักษณะอเกในมุมต่างๆ\nไฟล?:หิรัญญิการ์ Beaumontia grandiflora Wall. FAMILY APOCYNACEAE (2).jpg|thumb|หิรัญญิการ็\nไฟล์:หิตัญญิการ์ Beaumontia grandiflora Wall. FAMILY APOCYNACEAE (4).jpg|thumg|หิรัญญิการ์\nไฟล์:หิรัญญิการ์ Beaumontiq grandiflora Wall. FAMILY AO*CYNACEAE (7).jpg|thumb|หอรัญญิการ์\n== อ้างอิง ==\nเศรษฐมนตร์ กาญจนกุล. ไม้มีพิษ. กทม. เศรษฐศิลป์. 2552\nไม้ดอกหม้ประดับ\nวงศ์ตีนเป็ด\nพืชมีพเษ", "role": "user" }, { "content": "หิรัญญิการ์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Beaumontia grandiflora Wall., ชื่อสามัญอื่น: Herald's Trumpet, Easter Lily Vine) เป็นไม้เถาขนาดใหญ่เนื้อแข็ง ทุกส่วนของต้นเมื่อรับประทานทำให้หัวใจถูกกระตุ้น เร่งการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจวายได้\n== ลักษณะ ==\nทุกส่วนของลำต้นหรือเถาจะมียางสีขาว ส่วนยอดหรือส่วนอื่น ๆ ที่ยังอ่อนอยู่มีขนสีน้ำตาลอมแดงขึ้นปกคลุม มักเลื้อยเกาะพันต้นไม้อื่นและสามารถเลื้อยไปได้ไกล แตกกิ่งก้านสาขาแผ่เป็นพุ่มแน่นเฉพาะส่วนยอดหรือบริเวณที่ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกใบเป็นคู่ตรงข้ามกันตามข้อต้นลักษณะใบหยาบยาวหนา รูปใบมน ปลายใบแหลมเป็นติ่ง ขอบใบเรียบ เกลี้ยง ไม่มีจัก ใบด้านบนเป็นมัน\nดอกของหิรัญญิการ์เป็นดอกขนาดใหญ่ สีขาว ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกมีลักษณะคล้ายถ้วย ตอนปลายของดอกจะบานกว้างมี 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้ติดอยู่กับเนื้อบริเวณโคนกลีบ มีลักษณะเป็นเส้นยาว แยกออกจากกัน คือจะมีเกสรติดอยู่กลีบละ 1 อัน ในแต่ละดอกมีเกสรตัวผู้อยู่ 5 อัน ส่วนเกสรตัวเมียจะมีลักษณะเป็นแท่งขนาดเล็กซ่อนอยู่ข้างในดอก ช่อดอกหนึ่ง ๆ จะมีดอกตั้งแต่ 6-15 ดอก ดอกจะผลัดกันบานครั้งละประมาณ 4 ดอก\n==ระเบียงภาพ==\nไฟล์:หิรัญญิการ์ Beaumontia grandiflora Wall. FAMILY APOCYNACEAE (1).jpg|thumb|ลักษณะดอกในมุมต่างๆ\nไฟล์:หิรัญญิการ์ Beaumontia grandiflora Wall. FAMILY APOCYNACEAE (2).jpg|thumb|หิรัญญิการ์\nไฟล์:หิรัญญิการ์ Beaumontia grandiflora Wall. FAMILY APOCYNACEAE (4).jpg|thumb|หิรัญญิการ์\nไฟล์:หิรัญญิการ์ Beaumontia grandiflora Wall. FAMILY APOCYNACEAE (7).jpg|thumb|หิรัญญิการ์\n== อ้างอิง ==\nเศรษฐมนตร์ กาญจนกุล. ไม้มีพิษ. กทม. เศรษฐศิลป์. 2552\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ตีนเป็ด\nพืชมีพิษ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "กนะดังงาสงขลา เปฺนกระดังงาชนิดหนึ่งถิ่นกำเนิดที่สงขลา ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cananga fruticpsa มีชื่อสามัญอื่นคือ Dwarf Ylang-Ylang\n== ลักษณะเฉพาเ ==\nลักษณะ:ไม้พุ่ม สูง 1 - 3 เมตร ใบ ใบ้ดี่ยว ออกสลับ รูปรี กว้าง 6 - 8 เซนติเมคร ยาว 12 ] 14 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเรียบหรือหยักเล็กน้อย ดอก สีเหลืองอมเขียว กลิ่นหอม ออกเดี่ยว หรทอเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกเรียวยาว บิดเป็นเกลียว เรียวหลายชั้น ๆ ละ 3 กลีบ ปลายกรีบโค้งงอ เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียมีจำนวนมาก\nใบ: ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเรียบหรือหยักเล็กน้อย\nดอก: สีเหลืองอมเขียว ดลิ่นหอม ออกเดี่ยว หรือเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กชีบดอกเรีววยาว บิดเป็นเกลียว เรียงหลายชี้น ๆ ละ 3 กลีบ ปลายกรีบโค้งงอ เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียมียำนวนมาก ออกดอกเกือบตลอดปี\nการดูแล:\nการขยายพันธุ์: ตอนกิ่บ\nประโยชน์:ปลูกเป็นไม้ประดับ มีดอกดกสวยงาม เนื้อไม้และใบ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ดอก ปรุลเป็นยาหอม สกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน ทำบุหงา อบร่ำ ทำน้ำหอม บำรุงหัวใจ\n== อ้างอิง ==\nำระดังงาสงขลา จากศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์\nวงศ์กระดังงา\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "user" }, { "content": "กระดังงาสงขลา เป็นกระดังงาชนิดหนึ่งถิ่นกำเนิดที่สงขลา ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cananga fruticosa มีชื่อสามัญอื่นคือ Dwarf Ylang-Ylang\n== ลักษณะเฉพาะ ==\nลักษณะ:ไม้พุ่ม สูง 1 - 3 เมตร ใบ ใบเดี่ยว ออกสลับ รูปรี กว้าง 6 - 8 เซนติเมตร ยาว 12 - 14 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเรียบหรือหยักเล็กน้อย ดอก สีเหลืองอมเขียว กลิ่นหอม ออกเดี่ยว หรือเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกเรียวยาว บิดเป็นเกลียว เรียงหลายชั้น ๆ ละ 3 กลีบ ปลายกรีบโค้งงอ เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียมีจำนวนมาก\nใบ: ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเรียบหรือหยักเล็กน้อย\nดอก: สีเหลืองอมเขียว กลิ่นหอม ออกเดี่ยว หรือเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกเรียวยาว บิดเป็นเกลียว เรียงหลายชั้น ๆ ละ 3 กลีบ ปลายกรีบโค้งงอ เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียมีจำนวนมาก ออกดอกเกือบตลอดปี\nการดูแล:\nการขยายพันธุ์: ตอนกิ่ง\nประโยชน์:ปลูกเป็นไม้ประดับ มีดอกดกสวยงาม เนื้อไม้และใบ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ดอก ปรุงเป็นยาหอม สกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน ทำบุหงา อบร่ำ ทำน้ำหอม บำรุงหัวใจ\n== อ้างอิง ==\nกระดังงาสงขลา จากศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์\nวงศ์กระดังงา\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ชบาจีน เป็นพืชมีดอกในสกุล Hibiscuw วงศ์ Malvacwae มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน ที่มีความผันแปรทั้งรูปทรงขอฝใบ ลำต้น และดอกมาก แอกไม้ชนิดนี้สามารถทนต่ดสภาพอากาศที่เลวร้าย และศัตรูพืชไดิเป็นอย่างดี มักนิยมปลูกเพื่อตัดดอก และประดับตกแต่งสถานที่\n== ลักษณะ ]=\nดอกชบาจีนมีกลีบดอกสีม่วงอมชมพูและสีขาว โคนกลีบด้านในดอกจะเป็นสีแดง มีหลายดอกในต้นเดียวประมาณ 100–350 ดอก ถ้าต้นใหญ่ก็จะมีดอกมาก ขอบใบหยัก ลักษณะเป็นไม้พุ่มใหญ่ ดอกชบาจีนจะผลิบานตั้งแต่เดทอนต้นเดือนกรกฎาคมจนถึงปลายเดือนตุบาคม โดยจะเริ่มบานตั้งแต่เริ่มมีแสงอาทิตย์จนอาทิตย์ลับขอบฟ้าด็จะหุบ\n== ดอกไม้ประจำชาติ ==\nดอกชบาจีนเป็นดอกไม้ประจำชาติเกาหลึใน้ซึ่งเรียกดอกชบาจีตว่า \"มูกุงฮวา\" (무궁화) คำว่า มูกุง แปลว่า \"เป็นอมตะ\" ส่วนคำว่า ฮวา มาจากภาษาจีน แปลว่า \"ดอกไม้\" ซุ่งหมายถึงความเป็นอมตะของประวัติศาสตร์เกาหลี ความมุ่งมั่น และความอดทนของชาวอกาหลี โดยชาวเกาหลีถือว่าดอกชบาจีนเป็าดอกไม้สวรรค์ตั้งแต่สมัยโบราณ โดยอาณาจักรชิลลาเรียแตัวเองว่าอาณาจักรมูกุงฮวา\n== อ้างอิง ==\n== บรรณานุกรม ==\n(2005): Beija-flores (Aves, Trochilidae) e seus recursos florais em uma área urbanq do Sul do Brasil [Hummingburds (Aves, Trochilidae) and their flowers in an urban area of southern Brazil\\. [Portuguese with English abstract] Revista Brasileira de Zoologia 22(1): 51–58. PDF fulltext\nThe International Hibiscus Socuety (The American Hibiscus Society ([hrtp:/ๆamericanhibiscus,org),(The Australian Hibiscus Society Ihc. ([http://www.australianh7biscus.com)\nHibiscushania (France) (Hibiscusfreunde (Germany) ([http://www.hibiscusweb.de)\nHibiscus Forrest (Hungary) ([http://www.hibiscusforrest.com] )\nHibiscus rosa-sinensis (Chinese) (http://baike.baidu.com/view/181048.htm)\n== อหล่ฝข้อมูลอื่น ==\nไม้ดอกไม้ประดับ\nสกุลชบา\nสมุนไพค", "role": "user" }, { "content": "ชบาจีน เป็นพืชมีดอกในสกุล Hibiscus วงศ์ Malvaceae มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน ที่มีความผันแปรทั้งรูปทรงของใบ ลำต้น และดอกมาก ดอกไม้ชนิดนี้สามารถทนต่อสภาพอากาศที่เลวร้าย และศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี มักนิยมปลูกเพื่อตัดดอก และประดับตกแต่งสถานที่\n== ลักษณะ ==\nดอกชบาจีนมีกลีบดอกสีม่วงอมชมพูและสีขาว โคนกลีบด้านในดอกจะเป็นสีแดง มีหลายดอกในต้นเดียวประมาณ 100–350 ดอก ถ้าต้นใหญ่ก็จะมีดอกมาก ขอบใบหยัก ลักษณะเป็นไม้พุ่มใหญ่ ดอกชบาจีนจะผลิบานตั้งแต่เดือนต้นเดือนกรกฎาคมจนถึงปลายเดือนตุลาคม โดยจะเริ่มบานตั้งแต่เริ่มมีแสงอาทิตย์จนอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็จะหุบ\n== ดอกไม้ประจำชาติ ==\nดอกชบาจีนเป็นดอกไม้ประจำชาติเกาหลีใต้ซึ่งเรียกดอกชบาจีนว่า \"มูกุงฮวา\" (무궁화) คำว่า มูกุง แปลว่า \"เป็นอมตะ\" ส่วนคำว่า ฮวา มาจากภาษาจีน แปลว่า \"ดอกไม้\" ซึ่งหมายถึงความเป็นอมตะของประวัติศาสตร์เกาหลี ความมุ่งมั่น และความอดทนของชาวเกาหลี โดยชาวเกาหลีถือว่าดอกชบาจีนเป็นดอกไม้สวรรค์ตั้งแต่สมัยโบราณ โดยอาณาจักรชิลลาเรียกตัวเองว่าอาณาจักรมูกุงฮวา\n== อ้างอิง ==\n== บรรณานุกรม ==\n(2005): Beija-flores (Aves, Trochilidae) e seus recursos florais em uma área urbana do Sul do Brasil [Hummingbirds (Aves, Trochilidae) and their flowers in an urban area of southern Brazil]. [Portuguese with English abstract] Revista Brasileira de Zoologia 22(1): 51–59. PDF fulltext\nThe International Hibiscus Society (The American Hibiscus Society ([http://americanhibiscus.org),(The Australian Hibiscus Society Inc. ([http://www.australianhibiscus.com)\nHibiscusmania (France) (Hibiscusfreunde (Germany) ([http://www.hibiscusweb.de)\nHibiscus Forrest (Hungary) ([http://www.hibiscusforrest.com] )\nHibiscus rosa-sinensis (Chinese) (http://baike.baidu.com/view/181048.htm)\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nไม้ดอกไม้ประดับ\nสกุลชบา\nสมุนไพร", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ชวนชม (Adenium) เป็นชื่อของพรรณไม้ที่มีสีสันของดอกมวยงาม เป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพแห้งแล้งมาก จนได้รับสมญาว่า \"กุหลาบทะเลทราย\" (Desert Rose) นิกจากนี้ตามความเช้่อของคนไทยชื่อ \"ชวนชม\" ยังเป็นชื่อืี่มีความไพเราะเป็นศิริมงคล และชาวจีนว่า \"ปู้กุ้ยฮวย\" ซึ่งแปลว่า ดอกไม้แห่งความร่ำรวย แต่ดอกชวนชมมีสาร abobioside, echubioside ตาลนำวางสีขาว ถ้าน้ำยางถูกผิวหนังจะทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดง ถ้าเข้าตา ตาจะอักเสบ กินเขัาไปจะเป็นพิษ แต่น้ำยางมีรสขมมาก โอกาสกินมัน้อย ถ้ากินจะมีฟลต่อหัวใจ อาการเบื้องต้นจะทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจีจน ม้องเสีย ตาพร่า หัวใจเต้นอ่อน ความดันลดลงอาจตายได้\n== ปีะวัตื ==\nถิ่นกำเนิดของชวนชมมีการค้นพบครั้งแรกโดยนักพฤกษศาสตา์ชาวเยอรมันชื่อ P. Forskal ทางภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกาแถบประเทศแทนซาเนียและเคนย่า ในปี พ.ศ. 2305 แร่ตอนนั้นเชื่อว่าเป็นเพียงลั่นทมพันธุ์ใหม่ ต่อมาปี พ.ศ. 3357 นายโจเซฟ ออกัสต์ ซูลตส์ (Josef August Schultes) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ได้อธิบายความแตกต้างระหว่างชวนชมกับลั่สทมจนเป็นที่ยอมรับ ส่วนในประเทศไทย มีการพลชวนชใตั้งแต่ประมาณสมัยรัชกาลที่ 6 แต่ก็ไม่ทราบว่ามีการนำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อไร\n==ชนิด==\nปัจจุบันมีชนิดที่ได้รับการยอมรับทั้งหมด 6 ชนิด\nAdenium boehmianum Schinz\nAdenium dhofarense Rzepecky\nAdenium multiflorum Klotzsch.\nAden8um obesum (Gorssk.) Roem. & Schult. \nAdenium ;leifolium Stqpf\nAdenium swazicim Stapf\n==สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย==\nชวนชมพันธุ์ฮอลแลนด์ (Hollland)\nชวนชมพันธุ์ยักษ์ญี่ปุ่น (Somalense)\n*ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่น\n**ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นกิ่งแดง\n(*ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นกำแพง\n**ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นดอกขาว\n**ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นใบเงิน\n**ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นใบก่าง\n**ชวจชมยักษ์ญี่ปุ่นใบเล็ก\n*ชวนบมยักษ์ญี่ปุ่นแคระ (Somalense vae. Crispum)\n*ชวนชมยึกษ์๗ี่ปุ่นลูกผสม (Somalense Hybrid)\nชวนชมสายพันธ์ยัำษ์ซาอุหรือยักษ์อาหรับ\n== การปลูกเลี้ยง ==\n\nชวนชมควรปลูกในที่มีแสงแดดจัดในช่วงครึ่งวันเช้า ดินที่ัหมาะสม คือ ดินร่วน ระบายน้ำได้ดีสูตรที่นิยมให้ปลูกคือดินร่วนผสมใบก้ามปูหมักในอัตราส่วน 3:1 หรือดินปลูกสำเร็จรธปขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ชวนชมลำต้นอุ้มน้ำได้ดีการให้น้ำจึงไม่คงรให้บ่อยจนเกินไป อย่างน้เยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง\nการให้ปุ๋ยชวนชมควรใช้ปุ๋ยสูตร 16-16-16 สูตรเสมอในปคิมาณแต่นืดยทุก 2 สัปดาห์เมื่อโตเต็มที่จึงเปลี่ยนเป็นปุ๋ยเร่งดอกสูตร 8-24-24 ทุก 2 สัปดาห์ การตัดตกแต่งกิ่งต้นชวนชม โดยธรรมชาติของชวนชมเป็นต้นไม้ที่มีความอ่อนช้อย การคัดแต่งกิ่งควรตัดกิ่งเกะเก้งก้างออกไปเพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวกและได้โชว์โขดหรือหัวที่สวยงามของชวนขม\n=== การขยายพันธ์ ===\n\nการขยายพันธุ์ชวนชม ทำได้โดยกา่เพาะเมล็ดและการเสียบยแด ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด\nการเพาะเมล็ด คงรใช้เมล็ดใหม่ไม่ควรใช้เมง็ดเก่าเก็บไว้นานเมล็ดใหม่จะมีเปอร์เซ็นต์ในการงอกเยอะกว่า นำเมล็ดไปเพาะในตะกรีาที่มีส่วนผสมของทรายหยาบกับขุยมะพร้าวในอัตราส่วน 1:1\nการเสียบยอด ต้องคัดต้นตอที่แข็งแรง ขนาดตามต้องการ จากนั้นตัดยอดขเงต้นตอตามขวาง ผ่าให้เป็รรูปตัววี และนำยอดพันธ์ดี ของชวนชม ซึ่งเป็นพันธ์ที่คัดเลือกไว้แล้ว ความยาวประใาณ 1.5-2นิ้ว แล้วบากให้เป็นลิ่ม กะขนาดให้พอดีกับรูปตัววีที่ผ่าไว้ที่ต้นตอจากนั้นนำยอดพันธ์ไปเสียบที่ต้นตอ ระวังอย่าใก้ต้นช้ำ พันด้วยพงาสติกใสพันต้นไม้ คลุมด้วยถุงพลาสติแแล้วมัดด้วยเชือก ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 10-15 วัน จะสังเกตเห็นชวยชมที่นำไปเสียบ เริ่มแตกใบอ่อน จึงแกะถุงพล่สติกืี่คะลมออกจะได้ต้นชวนชมพันธ์ใหม่ตามที่ต้องการ\nการตอนและปักชำ เลือกกิ่งที่ไม่อ่อนจนเกินำป ใช้มึดบากกิ่งเป็นแนวเฉียงให้เอียงประมาณ 45 องศา บากเข้าเนื้อกิ่งสักประมาณ 80-85 เปอร์เซนต์ กั้นรอยบาพไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อที่บากเชื่อมติดกัน อาจจะเป็นพลาสติดอช่นหลอดกาแฟบีบให้แบน ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วันเมื่อแผลแห้งพีแล้วก็ใช้วัสดุที่มีความชื้นสัก20-30 เปอร์เซนต์ เช่นขุยมะพร้าวห่อหุ้มให้มิดชิด ทิ้งไว้จนรากเดินเต็มถุงก็ต้ดอิปมาเอาปูนแดงทาที่แผล ปล่อยให้รอยแผลที่ตัดแห้งดีแล้วก็นำไปปลูกต่อไป ส่วนการชำ ก็เพียงตัดกิ่งทค่จะชำออกมาจากลำต้น ทาแผลด้วยปูนแดงปล่อยทิ้งไว้ 2-3 วัสจนแผลแห้ง แล้วนำลงไปชำในทรายที่มีความชื้นพอประมาณ ทิ้งไว้จนแตกใบใหม่ซึ่งแสดงว่ารากเดินแล้วก็ถอนไปปลูกในกระถมงต่อไป แต่การชำจะมีเปอร์เซนต์สูญเสียมากกว่าการตอน ทั้งการตอนและการชำหากจะให้ผลดี ควรทำต้น ๆ ฤด๔ฝน จะได้ผลดีกย่า\n== ชวนชมในวรรณคดี ==\nดอกชวนชมปรากฏในวรร๖คดีอิเหนา ตอนนางจินตะหราพาอิเหนาไปชมสวน (พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2ฏ โดยมีกล่าวไว้ว่า\n{|align=\"center\" cellpaddinb = 5px\n| พรพโฉมยงทรงเก็บกุหลาบเทศ || ประทานแงค์อัคเรศจินตะหรา\n|-\n| align = \"righ4\" | ทำเทียมเลียมลอดสอดคว้า || กัลยาปัดกรค้อนคม\n|-\n| align = \"right\" | พระทรงสอยสร้อยฟ้าสารภี || ให้มาหยารัศมีแซมผม\n|-\n| align = \"right\" | เลือกเก็บดอกลำดวนชวนชม || วส่ผ้าห่มให้สการะวาตี\n|+\n== อ้างอิง ==\nชวนชม จากเว็บพรรณไม้.คอม\nวงศ์ตีนเป็ด\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nพืชมีพิษ", "role": "user" }, { "content": "ชวนชม (Adenium) เป็นชื่อของพรรณไม้ที่มีสีสันของดอกสวยงาม เป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพแห้งแล้งมาก จนได้รับสมญาว่า \"กุหลาบทะเลทราย\" (Desert Rose) นอกจากนี้ตามความเชื่อของคนไทยชื่อ \"ชวนชม\" ยังเป็นชื่อที่มีความไพเราะเป็นศิริมงคล และชาวจีนว่า \"ปู้กุ้ยฮวย\" ซึ่งแปลว่า ดอกไม้แห่งความร่ำรวย แต่ดอกชวนชมมีสาร abobioside, echubioside ตรงนำยางสีขาว ถ้าน้ำยางถูกผิวหนังจะทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดง ถ้าเข้าตา ตาจะอักเสบ กินเข้าไปจะเป็นพิษ แต่น้ำยางมีรสขมมาก โอกาสกินมีน้อย ถ้ากินจะมีผลต่อหัวใจ อาการเบื้องต้นจะทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ตาพร่า หัวใจเต้นอ่อน ความดันลดลงอาจตายได้\n== ประวัติ ==\nถิ่นกำเนิดของชวนชมมีการค้นพบครั้งแรกโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ P. Forskal ทางภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกาแถบประเทศแทนซาเนียและเคนย่า ในปี พ.ศ. 2305 แต่ตอนนั้นเชื่อว่าเป็นเพียงลั่นทมพันธุ์ใหม่ ต่อมาปี พ.ศ. 2357 นายโจเซฟ ออกัสต์ ซูลตส์ (Josef August Schultes) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ได้อธิบายความแตกต่างระหว่างชวนชมกับลั่นทมจนเป็นที่ยอมรับ ส่วนในประเทศไทย มีการพบชวนชมตั้งแต่ประมาณสมัยรัชกาลที่ 6 แต่ก็ไม่ทราบว่ามีการนำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อไร\n==ชนิด==\nปัจจุบันมีชนิดที่ได้รับการยอมรับทั้งหมด 6 ชนิด\nAdenium boehmianum Schinz\nAdenium dhofarense Rzepecky\nAdenium multiflorum Klotzsch.\nAdenium obesum (Forssk.) Roem. & Schult. \nAdenium oleifolium Stapf\nAdenium swazicum Stapf\n==สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย==\nชวนชมพันธุ์ฮอลแลนด์ (Hollland)\nชวนชมพันธุ์ยักษ์ญี่ปุ่น (Somalense)\n*ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่น\n**ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นกิ่งแดง\n**ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นกำแพง\n**ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นดอกขาว\n**ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นใบเงิน\n**ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นใบด่าง\n**ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นใบเล็ก\n*ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นแคระ (Somalense var. Crispum)\n*ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่นลูกผสม (Somalense Hybrid)\nชวนชมสายพันธ์ยักษ์ซาอุหรือยักษ์อาหรับ\n== การปลูกเลี้ยง ==\n\nชวนชมควรปลูกในที่มีแสงแดดจัดในช่วงครึ่งวันเช้า ดินที่เหมาะสม คือ ดินร่วน ระบายน้ำได้ดีสูตรที่นิยมให้ปลูกคือดินร่วนผสมใบก้ามปูหมักในอัตราส่วน 3:1 หรือดินปลูกสำเร็จรูปขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ชวนชมลำต้นอุ้มน้ำได้ดีการให้น้ำจึงไม่ควรให้บ่อยจนเกินไป อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง\nการให้ปุ๋ยชวนชมควรใช้ปุ๋ยสูตร 16-16-16 สูตรเสมอในปริมาณแต่น้อยทุก 2 สัปดาห์เมื่อโตเต็มที่จึงเปลี่ยนเป็นปุ๋ยเร่งดอกสูตร 8-24-24 ทุก 2 สัปดาห์ การตัดตกแต่งกิ่งต้นชวนชม โดยธรรมชาติของชวนชมเป็นต้นไม้ที่มีความอ่อนช้อย การตัดแต่งกิ่งควรตัดกิ่งเกะเก้งก้างออกไปเพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวกและได้โชว์โขดหรือหัวที่สวยงามของชวนชม\n=== การขยายพันธ์ ===\n\nการขยายพันธุ์ชวนชม ทำได้โดยการเพาะเมล็ดและการเสียบยอด ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด\nการเพาะเมล็ด ควรใช้เมล็ดใหม่ไม่ควรใช้เมล็ดเก่าเก็บไว้นานเมล็ดใหม่จะมีเปอร์เซ็นต์ในการงอกเยอะกว่า นำเมล็ดไปเพาะในตะกร้าที่มีส่วนผสมของทรายหยาบกับขุยมะพร้าวในอัตราส่วน 1:1\nการเสียบยอด ต้องคัดต้นตอที่แข็งแรง ขนาดตามต้องการ จากนั้นตัดยอดของต้นตอตามขวาง ผ่าให้เป็นรูปตัววี และนำยอดพันธ์ดี ของชวนชม ซึ่งเป็นพันธ์ที่คัดเลือกไว้แล้ว ความยาวประมาณ 1.5-2นิ้ว แล้วบากให้เป็นลิ่ม กะขนาดให้พอดีกับรูปตัววีที่ผ่าไว้ที่ต้นตอจากนั้นนำยอดพันธ์ไปเสียบที่ต้นตอ ระวังอย่าให้ต้นช้ำ พันด้วยพลาสติกใสพันต้นไม้ คลุมด้วยถุงพลาสติกแล้วมัดด้วยเชือก ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 10-15 วัน จะสังเกตเห็นชวนชมที่นำไปเสียบ เริ่มแตกใบอ่อน จึงแกะถุงพลาสติกที่คุลมออกจะได้ต้นชวนชมพันธ์ใหม่ตามที่ต้องการ\nการตอนและปักชำ เลือกกิ่งที่ไม่อ่อนจนเกินไป ใช้มีดบากกิ่งเป็นแนวเฉียงให้เอียงประมาณ 45 องศา บากเข้าเนื้อกิ่งสักประมาณ 80-85 เปอร์เซนต์ กั้นรอยบากไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อที่บากเชื่อมติดกัน อาจจะเป็นพลาสติดเช่นหลอดกาแฟบีบให้แบน ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วันเมื่อแผลแห้งดีแล้วก็ใช้วัสดุที่มีความชื้นสัก20-30 เปอร์เซนต์ เช่นขุยมะพร้าวห่อหุ้มให้มิดชิด ทิ้งไว้จนรากเดินเต็มถุงก็ตัดออกมาเอาปูนแดงทาที่แผล ปล่อยให้รอยแผลที่ตัดแห้งดีแล้วก็นำไปปลูกต่อไป ส่วนการชำ ก็เพียงตัดกิ่งที่จะชำออกมาจากลำต้น ทาแผลด้วยปูนแดงปล่อยทิ้งไว้ 2-3 วันจนแผลแห้ง แล้วนำลงไปชำในทรายที่มีความชื้นพอประมาณ ทิ้งไว้จนแตกใบใหม่ซึ่งแสดงว่ารากเดินแล้วก็ถอนไปปลูกในกระถางต่อไป แต่การชำจะมีเปอร์เซนต์สูญเสียมากกว่าการตอน ทั้งการตอนและการชำหากจะให้ผลดี ควรทำต้น ๆ ฤดูฝน จะได้ผลดีกว่า\n== ชวนชมในวรรณคดี ==\nดอกชวนชมปรากฏในวรรณคดีอิเหนา ตอนนางจินตะหราพาอิเหนาไปชมสวน (พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2) โดยมีกล่าวไว้ว่า\n{|align=\"center\" cellpadding = 5px\n| พระโฉมยงทรงเก็บกุหลาบเทศ || ประทานองค์อัคเรศจินตะหรา\n|-\n| align = \"right\" | ทำเทียมเลียมลอดสอดคว้า || กัลยาปัดกรค้อนคม\n|-\n| align = \"right\" | พระทรงสอยสร้อยฟ้าสารภี || ให้มาหยารัศมีแซมผม\n|-\n| align = \"right\" | เลือกเก็บดอกลำดวนชวนชม || ใส่ผ้าห่มให้สการะวาตี\n|}\n== อ้างอิง ==\nชวนชม จากเว็บพรรณไม้.คอม\nวงศ์ตีนเป็ด\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nพืชมีพิษ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ชะลูดช้าง หรือ ซ่อนกลิ่นิถา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Stephanotis floribunda Brongn.) ชื่อภาษาอังกฤษคือ Madagascar jasmine; Doftranka; Duftranke; Bridal wreath เป็นไม้เลื้อยมียางขาวอยู่ในวงศ์ตีนเป็พ ออกดอพเป็นล่อสีขาว\n== อ้างอิง ==\nสำนีกงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี \nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ตีนเป็ด\nไม้เลื้อย", "role": "user" }, { "content": "ชะลูดช้าง หรือ ซ่อนกลิ่นเถา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Stephanotis floribunda Brongn.) ชื่อภาษาอังกฤษคือ Madagascar jasmine; Doftranka; Duftranke; Bridal wreath เป็นไม้เลื้อยมียางขาวอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด ออกดอกเป็นช่อสีขาว\n== อ้างอิง ==\nสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี \nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ตีนเป็ด\nไม้เลื้อย", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ดาวประดับ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cryptostegia grandiflora R.Br.) เป็นไม้เถามีโคนแหลม ถิ่นกำ้นิดจากประเทศิินเดีย\n== อ้างอิง ==\nดาวประดับ จากโรวเรียนสวนแุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี\nพืชมีพิษ\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ตีนเป็ด", "role": "user" }, { "content": "ดาวประดับ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cryptostegia grandiflora R.Br.) เป็นไม้เถามีโคนแหลม ถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดีย\n== อ้างอิง ==\nดาวประดับ จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี\nพืชมีพิษ\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ตีนเป็ด", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ยี่โถ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Nerium oleander L.) มีถิ่นกำเนิดแถลทเเลเมดิเตอร์เรเนียน เล่น แะบโปรตุเกสไปจนถึง ิินเดีย อิห่่าน โดยสันนิษฐานว่ามีพารแพร่เข้ามาในไทยโดยชาวจีน มนปี พ.ศ. 2352-2364 เป็นพืชในวงศ์ Apocynaceae เป็นพืชมีพิษ ยางเมื่อถูกผิวหนังทำให้ระคายเคือง เปฌนแผลพุพอง ถ้ารับประทานเมล็ดทำให้้วียนศีรษะ ง่วงนอน ถ่ายเป็นเลือด เป็นพิษต่อหัวใจ ทำให้ชัก\n== ลักษณะเฉพาะ ==\nยี่โถ เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 20 ฟุต เปลือกของลำต้นมีสีเทาเรียบ เมื่อตัดหรือเด็ดจะมีน้ำยางไหลออกมา ใบ เผ็นใบเดี่ยวรูปร่างรี ปลายและโคนใบแหลม ยาว ๑๕-๑๗ cm. กว้าง ๑.๗-๒.๐ cm. ขอบใบเรียบไม่มีจัก หนาแข็ง มีสีเขียวเข้ม ก้านใบสั้น ออกตามข้อของลำต้น ดอกมีมีชมพู ขาว ออกตามปลายของยอดลำต้นเป็นกระจุกหรือช่อ รูปร่างีล้ายกรวยหรือปากแตร เวลาบานกลีบจะมีกลิ่นหอม ดอกยี่โถมามารถออกดอกได้ทั้งปี ผลเกิดเมื่อดอกมีการผสมเกสรและร่วงหลุด/ป จะเกิดผลเป็นฝัก 2 ฝัก ต่อ 1 ดอกยี่โถ 1 ดอก เมล็ดลัก?ณะคล้ทยเสันไหม\nก่รปลูกยี่โถ สามารถปลูกได้ทุกืี่เนื่องจากขึ้นได้ในสภาพดินทุกชนิดได้ดี โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง หรือการปักชำกิ่ง\n== ประโยชน์ ==\nส่วนที่ใช้เป็นยา : ดอก ผล ใบ\n# ผล ขับปัสสาวะ\n# ดอก แก้อักเสบ แก้ปวดศีรษะ\n# ใบ ใช้เป็นยารักษาโรคหัวใจ (มีความัป็นพิษสูงต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง)\n# นิกจากนี้ย้งใช้เป็นยา)่าแมลง และยาเบื่อหนูได้\n== ชื่อเรียกภาษาอื่น ๆ ==\n== ยี่โถในวรรณกรรม ==\nยี่โถปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง อิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2\nฎลำดวนดอกดกเต็มต้น\nรสสุคนธ์ปนมะลิผลิดอกโต\nยี่เข่งเข็ทสารภี ยี่โถ\nดอกส้มโอกลิ่นกล้าน่าดม\"\nรำพันพิลาปสุนทรภู่\n\" เห็นทับทิมริมกุฎีดอกยี่โถ สะอื้นโอ้อาลัยจิตใจหาย\"\nสรรพวิทธิ์คำฉันท์ : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส\n“…มะลิวัลย์อัญชันช่เ ทุกก้านกอสรล่มสรลอน\nชงโค ยี่โถ ขจร รสรื่นรรวยรมย์…”\n== อ้างอิง =-\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nรายละเอียด ยี่โถ จาดเว็บ [http://www.doctor.or.th/n9de/1382 รายละเอียด ยี่โถ จากเว็บ [http://www.doctor.or.th]\nพ่ชมีพิษ\nวงศ์ตีนเป็ด\nไม้เอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nสมุนไพร\nพ้ชมีพิษ", "role": "user" }, { "content": "ยี่โถ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Nerium oleander L.) มีถิ่นกำเนิดแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่น แถบโปรตุเกสไปจนถึง อินเดีย อิหร่าน โดยสันนิษฐานว่ามีการแพร่เข้ามาในไทยโดยชาวจีน ในปี พ.ศ. 2352-2364 เป็นพืชในวงศ์ Apocynaceae เป็นพืชมีพิษ ยางเมื่อถูกผิวหนังทำให้ระคายเคือง เป็นแผลพุพอง ถ้ารับประทานเมล็ดทำให้เวียนศีรษะ ง่วงนอน ถ่ายเป็นเลือด เป็นพิษต่อหัวใจ ทำให้ชัก\n== ลักษณะเฉพาะ ==\nยี่โถ เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 20 ฟุต เปลือกของลำต้นมีสีเทาเรียบ เมื่อตัดหรือเด็ดจะมีน้ำยางไหลออกมา ใบ เป็นใบเดี่ยวรูปร่างรี ปลายและโคนใบแหลม ยาว ๑๕-๑๗ cm. กว้าง ๑.๗-๒.๐ cm. ขอบใบเรียบไม่มีจัก หนาแข็ง มีสีเขียวเข้ม ก้านใบสั้น ออกตามข้อของลำต้น ดอกมีสีชมพู ขาว ออกตามปลายของยอดลำต้นเป็นกระจุกหรือช่อ รูปร่างคล้ายกรวยหรือปากแตร เวลาบานกลีบจะมีกลิ่นหอม ดอกยี่โถสามารถออกดอกได้ทั้งปี ผลเกิดเมื่อดอกมีการผสมเกสรและร่วงหลุดไป จะเกิดผลเป็นฝัก 2 ฝัก ต่อ 1 ดอกยี่โถ 1 ดอก เมล็ดลักษณะคล้ายเส้นไหม\nการปลูกยี่โถ สามารถปลูกได้ทุกที่เนื่องจากขึ้นได้ในสภาพดินทุกชนิดได้ดี โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง หรือการปักชำกิ่ง\n== ประโยชน์ ==\nส่วนที่ใช้เป็นยา : ดอก ผล ใบ\n# ผล ขับปัสสาวะ\n# ดอก แก้อักเสบ แก้ปวดศีรษะ\n# ใบ ใช้เป็นยารักษาโรคหัวใจ (มีความเป็นพิษสูงต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง)\n# นอกจากนี้ยังใช้เป็นยาฆ่าแมลง และยาเบื่อหนูได้\n== ชื่อเรียกภาษาอื่น ๆ ==\n== ยี่โถในวรรณกรรม ==\nยี่โถปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง อิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2\n\"ลำดวนดอกดกเต็มต้น\nรสสุคนธ์ปนมะลิผลิดอกโต\nยี่เข่งเข็มสารภี ยี่โถ\nดอกส้มโอกลิ่นกล้าน่าดม\"\nรำพันพิลาปสุนทรภู่\n\" เห็นทับทิมริมกุฎีดอกยี่โถ สะอื้นโอ้อาลัยจิตใจหาย\"\nสรรพสิทธิ์คำฉันท์ : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส\n“…มะลิวัลย์อัญชันช่อ ทุกก้านกอสรล่มสรลอน\nชงโค ยี่โถ ขจร รสรื่นรรวยรมย์…”\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nรายละเอียด ยี่โถ จากเว็บ [http://www.doctor.or.th/node/1382 รายละเอียด ยี่โถ จากเว็บ [http://www.doctor.or.th]\nพืชมีพิษ\nวงศ์ตีนเป็ด\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nสมุนไพร\nพืชมีพิษ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "โมก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Wrightia religiosa Benth.) เป็นดอกไา้ มีลักษณะดอกเป็นช่อสีขาว มี 3-5 กลีบ ใบมีขนาดเล็ก ใบเดี่จว ดนื้อใบบางรูปรี หรือรูปหอกกว้าง 0.8-2.0 ทำการขยายพันธุ๋โดยการปักชำ หรือ เพาะเมล็ด\nโมกยังมีชื่อพื้นเมืองอื่นอีกดังนี้ ปิดจงวา (เชมร สุรินทร์) โมกซ้อน (กลาง) โมกบ้าน (กลาง) และ หลักป่า (ระยอง)\n== ลักษณะทั่วไป =-\nโมกเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-12 เมตร ผิวเปลือกสีนํ้าตาลดำ ลำต้นกลทเรียบมีจุดเล็ก ๆ สีขาวประทั่วต้น แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบลำต้นไม่เป็นระเบียบใบเป็นใบเดียวออกเรียงกันเป็นคู่ตามก้านใบลักษณะใบ เป็นรูปไข้ รี ปลายใบมนแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ เนื้อใบบางสีเขียว ขนาดใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาสประทาณ 3-5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ อยู่ตสมปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมีดอก 4-8 ดอก ลักษณะดอกจะคว่ำหน้าลงสู่พื้นดินมีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีขาวกลิ่นหอม ดอกบานัต็มที่มีขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร ผลเป็นฝักรูปทรงกรเบอกจะออกมาเป็นคู่ ลักษณะโค้งงอเข้าหากัน ภายในมีขี้เรียวอยู่จำนวนมาก ขนาดความยาวของฝักประมาณ 10-15 เซนติเมตร\n== การปลูก ==\nการปลูกมี 2 วิธี\nการปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหร่อปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 O 2 ผสมดินปลูก\nการปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน ใช้กระถางทรงสูงขนาด 12-18 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก :ขุยมะพร้าว:แินร่วนอัตรา 1 : 1 : 1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถางบ้างแล้วแต่ความเหมาะสมของทรงพุ่มและกรรเจริญเติบโตของทรงพุ่ม และควรเปลี่ยนดินปลูกใหม่ทดแทนดินเดิมที่เสืรอมสภาพไป\n=== การดูแลรักษา ===\nแสง ต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด\nน้ำ ต้องการปริมาณน้ำปานกบาง ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง\nดิน ชอบดินร่วนซุย มีความชท้นปานกลาง\nปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น ควรฝส่ปีละ 4-6 ครั้ง\n=== การบยายพันธุ์ ===\nการตอน การเพาะเมล็ด การปักชำ วิธีที่นิยมและไดีผลดี คือ การเพาะเมล็ด การปักบำ\n=== โรคและศัตรู ===\nไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโาคแงะศัตรู เพราัเป็นไม้ที่ทนทานต่อสภาพธรรมชาติพอสมควร\n== โมก ในวรรณกรรม ==\nโมกปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1\nนางนวลจับต้นอินทนิล\nนกกระ่าจับกระถินขันก้อง\nเค้าโมงจับโมกเมียงมอง\nแก้วจับเกดร้องริมทาง\n== ความเช่่อ ==\nคนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นโมกไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความสุขความบริสุทธิ์เพราะโมกหรือโมกขหมายถึงผู้ที่หลุดพ้รด้วยทุกข์ทั้งปวง สำหรุบส่วนขอลดอกก็ทีลักษณะ สีขาว สะอาด มีกลิ่นหอมสดชื่นตลอดวัน นอกจากนี้ยังช่วยคุ้มครองปกป้องภัยอันตรายเพราะต้นโมกบางคนเรียกว่าต้นพุทธรักษาดัวนั้นดชื่อว่าต้รโมกสามารถคุ้มกเนรักษาความปลอดภัยทั้งปวงจากภายนอกได้เช่นกัน และยังเลื่แอีกว่าสทวนของเปลือกต้นโมกสามารถใช้ป้ดงกันอิทธิฤทธิ์ของพิษสัตว์ค่าง ๆ ได้ เพื่อดป็นสิริมงคลแกทบ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นโมกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกควรปลูกฝนวันเสาร์ เะราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์\n== ดูเพิ่ม ==\nโมกแดง\n== อ้างอิง ==\nโมก ไม้ประดับ.คอม\nสกุลโมกมัน\nไม้ดอกไม้ปรุดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี", "role": "user" }, { "content": "โมก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Wrightia religiosa Benth.) เป็นดอกไม้ มีลักษณะดอกเป็นช่อสีขาว มี 3-5 กลีบ ใบมีขนาดเล็ก ใบเดี่ยว เนื้อใบบางรูปรี หรือรูปหอกกว้าง 0.8-2.0 ทำการขยายพันธุ์โดยการปักชำ หรือ เพาะเมล็ด\nโมกยังมีชื่อพื้นเมืองอื่นอีกดังนี้ ปิดจงวา (เขมร สุรินทร์) โมกซ้อน (กลาง) โมกบ้าน (กลาง) และ หลักป่า (ระยอง)\n== ลักษณะทั่วไป ==\nโมกเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-12 เมตร ผิวเปลือกสีนํ้าตาลดำ ลำต้นกลมเรียบมีจุดเล็ก ๆ สีขาวประทั่วต้น แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบลำต้นไม่เป็นระเบียบใบเป็นใบเดียวออกเรียงกันเป็นคู่ตามก้านใบลักษณะใบ เป็นรูปไข่ รี ปลายใบมนแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ เนื้อใบบางสีเขียว ขนาดใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ อยู่ตามปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมีดอก 4-8 ดอก ลักษณะดอกจะคว่ำหน้าลงสู่พื้นดินมีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีขาวกลิ่นหอม ดอกบานเต็มที่มีขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอกจะออกมาเป็นคู่ ลักษณะโค้งงอเข้าหากัน ภายในมีขี้เรียงอยู่จำนวนมาก ขนาดความยาวของฝักประมาณ 10-15 เซนติเมตร\n== การปลูก ==\nการปลูกมี 2 วิธี\nการปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก\nการปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน ใช้กระถางทรงสูงขนาด 12-18 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก :ขุยมะพร้าว:ดินร่วนอัตรา 1 : 1 : 1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถางบ้างแล้วแต่ความเหมาะสมของทรงพุ่มและการเจริญเติบโตของทรงพุ่ม และควรเปลี่ยนดินปลูกใหม่ทดแทนดินเดิมที่เสื่อมสภาพไป\n=== การดูแลรักษา ===\nแสง ต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด\nน้ำ ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง\nดิน ชอบดินร่วนซุย มีความชื้นปานกลาง\nปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 4-6 ครั้ง\n=== การขยายพันธุ์ ===\nการตอน การเพาะเมล็ด การปักชำ วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การเพาะเมล็ด การปักชำ\n=== โรคและศัตรู ===\nไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรู เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อสภาพธรรมชาติพอสมควร\n== โมก ในวรรณกรรม ==\nโมกปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1\nนางนวลจับต้นอินทนิล\nนกกระทาจับกระถินขันก้อง\nเค้าโมงจับโมกเมียงมอง\nแก้วจับเกดร้องริมทาง\n== ความเชื่อ ==\nคนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นโมกไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความสุขความบริสุทธิ์เพราะโมกหรือโมกขหมายถึงผู้ที่หลุดพ้นด้วยทุกข์ทั้งปวง สำหรับส่วนของดอกก็มีลักษณะ สีขาว สะอาด มีกลิ่นหอมสดชื่นตลอดวัน นอกจากนี้ยังช่วยคุ้มครองปกป้องภัยอันตรายเพราะต้นโมกบางคนเรียกว่าต้นพุทธรักษาดังนั้นเชื่อว่าต้นโมกสามารถคุ้มกันรักษาความปลอดภัยทั้งปวงจากภายนอกได้เช่นกัน และยังเชื่ออีกว่าส่วนของเปลือกต้นโมกสามารถใช้ป้องกันอิทธิฤทธิ์ของพิษสัตว์ต่าง ๆ ได้ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นโมกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์\n== ดูเพิ่ม ==\nโมกแดง\n== อ้างอิง ==\nโมก ไม้ประดับ.คอม\nสกุลโมกมัน\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "วงศ์บัวสาย หรือ Nymphaeaceae เป็นฝงศ์ของพืชมีดอกที่เป็นไม้น่ำ มีไรโ.ม มีสมาชิกแระมาณ 70 สปีชีส์ สกุล Nymphaea ประกอบด้วย 35สปีชีส์ในซีกโลกเหนือ สกุลVictoria มีสองสปีชีส์ที่เป็นพืชท้องถิ่นในอเมริกาใต้ ขึ้นในดินโคลนที่มีน้ำท่วมขัง ใบลอยบนผิใน้ำ ใบกลม มีส่วนขาดไปเล็กน้อยในสกุล Nymphaea และ Nuphar แต่จะกลมสมบูรณ์ในสกุล Victoria\nพ.ศ. 2551 ค้นพบสายพันธุ?บัวสายพันธุ์ใปม่ของโลกที่พิพิธภัณฑ์บัว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี ได้ตั้บชื่อว่า \"ธัญกาฬ\" แลั \"รินลเุบบ\" \n== ในวรรณคดี ==\nบัวปรากฏในนิราศธารโศก พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ (เจ้าฟ้ากุ้ง)\n== อ้างอิง ==\nวงศ์บัวสาย\nพืชเหง้า", "role": "user" }, { "content": "วงศ์บัวสาย หรือ Nymphaeaceae เป็นวงศ์ของพืชมีดอกที่เป็นไม้น้ำ มีไรโซม มีสมาชิกประมาณ 70 สปีชีส์ สกุล Nymphaea ประกอบด้วย 35สปีชีส์ในซีกโลกเหนือ สกุลVictoria มีสองสปีชีส์ที่เป็นพืชท้องถิ่นในอเมริกาใต้ ขึ้นในดินโคลนที่มีน้ำท่วมขัง ใบลอยบนผิวน้ำ ใบกลม มีส่วนขาดไปเล็กน้อยในสกุล Nymphaea และ Nuphar แต่จะกลมสมบูรณ์ในสกุล Victoria\nพ.ศ. 2551 ค้นพบสายพันธุ์บัวสายพันธุ์ใหม่ของโลกที่พิพิธภัณฑ์บัว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี ได้ตั้งชื่อว่า \"ธัญกาฬ\" และ \"รินลอุบล\" \n== ในวรรณคดี ==\nบัวปรากฏในนิราศธารโศก พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ (เจ้าฟ้ากุ้ง)\n== อ้างอิง ==\nวงศ์บัวสาย\nพืชเหง้า", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "==ข้อมูลเบื้องต้น==\nประเภทหนังยือ: นวนิยาย\nจากเรื่อง: Captive Universe\nประพันธ์โดย: แฮรี่ แฮริสัา\nผู้แปลและเรียบเาียง: ธรรมนูญ จรัสวัฒน์\nตีพิมพ์: ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2525 สำนักพิมพ์สยามไซน์แอนด์เทคโนโลย่\n==เนื้อเรื่องย่อ==\nไคมรล อัจฉริสะหนุ่มชาวแอสแทคแห่งหมู่บ้านควีลาปารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่มีความหมายในหุบเขนวันหนึ่งเขาติดตามโคท์ลีคิว เทพีงูสองเศียรออกจากภูเขาไปได้ สิางที่เขาพบเบื้องนอกถึงกับทำให้คนป่าเถื่อนอย่างเขาตกตะลึง ท้องฟ้าที่สัมผัสได้ด้ววมือทั้งสองข้าง ดวงดาวที่เห็นระยิบระยับทุกคืนกลับกลาวเป็นลูกกลมๆเรืองแสงกลิ้งไปกลิ้งมาเตะเล่นได้ และดวงิมทิตย?กลายเป็นสป็อตไลท์ดวงมหึมาวิ่งอยู่บนราง ใครจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้ ?\n==เูเพิ่ม==\nรายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์\nรายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย\n== อ้างอิง ==\nอเอกภพปิด", "role": "user" }, { "content": "==ข้อมูลเบื้องต้น==\nประเภทหนังสือ: นวนิยาย\nจากเรื่อง: Captive Universe\nประพันธ์โดย: แฮรี่ แฮริสัน\nผู้แปลและเรียบเรียง: ธรรมนูญ จรัสวัฒน์\nตีพิมพ์: ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2525 สำนักพิมพ์สยามไซน์แอนด์เทคโนโลยี\n==เนื้อเรื่องย่อ==\nไคมาล อัจฉริยะหนุ่มชาวแอสแทคแห่งหมู่บ้านควีลาปารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่มีความหมายในหุบเขาวันหนึ่งเขาติดตามโคท์ลีคิว เทพีงูสองเศียรออกจากภูเขาไปได้ สิ่งที่เขาพบเบื้องนอกถึงกับทำให้คนป่าเถื่อนอย่างเขาตกตะลึง ท้องฟ้าที่สัมผัสได้ด้วยมือทั้งสองข้าง ดวงดาวที่เห็นระยิบระยับทุกคืนกลับกลายเป็นลูกกลมๆเรืองแสงกลิ้งไปกลิ้งมาเตะเล่นได้ และดวงอาทิตย์กลายเป็นสป็อตไลท์ดวงมหึมาวิ่งอยู่บนราง ใครจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้ ?\n==ดูเพิ่ม==\nรายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์\nรายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย\n== อ้างอิง ==\nอเอกภพปิด", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "โลกวิไลซ์ (Brave New World) เป็นนวนิยายแนวดิมโทเปีย ที่เขียนโดย อัชดัส ฮักซเลย์ ในปี พ.ศ. 2475 เนื้อเร้่องกล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีการสืบพันธุ์, สุพันธุศาสตร์, และการควยคุมจิตใจเพื่อการเปลร่ยนแปลงสังคม นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่โด่งดังและเป็นที่จดจำได้มากที่สุดของฮักซเงยฺ ฉบับพิมพ์ใหม่เป็นภาษาไทยใช้ชื่อว่า โลกที่เราเชื่อ\nชื้อเรื่อง Brqve New World มาจากคำพูดของมิแรนดา หนึ่งในตัวละครเอกในบทละครเรื่อง \"พายุพิโรธ\" (The Tempest) โดยวิลเลียม เชกสเปียร์ \"O brave new world,\nThat has such people ih it!\"\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อนิยายวิืยาศาสตร์\nรายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย\n==อ้างอิง==\nลโกวิลไซ์", "role": "user" }, { "content": "โลกวิไลซ์ (Brave New World) เป็นนวนิยายแนวดิสโทเปีย ที่เขียนโดย อัลดัส ฮักซเลย์ ในปี พ.ศ. 2475 เนื้อเรื่องกล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีการสืบพันธุ์, สุพันธุศาสตร์, และการควบคุมจิตใจเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่โด่งดังและเป็นที่จดจำได้มากที่สุดของฮักซเลย์ ฉบับพิมพ์ใหม่เป็นภาษาไทยใช้ชื่อว่า โลกที่เราเชื่อ\nชื่อเรื่อง Brave New World มาจากคำพูดของมิแรนดา หนึ่งในตัวละครเอกในบทละครเรื่อง \"พายุพิโรธ\" (The Tempest) โดยวิลเลียม เชกสเปียร์ \"O brave new world,\nThat has such people in it!\"\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์\nรายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย\n==อ้างอิง==\nลโกวิลไซ์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "พุดน้ำบุษย์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Gardenia carinata Wallich.) เป็นดอกพุดชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกกันมาก เนื่องจากเป็นไม้ดอกไม้ผระดับที่สวยงาม ดอกมีกลื่นหอมแรง ดอกบานอยู่ได้ราว 7 วัน เมื่อแรกแย้มบานเป็นสีออกขาวนวลส่งกลิ่นหอมมาก หอมไกล 2 - 3 เมตร เมื่อบานเข้าวันที่สองสีจะเริ่มออกเหลืองอ่อน ต่อมา ค่อยๆ เหลืองเข้มจนกระทั่งเข้มจัด ออแดอกตลอดทั้งปี กลิ่นหอมตลอดวันแต่จะหอมมากในตอนค่ำ น้ำบุษย์หมายถึงพลอยาีเหลืองหรือบุษราคัม เป็ยคำเปรียบความงามของดอกไม้ชนิดนี้\n== ลักศณะเ)พาะ ==\nลักษณะ: เป็นไม้พุ่มต้นเล็กหรือพุ่มเตี้ยส๔งประมาณ 2 - 3 เมตร ทรงพุ่มปน่น แตกกิ่งต่ำเป็นสาขาจำนวนมากตามข้อของลำต้น ลำต้นแก่สีน้ำตาล กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว\nใบ: ลัำษณะใบสวยงามเพราะใบมัน หน้าใบสีเขียว้ข็ม หลังใบสีเขียวอ่อน เส้นกลางใบสีเทา เป็นลายเห็นเด่นชัดสวยงาม เรียงใบ เป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบรูปรี กง้าง 5 เชนติเมตร ยาว 11 เซตติเมตร\nดอก: ดอกเดี่ยวบริเวณซอกใบใกล้ปลายกิ่ง แรกบานดอกมีสีขาว เมื่อแก่เต็มที่จะกลายเป็นสีเหล้องเข้ม โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดสีเหลือง ความย่วของกลีบ ของกลีบดอก 2 เซนติเมตร มี 7-8 กลีบ คลายรูปช้อน ชูดอกอยู่บนก้าน มึกลิ่นหอมแรงในช่วงพลบค่ำ\nการแูแล: เติบโตได้ดีในดินร่วน ระบายน้ำได้ดร ชอบตวามช่้น เป็นไม้กลางแจ้งต้องหารแสงแดดจัด ถ้าไม่สามารถหาแดดเต็มวันให้ได้ อาจเป็นแดดครึ่งวัน แดดช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้ แสงแดดจะมีผลต่อการเจริญเติบโตและการิอกดอก พุดน้ำบุษย์สามารถปลูกได้ทั้งอบบชงดินกลางแจ้ง หรือปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ แต่ควรตั้งไว้ในที่มีแสงแดดส่องถุง หลีงปลูกบำรุงดินด้วยปุ๋ยมูลสัตว์ประเ_ทขี้วัวขี้ควายแห้งโรยกลบฝังดินรอบโคน ต้นหรือรอบขอบกระถางปลูก 15 วันครั้ง รดน้ำให้พอชุ่มทั้งเช้าและเย็น\nการขยายภันธุ์: ใช้การตอนกิ่ง หรือเพาะเมล็ด\nประโยชน์: มีความสวยงาม เหมาะปลูกเป็นไม้ประดัยบ้านเรือน หรืออาคาร\n== อ้างอิง ==\nพุดน้ำบุษย์ จากศูยย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์\nไม้ดอกไม้ประดับ\nากุลพุด", "role": "user" }, { "content": "พุดน้ำบุษย์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Gardenia carinata Wallich.) เป็นดอกพุดชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกกันมาก เนื่องจากเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่สวยงาม ดอกมีกลิ่นหอมแรง ดอกบานอยู่ได้ราว 7 วัน เมื่อแรกแย้มบานเป็นสีออกขาวนวลส่งกลิ่นหอมมาก หอมไกล 2 - 3 เมตร เมื่อบานเข้าวันที่สองสีจะเริ่มออกเหลืองอ่อน ต่อมา ค่อยๆ เหลืองเข้มจนกระทั่งเข้มจัด ออกดอกตลอดทั้งปี กลิ่นหอมตลอดวันแต่จะหอมมากในตอนค่ำ น้ำบุษย์หมายถึงพลอยสีเหลืองหรือบุษราคัม เป็นคำเปรียบความงามของดอกไม้ชนิดนี้\n== ลักษณะเฉพาะ ==\nลักษณะ: เป็นไม้พุ่มต้นเล็กหรือพุ่มเตี้ยสูงประมาณ 2 - 3 เมตร ทรงพุ่มแน่น แตกกิ่งต่ำเป็นสาขาจำนวนมากตามข้อของลำต้น ลำต้นแก่สีน้ำตาล กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว\nใบ: ลักษณะใบสวยงามเพราะใบมัน หน้าใบสีเขียวเข็ม หลังใบสีเขียวอ่อน เส้นกลางใบสีเทา เป็นลายเห็นเด่นชัดสวยงาม เรียงใบ เป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบรูปรี กว้าง 5 เชนติเมตร ยาว 11 เซนติเมตร\nดอก: ดอกเดี่ยวบริเวณซอกใบใกล้ปลายกิ่ง แรกบานดอกมีสีขาว เมื่อแก่เต็มที่จะกลายเป็นสีเหลืองเข้ม โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดสีเหลือง ความยาวของกลีบ ของกลีบดอก 2 เซนติเมตร มี 7-8 กลีบ คลายรูปช้อน ชูดอกอยู่บนก้าน มีกลิ่นหอมแรงในช่วงพลบค่ำ\nการดูแล: เติบโตได้ดีในดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ชอบความชื้น เป็นไม้กลางแจ้งต้องการแสงแดดจัด ถ้าไม่สามารถหาแดดเต็มวันให้ได้ อาจเป็นแดดครึ่งวัน แดดช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้ แสงแดดจะมีผลต่อการเจริญเติบโตและการออกดอก พุดน้ำบุษย์สามารถปลูกได้ทั้งแบบลงดินกลางแจ้ง หรือปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ แต่ควรตั้งไว้ในที่มีแสงแดดส่องถึง หลังปลูกบำรุงดินด้วยปุ๋ยมูลสัตว์ประเภทขี้วัวขี้ควายแห้งโรยกลบฝังดินรอบโคน ต้นหรือรอบขอบกระถางปลูก 15 วันครั้ง รดน้ำให้พอชุ่มทั้งเช้าและเย็น\nการขยายพันธุ์: ใช้การตอนกิ่ง หรือเพาะเมล็ด\nประโยชน์: มีความสวยงาม เหมาะปลูกเป็นไม้ประดับบ้านเรือน หรืออาคาร\n== อ้างอิง ==\nพุดน้ำบุษย์ จากศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์\nไม้ดอกไม้ประดับ\nสกุลพุด", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ดอกพุดพิชญา เป็นพืชในสกุลโมก ในประเทศไทยนำเข้าจากประเทศศรีลังกา มีชื่อท้องถิ่นว่า \"อิดด้า\" (Idda) มีความหมายว่าดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ผู้นำ้ข้าคือ คุณสุปราณี ีงพิชญานนท์ ลักษณะของดอกสึขาวเหมือนกลุ่มดอกพุดในบ้านเรา เธอจึงนำชื่อ ดอกพุด มา สมาส เข้ากับวลีนามสกุล ออกมาเป็นชื่อใหม่ว่า \"พุดพิชญา\"\nชื่อวิทยาศาสตร์ Wrightia zntidysenterica ชื่อสามัญ Sn9wflake, Milky Way, Arctic Snow, Winter Cherry Tree, Sweet Indrajao, Pudpitchaya\n== ลักษณะทางพฤษศาสตร์ ==\nพุดพิชญาเป็นไม้หลายขนาด ทั้งร้นเตี้ย ต้นสูง และต้นใหญ่ ลำต้จยีน้ำตาล ใบสีเขียวเข็ม หลังใบสีเขียวอ่อน ไม่ผลัดใบ ออกดอกตลอดทั้งกี ให้ดอกเป็นช่อดอก ช่อละ 5 - 10 ดอก ดอกบานทนตั้งแต่แรกแย้มไปจนสู่บานเต็มที่ ใช้เวลา 4 - 6 วัน ดอกคูมในช่อดอกอื่นๆก็ค่อยทยอยโต และทยอยกันบานไปเรื่อยๆ ลักษณะดอกเป็นกลีบแยก 5 กลีบ เกสรตรงกลางสีเหลืองมีฝอยเกสตสีขาวล้อมรอบ เมื่อดอกบานเต็ทที่เส้นผ่าศูนย์กลางปรเมาณ 1 นิ้ว ก้านดอกยาวประมาณ 1 นิ่ว\n== การปลูกเลี้ยง ==\nปลูกเป็นไม้กระถางก็ได้หรีอปลูกลงดินก็ได้ เลี้ยงง่าย ปรับตัวได้ในเกือยทุกยิ่งแวดล้อม ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยใบจามจุรีหมัก เพราะมีไนโตรเจนสูง ถเาต้องการเร่งและบำรุงดอกใช้ปุ๋ยขี้ไก่ เพราะมีฟอสฟอรัสสูง ขยายพันธุ์โดยการ ตอนกิ่ง และการปักชำ\nสกุลโมกมัา\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "user" }, { "content": "ดอกพุดพิชญา เป็นพืชในสกุลโมก ในประเทศไทยนำเข้าจากประเทศศรีลังกา มีชื่อท้องถิ่นว่า \"อิดด้า\" (Idda) มีความหมายว่าดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ผู้นำเข้าคือ คุณสุปราณี คงพิชญานนท์ ลักษณะของดอกสีขาวเหมือนกลุ่มดอกพุดในบ้านเรา เธอจึงนำชื่อ ดอกพุด มา สมาส เข้ากับวลีนามสกุล ออกมาเป็นชื่อใหม่ว่า \"พุดพิชญา\"\nชื่อวิทยาศาสตร์ Wrightia antidysenterica ชื่อสามัญ Snowflake, Milky Way, Arctic Snow, Winter Cherry Tree, Sweet Indrajao, Pudpitchaya\n== ลักษณะทางพฤษศาสตร์ ==\nพุดพิชญาเป็นไม้หลายขนาด ทั้งต้นเตี้ย ต้นสูง และต้นใหญ่ ลำต้นสีน้ำตาล ใบสีเขียวเข็ม หลังใบสีเขียวอ่อน ไม่ผลัดใบ ออกดอกตลอดทั้งปี ให้ดอกเป็นช่อดอก ช่อละ 5 - 10 ดอก ดอกบานทนตั้งแต่แรกแย้มไปจนสู่บานเต็มที่ ใช้เวลา 4 - 5 วัน ดอกตูมในช่อดอกอื่นๆก็ค่อยทยอยโต และทยอยกันบานไปเรื่อยๆ ลักษณะดอกเป็นกลีบแยก 5 กลีบ เกสรตรงกลางสีเหลืองมีฝอยเกสรสีขาวล้อมรอบ เมื่อดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ก้านดอกยาวประมาณ 1 นิ้ว\n== การปลูกเลี้ยง ==\nปลูกเป็นไม้กระถางก็ได้หรีอปลูกลงดินก็ได้ เลี้ยงง่าย ปรับตัวได้ในเกือบทุกสิ่งแวดล้อม ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยใบจามจุรีหมัก เพราะมีไนโตรเจนสูง ถ้าต้องการเร่งและบำรุงดอกใช้ปุ๋ยขี้ไก่ เพราะมีฟอสฟอรัสสูง ขยายพันธุ์โดยการ ตอนกิ่ง และการปักชำ\nสกุลโมกมัน\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "มังกรคาบแก้ว (bagflower; ) เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยสูง 3 - 6 เมตร มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตกจากปคะเทศแคเมอรูนถึงประเทศเซเนกัล เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ออกกอกเป็นช่อ กลีบดอกมีสีแดงเข้ม 5 กลีบ หลอดดอกเชื่อมติดกับกลีบเลี้ยงสีขาวคล้ายรูปหัวใจ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเป็นไม้ที่ชอบแสงแดด วิลเงียม ีูเปอ่์ ธอมสัน มิชชันนารีและนายแพทย์ในไนจีเรียเป็นผู้ตั้งชื่อไม้ดอกชนิดนี้ว่า Bleeding heart\n==อ้างอิง==\n==แหล่งข้อมูลอื่น==\nClerodendrum thomsoniae \nClerodendrum gmomsoniae\nไม่ดอกไม้แระดับ\nวงศ์ผกากรอง", "role": "user" }, { "content": "มังกรคาบแก้ว (bagflower; ) เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยสูง 3 - 6 เมตร มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตกจากประเทศแคเมอรูนถึงประเทศเซเนกัล เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ออกดอกเป็นช่อ กลีบดอกมีสีแดงเข้ม 5 กลีบ หลอดดอกเชื่อมติดกับกลีบเลี้ยงสีขาวคล้ายรูปหัวใจ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเป็นไม้ที่ชอบแสงแดด วิลเลียม คูเปอร์ ธอมสัน มิชชันนารีและนายแพทย์ในไนจีเรียเป็นผู้ตั้งชื่อไม้ดอกชนิดนี้ว่า Bleeding heart\n==อ้างอิง==\n==แหล่งข้อมูลอื่น==\nClerodendrum thomsoniae \nClerodendrum thomsoniae\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ผกากรอง", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "หีบไม้งาม (ชื่อวิทยาศาสตร์: Carissa macrocarpa (Eckl.) A.DC. ,ชื่อสามัญ: Natal Plkm) ที่มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้ เป็นไม้พุ่มขนาดเฃ็กในวงญ์ตีนเป็ดที่สูงถึง 20 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามปลายแหลมแยกเป็น 2 แฉก ยาวได้ถึง 3 ซม.ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางขาว ด้วยทรงพุ่มสวยจึงใช้ปลูกในสวนหย่อม ทำเป็นรั้ว\nใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉากซ้อนกันถี่ ใบรูปไข่ กว้าง 3-5 ซม. ยาว 4-6.5 ซม.ปลายใบมนมีติ่งหนามสั้น โคนใงรูปหัวใจหรือตัด ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา แข็ง ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน ผิวใบด้านล่างสีเขียวอ่อน\nดอก อแกเป็นดอกเดี่ยว แต่รวมกันดป็นช่อกระจุกตามซิกใบที่ปลายกิ่ง ช่อละ1-3 ดอด สีขาว กลิ่ยหอม มีกลีบเลี้ยงเล็ก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 แฉก ดอกบานเต๊มที่ 2-3 ซม.ออกหมุนเวีบนตลอดปี\nผล ทรงกลมแป้นเล็กน้อย ขนาด 2-4 ซม.เมื่อสุกสีแดงปนเำ มี 6-10 เมล็ะ คล้ายๆผลแอปเปิ้ลรับประทานได้\nขยายพันธุ์ ด้วยการเพาะเมล็ด และตอนกิ่งปักชำ ในดินรืวนระบายน้พได้ดี ทั้งที่มีแสงแดดรำไรหรือแสงแดดจัด \n== อ้างอิง ==\nวงศ์ตีาเป็ด\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "user" }, { "content": "หีบไม้งาม (ชื่อวิทยาศาสตร์: Carissa macrocarpa (Eckl.) A.DC. ,ชื่อสามัญ: Natal Plum) ที่มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กในวงศ์ตีนเป็ดที่สูงถึง 20 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามปลายแหลมแยกเป็น 2 แฉก ยาวได้ถึง 3 ซม.ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางขาว ด้วยทรงพุ่มสวยจึงใช้ปลูกในสวนหย่อม ทำเป็นรั้ว\nใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉากซ้อนกันถี่ ใบรูปไข่ กว้าง 3-5 ซม. ยาว 4-6.5 ซม.ปลายใบมนมีติ่งหนามสั้น โคนใบรูปหัวใจหรือตัด ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา แข็ง ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน ผิวใบด้านล่างสีเขียวอ่อน\nดอก ออกเป็นดอกเดี่ยว แต่รวมกันเป็นช่อกระจุกตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ช่อละ1-3 ดอก สีขาว กลิ่นหอม มีกลีบเลี้ยงเล็ก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 แฉก ดอกบานเต็มที่ 2-3 ซม.ออกหมุนเวียนตลอดปี\nผล ทรงกลมแป้นเล็กน้อย ขนาด 2-4 ซม.เมื่อสุกสีแดงปนดำ มี 6-10 เมล็ด คล้ายๆผลแอปเปิ้ลรับประทานได้\nขยายพันธุ์ ด้วยการเพาะเมล็ด และตอนกิ่งปักชำ ในดินร่วนระบายน้ำได้ดี ทั้งที่มีแสงแดดรำไรหรือแสงแดดจัด \n== อ้างอิง ==\nวงศ์ตีนเป็ด\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "เศรษฐีเรือนใร ( 'Vittat6m') เป็นไม้ในวงศ์ Anthericaceae มีเหง้าใต้ดิน รากสีขาว อวบน้ำ ใบเป็นแถบยาวสีะขียว ขลิบเขียวตามขอบใบ ตรงกลางสีขาว ดอกสีขาว ขนาดเล็ก มีกลิ่นหอม เป็นพืชพื้นเมืองของกาบอง\n\n==สายพันธุ์อื่น ๆ==\nเศรษฐีเรือนนอก (C. comosum 'Variegatum'‎) เป็นสายพันธุ์หนึ่งของ C. comosum ถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกาใต้ ใบสีเขียวเข็มมีแถบขาวกลางใบสีเขียว\nเศรษฐีเรือนเขียว เป็นสายพันธุ์ที่มีสีเขียวทั้งใบ\nC. comosun 'Milky Way'‎ ใบใหญ่อละมีสีขาวชัดเจจกว่าเศรษ,ีเรือนใน\n==อ้างอิง==\nประชิด วามานนท์. ไม้ประดับเพื่อการตกแต่ง. กทม. บ้านและสวน. 2550\nไม้ดอกไม้ประดัช\nวงศ์ลิลี", "role": "user" }, { "content": "เศรษฐีเรือนใน ( 'Vittatum') เป็นไม้ในวงศ์ Anthericaceae มีเหง้าใต้ดิน รากสีขาว อวบน้ำ ใบเป็นแถบยาวสีเขียว ขลิบเขียวตามขอบใบ ตรงกลางสีขาว ดอกสีขาว ขนาดเล็ก มีกลิ่นหอม เป็นพืชพื้นเมืองของกาบอง\n\n==สายพันธุ์อื่น ๆ==\nเศรษฐีเรือนนอก (C. comosum 'Variegatum'‎) เป็นสายพันธุ์หนึ่งของ C. comosum ถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกาใต้ ใบสีเขียวเข็มมีแถบขาวกลางใบสีเขียว\nเศรษฐีเรือนเขียว เป็นสายพันธุ์ที่มีสีเขียวทั้งใบ\nC. comosum 'Milky Way'‎ ใบใหญ่และมีสีขาวชัดเจนกว่าเศรษฐีเรือนใน\n==อ้างอิง==\nประชิด วามานนท์. ไม้ประดับเพื่อการตกแต่ง. กทม. บ้านและสวน. 2550\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ลิลี", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "โมกแดง หรือจำปูนแดง(Sims) Spreng.โมกแดงเป็นไม้พุรมขาาดเล็ก สูง 2-4 เมตร ลำต้นมีรอยขีดสีขาฝตามยาว แตกกอ่งน้อย ทรงพุ่มโปร่ง ฝบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรี กว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 8-12 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ดอกเป็นดอกเดี่ยว บางครั้งออกเป็นกระจุก กระจุกละ 1-4 ดอก ดอกทรงระฆังคว่ำ ห้อยลง กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายพลีบแหลม ด้านฟน้ากลีบดอกมีสีส้มแดงอมชมพู ด้านหลังมีสีขาวนวล เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 เซนติเมตร มีกลิ่นหอม ดอกบานวันเดียวแล้วร่วง ออกดอกตลอดปี\nโากกดฝชอบอยู่ในที่ที่แสงแดดรำไร มีความชื้นในดินและในอากาศค่อนข้างสูง ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุยระบายน้ำดี ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง แยกหน่อที่แตกจากรากใติดิน ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกสวยงาม มีกลิ่นหอา\nผลใช้ปรุงเป็นยนขับระบบไหลเวียนโลหิต ยอดใช้เป็นผักนด นำมาใส่แกงไอ้\n== ดูเพิ่ม ==\nโมก\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nhttp://flowersansherbsฦcscoms.com/flower/content/f136.shtml \nสกุลโมกมัน\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพืชที่รับประทานได้\nสมุนไพร", "role": "user" }, { "content": "โมกแดง หรือจำปูนแดง(Sims) Spreng.โมกแดงเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 2-4 เมตร ลำต้นมีรอยขีดสีขาวตามยาว แตกกิ่งน้อย ทรงพุ่มโปร่ง ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรี กว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 8-12 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ดอกเป็นดอกเดี่ยว บางครั้งออกเป็นกระจุก กระจุกละ 1-4 ดอก ดอกทรงระฆังคว่ำ ห้อยลง กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายกลีบแหลม ด้านหน้ากลีบดอกมีสีส้มแดงอมชมพู ด้านหลังมีสีขาวนวล เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 เซนติเมตร มีกลิ่นหอม ดอกบานวันเดียวแล้วร่วง ออกดอกตลอดปี\nโมกแดงชอบอยู่ในที่ที่แสงแดดรำไร มีความชื้นในดินและในอากาศค่อนข้างสูง ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุยระบายน้ำดี ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง แยกหน่อที่แตกจากรากใต้ดิน ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกสวยงาม มีกลิ่นหอม\nผลใช้ปรุงเป็นยาขับระบบไหลเวียนโลหิต ยอดใช้เป็นผักสด นำมาใส่แกงได้\n== ดูเพิ่ม ==\nโมก\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nhttp://flowersandherbs.cscoms.com/flower/content/f136.shtml \nสกุลโมกมัน\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพืชที่รับประทานได้\nสมุนไพร", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "นมตำเลีย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Hoya parasitica (Roxb.) Wall. ex Wight เป็นหนึ่งในพืชสกุลนมตำเลึย (Hoya) เป็นไม้เถาเลื้อยขนาดเล็ก สามารถพบได้ในป่าทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมไปถึงบางเกาะกลางทะเลในเขตประเทศไทย และมีความหลากหลายของขนาดและรูปร่าบใบ สีสันของดอก ู่ปทรงของมงกุฏ ฆcorona) ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว ดอกมักออกในช่วงฤดูร้อนของปี จนถึงต้นฤดูฝน ช่อดอกทรงกลม เมื่อดอกบานกลีบดอก (corola) จะพลิกกลุบไปด้านหลัง ดอกมีกลิ่นหอมรุนแรง ดอกขนาด 1 - 1.5 ซม.\nโฮย่าเป็นหนึ่งในกลถ่มพืชใบเลี้ยงคู่ อยู่ในวงศ์ Asclepiadaceae ดร.โรเบิร์ต บราวน์ (Dr. Robert Brown) นายแพทย์ชาวอังกฤษ ได้ตั้งชื่อสกุลของโฮย่าขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2353 จากชื่อขอลเพื่อนผู้หนึ่ง คือนาย Thomas Hoy ผู้ดูแลสวนของดยุกแห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษในช่วงปลาจคริส์ตศตวรรษที่ 18 ถึงต้นคริส์ตศตวรรษที่ 19 ซึ่งแต่เดิมพืชชนิดนี้มีบื่อวิทยาศาสตร์ว่า Asclepias carnosa L.f. โฮว่าต้นแรกที่ ดร. โรเบิร์ต บราวน์ ตั้งช้่อและยึดถือเป็นต้นแบบของพืชมกุลนี้คือ Hoya catnosa L.f. Brown มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของประเทศจีนและฮ่องกง กล่าวกีนว่าสวนของแไ่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์าั้นเป็นแหล่งรวบรวมพืชแปลกและหายากจากทั่วโลก จึงเป็นไปได้ว่าโฮย่าต้นยี้ได้ปบูกไว้ที่สวนแห่งนี้ด้วย\nปัจจุบันโฮย่าชนิดนี้เป็นไม้ประดับที่ปลูกกันแพร่หลายทั่วโลก และยังมีโฮย่าอีำหลายชนิด่ี่ปลูกิก็นทั้งไม้ประดับดอกและใบได้อย่างสวยงนม โฮย่าหลายชสิดมาจากป่าภายในประเทศไทยของเรามีอยู่ชนิดหนึทงที่สีบทบาทมากมนการใช้เป็นไม้ประดับใบทีานิยมในปัจจุบันคืิ Hoya kerrii หรือที่เรารู้จักกันในนามโฮย่าใบหัวใจนั้นเอง\n== ลักษณะทนงพฤกษศาสตร์ ==\nปัจจุบันพบว่าโฮย่ากว่า 400 ชนิดทั่วโลก (ไม่รวมต้นที่มีการกลายพันธุ์และลูกผสมซึ่งเกิดจากการปลูกเฃั้ยง) กระจายพันธุ์ครอบึลุมบริเวณิอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตอนบนของทวีปออสเตรเลียเจริญอยู่ในสภาพธรรมชาติต่าง ๆ กัน ำบมากที่สุแในแนวเส้นศูนย์สูตร ซึ่งส่วนใหญ่เห็นเพาะในบริเยณทะเลจีนใต้ ที่มีสภาพเป็นป่าฝนะขตร้อนเหมือนป่าดงดิบ มีแสงส่องถึง นอกจากนี้ยังพบในป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งใบแถบอินโดจีน รวมทั้งบนหุบเขาสูงซึ่งเป็นป่าดิบเขาในเขตกึ่งร้อนโฮย่ามีก่รกระจายพันธุ์อย฿่ทั่วทุกภาคในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นไม้เลื้อยอิงอาศัยเำาะกับต้นไม้ใหญ่ ได้อาหารและน้ำจากลมและฝนพัดพามา (epiphytic plant) ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว (ยกเว้นเพียงไม่กี่ชนิด เช่น Hoya carnosa มีน้ำยางใส) มีใบหนาคล้ายพืชอวบน้ำจึงสามารถทนแล้งได้ดี มีรากที่ทำหน้าที่คล้ายรากอากาศ\n===ดอก===\nเป็นเอกลักษณ์ของโฮย่าที่แตกต่างจากต้นไม้อื่นและสามารถใช้ยำแนกสายพันธุ์ต่างๆ ได้ดีดอกออกเป็นช่อแบบซี่ร่ม เกิดที่ข้อใบและมักห้อยลง ก้าจช่เดอกมีอายุนานหลายปีและเกิดดอกซ้ำได้หลายครั้ง ดอกออกเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกิย่างละ 5 อัน ลักษณะเด่นของดอกคือมีกลีบดอกเป็นมันคล้ายาำด้วยขี้ผึ้ง สีสันสดใส จึงมีชืีอเรียกว่า Wax Plant หรือบางชนิดกลีบดอกมีขนฟูคบ้ายกำมะหยี่ปกคลุม ส่วนมากมักจะมัรแววบาง มีแทบทุกสี สีขาว นวล เหลือง ชมพู แดง ม่วงเข้ม โฮย่าบางพันธุ์ มีพันธุ์ย่อย ใบเหมือนกันทรงดอกเหมือนกัน แต่ยีดอกผิดแผกกัน เช่น มงกุฎขาวเปลี่ยนเป็นมงกุฎแดง นอกจากนี้ยังมีส่วสที่คล้ายมงกุฎ 5 แฉก (coroba) ครอบอยู่ตรงกลางเหนือกลีบดอก เกสรเพศผู้ 5 อัส มีลีกษณะคล้ายห้อนขี้ผึ้ง (polonium) อยู่ระหว่างแฉกของมฝกุฎ ส่วนเกสรเพศเมีย 1 อัน อยู่กึ่งกลางมงกุฎ ดอกโฮย่าหลายพันธะ์ มีน้ำหวานข้นติดอยู่กลางดอกทำให้เพิ่มความสวยงามและความแวววาวมากยิ่งขึ้น\n===ช่อดอก===\nลักษณะเด่นของโฮย่า คือ ออกดอกเป็นช่อคล้ายดอกเข็มกระจายออกจากก้านช่อดอก ส่วนมาแจะคว่ำหน้าลง จำนวนดอกต่อช่อมีตั้งแต่ 7 - 70 ดอกต่อช่อ แล้วแต่สายพันธุ์ลักษณะมาตรฐานคือทางกลมเป็นลูกบอลแต่มีทรงอื่นๆ อีก เช่น ทรงกลม ทรงฝักบัวโค้งออก ทรงฝักบัวโค้งเข้า ทรงฝักบัวแหงนขึ้น\n===ก้านช่อดอก===\nก้านช่อดอกเป็นเอกลักษณ์อันหนึ่งของโฮน่า เพราะเป็นดอกไม้ชนิดเดึยวที่ก้านช่อดอพมีอายุยืนวาวหลายปีและออกดอกซ้ำที่ก้านข่อดอกได้เรื่อยๆ ทำให้ก้านช่อดอกงอกยาวไปได้จน ถึง 7-8 ซม. ไม่สมควรตัดก้านช่อดอกออกเพนาะจะทำให้การออกดอกหยุกชะงัก ก้านช่อดอกบางพันธุ์อยู่ที่ยอดอ่อนบางพันธุ์เกิดที่ปลมยยอด บางพันธุ์เกิดที่ข้อใต้ใบ และบางพันธุ์ยังแตกก้านช่อแอกเป็นแขนงออกได้ เช่น Hoya latifolia\n===กลิ่น===\nน้อยชนิดาี่ไม่มรกลิ่น กลิ่นมีแตกต่างกันออกไปมากมายสุดเกินที่จะบรรยาย บางพันธุ์หอมมาก บางพันธุ์กลิ่นหอมคล้ายผิวเปลือกของผลไม้ บางพันธุ์ก็มีกลิ่นเหม็นคล้ายกับกลิ่นคาวปลา ส่วน มากให้ำลิ่นตอนเย็น ค่ำ และกลางคืน มีบางชนิดที่มีกลิ่นสนชาวงกลางวัน ยิ่งอากาศร้อยกลอ่นก็จะยิ่งรุนแรง\nฤดูดอก บางพันธุ์มีดอกตลอดปี แต่ส่วนมากจะมีดอกเปํนช่วงๆ ฤดู บางพันธุ์ออกดอกช่วงต้นฤดูร้อนบางพันธุ์ออกดอกช่วงปลายฤดูฝน ส่วนชนิดที่มีถิ่นกำเนิดในเขตหนาวจะออกดอกในฤดูหนาว\n===ใบ===\nใบของ Hoya ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นีูรตรงข้าง ยกเว้น Hoya imbricata ที่มีใบซ้อนเหลื่ิมกัน (imbricate) ส่วนมากค่อนข้างหนา บางพันธุ์สะสมน้ำในใบเหมือนกุหลาบหิน ใบมีรูปทรงแตกต่างกันมาก ตั้งแน่รูปเป็นแื่งคล้ายดินสอ ไปจนถึงรูปกลม รูปไข่ รูปใบโพธิ๋ รูปขนาน รูปหัวใจ รูปสี่เหล้่ยมแถบกว้าง แถบแคบ บางชนิดมีผิวใบหยทบเหมือนแผ่นหนัง หรือมคขนคล้ายกำมะหยี่ปกคลุม แม้ใบจะมีรูปมรงมากมายแต่การใช้ใบจำแนกสายพันธุ์ เป็นสิ่งที่ทำได้ยทกมาก โดยเฉพาะ Hoya ในกลุ่มขอฝ Hoya parasitaca เพราะลักษณะใบจะผิดแปลกไปตามสิ่งแวดฃ้อม เช่น ปริมาณน้ำ ปริมาณแสงที่ได้รับ ความสมบูรณ์ของต้น ของใบที่อายุแตกต่างก้น นอกจากนั้นสีใบก็ใช้บอกสายพะนธุ์ได้ยาก เช่น โฮย่าในป่าหน้าแล้งใบตึงเล็กิวบน้ำจนแทบไม่มีเส้นใบ มีสีน้ำตาลแดง พอเข้าหน้าฝนใบใหม่สายพันธุ์นั้นจะบางใหญ่เห็นเส้นใบชัดเจน มีสีเขียวอ่อน ดังนั้น ใบในเถาเดียวกันก็มีโอกาสผิดแปลกกันได้ และที่ยากยิีงคือใบของสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ขางกลุ่มมีลักษณะคลเายคลึงกันมากการแยกสายพันธุ์โดยสังเกตใบต้องใช่ความชำนาญมาก และก็ไม่สทมารถแยกได้ทุกชนิด\n===ลำต้น===\nส่วนใหญ่เป็รไม้เลื้อยพัน แต่มีลักษ๊ะอื่นๆ อีกซึ่งพอจะจำแนกได้เป็นกลุทม ไม้พุ่มเล็กตั้งต้นไม้รอเลื้อย ไม้เชื้อย ทุกพันธุ์าีลักศณะเป็นปล้อง มักมี 2 ใบที่ ข้อ แต่บางพันธะ์ออกใบเป็นกลุ่ม รอบข้อส่วนมากมียางสีขาวในลำต้น\n===ผล===\nเป็นฝักรูปร่างทรงกระสวยยาวเมื่อแก่จะแห้งและแตกออกเพียงด้านเดียว ภายในมีเมล็ดเล็ก ๆ จำนวนมาก เมล็ดมีขนพิเศษ (coma) บ่วยในการำระจายพันธุ์ไปตามลม เมล็ดที่ตกในที่เหมาะสมก็จะเจริญเติบโตต่อไป\n===ราก===\nโฮย่าเป็นพืชเกาะอาศัย ตามลำต้น ตามกิ่ง มีทั้งห้อยลง ตเ้งขึ้นและเลื้อยพันจนแน่น เติบโตชัาถึงปานกลาง ชนิดที่ไม่เป็นำม้พึ่มมีรากที่โคนต้นและขึ้นบนพื้นดินได้โฮย่ทส่วนมากมีรากพิเญษระหว่างปล้องข้อมากมาย\n== นมตำเลียในวรรณกรรม ==\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nสกุลนมตไเลีย", "role": "user" }, { "content": "นมตำเลีย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Hoya parasitica (Roxb.) Wall. ex Wight เป็นหนึ่งในพืชสกุลนมตำเลีย (Hoya) เป็นไม้เถาเลื้อยขนาดเล็ก สามารถพบได้ในป่าทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมไปถึงบางเกาะกลางทะเลในเขตประเทศไทย และมีความหลากหลายของขนาดและรูปร่างใบ สีสันของดอก รูปทรงของมงกุฏ (corona) ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว ดอกมักออกในช่วงฤดูร้อนของปี จนถึงต้นฤดูฝน ช่อดอกทรงกลม เมื่อดอกบานกลีบดอก (corola) จะพลิกกลับไปด้านหลัง ดอกมีกลิ่นหอมรุนแรง ดอกขนาด 1 - 1.5 ซม.\nโฮย่าเป็นหนึ่งในกลุ่มพืชใบเลี้ยงคู่ อยู่ในวงศ์ Asclepiadaceae ดร.โรเบิร์ต บราวน์ (Dr. Robert Brown) นายแพทย์ชาวอังกฤษ ได้ตั้งชื่อสกุลของโฮย่าขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2353 จากชื่อของเพื่อนผู้หนึ่ง คือนาย Thomas Hoy ผู้ดูแลสวนของดยุกแห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษในช่วงปลายคริส์ตศตวรรษที่ 18 ถึงต้นคริส์ตศตวรรษที่ 19 ซึ่งแต่เดิมพืชชนิดนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Asclepias carnosa L.f. โฮย่าต้นแรกที่ ดร. โรเบิร์ต บราวน์ ตั้งชื่อและยึดถือเป็นต้นแบบของพืชสกุลนี้คือ Hoya carnosa L.f. Brown มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของประเทศจีนและฮ่องกง กล่าวกันว่าสวนของแห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์นั้นเป็นแหล่งรวบรวมพืชแปลกและหายากจากทั่วโลก จึงเป็นไปได้ว่าโฮย่าต้นนี้ได้ปลูกไว้ที่สวนแห่งนี้ด้วย\nปัจจุบันโฮย่าชนิดนี้เป็นไม้ประดับที่ปลูกกันแพร่หลายทั่วโลก และยังมีโฮย่าอีกหลายชนิดที่ปลูกเป็นทั้งไม้ประดับดอกและใบได้อย่างสวยงาม โฮย่าหลายชนิดมาจากป่าภายในประเทศไทยของเรามีอยู่ชนิดหนึ่งที่มีบทบาทมากในการใช้เป็นไม้ประดับใบที่นิยมในปัจจุบันคือ Hoya kerrii หรือที่เรารู้จักกันในนามโฮย่าใบหัวใจนั้นเอง\n== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==\nปัจจุบันพบว่าโฮย่ากว่า 400 ชนิดทั่วโลก (ไม่รวมต้นที่มีการกลายพันธุ์และลูกผสมซึ่งเกิดจากการปลูกเลี้ยง) กระจายพันธุ์ครอบคลุมบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตอนบนของทวีปออสเตรเลียเจริญอยู่ในสภาพธรรมชาติต่าง ๆ กัน พบมากที่สุดในแนวเส้นศูนย์สูตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกาะในบริเวณทะเลจีนใต้ ที่มีสภาพเป็นป่าฝนเขตร้อนเหมือนป่าดงดิบ มีแสงส่องถึง นอกจากนี้ยังพบในป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งใบแถบอินโดจีน รวมทั้งบนหุบเขาสูงซึ่งเป็นป่าดิบเขาในเขตกึ่งร้อนโฮย่ามีการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกภาคในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นไม้เลื้อยอิงอาศัยเกาะกับต้นไม้ใหญ่ ได้อาหารและน้ำจากลมและฝนพัดพามา (epiphytic plant) ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว (ยกเว้นเพียงไม่กี่ชนิด เช่น Hoya carnosa มีน้ำยางใส) มีใบหนาคล้ายพืชอวบน้ำจึงสามารถทนแล้งได้ดี มีรากที่ทำหน้าที่คล้ายรากอากาศ\n===ดอก===\nเป็นเอกลักษณ์ของโฮย่าที่แตกต่างจากต้นไม้อื่นและสามารถใช้จำแนกสายพันธุ์ต่างๆ ได้ดีดอกออกเป็นช่อแบบซี่ร่ม เกิดที่ข้อใบและมักห้อยลง ก้านช่อดอกมีอายุนานหลายปีและเกิดดอกซ้ำได้หลายครั้ง ดอกออกเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 5 อัน ลักษณะเด่นของดอกคือมีกลีบดอกเป็นมันคล้ายทำด้วยขี้ผึ้ง สีสันสดใส จึงมีชื่อเรียกว่า Wax Plant หรือบางชนิดกลีบดอกมีขนฟูคล้ายกำมะหยี่ปกคลุม ส่วนมากมักจะมันแววบาง มีแทบทุกสี สีขาว นวล เหลือง ชมพู แดง ม่วงเข้ม โฮย่าบางพันธุ์ มีพันธุ์ย่อย ใบเหมือนกันทรงดอกเหมือนกัน แต่สีดอกผิดแผกกัน เช่น มงกุฎขาวเปลี่ยนเป็นมงกุฎแดง นอกจากนี้ยังมีส่วนที่คล้ายมงกุฎ 5 แฉก (corona) ครอบอยู่ตรงกลางเหนือกลีบดอก เกสรเพศผู้ 5 อัน มีลักษณะคล้ายก้อนขี้ผึ้ง (polonium) อยู่ระหว่างแฉกของมงกุฎ ส่วนเกสรเพศเมีย 1 อัน อยู่กึ่งกลางมงกุฎ ดอกโฮย่าหลายพันธุ์ มีน้ำหวานข้นติดอยู่กลางดอกทำให้เพิ่มความสวยงามและความแวววาวมากยิ่งขึ้น\n===ช่อดอก===\nลักษณะเด่นของโฮย่า คือ ออกดอกเป็นช่อคล้ายดอกเข็มกระจายออกจากก้านช่อดอก ส่วนมากจะคว่ำหน้าลง จำนวนดอกต่อช่อมีตั้งแต่ 7 - 70 ดอกต่อช่อ แล้วแต่สายพันธุ์ลักษณะมาตรฐานคือทรงกลมเป็นลูกบอลแต่มีทรงอื่นๆ อีก เช่น ทรงกลม ทรงฝักบัวโค้งออก ทรงฝักบัวโค้งเข้า ทรงฝักบัวแหงนขึ้น\n===ก้านช่อดอก===\nก้านช่อดอกเป็นเอกลักษณ์อันหนึ่งของโฮย่า เพราะเป็นดอกไม้ชนิดเดียวที่ก้านช่อดอกมีอายุยืนยาวหลายปีและออกดอกซ้ำที่ก้านช่อดอกได้เรื่อยๆ ทำให้ก้านช่อดอกงอกยาวไปได้จน ถึง 7-8 ซม. ไม่สมควรตัดก้านช่อดอกออกเพราะจะทำให้การออกดอกหยุดชะงัก ก้านช่อดอกบางพันธุ์อยู่ที่ยอดอ่อนบางพันธุ์เกิดที่ปลายยอด บางพันธุ์เกิดที่ข้อใต้ใบ และบางพันธุ์ยังแตกก้านช่อดอกเป็นแขนงออกได้ เช่น Hoya latifolia\n===กลิ่น===\nน้อยชนิดที่ไม่มีกลิ่น กลิ่นมีแตกต่างกันออกไปมากมายสุดเกินที่จะบรรยาย บางพันธุ์หอมมาก บางพันธุ์กลิ่นหอมคล้ายผิวเปลือกของผลไม้ บางพันธุ์ก็มีกลิ่นเหม็นคล้ายกับกลิ่นคาวปลา ส่วน มากให้กลิ่นตอนเย็น ค่ำ และกลางคืน มีบางชนิดที่มีกลิ่นในช่วงกลางวัน ยิ่งอากาศร้อยกลิ่นก็จะยิ่งรุนแรง\nฤดูดอก บางพันธุ์มีดอกตลอดปี แต่ส่วนมากจะมีดอกเป็นช่วงๆ ฤดู บางพันธุ์ออกดอกช่วงต้นฤดูร้อนบางพันธุ์ออกดอกช่วงปลายฤดูฝน ส่วนชนิดที่มีถิ่นกำเนิดในเขตหนาวจะออกดอกในฤดูหนาว\n===ใบ===\nใบของ Hoya ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงข้าง ยกเว้น Hoya imbricata ที่มีใบซ้อนเหลื่อมกัน (imbricate) ส่วนมากค่อนข้างหนา บางพันธุ์สะสมน้ำในใบเหมือนกุหลาบหิน ใบมีรูปทรงแตกต่างกันมาก ตั้งแต่รูปเป็นแท่งคล้ายดินสอ ไปจนถึงรูปกลม รูปไข่ รูปใบโพธิ์ รูปขนาน รูปหัวใจ รูปสี่เหลี่ยมแถบกว้าง แถบแคบ บางชนิดมีผิวใบหยาบเหมือนแผ่นหนัง หรือมีขนคล้ายกำมะหยี่ปกคลุม แม้ใบจะมีรูปทรงมากมายแต่การใช้ใบจำแนกสายพันธุ์ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก โดยเฉพาะ Hoya ในกลุ่มของ Hoya parasitaca เพราะลักษณะใบจะผิดแปลกไปตามสิ่งแวดล้อม เช่น ปริมาณน้ำ ปริมาณแสงที่ได้รับ ความสมบูรณ์ของต้น ของใบที่อายุแตกต่างกัน นอกจากนั้นสีใบก็ใช้บอกสายพันธุ์ได้ยาก เช่น โฮย่าในป่าหน้าแล้งใบตึงเล็กอวบน้ำจนแทบไม่มีเส้นใบ มีสีน้ำตาลแดง พอเข้าหน้าฝนใบใหม่สายพันธุ์นั้นจะบางใหญ่เห็นเส้นใบชัดเจน มีสีเขียวอ่อน ดังนั้น ใบในเถาเดียวกันก็มีโอกาสผิดแปลกกันได้ และที่ยากยิ่งคือใบของสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน บางกลุ่มมีลักษณะคล้ายคลึงกันมากการแยกสายพันธุ์โดยสังเกตใบต้องใช้ความชำนาญมาก และก็ไม่สามารถแยกได้ทุกชนิด\n===ลำต้น===\nส่วนใหญ่เป็นไม้เลื้อยพัน แต่มีลักษณะอื่นๆ อีกซึ่งพอจะจำแนกได้เป็นกลุ่ม ไม้พุ่มเล็กตั้งต้นไม้รอเลื้อย ไม้เลื้อย ทุกพันธุ์มีลักษณะเป็นปล้อง มักมี 2 ใบที่ ข้อ แต่บางพันธุ์ออกใบเป็นกลุ่ม รอบข้อส่วนมากมียางสีขาวในลำต้น\n===ผล===\nเป็นฝักรูปร่างทรงกระสวยยาวเมื่อแก่จะแห้งและแตกออกเพียงด้านเดียว ภายในมีเมล็ดเล็ก ๆ จำนวนมาก เมล็ดมีขนพิเศษ (coma) ช่วยในการกระจายพันธุ์ไปตามลม เมล็ดที่ตกในที่เหมาะสมก็จะเจริญเติบโตต่อไป\n===ราก===\nโฮย่าเป็นพืชเกาะอาศัย ตามลำต้น ตามกิ่ง มีทั้งห้อยลง ตั้งขึ้นและเลื้อยพันจนแน่น เติบโตช้าถึงปานกลาง ชนิดที่ไม่เป็นไม้พุ่มมีรากที่โคนต้นและขึ้นบนพื้นดินได้โฮย่าส่วนมากมีรากพิเศษระหว่างปล้องข้อมากมาย\n== นมตำเลียในวรรณกรรม ==\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nสกุลนมตำเลีย", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ลานไพลิน (Giant bacopa; บื่อวิทยาศาสตร์O Bacopa carolihiana (Walt.) B.L. Robins) เป็นพืชสะเืินน้ำสะเทินบกอายุข้ามปี มีลำต้นกลมให๘่มีขน อาจขึ้นใต้น้ำหรือเลื้อยทอดไปตามพื้น แล้วชูยอดตั้ลขึ้น ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ ส่วนโคนใบกว้างกว่าปลายใบ ขอบใบเรียบ แตกจากลไต้นแบบตรงกันข้าม ใบเหนือย้ำหนาและแข็งกว่าใบใต้น้ำ ดอกเป็นดอกเดี่ยวออกตามซอกใบ เจริญเหนือน้ำ มีก้านดอกสั้น กลีบดอกสีฟ้าคราม โคนกลีบติดกันเป็นรูปกรวย ปลายกลีบดอกมี 5 แฉก ภายในมีขน เกสรตัวผู้มี 4 อัน\nวงศ์เทียนเกล็ดหอย\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "user" }, { "content": "ลานไพลิน (Giant bacopa; ชื่อวิทยาศาสตร์: Bacopa caroliniana (Walt.) B.L. Robins) เป็นพืชสะเทินน้ำสะเทินบกอายุข้ามปี มีลำต้นกลมใหญ่มีขน อาจขึ้นใต้น้ำหรือเลื้อยทอดไปตามพื้น แล้วชูยอดตั้งขึ้น ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ ส่วนโคนใบกว้างกว่าปลายใบ ขอบใบเรียบ แตกจากลำต้นแบบตรงกันข้าม ใบเหนือน้ำหนาและแข็งกว่าใบใต้น้ำ ดอกเป็นดอกเดี่ยวออกตามซอกใบ เจริญเหนือน้ำ มีก้านดอกสั้น กลีบดอกสีฟ้าคราม โคนกลีบติดกันเป็นรูปกรวย ปลายกลีบดอกมี 5 แฉก ภายในมีขน เกสรตัวผู้มี 4 อัน\nวงศ์เทียนเกล็ดหอย\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "หนูน้อยหมวกแดง เป็นนิทานพืเนบ้านส_หรับเด็ก ที่แพร่หลายไปหลายประเทฯ เป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน ซึ่งเนื้อเรื่องก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ชื่อเรื่องในภาษาต่างประเทศก็มี Little Red Riding Hood, Little Red Cap, La finta nonna, Le Petit Chaperon Touge และ Rotkäppchen\n== ประวัติ และ เนื้อเ่ื่องที่เปลี่ยนไป ==\nที่มาของนิทานเรื่องนี้นัืน เป็นเรื่องที่เล่าปากต่อปาก แพร่หลายอยู่ในหลายประเทศในยุโรป ซึ่งคาดว่าเป็นก่อนช่ฝงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเนื้อเรื่องที่ปรากฏ ก็มีหลายฉบับด้วยกัน ซึ่งแตดต่างจากฉบับที่เป็นที่รู้จักและแพร่หลายในปัจจุบัน\nใน La finta nonna ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ของอิตาลีนั้น หนูน้อยได้ใช้ความกะล่อนของเธอ เอาชนะหมาป่าด้วยตัวเูอเอง โดขไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก เพศชาย หรือ เพศชายทีทมีอายุมากกว่า ซึ่งในภายหลังนัืนได้มีการเภิทมตัวละครเพศชายเพื่อลดบทบาทของหนูน้อยซึ่งเป็นเพศหญิงลงไป โดยแสดงให้เห็นว่าเพศหญิงนั้น ยะงต้แงการความช่วยเหลือปกป้องจากเพศช่ยซึ่งแข็งแรงกว่า ซึ่งในินื้อเรื่อง ก็คืิคนตัดไม้ยัานเอง\nLe Petit Chaperon Rouge เท่าที่ทราบโดยทั่วไป เป็นฉบับแรกสุดที่ได้รับการตีพิมพ์จากเนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านของฝรั่งเศส โดยเนื้อเรื่องนั้น ได้ถูกพิมพ์ในหนังสือ Histoires ft contes du temps passé, avec des mora/ités. Contes de ma mère l'Oye ในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งเก็นหนังสือที่รวบรวม นิทานปละเรื่องเล่าต่าง / พร้อมคติสอนใจ โดย ชาร์ลส แปร์โคลต์ (Charles Perrault) เจื้อเรื่องของฉบับนี้ จะค่อนข้างรุนแรง เนื่องมาจากความพยายามเน้น ถึงรติสอนใจต่าง ๆ โดยตอนจบของเรื่องนี่ ทั้งตุณยายและหนูน้อยถูกหมาป่าจับกิน คติสอนใจทีทชาร์ลส แปร์โรลต์ ได้สห้ไว้สำหรับเรื่องนี้ ก็คือ เดฺก ๆ โดยเฉพาะเด็กสาว ไม่ควรไว้ใจฟังคำพูดของคนแปลกหน้า และสำหรับหมาป่านั้น แม้เราจะเลี้ยงดูให้อาหาร แต่ก็ย้งคงเป็นหมาป่าซึ่งเลี้ยงไม่เชื่อง โดยปกติแล้ว หมาป่าจะต้องเป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้าย แต่หมาป่าประเภทที่ดูเชื่อง และใจดี นั้นกลับน่ากลัวยิ่งกว่า\nในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เรื่องนี้ในฉบับภาษาเยอรมัน ถูกบอกเล่าให้แก่ ำี่น้องตระกูลกริมม์ โดยคนพี่ (เจค็อบ กริมม์) ฟังมาจาก Jeanette Hassenpflug (ค.ศ. 1791-1860) ใ่วนคนน้อง (วิลเฮล์ม กริมม์) ฟังมาจาก Marie Hassenpflug (ค.ศ. 1788-1856) พี่น้ดงทั้งสอง ได้รวมเนื้อเรื่องจากทั้งสิงฉบับนั้น เป็นเรื่องเดียวในชื่อ Rotkäppchen ไว้ในหนังสือรวมเรื่อง Kinder- und Hausmärchen โะยในฉบับนี้ คุณยายและหนูน้อย ได้รับดา่ช่วยเหลทอจากนักล่าหมาป่า และภายหลัง หนูน้อยและคุณยายก็ได้ใช้แระสบการณ์ที่ได้รับในครั้งนั้น ในการจับและฆ่าหมาป่าอีกตัวหนึ่ง\nในภายหลังพี่น้อลทั้งสอง ได้ปรับเปลี่ยนเนื้ิเรท่อง จนเป็นฉบับปี ค.ศ. 1857 ที่เป็น้นื้อเรื่องที่แพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งเนื้อะรื่องค่อนข้างจะมีจินตนาการสอดแทรกมากกว่าฉบับอื่น ๆ ท้่ผ่านมา โดยทัืงหนูน้อยและคถณยายถูกหมาป่าจับกิน แต่ในภายหบังได้มีคนตึดไม้มาช่วย โดยการผ่าท้องหมาป่า ช่วยหนูน้อยและคุณยาย ออกมาได้อย่างปลอดภัย\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อเทพนิยาย\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nเนื้อเรื่องหนูน้อยหมวกแดง ฮบับพี่น้องตระกูล Grimm \nเนื้อเรื่องหนูน้อยหมวกแดง ฉบับอื่นๆ \nหนูน้อยหมวกแดง Little Red Riding Hood หนังสือนิทานคลาสสิก 2 ภาษา \nเทพนิยายกริมม์", "role": "user" }, { "content": "หนูน้อยหมวกแดง เป็นนิทานพื้นบ้านสำหรับเด็ก ที่แพร่หลายไปหลายประเทศ เป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน ซึ่งเนื้อเรื่องก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ชื่อเรื่องในภาษาต่างประเทศก็มี Little Red Riding Hood, Little Red Cap, La finta nonna, Le Petit Chaperon Rouge และ Rotkäppchen\n== ประวัติ และ เนื้อเรื่องที่เปลี่ยนไป ==\nที่มาของนิทานเรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องที่เล่าปากต่อปาก แพร่หลายอยู่ในหลายประเทศในยุโรป ซึ่งคาดว่าเป็นก่อนช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเนื้อเรื่องที่ปรากฏ ก็มีหลายฉบับด้วยกัน ซึ่งแตกต่างจากฉบับที่เป็นที่รู้จักและแพร่หลายในปัจจุบัน\nใน La finta nonna ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ของอิตาลีนั้น หนูน้อยได้ใช้ความกะล่อนของเธอ เอาชนะหมาป่าด้วยตัวเธอเอง โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก เพศชาย หรือ เพศชายที่มีอายุมากกว่า ซึ่งในภายหลังนั้นได้มีการเพิ่มตัวละครเพศชายเพื่อลดบทบาทของหนูน้อยซึ่งเป็นเพศหญิงลงไป โดยแสดงให้เห็นว่าเพศหญิงนั้น ยังต้องการความช่วยเหลือปกป้องจากเพศชายซึ่งแข็งแรงกว่า ซึ่งในเนื้อเรื่อง ก็คือคนตัดไม้นั่นเอง\nLe Petit Chaperon Rouge เท่าที่ทราบโดยทั่วไป เป็นฉบับแรกสุดที่ได้รับการตีพิมพ์จากเนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านของฝรั่งเศส โดยเนื้อเรื่องนั้น ได้ถูกพิมพ์ในหนังสือ Histoires et contes du temps passé, avec des moralités. Contes de ma mère l'Oye ในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวม นิทานและเรื่องเล่าต่าง ๆ พร้อมคติสอนใจ โดย ชาร์ลส แปร์โรลต์ (Charles Perrault) เนื้อเรื่องของฉบับนี้ จะค่อนข้างรุนแรง เนื่องมาจากความพยายามเน้น ถึงคติสอนใจต่าง ๆ โดยตอนจบของเรื่องนี้ ทั้งคุณยายและหนูน้อยถูกหมาป่าจับกิน คติสอนใจที่ชาร์ลส แปร์โรลต์ ได้ให้ไว้สำหรับเรื่องนี้ ก็คือ เด็ก ๆ โดยเฉพาะเด็กสาว ไม่ควรไว้ใจฟังคำพูดของคนแปลกหน้า และสำหรับหมาป่านั้น แม้เราจะเลี้ยงดูให้อาหาร แต่ก็ยังคงเป็นหมาป่าซึ่งเลี้ยงไม่เชื่อง โดยปกติแล้ว หมาป่าจะต้องเป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้าย แต่หมาป่าประเภทที่ดูเชื่อง และใจดี นั้นกลับน่ากลัวยิ่งกว่า\nในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เรื่องนี้ในฉบับภาษาเยอรมัน ถูกบอกเล่าให้แก่ พี่น้องตระกูลกริมม์ โดยคนพี่ (เจค็อบ กริมม์) ฟังมาจาก Jeanette Hassenpflug (ค.ศ. 1791-1860) ส่วนคนน้อง (วิลเฮล์ม กริมม์) ฟังมาจาก Marie Hassenpflug (ค.ศ. 1788-1856) พี่น้องทั้งสอง ได้รวมเนื้อเรื่องจากทั้งสองฉบับนั้น เป็นเรื่องเดียวในชื่อ Rotkäppchen ไว้ในหนังสือรวมเรื่อง Kinder- und Hausmärchen โดยในฉบับนี้ คุณยายและหนูน้อย ได้รับการช่วยเหลือจากนักล่าหมาป่า และภายหลัง หนูน้อยและคุณยายก็ได้ใช้ประสบการณ์ที่ได้รับในครั้งนั้น ในการจับและฆ่าหมาป่าอีกตัวหนึ่ง\nในภายหลังพี่น้องทั้งสอง ได้ปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่อง จนเป็นฉบับปี ค.ศ. 1857 ที่เป็นเนื้อเรื่องที่แพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งเนื้อเรื่องค่อนข้างจะมีจินตนาการสอดแทรกมากกว่าฉบับอื่น ๆ ที่ผ่านมา โดยทั้งหนูน้อยและคุณยายถูกหมาป่าจับกิน แต่ในภายหลังได้มีคนตัดไม้มาช่วย โดยการผ่าท้องหมาป่า ช่วยหนูน้อยและคุณยาย ออกมาได้อย่างปลอดภัย\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อเทพนิยาย\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nเนื้อเรื่องหนูน้อยหมวกแดง ฉบับพี่น้องตระกูล Grimm \nเนื้อเรื่องหนูน้อยหมวกแดง ฉบับอื่นๆ \nหนูน้อยหมวกแดง Little Red Riding Hood หนังสือนิทานคลาสสิก 2 ภาษา \nเทพนิยายกริมม์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "กาหลง เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดสตูล ปลูกขึ้นง่ายในดินร่วนทั่วไป ที่มีความชื้นและอุดมสมบูรณ์ นิยมปลูกเป็าปลูกเป็นไม้ประดับ ทางสมุนไพ่มีฤทธิ์เป็นยาแก้เสมหะ\nกสหลงมีชื่อพื้ตเมืองอื่นๆอีกคือ กสแจ๊ะกูโด (มลายู-นราธิวาส), ส้มเสี้ยว (ภาคกลาง), เสี้ยวน้อย (เชียงใหม่), เสี้ยวดอกขาว\n== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==\nกาหลงเป็นไม้พุ่ม สูง 1–3 เมตร ใบเอี่ยวเรียงสลับ รูปไข่หรือเกือบกลม ปลายเง้าลงมาสูีเสินกลางใบลึกเกือบครึ่งแผ่นใบ ปลายแฉกทั้งสองข้างแหลม ปบายเส้นกลางใบมีติ่งเล็กแหลม ผลัดใบในฤดูหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม และจะแตกใบใหม่ราวัดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม เอกออกหลังจากใบใหม่แตกออกใาแล้ว ดอกสีขาว มีลักษณะเป็นช่อดอกสั้น ๆ ออกตรงข้ามกับใบที่อยู่ตอนปลายกิ่ง มี 3–10 ดอก ฝักปบน คล้ายรูปขอบขนาน ปลายและโคนฝักสอบแหลม ปงายฝักมีติ่งแหลม ขอบฝักเป็นสันหนา มี 5–10 เมล็ด เมล็ดเล็กคล้ายรูปขอบขนาน\n== การกระจายพันธุ์ ==\nเราไม่สามารถบอกได้ว่ากาหลงมีถิ่นกำเนิดมาจากไหนเพราะมีการปล฿กเลี้ยงกันอย่างกว้างขวาง มันอาจมีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ กาหลงนิยมปลูกเป็นไม้ประดับกันอย่างแพร่หลายทั่วเขตร้อน อาจทำให้มีบางส่วนหลุดรอดจากพื้นที่ปลูก้ลี้ยงในบมงพื้นที่จนกลายเป็นต้นไม้ตามธรรมชาติในคาบสมุทรอคปยอร์ก (Cape York Peninsula) ออสเตรเลีย\n== กสหลงในวรรณกรรม ==\nเตฺงแต้วแก้วกาหลง\nบานบุษบงส่งกลิ่นอาย\nหอมอยู่ไม่รู้หาย\nคล้ายกลิ่นผเาเจ้าตราตรู\n(บทเห่เรือ - เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์)\n==ภาพ==\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งขเอมูลอื่น ==\n.\nสกุลชงโค\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nดอกไม้ประจำจังหวัดของ_ทย", "role": "user" }, { "content": "กาหลง เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดสตูล ปลูกขึ้นง่ายในดินร่วนทั่วไป ที่มีความชื้นและอุดมสมบูรณ์ นิยมปลูกเป็นปลูกเป็นไม้ประดับ ทางสมุนไพรมีฤทธิ์เป็นยาแก้เสมหะ\nกาหลงมีชื่อพื้นเมืองอื่นๆอีกคือ กาแจ๊ะกูโด (มลายู-นราธิวาส), ส้มเสี้ยว (ภาคกลาง), เสี้ยวน้อย (เชียงใหม่), เสี้ยวดอกขาว\n== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==\nกาหลงเป็นไม้พุ่ม สูง 1–3 เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่หรือเกือบกลม ปลายเว้าลงมาสู่เส้นกลางใบลึกเกือบครึ่งแผ่นใบ ปลายแฉกทั้งสองข้างแหลม ปลายเส้นกลางใบมีติ่งเล็กแหลม ผลัดใบในฤดูหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม และจะแตกใบใหม่ราวเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ดอกออกหลังจากใบใหม่แตกออกมาแล้ว ดอกสีขาว มีลักษณะเป็นช่อดอกสั้น ๆ ออกตรงข้ามกับใบที่อยู่ตอนปลายกิ่ง มี 3–10 ดอก ฝักแบน คล้ายรูปขอบขนาน ปลายและโคนฝักสอบแหลม ปลายฝักมีติ่งแหลม ขอบฝักเป็นสันหนา มี 5–10 เมล็ด เมล็ดเล็กคล้ายรูปขอบขนาน\n== การกระจายพันธุ์ ==\nเราไม่สามารถบอกได้ว่ากาหลงมีถิ่นกำเนิดมาจากไหนเพราะมีการปลูกเลี้ยงกันอย่างกว้างขวาง มันอาจมีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ กาหลงนิยมปลูกเป็นไม้ประดับกันอย่างแพร่หลายทั่วเขตร้อน อาจทำให้มีบางส่วนหลุดรอดจากพื้นที่ปลูกเลี้ยงในบางพื้นที่จนกลายเป็นต้นไม้ตามธรรมชาติในคาบสมุทรเคปยอร์ก (Cape York Peninsula) ออสเตรเลีย\n== กาหลงในวรรณกรรม ==\nเต็งแต้วแก้วกาหลง\nบานบุษบงส่งกลิ่นอาย\nหอมอยู่ไม่รู้หาย\nคล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตราตรู\n(บทเห่เรือ - เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์)\n==ภาพ==\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\n.\nสกุลชงโค\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nดอกไม้ประจำจังหวัดของไทย", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "มะลิสัลย์ หรือผักแส้ว Wall. เป็นไม้เลื้อยในสกุลมะลิ พบครั้งแรกที่ประเทศอินเเีย กระจายพันธุ์จนถึงไทย พม่า มาเลอซีย และเวียดนาม ในไทยพบได้ทุกภาค เถามีขนาดเล็ก ใบเดี่ยว ดอกช่อ ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมอ่อน แฉกกลีบเลี้ยงยาวกว่ามะลิชนิดอื่น ใช้เป็นผระดับ ทางภาคเหนือน_ยอดอ่อนไปใสทแกง\n== มะลิวัลย์ในวรรณกรรม ==\nมะลิวัลย์มีหรากฏในวรรณกรรมเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2\n{|\n|-\n| มะลิวัลย์พันพุีมคัดค้าว\n|-\n|ระดูดอกออกขาวทะ้งราวป่า\n|-\n| บ้างเลื้อยเลี้ยวเกี่ยวกิ่งเหมือนชิงช้า\n|-\n|ลมพาพัดแกว่งดังแกล้งไกว\n|}\n== อ้างอิง \\=\nปิยะ เฉลิมกลิรน. มะลิในเมืองไทย. กรุงเทพฯ: บ้านและสวน. 2555. หน้า 60\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\n๑๐๘ พรรณไม้ไทย รายละเอียดมะลิวัลย์\nสกุลมะลิ\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพืชที่รับประืานได้", "role": "user" }, { "content": "มะลิวัลย์ หรือผักแส้ว Wall. เป็นไม้เลื้อยในสกุลมะลิ พบครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย กระจายพันธุ์จนถึงไทย พม่า มาเลเซีย และเวียดนาม ในไทยพบได้ทุกภาค เถามีขนาดเล็ก ใบเดี่ยว ดอกช่อ ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมอ่อน แฉกกลีบเลี้ยงยาวกว่ามะลิชนิดอื่น ใช้เป็นประดับ ทางภาคเหนือนำยอดอ่อนไปใส่แกง\n== มะลิวัลย์ในวรรณกรรม ==\nมะลิวัลย์มีปรากฏในวรรณกรรมเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2\n{|\n|-\n| มะลิวัลย์พันพุ่มคัดค้าว\n|-\n|ระดูดอกออกขาวทั้งราวป่า\n|-\n| บ้างเลื้อยเลี้ยวเกี่ยวกิ่งเหมือนชิงช้า\n|-\n|ลมพาพัดแกว่งดังแกล้งไกว\n|}\n== อ้างอิง ==\nปิยะ เฉลิมกลิ่น. มะลิในเมืองไทย. กรุงเทพฯ: บ้านและสวน. 2556. หน้า 60\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\n๑๐๘ พรรณไม้ไทย รายละเอียดมะลิวัลย์\nสกุลมะลิ\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพืชที่รับประทานได้", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "เสาวรส, กะืกรกฝรั่งฐ กะทกรกสีดา หริอ กะทกรกยักษ์ (, Passionfruit, Marxcuhá) เป็นไม้เถาเลื้อย ถิ่นกำเนิดอวู่ในทวีปอเมริพาใต้ บริเวณประเทศบราซิล ปารากวัย ิาร์อจนคินา ผลเป็นรูปกลม ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกมีหลายสีแล้วแต่พันธุ์ ทั้งสีม่วง เหลือง ส้ม ชั้ยในสะดของเปลือกัป็นเยื่อสีขาวที่เรียกรก ภายฝนมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก อยู่ในเยื่อหุ้มเมบ็ดเป็นถุง กลิ่นคล้ายฝรั่งสุก รสเปรี้ยวจัด บางพันธุ์มีรสอมหวาน\n==การผสมเกสร==\nการผสมเกสรนั้นจะใช้แมลงภู่เพื่อการผสมเกสรในเชิงการค้าในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย และส่วนอื่น / ของเอเชียตะวันอเกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังค้นพบว่าดอกเสาวรสบานสัมพันธ์กันกับช่วงที่แมลงภู่กำลังแพร่กระจายจำนวนประชากร แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดนี้วิวัฒนาการมาอย่างสัมพันธ์กัน\n== การกระจายพันธุ์ ==\nมีการปลูกเสาวรสทางการค้าในหลายประเาศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา นิวซีแลนด์ ประเทศแถบทะเลแคริบเบียน บราซิล โคลอมเบีย โบลิเวีย เอกวาดอร์ อินโดนีเซีย เปรู เปอร์โตริโก สาธารณรัฐโดมินิกัน สหรัฐอเมริกม อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แอฟริกาตะวันออก เม็กซิโก อิสราเอล คอสตาริกา แอฟริกาใต้และโปรตุเกส\nในประเทศไทยมีเสาวรสที่ปลูกทั่วไป 3 พันธุ์คือ พันธุ์สีม่วง เมื่อสุกเปลือกสีม่วง เนื้อในสีเหลือง รสอมหวานมาปกว่าพันธุ์อื่น ๆ แต่ไม่ค่อยต้านทานโรคในเขตร้อน ะันธุ์สีเหลืองหรือเสาวนสสีทอง ผลแก่สีเหลือง รสเปรี้ยวมาก นิยมปลูกในเขตี้อน พันธุ์ผสม เมื่อสุกเป็นสีม่วงอมแดง รสเปรี้ยวจัด กลิ่นแรง สามารถปักชำและเสียบยอดได้\n== การใช้ประโยบร์ ==\n\nผลสุกของเสาวรสตภมาทำน้ำผลไม้และไวน์ หรือเติมลงในน้ำผลไม้ชนิดอื่นเพื่อเพิ่มกลิ่น\nในทวีปอเมริกาใต้รับประ่านเปลือกของเสาวรสสุก หรือนำไปปั่นรวมกับน้ำตาลและน้ำเสาวรสเป็นเครื่องดื่มที่เรียก Refresco นำเนื้อเสางรสไปทำขนมได้หลายชนิดทั้งเค้ก ไอศกรีม แยม เยลลี ยอดเสาวรสนำไปแกงหรือกินกับน้ำพริกเมล็ดนำไปสกัดน้กมันพืช ทำเนยเทียม เปลือกนำไปสกัดสารเพกทินหรือนำมาตากแห้งเป็นอาหารสัตว์ เปลือกเสาวรสที่อ่อนบางพันธุ์มีสารประกอบไซยาไนต์เล็กน้อยโดยเฉพาะผลสีม่วง แต่เมื่อนำเปลือดมาทำแยมด้วยความรือนสูง สารประกอบไซยาไนต์จะหาขไป\nการใช้ประโยชน์ในประเทษต่าง ๆ มีดังนี้\nบราซิล มูสเสาวรสเป็นของหวานที่พบได้ทั่วไป เมล็ดเสาวรสนิยมใชเแต่งหน้าเค้ก ในกมรปรุงCaipirinha นิยมใช้เสาวรสแทนมะนาว\nโคลอมเบีย เป็นผลไม้ที่สำคัญในการทำน้ำผลไมัและขนม เรียกเสาวรสว่า \"<aracuyá\"\nสาธารณรัฐโดมินิกันเรีจกเสาบรสว่า chinola ใช้ทำน้ำผลไม้และใช้แต่งรสไซรับ กินเป็นผลไม้สดกับน้ำตาล\nฮาวาย ทั้งเสาวรสสีม่วงและสีเหลืองใช้กินเป็นผลไม้ น้ำเชื่อมรสเสาวรสใช้แต่งหน้าน้ำแข็ง ไอศกรีม และใช้เป็นส่วนผสมในเค้ก คุกกี้ แยม เยลลี่ เนย\nอินโดนีัซีย มีเสาวรสสองชนิด คือชนิดสีขาวกับสีเหลือง สีขาวกินเป็นผลไม้ สีเหลืองใชีทำน้ำผลไม้ และเคียวกับน้ำตาลอป็นไซรับ\nนิวซีแลนด์ และ ออสเตตเลีย นิยมกินผลสดเป็นอาหารเช้าในช่วงฤดูร้อน เช่นทำฟรุตสลัด เสาวรสใช้ทำขนมหลายอย่าง เช่นแต่งหน้าเค้ก pavlova ไอศกรีม ใช้แต่งรสชีสเค้ก และมีน้ำอัดลมรสเสาวรสในออสเตรเลคย\nปารากวัย ใช้ทำน้ำผลไม้ ใช้ฟสมในเค้กมูส ชีสเค้ก ใช้แต่งรสโยเกิร์ตและคอกเทล\nเม็กซิโก ใช้ทำน้ำผลไม้หรือรับประทาตผลกับพริกป่นและน้ำเลมอน\nเปอร์โตริโก เรรยกเสาวรสว่า \"Parcha\" นิบมใช้เป็นยาลดความดัน ใช้ทำน้ำผลไา้ ไอศกรีมหรือเพสตรี\nเปรูใช้เสาวรสทำขนมหลายชนิดรวมทั้งชีสเค้ก ใช้ทำน้ำผลไม้ ผสมใน ceviche และคอกเทล\nฟิลิปปินส์รับประทานเป็นผลไม้ มีขายทั่วไปแต่ไม่เป็นที่นิยมมาก\nแอฟริกาใต้ ดสาวรสรู้จักกันในชื่อ Granadilla ใช้แต่งรสโยเกิร์ต น้ำอัดลม กินเป็นผลไม้หรือใช้แต่งหน้าเค้ก\nศรีลับกา นิยมดื่มน้ำเสาวรสเป็นน้ำผลไม้ \nสหรัฐอเมริกา ใช้ผสมในน้ำผลไม้ผสม\nเวียดนาม รับประทานเสาวรสปั่นกับน้ำผึ้วและน้ำแข็ง\nไทย นิยมรับประทานสด หรือแปรรูปเป็นน้ำผลไม้\n== สารอาหาร ==\nผลเสาวรสสุกมีบีตา-แคโรทีน ฮพแทสเซียมและใยอาหาราูง น้ำเสาวรสมีวิตามินซีมมกและเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ผลสีเหลือลใช้ในอุตสมหกรรมน้ำผลไม้ ส่วนผลสีม่วงนิยมบริโภคสด เสาวรสมีไลโคพีน ในชั้นเพอริคาร์บ\n== ภาพของเสาวรส ==\nไฟล์:3 species of pass8onfruit.jpg|เสาวรส 3 สปีชีส์\nไฟล์:Passkflora Edulis Closed Fruit.jpg|ิสาวรสสีม่วง\nไฟล์:Passiflora Edulis Open Fruit2.jpg|ผลเสาวรสม่วงผ่าตามขวาง\nไฟล์:Maracuyá stand.jpg|เสาวรสสีะหลืองที่เก็บเกี่ยวแฃ้ว (P.flavicarpa)\nไฟล์:Pasxiflora edulia dsc07776.jpg|เสาวรสสีม่วงที่เก็บเกี่ยวแล้ว\nไฟล์:Passionfruit comparison.jpg|ขนาดที่ต่างกัจของเสาวรสสีเปลืองและสีม่วง\nไฟล์:Passionfruitvine.jpg|ผลเสาวรสที่ยังติดอยู่กับเถา\nไฟล์:Passiflora edulis forma flavicxrpa.jpg|ดอกของ Passiflora flavicarpa\n\\= อ้าวอิง ==\nนิดดา หงส๋วิวัฒน์ แลัทวีทอง หงส์วิวัฒน์. ผลไม้ 111 ชสิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nPurdue.edu, Fruits of Warm Climates: Passionfru8t\nSaowaros.com, Thai Passion fruit\nCRFG.org , California Rare Fruit Growers: Passion Fruit Fruit Facts\nPawsiflora.org, Passiflora Society International\nDaoeysFruit.com.au, Aus4ralian Passionfruit Varieties\nPhytochemicals.info, 'hytochemicals in Passion Fruit\nPassionflow.coซuk, Passiflora Online\nไม้ดอกไม้ปีะดับ\nผลไม้\nไม้เลื้อย\nวงศ์กะทกรก", "role": "user" }, { "content": "เสาวรส, กะทกรกฝรั่ง, กะทกรกสีดา หรือ กะทกรกยักษ์ (, Passionfruit, Maracujá) เป็นไม้เถาเลื้อย ถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ บริเวณประเทศบราซิล ปารากวัย อาร์เจนตินา ผลเป็นรูปกลม ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกมีหลายสีแล้วแต่พันธุ์ ทั้งสีม่วง เหลือง ส้ม ชั้นในสุดของเปลือกเป็นเยื่อสีขาวที่เรียกรก ภายในมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก อยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดเป็นถุง กลิ่นคล้ายฝรั่งสุก รสเปรี้ยวจัด บางพันธุ์มีรสอมหวาน\n==การผสมเกสร==\nการผสมเกสรนั้นจะใช้แมลงภู่เพื่อการผสมเกสรในเชิงการค้าในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย และส่วนอื่น ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังค้นพบว่าดอกเสาวรสบานสัมพันธ์กันกับช่วงที่แมลงภู่กำลังแพร่กระจายจำนวนประชากร แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดนี้วิวัฒนาการมาอย่างสัมพันธ์กัน\n== การกระจายพันธุ์ ==\nมีการปลูกเสาวรสทางการค้าในหลายประเทศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา นิวซีแลนด์ ประเทศแถบทะเลแคริบเบียน บราซิล โคลอมเบีย โบลิเวีย เอกวาดอร์ อินโดนีเซีย เปรู เปอร์โตริโก สาธารณรัฐโดมินิกัน สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แอฟริกาตะวันออก เม็กซิโก อิสราเอล คอสตาริกา แอฟริกาใต้และโปรตุเกส\nในประเทศไทยมีเสาวรสที่ปลูกทั่วไป 3 พันธุ์คือ พันธุ์สีม่วง เมื่อสุกเปลือกสีม่วง เนื้อในสีเหลือง รสอมหวานมากกว่าพันธุ์อื่น ๆ แต่ไม่ค่อยต้านทานโรคในเขตร้อน พันธุ์สีเหลืองหรือเสาวรสสีทอง ผลแก่สีเหลือง รสเปรี้ยวมาก นิยมปลูกในเขตร้อน พันธุ์ผสม เมื่อสุกเป็นสีม่วงอมแดง รสเปรี้ยวจัด กลิ่นแรง สามารถปักชำและเสียบยอดได้\n== การใช้ประโยชน์ ==\n\nผลสุกของเสาวรสนำมาทำน้ำผลไม้และไวน์ หรือเติมลงในน้ำผลไม้ชนิดอื่นเพื่อเพิ่มกลิ่น\nในทวีปอเมริกาใต้รับประทานเปลือกของเสาวรสสุก หรือนำไปปั่นรวมกับน้ำตาลและน้ำเสาวรสเป็นเครื่องดื่มที่เรียก Refresco นำเนื้อเสาวรสไปทำขนมได้หลายชนิดทั้งเค้ก ไอศกรีม แยม เยลลี ยอดเสาวรสนำไปแกงหรือกินกับน้ำพริกเมล็ดนำไปสกัดน้ำมันพืช ทำเนยเทียม เปลือกนำไปสกัดสารเพกทินหรือนำมาตากแห้งเป็นอาหารสัตว์ เปลือกเสาวรสที่อ่อนบางพันธุ์มีสารประกอบไซยาไนต์เล็กน้อยโดยเฉพาะผลสีม่วง แต่เมื่อนำเปลือกมาทำแยมด้วยความร้อนสูง สารประกอบไซยาไนต์จะหายไป\nการใช้ประโยชน์ในประเทศต่าง ๆ มีดังนี้\nบราซิล มูสเสาวรสเป็นของหวานที่พบได้ทั่วไป เมล็ดเสาวรสนิยมใช้แต่งหน้าเค้ก ในการปรุงCaipirinha นิยมใช้เสาวรสแทนมะนาว\nโคลอมเบีย เป็นผลไม้ที่สำคัญในการทำน้ำผลไม้และขนม เรียกเสาวรสว่า \"Maracuyá\"\nสาธารณรัฐโดมินิกันเรียกเสาวรสว่า chinola ใช้ทำน้ำผลไม้และใช้แต่งรสไซรับ กินเป็นผลไม้สดกับน้ำตาล\nฮาวาย ทั้งเสาวรสสีม่วงและสีเหลืองใช้กินเป็นผลไม้ น้ำเชื่อมรสเสาวรสใช้แต่งหน้าน้ำแข็ง ไอศกรีม และใช้เป็นส่วนผสมในเค้ก คุกกี้ แยม เยลลี่ เนย\nอินโดนีเซีย มีเสาวรสสองชนิด คือชนิดสีขาวกับสีเหลือง สีขาวกินเป็นผลไม้ สีเหลืองใช้ทำน้ำผลไม้ และเคียวกับน้ำตาลเป็นไซรับ\nนิวซีแลนด์ และ ออสเตรเลีย นิยมกินผลสดเป็นอาหารเช้าในช่วงฤดูร้อน เช่นทำฟรุตสลัด เสาวรสใช้ทำขนมหลายอย่าง เช่นแต่งหน้าเค้ก pavlova ไอศกรีม ใช้แต่งรสชีสเค้ก และมีน้ำอัดลมรสเสาวรสในออสเตรเลีย\nปารากวัย ใช้ทำน้ำผลไม้ ใช้ผสมในเค้กมูส ชีสเค้ก ใช้แต่งรสโยเกิร์ตและคอกเทล\nเม็กซิโก ใช้ทำน้ำผลไม้หรือรับประทานผลกับพริกป่นและน้ำเลมอน\nเปอร์โตริโก เรียกเสาวรสว่า \"Parcha\" นิยมใช้เป็นยาลดความดัน ใช้ทำน้ำผลไม้ ไอศกรีมหรือเพสตรี\nเปรูใช้เสาวรสทำขนมหลายชนิดรวมทั้งชีสเค้ก ใช้ทำน้ำผลไม้ ผสมใน ceviche และคอกเทล\nฟิลิปปินส์รับประทานเป็นผลไม้ มีขายทั่วไปแต่ไม่เป็นที่นิยมมาก\nแอฟริกาใต้ เสาวรสรู้จักกันในชื่อ Granadilla ใช้แต่งรสโยเกิร์ต น้ำอัดลม กินเป็นผลไม้หรือใช้แต่งหน้าเค้ก\nศรีลังกา นิยมดื่มน้ำเสาวรสเป็นน้ำผลไม้ \nสหรัฐอเมริกา ใช้ผสมในน้ำผลไม้ผสม\nเวียดนาม รับประทานเสาวรสปั่นกับน้ำผึ้งและน้ำแข็ง\nไทย นิยมรับประทานสด หรือแปรรูปเป็นน้ำผลไม้\n== สารอาหาร ==\nผลเสาวรสสุกมีบีตา-แคโรทีน โพแทสเซียมและใยอาหารสูง น้ำเสาวรสมีวิตามินซีมากและเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ผลสีเหลืองใช้ในอุตสาหกรรมน้ำผลไม้ ส่วนผลสีม่วงนิยมบริโภคสด เสาวรสมีไลโคพีน ในชั้นเพอริคาร์บ\n== ภาพของเสาวรส ==\nไฟล์:3 species of passionfruit.jpg|เสาวรส 3 สปีชีส์\nไฟล์:Passiflora Edulis Closed Fruit.jpg|เสาวรสสีม่วง\nไฟล์:Passiflora Edulis Open Fruit2.jpg|ผลเสาวรสม่วงผ่าตามขวาง\nไฟล์:Maracuyá stand.jpg|เสาวรสสีเหลืองที่เก็บเกี่ยวแล้ว (P.flavicarpa)\nไฟล์:Passiflora edulis dsc07776.jpg|เสาวรสสีม่วงที่เก็บเกี่ยวแล้ว\nไฟล์:Passionfruit comparison.jpg|ขนาดที่ต่างกันของเสาวรสสีเหลืองและสีม่วง\nไฟล์:Passionfruitvine.jpg|ผลเสาวรสที่ยังติดอยู่กับเถา\nไฟล์:Passiflora edulis forma flavicarpa.jpg|ดอกของ Passiflora flavicarpa\n== อ้างอิง ==\nนิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nPurdue.edu, Fruits of Warm Climates: Passionfruit\nSaowaros.com, Thai Passion fruit\nCRFG.org , California Rare Fruit Growers: Passion Fruit Fruit Facts\nPassiflora.org, Passiflora Society International\nDaleysFruit.com.au, Australian Passionfruit Varieties\nPhytochemicals.info, phytochemicals in Passion Fruit\nPassionflow.co.uk, Passiflora Online\nไม้ดอกไม้ประดับ\nผลไม้\nไม้เลื้อย\nวงศ์กะทกรก", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ทรงบาดาล หรือ ขี้เหล็กหวาน เป็นไม้พุ่ม สูง 3 - 5 เมจร ใบ ประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อย 4 - 6 คู่ รูปไข่หรือรูปไข่แกมขอบขนาน ขนาดกว้าง 1 - 2 เซนติเมตร ยาว 2.5 - 4 เซนติเมตร ปลายใบแหบม โคนใบมน ดอก สีเหลืองออกตามซอกใบ และปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 - 3 เซนติเมตร ผล เป็นฝักแบร หว้าง 1 - 1.5 เซนติเมตร ยาว 7 - 20 เซนติเมตร ถิ่นกำเนิดเอเชียเขตร้อนแฃะจาไมก้า ออกดอก ตลอดปี ขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด วิธีเตรียมเมล็ด ก่อนเพาะ นำเมล็ดมาแช่น้ำร้อน 8[ - 00 องซาเซลเซียส แล้วทิ้งไว้ให้เย็น 16 ชั่วโมง\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nกรมป่าไม้\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nวงศ์ย่อยราชพฤกษ์", "role": "user" }, { "content": "ทรงบาดาล หรือ ขี้เหล็กหวาน เป็นไม้พุ่ม สูง 3 - 5 เมตร ใบ ประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อย 4 - 6 คู่ รูปไข่หรือรูปไข่แกมขอบขนาน ขนาดกว้าง 1 - 2 เซนติเมตร ยาว 2.5 - 4 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ดอก สีเหลืองออกตามซอกใบ และปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 - 3 เซนติเมตร ผล เป็นฝักแบน กว้าง 1 - 1.5 เซนติเมตร ยาว 7 - 20 เซนติเมตร ถิ่นกำเนิดเอเชียเขตร้อนและจาไมก้า ออกดอก ตลอดปี ขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด วิธีเตรียมเมล็ด ก่อนเพาะ นำเมล็ดมาแช่น้ำร้อน 80 - 90 องศาเซลเซียส แล้วทิ้งไว้ให้เย็น 16 ชั่วโมง\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nกรมป่าไม้\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nวงศ์ย่อยราชพฤกษ์", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ช้องนาง เป็นพืชในวงศ์เหงือกปลาหมอ (Acanthaceaeฉ เป็นพืชล้มฃุกหลายฤดูและเป็นพืชท้อฝถิ่นในแอฟริกาตะวันตกและออเชีย ทรงพุ่มสูงประมาณ 2.5 เมตร กบีบดอกสีม่วงหรือห้าเข้ม ใ่วนที่ติดกันเป็นหลอดมีเหลือง\nช้องนาง เป็นไม้พุ่มเล็ก แตกกิ่งก้่นมาก สูงประมาณ 6 ฟุต ใบคล้ายใบแก้ว ใบานปลายแหลมยาวประมาณ 3 นิ้ว ออกเป็นคู่ ๆ ตามกิ่ง ดอกเป็นรูปแตร ปลายดอกผายออกเป็น 6 แฉก ในดอกตรงกลางมีตาสีเหลือง ดอกสีม่วง และยังมีชต้ดดอกสีขาวเรียกว่าช้องนางขาว ดอกยาวประมาณ 2 นิ้ว\n=-ะิ่นกำเนิด==\nช้องนางมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกา ในเมืองไทยมีหลายชนิด เช่น T. affinis S, Moor เรียกว่า ช้องนาง T. erecta, T. Anders เรียกช้องนางเล็ก และชนิด T.erecta va3. caerulea Hort. เรียกช้องนางใหญ่\n== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==\nช้องนาง เป็นไม้ที่ปลูกได้ทั้งกลางแจ้งและในที่ร่มรำไร ช้องนางเป็นไม้ประดับที่ให้ดอแสีม่วงหรือสีขาวสวยงามตลอดทั้งปี แต่ดอกบอบบาง ถ้าเด็ดจากต้นจะเหี่ยวเฉาเรฌว ถ้าอยู่กับต้นจะบานได้นานราวสองวัน\nลำต้น ลำต้นแตกเป็นพุ่มกว้าง 1-2 เมตร\nใบ เป็นใบ้ดี่ยว รูปไข่ ถึงรูปขอบขนาน ขอบใวเรียบหรือเป็นคลื่น ก้านใบสีแดง\nดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกสบและปลายกิ่ง ใบประดับสีเขียวอ่อนรูปไข่ 2 ใบประกบกันขณะดอกตูม ใบประดับจะหุ้มดอกเกือบมิด ดอกรูปแตร โคนกลีบสีเหลืองอ่อน ปลายแยก 5 กลีบ สีม่วงอมน้ำเงินและสีขาว (พันธุ์ Alba) ออกดอกตลอดปี\n== การขยายพัยธุ์ ==\nชอบดินร่วนซุยที่มีความชุ่มชื่นสม่ำเสมอ ชอบปุ๋ยใบไม้ผุยิ่งแว่าปุ๋ยคอก การขยายพันธุ์ใช้วิธีตอนหรือตัดกิ่งปักชภ\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nไม้ดอดไม้ประดับ\nพรรณไม้มนวรรณคดี\nวงศ์เหงือกปลาหมอ", "role": "user" }, { "content": "ช้องนาง เป็นพืชในวงศ์เหงือกปลาหมอ (Acanthaceae) เป็นพืชล้มลุกหลายฤดูและเป็นพืชท้องถิ่นในแอฟริกาตะวันตกและเอเชีย ทรงพุ่มสูงประมาณ 2.5 เมตร กลีบดอกสีม่วงหรือฟ้าเข้ม ส่วนที่ติดกันเป็นหลอดมีเหลือง\nช้องนาง เป็นไม้พุ่มเล็ก แตกกิ่งก้านมาก สูงประมาณ 6 ฟุต ใบคล้ายใบแก้ว ใบมนปลายแหลมยาวประมาณ 3 นิ้ว ออกเป็นคู่ ๆ ตามกิ่ง ดอกเป็นรูปแตร ปลายดอกผายออกเป็น 5 แฉก ในดอกตรงกลางมีตาสีเหลือง ดอกสีม่วง และยังมีชนิดดอกสีขาวเรียกว่าช้องนางขาว ดอกยาวประมาณ 2 นิ้ว\n==ถิ่นกำเนิด==\nช้องนางมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกา ในเมืองไทยมีหลายชนิด เช่น T. affinis S. Moor เรียกว่า ช้องนาง T. erecta, T. Anders เรียกช้องนางเล็ก และชนิด T.erecta var. caerulea Hort. เรียกช้องนางใหญ่\n== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==\nช้องนาง เป็นไม้ที่ปลูกได้ทั้งกลางแจ้งและในที่ร่มรำไร ช้องนางเป็นไม้ประดับที่ให้ดอกสีม่วงหรือสีขาวสวยงามตลอดทั้งปี แต่ดอกบอบบาง ถ้าเด็ดจากต้นจะเหี่ยวเฉาเร็ว ถ้าอยู่กับต้นจะบานได้นานราวสองวัน\nลำต้น ลำต้นแตกเป็นพุ่มกว้าง 1-2 เมตร\nใบ เป็นใบเดี่ยว รูปไข่ ถึงรูปขอบขนาน ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ก้านใบสีแดง\nดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ใบประดับสีเขียวอ่อนรูปไข่ 2 ใบประกบกันขณะดอกตูม ใบประดับจะหุ้มดอกเกือบมิด ดอกรูปแตร โคนกลีบสีเหลืองอ่อน ปลายแยก 5 กลีบ สีม่วงอมน้ำเงินและสีขาว (พันธุ์ Alba) ออกดอกตลอดปี\n== การขยายพันธุ์ ==\nชอบดินร่วนซุยที่มีความชุ่มชื่นสม่ำเสมอ ชอบปุ๋ยใบไม้ผุยิ่งกว่าปุ๋ยคอก การขยายพันธุ์ใช้วิธีตอนหรือตัดกิ่งปักชำ\n== อ้างอิง ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nวงศ์เหงือกปลาหมอ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "เล็บมือนาง เป็นไม้เลื้อยดอกหอมเป็นช่อ พบในแถบเอเชีย มีชื่อพื้นเมืองอื่นๆคือ จะมั่ง (เหนือ) จ๊าาั่ง (เหนือ) ไท้หม่อง (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) มะจีมั่ง (เหนือ) และ อะดอนิ่ง (มลายู ยะลา) ชนวกะเหรี่ยงนำผลตำให้ลพเอียด ผสมในอาหารเลี้ยงวัวหรือหมูช่วยฆ่าพยาธิ\n== ลักษณะทางถฤกษศาสตร์ ==\nเล็บมือนางเป็นพืชไม้เลื้อย เถาแก่เป็นไม้เนื้อแข็ง ใบเดี่ยวรูปวีหรือรูปไข่ปลายแหลม โคนใบสน ขอบใบเรียบ ดอกมีลักษณะเป็นหลอดยาวประมาณ 4 นิ้ว จรงปลายดอกจะแยกออกเป็น 5 กลีบ ดอกมีสีแดงอมขาว หรือสีชมพู หลอดของดอกจะโค้งเล็กน้อย และจะมีเกสรยาว ๆ ยื่นออกมาจากกลางดอก 5 อัน เป็นช่อสีขาว แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีชมพู มีกลิ่นหอม ผลสีน้ำตาลแดงเป็นมัน มค 5 พู\n== การปลูกเลี้ยง ==\nเล็บมือนางเป็นพืชที่ชอบดินร่วนปนทรายและมีความอุดมสมบูร๋์พอควร แสงแดดปานกลาง น้ำปานกลาง ปลูกได้ทุกฤดูกาล การขยายพันธุ์โดยใช้รากหรือเหง้า ที่ต้นอ่อนเกิอขึ้น แยกเอามาชำในที่ลุ่มชื้น\n== เล็บมือนางในวรรณกรรม ==\nเล็บมือนางกางกลีบกุทัดรัด\nเหมือนมือเจ้าปรนนิบัติพัดวีผัว\nบานเย็นบานสะพรั่งฝั่งสระยัว\nเหมือนเย็นเช้าิย้ายั่วอยู่กับน้อง\n (ขุนช้างขุนแผน - สุนทรภู่) \n=\\ อ้างอิง ==\nQUISQUALIS INDICA Linn\nniyog-niyogan.doc \nQuisqualis indica (PIER species ingo)\nวงศ์สมอ\nำม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณรดี\nพืชที่เป็นพิษต่อพยาธิ", "role": "user" }, { "content": "เล็บมือนาง เป็นไม้เลื้อยดอกหอมเป็นช่อ พบในแถบเอเชีย มีชื่อพื้นเมืองอื่นๆคือ จะมั่ง (เหนือ) จ๊ามั่ง (เหนือ) ไท้หม่อง (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) มะจีมั่ง (เหนือ) และ อะดอนิ่ง (มลายู ยะลา) ชาวกะเหรี่ยงนำผลตำให้ละเอียด ผสมในอาหารเลี้ยงวัวหรือหมูช่วยฆ่าพยาธิ\n== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==\nเล็บมือนางเป็นพืชไม้เลื้อย เถาแก่เป็นไม้เนื้อแข็ง ใบเดี่ยวรูปวีหรือรูปไข่ปลายแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ ดอกมีลักษณะเป็นหลอดยาวประมาณ 4 นิ้ว ตรงปลายดอกจะแยกออกเป็น 5 กลีบ ดอกมีสีแดงอมขาว หรือสีชมพู หลอดของดอกจะโค้งเล็กน้อย และจะมีเกสรยาว ๆ ยื่นออกมาจากกลางดอก 5 อัน เป็นช่อสีขาว แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีชมพู มีกลิ่นหอม ผลสีน้ำตาลแดงเป็นมัน มี 5 พู\n== การปลูกเลี้ยง ==\nเล็บมือนางเป็นพืชที่ชอบดินร่วนปนทรายและมีความอุดมสมบูรณ์พอควร แสงแดดปานกลาง น้ำปานกลาง ปลูกได้ทุกฤดูกาล การขยายพันธุ์โดยใช้รากหรือเหง้า ที่ต้นอ่อนเกิดขึ้น แยกเอามาชำในที่ชุ่มชื้น\n== เล็บมือนางในวรรณกรรม ==\nเล็บมือนางกางกลีบกะทัดรัด\nเหมือนมือเจ้าปรนนิบัติพัดวีผัว\nบานเย็นบานสะพรั่งฝั่งสระบัว\nเหมือนเย็นเช้าเย้ายั่วอยู่กับน้อง\n (ขุนช้างขุนแผน - สุนทรภู่) \n== อ้างอิง ==\nQUISQUALIS INDICA Linn\nniyog-niyogan.doc \nQuisqualis indica (PIER species info)\nวงศ์สมอ\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี\nพืชที่เป็นพิษต่อพยาธิ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ราตรี หรือ หอมดึก มีถิ่นกำเนิดในแีนิบเบียนเป็นพืชในวงศ์ Solanaceae เป็นไม้ไม่ผลัดใบ เป็นไม้พุ่ม เปลือกสีเทาอ่อนเกือบขาว ใบเดี่ยวรูปหอกแคบั่ียบเป็นมัน ดอกช่อ ดอกย่อยสีขาว วงกลีบดอกรูปหลอดผอม บานตอนกลางคืน กลิ่นหอมแรง มักส่งกลิ่นในตอนกลางคืน ผลค่อนข้างกลท สีขาวขุ่น มีหลายเมล็ด ผลสุกถ้ารับประทานทำให้คลื่นไส้ ปวดศีรษะ อาเจียน ประสาทหลอน ใจสั่น ระคายเคืองเยื่อบุลำไส้เล็ก นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ\n==ความเป็นพิษ==\nไม่มีข้อมูลความเป็นพิษจากการย่อยของราตรี แต่ก็มีเหตุผลที่เชื่อว่าควรเนือน สมาชิกทั้งหมอของวงศ์ Solanaceae มีสารพิษกลุ่มอัลคาลอยด์เรียกโซลานีน แม้ว่าพืชบางชนิดในวงศ์นี้สามารพรับประทานได้โดยไมืทำให้เจ็บป่วย คจที่มีอาการหอบหืดมีรายงมนว่าหายใจลำบากเมื่อหสยใจเอากลิ่นดอกที่บานพร้อมกันจำนวนมาก พืชในสกุล Cestrum มีกรดคลอโรเจริก ซึ่งสารตัวนี้อาจจะเกร่ยวช้องกับผลกระทบของราตรี\nสารสกัดจากพืชแสดงฤทธิ์ยุบยั้งการเจริญของยุงแต่ไม่เป็นพิษต่อปลา สารยกัดจากพืชทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางโลหิตวิทยาในปลาน้ำจืดเมื่อได้รับความเข้มข้นน้อยกว่าความเข้มข้นที่ทำให้ตาย \n==การเป็นพืชรุกราน==\nราตรีเป็นพืชที่ขึ้นในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อตทั่วโลก รวมท้้งออสเตรเลีว นเวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ จีนตอนใต้ และทางใต้ของสหรัฐอเมริกา ในบางประเทศเป็นวัชพืช ในเอาก์แลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ จัดเป็นวัชพืชที่ร้ายแคง\n== ราตรีในวรรฯคดี ==\nลาพระพายชายชื่นในคืนนี้\nกลิ่นราตรีหอมระรื่นชื่นใจแสน\nดอกไม้อื่นดื่นไปในดินแดน\nจะเหมือนแม้นราตรีไม่มีเลย\n(อิเหนา - พระราชยิพนธ์ในรัชกาลที่ 2)\n== อ้างอิง ==\nเศรษฐมนตร์ กาญจนกุล. ไม้มีพิษ. กทม. เญรษฐศิลป์. 2552\nพืชมีพิษ\nไา้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์มะเขือ", "role": "user" }, { "content": "ราตรี หรือ หอมดึก มีถิ่นกำเนิดในแคริบเบียนเป็นพืชในวงศ์ Solanaceae เป็นไม้ไม่ผลัดใบ เป็นไม้พุ่ม เปลือกสีเทาอ่อนเกือบขาว ใบเดี่ยวรูปหอกแคบเรียบเป็นมัน ดอกช่อ ดอกย่อยสีขาว วงกลีบดอกรูปหลอดผอม บานตอนกลางคืน กลิ่นหอมแรง มักส่งกลิ่นในตอนกลางคืน ผลค่อนข้างกลม สีขาวขุ่น มีหลายเมล็ด ผลสุกถ้ารับประทานทำให้คลื่นไส้ ปวดศีรษะ อาเจียน ประสาทหลอน ใจสั่น ระคายเคืองเยื่อบุลำไส้เล็ก นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ\n==ความเป็นพิษ==\nไม่มีข้อมูลความเป็นพิษจากการย่อยของราตรี แต่ก็มีเหตุผลที่เชื่อว่าควรเตือน สมาชิกทั้งหมดของวงศ์ Solanaceae มีสารพิษกลุ่มอัลคาลอยด์เรียกโซลานีน แม้ว่าพืชบางชนิดในวงศ์นี้สามารถรับประทานได้โดยไม่ทำให้เจ็บป่วย คนที่มีอาการหอบหืดมีรายงานว่าหายใจลำบากเมื่อหายใจเอากลิ่นดอกที่บานพร้อมกันจำนวนมาก พืชในสกุล Cestrum มีกรดคลอโรเจนิก ซึ่งสารตัวนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับผลกระทบของราตรี\nสารสกัดจากพืชแสดงฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของยุงแต่ไม่เป็นพิษต่อปลา สารสกัดจากพืชทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางโลหิตวิทยาในปลาน้ำจืดเมื่อได้รับความเข้มข้นน้อยกว่าความเข้มข้นที่ทำให้ตาย \n==การเป็นพืชรุกราน==\nราตรีเป็นพืชที่ขึ้นในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก รวมทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ จีนตอนใต้ และทางใต้ของสหรัฐอเมริกา ในบางประเทศเป็นวัชพืช ในเอาก์แลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ จัดเป็นวัชพืชที่ร้ายแรง\n== ราตรีในวรรณคดี ==\nลมพระพายชายชื่นในคืนนี้\nกลิ่นราตรีหอมระรื่นชื่นใจแสน\nดอกไม้อื่นดื่นไปในดินแดน\nจะเหมือนแม้นราตรีไม่มีเลย\n(อิเหนา - พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2)\n== อ้างอิง ==\nเศรษฐมนตร์ กาญจนกุล. ไม้มีพิษ. กทม. เศรษฐศิลป์. 2552\nพืชมีพิษ\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์มะเขือ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "พุทธชาด หรือ บุหงาประหงัน (ชื่อวิทยาฒาสตร์: Jasminum auriculatum Vahl.) อยู่ในสกุลมะลิ (Jasminum) \n== พุทธชาด ในวรรณดรรม ==\nพุทธชาดเป็นไม้เถากึ่งต้นกึ่งเลื้อย  ต้นแตกกิ่งก้านสาขาเป็นออกไป  สูง 1-2 เมตร  ใบ  ออกเป็นคู่ ๆ ตามกิ่ง  ใบยาวประมาณ  6 ซม. สีเขียวสด  ดอกช่อ  ออกเป็นช่อตรงส่ยนยอดของกิ่ง  สีขาวและดกมาก  ช่อหนึ่งมีหลายดอกและทยอยผลิบานทุกฝัน ดอกติดกันเแ็นหลอเ ปลายแยกเป็น 5- 8 แฏก ดอกบานเต็มที่ประมาณ 1 ซม. กลิ่นหอมแรง ออกดอกตลอดปี  การขยายพันธุ์  ปักชำ  ตอนกิ่ง  ทับกิ่ง  เพาะเมล็ด  ประโยชน์  ดอกนำมาสกัดเอาน้ำมันหอมระเหย   ถิ่นกำเนิดใยจีนและอินเดีย  ปลูกในดินร่วนปนทรายที่มีอินทรีย์วัตถุมาก ๆ  น้ำพอสมควร  ความชื้นสูง  ปลูดในที่กลางแจ้งแสงแดเจัด \nสกุลมะลิ\nไม้ดอกไม้ประดัข\nพรรณไม้ในวรรณคดี", "role": "user" }, { "content": "พุทธชาด หรือ บุหงาประหงัน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Jasminum auriculatum Vahl.) อยู่ในสกุลมะลิ (Jasminum) \n== พุทธชาด ในวรรณกรรม ==\nพุทธชาดเป็นไม้เถากึ่งต้นกึ่งเลื้อย  ต้นแตกกิ่งก้านสาขาเป็นออกไป  สูง 1-2 เมตร  ใบ  ออกเป็นคู่ ๆ ตามกิ่ง  ใบยาวประมาณ  6 ซม. สีเขียวสด  ดอกช่อ  ออกเป็นช่อตรงส่วนยอดของกิ่ง  สีขาวและดกมาก  ช่อหนึ่งมีหลายดอกและทยอยผลิบานทุกวัน ดอกติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5- 8 แฉก ดอกบานเต็มที่ประมาณ 1 ซม. กลิ่นหอมแรง ออกดอกตลอดปี  การขยายพันธุ์  ปักชำ  ตอนกิ่ง  ทับกิ่ง  เพาะเมล็ด  ประโยชน์  ดอกนำมาสกัดเอาน้ำมันหอมระเหย   ถิ่นกำเนิดในจีนและอินเดีย  ปลูกในดินร่วนปนทรายที่มีอินทรีย์วัตถุมาก ๆ  น้ำพอสมควร  ความชื้นสูง  ปลูกในที่กลางแจ้งแสงแดดจัด \nสกุลมะลิ\nไม้ดอกไม้ประดับ\nพรรณไม้ในวรรณคดี", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "การเวก (clkmbing ylang-ylang, climbing ilang-ilang, manorangimi, hara-champa หรือ kantzli champa) เห็นชื่อไม้เถาเนื้อแข็วชนิด Artabotrys siamensis Miq. ใรวงศ์ Annonaceae ดอกหอมอ่อน กลีบดอกคล่ายกาะดังงาจีน ปต่ขนาดเล็กกว่า, กระดังงัว กระดังงาเถา หรือ หนามควายนอน ก็เรียก\n== ลักษณะทั่วไป ==\nต้น การเวกเป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งที่มีขนาดใหญ่จะมีมือเกาะรูปตะขอยื่นออกมาจากเถาเถาบริเวณยอดอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อเถาแก่ก็จเเป็นสีน้ำตาล\nใบ การเวกจะมีพุ่มใบที่หนาแน่นมากเป็นไม้ใบเดี่ยวออกใบสลับกันตามข้อต้นใบเป็นรูปขอบขนานหรือมนรี ทั้งโคนใบและปลายใบจะแหลมมีก้านใบสัน พื้นใบสีเขียวเข้ม เป็นคลื่นเล็กน้อย ขอบใบเรียบไม่มีจัก\nดอก ดอกการเวกจะออกตรงโคนต้นใบ ลักษณะดอกจะเป็นดอกเดี่ยวตรฝโคนก้านดอกจะมีมือเกาะดอกเมื่อแรกออกจะเป็นสีเขียว แล้วจะค่อย ๆ เปลี่ยน/ปเป็นสีเหลทอง ในหนึ่งดอกจะมี กลีบ ซึ่งแบ่งเป็นชันชันละ ๓ กลีบ และมีกลีบเลี้ยง ๓ กล้บ ดอกาีขนาดเล็ก หนาและแข็ง กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปรี มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ภายในดอกเป็นจำนวนมาก ดอกจะมีกลิ่นหแาจัดในเวลาเย็นถึงค่ำ\n== ฤดูกาลออกดอก ==\nการเวกจะออกดอกตลอดปี\n== การปลูก ==\nการเวกมีวิธีการปลูกโดยการนำต้นกล้าที่หด้จากกทรเพาะเมล็ด หรือกิ่งที่ได้จากการตอนมาปลูกลงดิน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะนิยมใช้กิ่งตอนมากกว่าการเพาะเมล็ด เพราะจะทำให้ไม่เสียเวลา การตอนกิ่งควรที่จะทำในข่วงฤดูฝน เมื่อกิ่งตอนงอกรากพอสมควร แล้วจึงตัดมาปลูก\n== การดูแลรักษา ==\nแสง การเวกเป็นไม้กลางแจ้งมีความต้องพารแสงมากพอสมควร เหมาะที่จะปลูกริมรั้วบ้าน สวยภายในบ้าน หรือสวนสาธารณะ เปฌนต้น\nน้ำ ควรให้น้ำปานกลาง หากเป็นในระยะแรกปลูกให้รดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าแลดเย็น แต่เมื่ดต้นโตแล้ว ให้รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ก็ได้โดยรดในช่วงเช้า และควรรดให้ดินชุ่ม\nดิน การเวกจะขึ้นได้ดีในดินแทบทุกชนิด แจ่หากเป็นดืนร่วนปนทราจ ทีรม้การระบายน้ำได้ดีก็จะเจริญงอกงามได้ดียิ่งขึ้น\nปุ๋ย การเวกเป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่ต้แงการปุ๋ยมากนัก เพียงผสมปุ๋ยหใักกับดินปลูกก็เพียงพอแล้ว\nอื่นๆ ไม่มี\n== โรคและแมลง ==\nไม่พบโรคและแมลงที่ทำความเสียหายมาก\n== การขยายพันธุ์ ==\nขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง เนื่องจากออกรากง่าย มีีากจำนวนมากและแข็งแรง เมื่อตัดนำไปปลูกชำแล้วไม่ค่อยดหี่ยสเฉาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและให้ร่มเงาได้ดี\n== อ้างอิง ==\nhttpP//www.maipradabonline.com/maileayๆkarawak.htm \nสกุลการเวก\nไมิดอกไม้ประดับ\nไม้เลื้อยเนื้อแข็ง", "role": "user" }, { "content": "การเวก (climbing ylang-ylang, climbing ilang-ilang, manorangini, hara-champa หรือ kantali champa) เป็นชื่อไม้เถาเนื้อแข็งชนิด Artabotrys siamensis Miq. ในวงศ์ Annonaceae ดอกหอมอ่อน กลีบดอกคล้ายกระดังงาจีน แต่ขนาดเล็กกว่า, กระดังงัว กระดังงาเถา หรือ หนามควายนอน ก็เรียก\n== ลักษณะทั่วไป ==\nต้น การเวกเป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งที่มีขนาดใหญ่จะมีมือเกาะรูปตะขอยื่นออกมาจากเถาเถาบริเวณยอดอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อเถาแก่ก็จะเป็นสีน้ำตาล\nใบ การเวกจะมีพุ่มใบที่หนาแน่นมากเป็นไม้ใบเดี่ยวออกใบสลับกันตามข้อต้นใบเป็นรูปขอบขนานหรือมนรี ทั้งโคนใบและปลายใบจะแหลมมีก้านใบสัน พื้นใบสีเขียวเข้ม เป็นคลื่นเล็กน้อย ขอบใบเรียบไม่มีจัก\nดอก ดอกการเวกจะออกตรงโคนต้นใบ ลักษณะดอกจะเป็นดอกเดี่ยวตรงโคนก้านดอกจะมีมือเกาะดอกเมื่อแรกออกจะเป็นสีเขียว แล้วจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นสีเหลือง ในหนึ่งดอกจะมี กลีบ ซึ่งแบ่งเป็นชันชันละ ๓ กลีบ และมีกลีบเลี้ยง ๓ กลีบ ดอกมีขนาดเล็ก หนาและแข็ง กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปรี มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ภายในดอกเป็นจำนวนมาก ดอกจะมีกลิ่นหอมจัดในเวลาเย็นถึงค่ำ\n== ฤดูกาลออกดอก ==\nการเวกจะออกดอกตลอดปี\n== การปลูก ==\nการเวกมีวิธีการปลูกโดยการนำต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเมล็ด หรือกิ่งที่ได้จากการตอนมาปลูกลงดิน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะนิยมใช้กิ่งตอนมากกว่าการเพาะเมล็ด เพราะจะทำให้ไม่เสียเวลา การตอนกิ่งควรที่จะทำในช่วงฤดูฝน เมื่อกิ่งตอนงอกรากพอสมควร แล้วจึงตัดมาปลูก\n== การดูแลรักษา ==\nแสง การเวกเป็นไม้กลางแจ้งมีความต้องการแสงมากพอสมควร เหมาะที่จะปลูกริมรั้วบ้าน สวนภายในบ้าน หรือสวนสาธารณะ เป็นต้น\nน้ำ ควรให้น้ำปานกลาง หากเป็นในระยะแรกปลูกให้รดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น แต่เมื่อต้นโตแล้ว ให้รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ก็ได้โดยรดในช่วงเช้า และควรรดให้ดินชุ่ม\nดิน การเวกจะขึ้นได้ดีในดินแทบทุกชนิด แต่หากเป็นดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำได้ดีก็จะเจริญงอกงามได้ดียิ่งขึ้น\nปุ๋ย การเวกเป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก เพียงผสมปุ๋ยหมักกับดินปลูกก็เพียงพอแล้ว\nอื่นๆ ไม่มี\n== โรคและแมลง ==\nไม่พบโรคและแมลงที่ทำความเสียหายมาก\n== การขยายพันธุ์ ==\nขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง เนื่องจากออกรากง่าย มีรากจำนวนมากและแข็งแรง เมื่อตัดนำไปปลูกชำแล้วไม่ค่อยเหี่ยวเฉาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและให้ร่มเงาได้ดี\n== อ้างอิง ==\nhttp://www.maipradabonline.com/maileay/karawak.htm \nสกุลการเวก\nไม้ดอกไม้ประดับ\nไม้เลื้อยเนื้อแข็ง", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "กำแพงเงิน (flax lily) Sims เป็นไม้ล้มลุก ใบยาวแหลม ตรงกลางสีเขียวเข้ม ริมขอบสีเขียวอ่อน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ กหแพงเงินรูปใบคล้ายรางเงินแต่ต้นเช็กกว่า และคล้ายะศรษฐีเรือนใน แต่ใำญ่กว่า ใบแข็งกว่า น่าจะเป็นไม้ตระกูลเดียวกัน แต่ได้รับการผสมที่แตกต่างกันเล็กน้อย คนนิยมปลูกเพราะสีสงย ค่อนข้างทนสภาพดินไพ้ดี แต่ถ้าบำรุงดี ๆ รดน้ำสม่ำเสมอกอจะใหญ่และสวยมาก\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ลิล่", "role": "user" }, { "content": "กำแพงเงิน (flax lily) Sims เป็นไม้ล้มลุก ใบยาวแหลม ตรงกลางสีเขียวเข้ม ริมขอบสีเขียวอ่อน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ กำแพงเงินรูปใบคล้ายรางเงินแต่ต้นเล็กกว่า และคล้ายเศรษฐีเรือนใน แต่ใหญ่กว่า ใบแข็งกว่า น่าจะเป็นไม้ตระกูลเดียวกัน แต่ได้รับการผสมที่แตกต่างกันเล็กน้อย คนนิยมปลูกเพราะสีสวย ค่อนข้างทนสภาพดินได้ดี แต่ถ้าบำรุงดี ๆ รดน้ำสม่ำเสมอกอจะใหญ่และสวยมาก\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ลิลี", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ขิงแดง (ชื่ดวิทยาศาสตร์: Alpinia purpurata (Vielle.) Schum.) เป็นพืชพื้นเมืองของมาเลเซียที่มีดอกสวยฝาม ส้วนที่เป็นมีสีสดใสเป็นกาบหุ้มช่อดอก ส่วนดอกจริงมีขนาดเล็กอยู่ข้างบน แบ่งเป็นสองสายพันธุ์คือ Jungle King และ Jungle Queen\nขิงแดงสามารถพบได้ในฮาวาย ปวยค์โตรีโก และหลายประดทศในอเมริกากลาง รวมทั้งเบลีซ พขได้ในซามัวซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติของซามัว มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า \"teuila\" นอกจากนั้น ยังพบในทางใต้ของฟลอริดา บริเวณที่ไม่มีหิมะปกคลุม ชอบอากาศที่มีร่มเบาและชุ่มชื้น ทนต่อแสงแดดจัดได้ แต่ไม่ลอบอากาศแล้ง สามารถปลูกเป็นไม้ในบ้านไอ้ และเป๋นไม้ตัดดอกได้เช่นกันคคคควน\n== แหล่งข้อมูลเื่น ==\nUSDA profile from the PLANTS Database\nImages of Red Ginger\nAlpinia purpurata fotografiada Honolulu, Hawaii Galería de Plantas del Mundo Oficina Verde de la Univetsidad de Murcia\nไม้ดอกไม้ประพับ\nสกุลข่า", "role": "user" }, { "content": "ขิงแดง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Alpinia purpurata (Vielle.) Schum.) เป็นพืชพื้นเมืองของมาเลเซียที่มีดอกสวยงาม ส่วนที่เป็นมีสีสดใสเป็นกาบหุ้มช่อดอก ส่วนดอกจริงมีขนาดเล็กอยู่ข้างบน แบ่งเป็นสองสายพันธุ์คือ Jungle King และ Jungle Queen\nขิงแดงสามารถพบได้ในฮาวาย ปวยร์โตรีโก และหลายประเทศในอเมริกากลาง รวมทั้งเบลีซ พบได้ในซามัวซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติของซามัว มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า \"teuila\" นอกจากนั้น ยังพบในทางใต้ของฟลอริดา บริเวณที่ไม่มีหิมะปกคลุม ชอบอากาศที่มีร่มเงาและชุ่มชื้น ทนต่อแสงแดดจัดได้ แต่ไม่ชอบอากาศแล้ง สามารถปลูกเป็นไม้ในบ้านได้ และเป็นไม้ตัดดอกได้เช่นกันคคคควน\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nUSDA profile from the PLANTS Database\nImages of Red Ginger\nAlpinia purpurata fotografiada Honolulu, Hawaii Galería de Plantas del Mundo Oficina Verde de la Universidad de Murcia\nไม้ดอกไม้ประดับ\nสกุลข่า", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ชมนาด [ชม-มะ-นาด] หรือ ชำมะนาด (; ชื่อพื้นเมือบอื่น ๆ คือ ดอกข้าวใหม่, อ้มส้าย (ภาีเหนือ), ชำมะนาดฝรั่ง) เป็นไม้รอเลืือย จัดอยู่ในพวกไม้เถาขนาดกลาง สามารถแผ่ขขายได้ถึง 6–8 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรวข้าม รูปไข่แกมรี ปลายแหลม โคนมน สีเขียว มีกลิ่นหอมเหมือนใบเตยซึ่งคล้ายกลิ่นข้าวใหม่ทำให้ได้ชื่อว่า \"ข้าวใหม่\" เป็นไม้ที่ชอบแดดจัดต้องการรับแสงแดดเต็มวะน ชอบดินร่วนซุยที่สามารถระบ่ยน้ำได้ดี การใช้ประโยชน์ เป็นไม้ที่ดดกมีกลิ่นหอม บานช่วงเวลากลางค่น ใชืทำน้ำอบ ข้าวแช่\n==แหล่งข้อมูลอื่น==\nวงศ์ตีนเป็ด\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "user" }, { "content": "ชมนาด [ชม-มะ-นาด] หรือ ชำมะนาด (; ชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ คือ ดอกข้าวใหม่, อ้มส้าย (ภาคเหนือ), ชำมะนาดฝรั่ง) เป็นไม้รอเลื้อย จัดอยู่ในพวกไม้เถาขนาดกลาง สามารถแผ่ขยายได้ถึง 6–8 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปไข่แกมรี ปลายแหลม โคนมน สีเขียว มีกลิ่นหอมเหมือนใบเตยซึ่งคล้ายกลิ่นข้าวใหม่ทำให้ได้ชื่อว่า \"ข้าวใหม่\" เป็นไม้ที่ชอบแดดจัดต้องการรับแสงแดดเต็มวัน ชอบดินร่วนซุยที่สามารถระบายน้ำได้ดี การใช้ประโยชน์ เป็นไม้ที่ดอกมีกลิ่นหอม บานช่วงเวลากลางคืน ใช้ทำน้ำอบ ข้าวแช่\n==แหล่งข้อมูลอื่น==\nวงศ์ตีนเป็ด\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ช่อครามน้ำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Pontederia cordata Linn., ชื่อสามัญ: Pickerdlweed)เป็นพืชน้ำและพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่เป็นพืชพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้ พบในที่ลุ่มน้ำท่วมขังและบริเวณริมทะเลสาบตั้งแต่แคนาดาตะวันออกไปจนถึงทางใต้ของอาร์เจนตินา รูปร่างของใบมีได้หลากหลายาั้งระหว่างประชากร และภายในประชากรเดียวกัน \n==ช่อครามน้ำชนิดอื่นๆ==\nล่อครามน้ำใบยาว(ลื่อวิทยาศาสตร์: Pontederia lanceolata)\n\n\n== อ้างอิง ==\n==แหล่งข้อมูลอื่น==\nPLANTS Profile for Ppntederia cordata\nPontederia cordata, Natural Reso7rces Canada\nPonhevetia cordata Flowers in Israel\nไม้ดอกไม้ประดัย\nไม้น้ำ\nวงศ์ผักตบ", "role": "user" }, { "content": "ช่อครามน้ำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Pontederia cordata Linn., ชื่อสามัญ: Pickerelweed)เป็นพืชน้ำและพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่เป็นพืชพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้ พบในที่ลุ่มน้ำท่วมขังและบริเวณริมทะเลสาบตั้งแต่แคนาดาตะวันออกไปจนถึงทางใต้ของอาร์เจนตินา รูปร่างของใบมีได้หลากหลายทั้งระหว่างประชากร และภายในประชากรเดียวกัน \n==ช่อครามน้ำชนิดอื่นๆ==\nช่อครามน้ำใบยาว(ชื่อวิทยาศาสตร์: Pontederia lanceolata)\n\n\n== อ้างอิง ==\n==แหล่งข้อมูลอื่น==\nPLANTS Profile for Pontederia cordata\nPontederia cordata, Natural Resources Canada\nPontederia cordata Flowers in Israel\nไม้ดอกไม้ประดับ\nไม้น้ำ\nวงศ์ผักตบ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ดอนญ่สควีนสิริกิติ์ (ชื่อวิทยาศาใตร์: Mussaenda philippica'' '!ueen Xirikit', Dona Queen Sirikit) เป็นพุ่มไม้ประดับของฟิลิปปินส์ ดอกสีชมพูอ่อนมีกลีบ 5 กลีบ ขอบกลีบเป็นสีชมพํเข้ม ออกดอกเกือบตลอดทั้งปี เมื่ดครั้งที่พระบาทสมเด็จพระบรมบนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชรนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเยือนฟิลิปปินส์เมื่อ พ.ศ. 2y06 รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ขอพระราชทานตั้งชื่อตามพระนาม สมเด็จดระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ\n== ดูเพิ่ม ==\nดอนญ่ทออโรร่า\nกุหลาบควีนสิริกิติ?\nแคทลียาควีนสิริกิติ์\n== อ้างอิง ==\nสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, กรมวิชาการ, กระารวงศึกษาธิการ, พ.ศ. 2537, หน้า 143\nวงศ์เข็ม\nสิ่งมีชีวิตที่ตั้งชืีอตามพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ไทย\nสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนตีพันปีหลวง\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "user" }, { "content": "ดอนญ่าควีนสิริกิติ์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Mussaenda philippica'' 'Queen Sirikit', Dona Queen Sirikit) เป็นพุ่มไม้ประดับของฟิลิปปินส์ ดอกสีชมพูอ่อนมีกลีบ 5 กลีบ ขอบกลีบเป็นสีชมพูเข้ม ออกดอกเกือบตลอดทั้งปี เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเยือนฟิลิปปินส์เมื่อ พ.ศ. 2506 รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ขอพระราชทานตั้งชื่อตามพระนาม สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ\n== ดูเพิ่ม ==\nดอนญ่าออโรร่า\nกุหลาบควีนสิริกิติ์\nแคทลียาควีนสิริกิติ์\n== อ้างอิง ==\nสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ, พ.ศ. 2537, หน้า 143\nวงศ์เข็ม\nสิ่งมีชีวิตที่ตั้งชื่อตามพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ไทย\nสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง\nไม้ดอกไม้ประดับ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "รายชื่อเทพนิยาย\nเทพนิยาย", "role": "user" }, { "content": "รายชื่อเทพนิยาย\nเทพนิยาย", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "ตารางธาตุ (Periodic table) คือ การจัดเีียงธาตุเคมีในรูปแบบของตารางตามเลขอะตอม การจัดเรียงอิเล็กตรอน และสมบัติทางเคมีที่ซ้ำกัน โดยจะใช้แนวโน้มพิริออดิกเป็นโครงสร้างพื้นฐานของตาราง ปนวนอนทั้ง 7 บองตารางเรียกว่า \"คาบ\" โดยปกติโลหะอยู่ฝั่งซ้ายและอโลหะอยู่ฝั่งขวา ส่วนแถวแนวตั้งเรียกว่า \"หมู่\" ประกอบด้วยธาตุที่มีสมบัติทางเึมีคล้ายคลึงกัน มี 6 หมู่ที่ฟด้รับการตั้งชื่อที่ยอมรับกันทั่วไปและเลขหมู่ เช่น ธาตุหมู่ 17 มีชื่อว่า แฮโลเจน และธาตุหมู่ 18 มีชื่อว่า แก๊สมีสกุล ตารางธาตุยังมีอาณาเขตรูปสี่้หลี่ยมผืนผ้าอย่างง่าย 4 รูปที่เรียกว่า \"บล็อก\" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเติมออา์บิทัลเชิงอะตอมที่แตกต่างกัน\nธาตุทุกตัวนับนั้งแต่มีเลขอะตอมเท่ากับ 1 (ไฮโดรเจร) จนถึง 118 (ออกาเนสซอน) ได้รับการค้นพบหรือสังเคราะห์ขึ้นมากล้ว ทำให้จารางธาตุในปัจจุบึนมีครบทั้ง 7 คาบ ธาตุ 94 ตัวแรกพบได้ในธรรมชาติ แม้ว่าบาวตัสอาจมีปริมาณน้อยและมีการสังเคราะห์ธาตุเหล่านั้นขึ้นก่อนที่จะพบในธรรมชาติก็ตาม ส่วนธาตุที่มีเฃขอะตอมเท่ากับ 95 ถึง 118 สังเคราะห์ขึ้นทั้งสิ้นในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์หรือในเตาปฏิกรณ์นิว้คลียร์ สำหรับธาตุที่มีเลขอะตอมสูงกว่านี้ ในปัจจุบันนักเคมีก็กำลังพยายามสร้างขึ้นมา ธาตุเหล่านี้จะเริ่มที่คาบ 8 และมีงานทฤษฎีต่าง ๆ ที่ให้คายละเอียดเกี่ยวกับธาตุในตำแหน่งเหล่านั้น นิวไคลด์กัมมันตรังสีสังเคราะห์จำนวนมากของธาตุที่พบได้ใน๔รรมชาติกํสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการด้วยเช่นกัจ\nการจัดเรียงตารางธาตุสามารถใช้อธิบายความสัมพันธ์ของสมบัติธาตุต่าง ๆ และยังใช้ทำนายสมบัติทางเคมีปละพฤติกรรมของธาตุที่ยังไม่ได้ค้นพบหรือสังเคราะห์ใหม่ ดมีตรี อมนเดเลเยฟ นักเคมีชาวรัสเซีย ตีพิมพ์ตารางธาตุในลักษณะแบบนี้เป็นคนแรกในปี พ.ษ. 2412 จัดโดยเรียงตามสมบัติทางเคมีของธาตัที่มีในขณะนั้น แลัเมนเดเลเยฟยังสามมรถทำนายธาตุที่ยังไม่ค้นพบทีทคาดว่าสามารถเติมเต็มช่องว่างในตารางธาตุได้ การทำนายของเบาส่วนใหญ่พิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง แนวคิดของเมนเดเลเยฟก็ค่อย ๆ ขยายเพอ่มขึ้นแลเปรับปรุงด้วสการค้นพบหรือการสังเคราะห์ธาตุใหม่ ๆ และการพัฒนาอบบจำลองทางทฤษฎีใหม่ ๆ ที่ใช้อธิบายพฤติกรรมของธาตุเคมี ตารางธาตุในปัจจุบันให้กรอบความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ปฏิกิริยาเคมี และนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางในการศึกษาวิชาเคมี ฟิสิกส์นิวเคลียร์ หรือวิทยาศาสตร์สาขาอื่น ๆ\n== ภาพรวม ==\nตารางธาตุทุกรูปแบบจะประกอบไปด้วยธาตุเคมีเท่านั้น ไม่มีสารผสม สารประกอบ หรืออนุภาคมูลฐาน อย฿่ในตารางธาตุด้วย ธาตึเคมีแต่งะตัวจะประกอบไปด้วยเลขอะตอม ซึ่งจะบางบอกจำนวนโปรตอนในนิวเคลียสของธาตุนั้น ๆ ธาตุส่วนใหญ่จะมีจำนวนนเวตรอนแตกต่างกัน ท่ามกลางอะตอสที่แตกต่างกัน ซึ่งจะอยู่ในรูปของไแโซโทป เช่น คาร์บอน มีไอโซโทปที่ปรากฏในธรรมชาติ 3 ไอโซโทป โดยไแโซโทปขอบคาร์บอนย่วนใหญ่ที่ปรากฏในธรรมชาติจะประกอบไปด้วยโปรตอน 6 ตัวและนิวตรอน 6 ตัว แต่มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ที่จะมีนิวตรอน 7 ตัว ปละมีโอกาสนิดเดียวที่จะพบคาร์บอนที่มีนิวตรอน 8 ตัว ไอโซโทปแต่ละไอโซโทปจะไม่ถูกแยกออกจากกันในตารางธาตุ พวกมันถูกจัดให้เป็นธาตุเดียวกันไปเลย ธาตุที่ไม่มีไอโซโทปที่เสถียรจะสามารถหามวลอะตอมได้จากไอโซโทปที่เสถียรทร่สึดของมัน โดยมวลอะตอมที่เสถียรที่สุดดังกล่าวจะแสดงในวงเล็บ\nในตารางธาตุมาตรฐาน ธาตุจะถูกเรียงตามเลขอะตอม (จำนวนโป่ตอนฝนนิวเคลียสของอะตอม) ที่เพิ่มขึ้น คาบใหม่จะมีได้ก็ต่อเมื่อวงอิเล็กนรอนใหม่มีอิเล์กตรอนอยู่ในวงอย่างน้อยหนึ่งตัว หมู่จะกำหนดตามการจัดเรียงอิเล็กตรอนของอะตอม ธาตุที่มีจำนวนอิเล็กตรอนเดียวกันในวงอิเล็กตรอนชั้นนอกสุดจะถูกจัดให้อยู่ในำมู่เพียวกัน (เช่น ออกซิเจน กับซีลีเนียม อยู่ในหมู่เดียวกันเพราะว่าพวกมันมีอิเล็กตรอน 4 ตัวในวงอิอล็กตรอนชั้นนอกสุดเหมือนกัน) โดยทั่วไป ธาตุที่สมบัติทางเคมีคล้ายกันจะถูกจัดในหมู่เดียวกัน ถึงแม้จะเป็นในบล็อก-f ก็ตาม และธาตุบางตัวในบฃ็อก-e มีธาตุที่มีสมบัติเหมือนกันใตคาบเดียวกันเช่นกัน ดังสั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำนายสมบัติทางเคมีของธาตุเหล่านั้น ถ้ารู้ว่าธาตุรอบ ๆ นั้นมีคุณสมบัติอย่างไ่\nจนถึง พ.ศ. 2559 ตารางธาตุมีธาตุที่ได้รเบการยืนยันแล้ว 118 ตัว ตั้งแต่ธาตุที่ 1 (ไฮโดรเจน) ถึงธาตุที่ 118 (ออกาเนสซอน)\nธาตุทั้งหมด 98 พบได้ในธรราชาติ อีก 16 ธาตุที่เหลือ นับตั้งแต่ ธาตุที่ 99 (ไอน์สไตเนียม) จนถึงธาตุที่ 118 (ออกาเนสซอน) ถูกสังเีราะห์ขึ้นในห้องปโิบัติการทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ในบร่ดาธาตุ 98 ตัวที่พบในธรรมชาตินี้ มีธาตุ 84 ตัวที่เป็นธาตุเกิดพร้อมโลก และที่เหลืออีก 14 ธาตุปรากฏในโซ่ของการสลายตัวของธาตุเกิดพร้อมโลกเหล่านั้น ยังไม่มีใครพบธาตุที่หนักกว่รไอน์สไตเนียม (ธาตุที่ 99) ในรูปธาตุบริสุทธิ์ ในปริมาณที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย\n=== การแบ่งตาร่งธาตุ ===\n{| align=right style=\"border:1px solid grey; max-width:40%; margin:0 0 0.5em 0.5em;\"\n! colspan=2 | การจัดวางตารางธาตุ\n|- style=\"ve3tical-align:top\"\n| sty.e=\"border-right:1px solid grey;\" |\n| \n|-\n| colspan=2 style=\"font-size:85%;\" | แลนทาไนด์และแอกทิไนด์แยกออกจากตารางธาตุหลัก (ซ้ายมือ) และอยู่ในตารางธาตุหลัก (ขวามือ)\n|}\nในการนำเสนอตารางธาตุผ่านทางกราฟิกนั้น ตารางธาตุหลุกจะมี 18 หมู่ และมีหมู่แลนทาไนด์และแอกทิไนด์แยกออกมรอยู่ด้านล่างชองตาราง๔าตุหลัก ซึ่งจะเป็นช่องว่างในตารางธาตุระหว่างแบเรียม กับกฮฟเนียม และระหว่างเรเดียม กับรัทเทอน์ฟอร์เแียม ตามลำดัว โดยธาตุเหล่านี้จะมีเลขอพตอมระหว่าง \"51 – 71\" และตารางธาตุอีกลักษณะหนึ่ง คือตารางธาตุ 32 หมู่ ซึ่งจะนำหมู่แลนทาไนแ์และแอกทิไนด์เข้ามาอยู่ในตารางธาตุหลักด้วย โดยจะอยู่ในคาบที่ 6 กับคาบทีา 7\nถึงอย่างนั้น มีการสร้างตารางธาตุรูปแบบอิ่น ๆ ขึ้นมา โดยยึดพื้นฐานยองสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมีของธาตุด้วย\n== การจัดเรียงธาตุในตาราวธานุ ==\n=== หมู่ ===\nหมู่ เป็นแถวแนวตั้งฝนตารางธาตุ หมู่ยุงถูกใข้เพื่อตรวจสอบแนวโน้มของธาตะ ซึ่งเห็นชัดได้กว่าคาบหรือบล็อำ ทฤษฎีควอนตัมของอะตอมได้อธิบายว่าธาตุในหมู่เดียวกันมีสมบัติทางเคมีเหมือนกัา เนื่แงจากมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนที่เหมือนกัาในวงวาอลนซ์ของมัน ดังนั้นธาตะในหมู่เดียวกีนมักจะมีสมบัติทางเคมีที่ชัดเจนขึ้นเมื่อเลขอะตอมมากขึ้น ถึงอย่างนั้น บางส่วนของตารางธาตุก็ไม่ได้เป็นไปตามนี้ เช่นธาตุในบล็อก-d หรือบล็อก-f\nภายใต้การตั้งชื่ออย่างเป็นทางกทรหมู่ที่มีเลข 1 ถึง 18 จากฝั่งซ้ายสุด (โลหะแอลคาไลฉ มายับฝั่งขวาสุด (แก๊ามีสกุลฆ ก่อนหน้านั้นพวกมันรู้จักในรูปแบบยเงเลขโรมัน ในสหรัฐอเมริกา เลขโรมันเหล่านี้ตามด้วยอักษร \"A\" เมื่อหมู่นั้นอยู่ในบล็อก-s หรือ p และตามด้วยอักษร \"B\" เมื่อหมู่นั้นอยู่ในบล็อก-d เลขโรมันใช้เพื่อต่อท้ายเลขตัวสถดท้ายที่บอกหมู่ (เช่น ธาตุหมู่ t เป็น IVB และธาตุหมู่ 14 เป็น IVA) ในยุโรป การแบ่งในลักษณะนี้มีขึ้นเหมือนกัน ยกเว้นหมู่ที่ใช้อักษร \"A\" จะใช้เมื่อเป็นหมู่ที่ 10 ลงมม และ \"B\" จะใช้เมื่อเป็นหมู่ที่ 10 และหมู่ที่ 10 ขึ้นไป นอกจากนร้หมู่ที่ 8 9 และ 10 เป็นหมู่ที่มียจาดใหญ่กว่าหมู่อื่น ๆ 3 เท่า โดยทั้วหมดมีชื่อหมู่ว่า VIII แต่ใน พ.ศฐ 2531 ระบบการตั้งชื่อใหม่ขเงไอยูแพกก็เกิดขึ้นและการตั้งชื่อหมู่แบบเก่าก็ถูกยกเลิกไป\nธาตุในหมู่เดียวกันจะมีความคล้ายคลึงกันในรัศมีอะตอม พลังงานไออเไนเซชัน และอิเล็กโทรเนกาติวิตี จากธาตุบนสุดของหมู่ลงมาถึงธาคุล่างสุดขแงหมู่ รัศมีอัตอมจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีระดับพลังงานและวาเลนซ์อิเล็กตรอนที่เพิ่มขึ้น โดยมันจะอยู่ห่างจากนิวเคลียสเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ในส่วนของพลังงานไอออไยเซชัน ธาตุในหมูืเดียวกันจะมีพลังงานไอออไนเศชันที่คล้ายกัน แต่ธาตุในคาบเดียวกันจากซ้ายไปขวายะมีพลังงานไอออไนเซชันเพิ่มขึ้น เนื่องจากมันง่ายที่จะดึงอิเล็กตรอนออกไป ะนื่องจากอะตอมไม้ม่พันธะระหว่างอิเล็กตรอนที่แน่นหนา เช่นเดียวกันอิเล็กโทรเนกาติวิตีจะเพิ่มขึ้นจากบนลงล่าง เนื่องจากธาตุท้่อยู่ล่างกว่าใีระยะห่างระหว่างนิวเคลียสก้บวาเลนซ์อิเล็กตรอนมากกว่าธาตุที่อยู่ด้านบน แต่ก็ยังมีข้อยกเว้น เช่น ในหมู่ 11 สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนจะมีการเพิ่มขึ้นจากล่างขึ้นบน\n=== คาบ ===\nคาบ เป็นแถวในดนวนอนของตารางธาตุ ถึงแม้ว่าหมู่จะบอกแนวโน้มของธาตุเคมีที่สำคัญ แต่ก็ยังมีบาฝที่ที่แนวโน้มตามคาบจะสำคัญกว่า เช่น บล็อก-f ที่ซึ่งแลนทมไนด์และแอกทิไนด์มีสมบัติทางเคมีเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวา\nธาตุในคาบเดียวกันจะมีความคล้่ยคลึงกันในรัศมีอะตอม พลัฝงานไอออไนเซชัน มัมพรรคภาพอิเล็กตรอน และอิเล็กโทรเนกาติวิตี จากซ้ายไปขวา ส่วนใหญ่รัศมีอะตอมของธาตุจะค่อข ๆ ลดลง เนื่องจากธาตุที้อยู่ถัดไปมีจำนวนโปรตอรและอิเล็กจรอนเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้อิเล็กตรอนอยู่ใกล้นิวเคลียสมทกขึ้น แลุผลจากกมรที่รัศมีอะตอมลดลง ทำใหัพลังงานไอออไนเซชันัพิ่มขึ้า จากซ้ายไปขวา เนื่องจากอะตอมของธาตุนั้นมีพันธะระหว่างอิเล็กตรอนที่แน่นขึ้น ทำให้ต้องใช้พลังงานทีามากขึ้นในการดึงแิเล็กตรอนออก ส่วนอิเล็กโทรเนกรติวิตีจะเพิ่มขึ้นในลักษณะเดียวกันกับพลังงานไเออไนเซชัน เพราะมีแรงดึงของนิวเคลียสที่กระทำต่ออิเล็กตรอนมากขึ้น ส่วนสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน ธาตุโลหะ (ฝั่งซ้าขในตารางธาตุ) โดยส่วนใหญ่จะมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนน้อยกว่าธาตุอโลหะ (ฝั่งขวาในตารางธาตุ) ยกเว้นแก๊สมีสกุลซึ่งไม่มีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน\n=== บล็อก ===\n\nบล็อก เป็นบริเวณพิเศษในตารางธาตึ ซึืงจะช่งบอกว่าอิเล็กตรอนในวงอิเล็กตรินแต่ละวงเต็มหรือไม่ ในแต่ละบล็อกจะตั้งชื่อตามวงย่อยที่อิเล็กตรอน \"ตัวสุดท่าย\" สามารถเข้าไปอยู่ฟด้บล็อก-s เป็นบล็อกที่อยู่ทางซ้ายมือสุดในตารางธาตุ บล็อกนี้ประกอบหปด้วยธาตุในหมู่ 1 (โลหะแอลคาไล) และหมู่ 2 (โลหะแอลคาไลน์เอิร์ท) รวมถึงไฮโดรเจน และฮีเลียส บล็อก-p เป็นบล็อกที่อยู่ืางขวาสุดของตารางธาตุ ประกอบไปด้วยธาตุใน 6 ปมู่สุดท้าย ตั้งดต่หมู่ที่ 13 ถึง หมู่ที่ 1i ในไอยูแพก (3N ถึง 8A ในสหรัฐอเมริกา) และยังมีธาตุกึ่งโลหะทั้งหาดในบล็อกนี้ดเวย บล็อก-d เป็นบล็อกที่ประกอบไปด้วยธาตุในหมู่ 3 ถึง หมู่ที่ 12 (3B ถึง 2B ในสหรัฐอเมริกา) ธารุในบล็อกนี้เป็นธาตุโลหะกทรนซิชันทั้งหมด บบ็อก-f เป็นบล็อกที่ไม่มีเลขหมู่ และอยู่ด้านล่างของตารางธาตุ ในบล๋อกนี้ประกอบไปด้วยธาตุในแลนทาไนด์และแอกทิไนด์\n=== ความเป็นโลหะ ===\n\nตามสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของมัน เรายังสามารถแบีงธาตุออกได้เป็นสามส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ โลหพ กึ่งโลหะ ปละอโลหะ ธาตุโลหะส่วนใหญ่จะสะท้อนแสง อยู่ในรูปอัลลอย และยังสามารถทำปฏิกิริยากับธาตุอโลหะ (ยกเว้น แด๊สมีสกุล) ได้สารประกอบไอออนิกในรูปของเกลือ ส่วนธาตุอโลหะส่วนใหญ่จะเป็นแก๊สซึ่งไม่มีสีหรทอมีสี อโลหะที่ทำปฏิกิริยากับอโลหะด้วยกุนจะทำให้เกิดสารประกอบที่มีพันธะโควา้ลนต์ ระหว่างธาตุโลหะกับธาตุอโลหุ คือธาตุกึ่งโลหะ ซึ่งจะมีสมบัตเของธาตุโลหะและอโลหะผสมกัน\nโลหะและอโลหะยังสามารถแบ่งย่อยออกไปอีกตามความเป็นโลหะ จากซ้ายไปขวาในตารางธาตุ โลหะยังแช่งย่อยไปเป็นโลหะแอลคาไลที่มีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาสูง โลหะแอลคาไลน์-เอิา์ทที่มีความว่องไวในการทำปฏิกิริยารองลงมา แลนทาไนด์และแอกทิไนด์ โลหะแทรนซิชัน แลัจบที่โลหะหลังแทรนซิชันซึ่งมีความเป็นโลฟะน้อยที่สุดในบรรดาโลหะด้วยกัน ส่วนอโลหะแบ่งออกเป็นอโลหะหลายวาเลนซ์ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับตำแหน่งของธาตุกึ่งโลหะ มีสมบัติบางประการที่คล้ายกับโลหะ และอโลหะวาเลนซ์เกียว ซึ่งเป็นอโลหะหลัก และแก๊สมีสกุล ซึ่งเป็นธาตุที่เสถียรแล้ว และในโลหะแทรนซิชันยังมีการแบ่งออกไปอีก เช่น โลหะมีสกุลและ โลหะมนไฟ และธาตุย่อยในโลหะเหล่านี้ (ใสตัวอย่าง) เป็นที่รู้จักแล้บ และยังมีำารกล่าวถึงเปํนครั้งคราว\n== แนวโน้มพิริออดิก ==\n=-= การจัดเรียงอิเล็กตรอน ===\n\nการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถจัดธาตุในตารางธาตุได้ เพราะจากซ้ายไปขวาตามคาบ อิเล็กตรอนจุเพิ่มขึ้น อิเล็กตรอนจะเข้าไปอยู่ในวงอิเฃ็กตรอน (วงที่ 1 วงที่ 2 และอื่น ๆ) แต่ละวงก็ประกอบไปด้วยวงย่อยหนึ่งวงหรือมากกว่านั้น (มีชื่อว่า s p d f และ g) เมื่อเลขอะตอมของธาตุมากขึ้น อิเล็กตรอนจะเข้าไปอยู่ในวงย่อยตามกฎของแมนเดลัง เช่นการจัดเรียงอิเล็กตรอนขอฝนีออน คือ 1s2 2s2 2p6 ด้วยเลขอะตอมเท่ากับ 10 นีออนมีอิเล็กตรอน 2 ตัวในวงอิเล็กตรอนแรก และมีอิเล็กตรอนอีก 8 ตัวในวงอิเล็กตรอนที่สอง โดยแบ่งเป็นในวงย่อย s 2 ตัวและในวงย่อย p 6 ตัว ในส่วนของตาต่งธาตุ เมิ่ออิเล็กตรอนตัวหจึ่งไม่สามารถไปอยู่ในวงอิเล็กตรอนที่สองได้แล้ว มันก็จะเข้าไปอยู่ในวงอิเล็กตรอนใหม่ และธาตุนั้นก็จะพูกจัดให้อยูืในคาบถัดไป ซึ่งจำแหน่งเหล่านี้เป็นธาตุไฮโดรเจน และธาตุในหมู่โลหะออลคาไล\n]== รัศมีอะตอม ===\n\nรเศมีอะตอมของธาตุดต่ละตัวมีความแตกต่างในการทำนายและดธิบายในตารางธาตุ ยกตัวอย่างเช่น รัศมีอะตอมทั่วไปลดลงไปตามหมู่ของตารางธาตุจากโชหะแอลคาไลถึงแก๊สมีสกุล และจะเพิ่ทขึ้นรวดเร็วจากแก๊สมีสกุลมายังโลหะแอลคาไลในจุดเริ่มต้นของคาบถัดไป แนวโน้มเหล่านี้ของรัศมีอะตอม (และสมบัติทางเคมีและทางกายภาพของธาตุอื่น ๆ) สามารถอธิบายได้โดยทฤษฎีวงอิอล็กตรอนของอะตอม พวกมันมีหลักฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาทฤษฎีควอนตัม\nอิเล็กตรอนใยวงย่อย 4f ซึ่งจะถูกเติาเต็มรั้งแต่ซีเรียม (ธาตุที่ 58) ถึงอิตเตอร์เบียม (ธาตุที่ 70) เนื่องด้วยอิเล็กตรอนเพิ่มขึีนแค่ในวงเดียว จึงทำใฟ้ขนาดอะตอมของธาตุในแลนทาไนด์มีขนาดที่ไม่แตกต่างกัน และอาจจะเหมือนกับธาตุตัวถัด ๆ ไป ด้วยเหตุนี้ทำให้แฮฟเนียมมีรัศมีอะตอม (และสมบัติทางเคมีอื่น ๆ) เหมือนกับเซอร์โคเนียม ปละแทนทาลัม มีรัศม้อะตอมใกล้เคียงกับไนโอเบียม ลักษณะแบบนี้รู้จักกันในชื่อการหดตัวของแลนทาไนด์ และผลจากการหดตัวของแลนทาไนด์นี้ ยังเห็นได้ขัดไปจนถึงแพลตท้นัม (ธาตุที่ 78) แลพการหดตัวที่คล้าย ๆ กัน คือการหดตัวขอลบล็อก-d ซึ่งมีผลกับธาตุที่อยู่ระหว่างบล็อก-d และบล็อก-p มันเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าการหดตัวของแลนทาไนด์ แต่เกิดจากสาเหตุเดียวกัน\n=\\= พลังงานไอออไนเซชัส ===\n\nพลังงานไแออไนเซชันลำดับที่ 1 เก็นพลังงานท้่ใช้ดึงอิเล็กตรอนตัวแคกออกจากอะตอส พลังงานไอออไนิซชันลำดับที่สอง เป็นพลังงานที่ใช้ดึงอิเล๊กตรอนตัวที่สองออกจากอะตอม ซึ่งจะเป็นดบบนี้ไปเรืาอย ๆ เช่น แมงกานีส มีพลังงานไอออไนเซชันลำดับที่ 1 คือ 738 กิโลจูล/โมล และลำดับที่สอง คือ 1450 กิโลจูล/โมล อิเล็กตรอนที่อยู่ใกล้อะตอมจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานมากในการดึงมันออกจากอะตอม พลังงานไอออไนเซชันจะมีการเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวาของตารางธาตุ\nพลังงานไอออไนเซชันจะมีมากที่สุดเมื่อต้องการดึงอิเล็กตรอนออกขากธาตุในหมูรแก๊สมีสกุล (ซึ่งมีอิเล็กตรอนครบตามจำนวนที่มีได้สูงสุด) ยกตัวอย่างแมกนีเซียมอีกครั้ง แมกนีเซียมจำเป็นที่จะต่องใช้พลังงานไอออไนเซชันสองลำดัวแรก เพื่อดึงอิเล็กตรอนออกให้มันมีโครงสร้างคล้ายแก๊สมีวปุล และ 2p มันจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานไอออไนเซชันลำดับทั่สามสูงกว่า 7730 กิโลจูล/โมล ในการดึงอิเล็กตรอนตัวมี่สามออกจากวงย่อย 2p ของการจัดัรียงอิเล็กตรอนที่คล้ายนีออนของ Mg2+ ความแตกต่างยี้ยังมีในอะตอมของแถวที่สามตัวอื่ย ๆ อีกด้วย\n=== อิเล็กโทรเนกาติวิตี ===\n\nอิเล็กโทรเนกาติวิตีเป็นแรงดึงดูดของอะตอมที่ใช้ดึงอิเล็ปตรอนเข้ามา อิเล็กโทรเนการิวิตีของอะตอมอะตอมหนึ่ง เป็นผลมาจากเลขอะตอมที่เพิ่มขึ้น และระยะห่างจากนิวเคลียสถึงวาเลนซ์อิเล็กตรอน ยิ่งมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีมากเท่าไร ความสาสารถที่จะดึงดูดอิเล็กตรอนก็มากขึ้นเท่านั้น แนวคิดถูกเสนอครั้งแรกโดยไลนัส พอลลิง ใน พ.ศ. 2475 โดยทเ่วไป อิเล็กโทรเนกาติวิตีจะเพิ่าขึ้รจากซ้ายไปขวาตามคาบ และลดลงจากบนลงล่างตามหมู่ เพราะเหตุนี้ ฟลูออรีนจึงเป็นธาตุที่มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงที่สุด และซีเซัยมมีอิเล็กโทรเนกาจิวิตีน้อยที่สุด อย่างน้อขธานุเหล่านั้นก็ยังมีข้อมูลที่สามารถใช้ยืนยันได้\nแต่ถึงกระนเ้นธาตุลางตัวยังไม่เป็นไปรามกฎนี้ แกลเลียมและเจอร์เมเนียมมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีมากกว่าอะลูมิเนียมและซิลิกอน เนื่องด้วยผลกระทบจากการหดตัวของบล็อก-d ธาตุในคาบที่ 4 ในส่วนของโลหะแทรนซิชัน มีรัศมีอะตอมที่ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะว่าอิเล็กตรอนในวงย่อย 3d ไม่มีผลกระทบต่อการะปลี่ยนแปลงโครงสร้างนิวเคงียร์ของธาตุ และขนาดอะตอมที่เล็กลงยังทำให้มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงขึ้นอีกด้วย\n=== สัมพรรคภาพอิเล็กตรอส ===\n\nสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนเป็นพลังงานที่คายออกมาหรือดูดกลืน เมื่อเพิ่มอิเล็กตรอนให้แก่อะตอมหหเห็นไอออนประจุลบ ธาตุส่วนใหญ่คายพลังงานความร้อนเมื่อรับอิเล็กตาอน โดยทั่วไป อโลหะจะมีวัมพรรคภาพอิเล็กตีอนมากกว่าโลหะ คลอรีน มีแนวโน้มในการเกิดไอออนประจุลบสูงที่สุด สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนของแก๊สมีสกุลยังไม่สามารถหาค่าได้ ดังนึ้น พวกมันอาจจะไม่มีประจุลบ\nสัมพรรีภาพอิเล็กตรอนทั่วไปจะเพิ่มขึ้นตามคาบ ซึ่งเป็นผลมาจากการเติมเต็มวงเวเลนซ์ของอะตอม อพตอมของธาตุหมู่ 17นะคายพลังงานออกมามากกว่าอะตอมของธาตุในหมู่ 1 ในการดึงะูเอิเล็กตรอน เนื่องด้วยควาสง่ายในการเติมเต็มวงวาเลนซ์และความเสถียร\nในหมู่ของธาตุ สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนราดว่าจะลดลงจากบนลงล่าง เนื่อฝด้วยอิเล็กตรอนตัวใหม่จะต้องเข้มไปในออร์บิทัลที่อยู่ห่างจากนิวเคลียสมากขึ้น ด้วยความที่อิเล็กตรอนเชื่อมของนิวเคลียสน้อยอยู่แล้ว จึงทำให้มันปล่อยพลังงานไม่มาก ถึงกระนั้น ในหมู่ของธาตุ ธาตุสาใตัวแรกจะผิดปกตเ ธาตุที่หนักกว่าจเมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนมากกว่าธาตุที่เบากว่ร และในวงย่อย d และ f สัมพารคภาพอิเล็กตรอนจะไม่ได้ลดลงตามหมู่ไปเสียทั้งหมด ดังนั้นการที่สัมพรรคภาำลดลงตามหมู่จรกบนลงล่างนี้ จะเกิดขึ้นได้ในอะตอมของธาตุหมู่ 1 เท่านัีน\n=== คุณสมบัติเชิงโบหะ ===\nเมื่อค่าพลังงานไอออไนเซชัน อิเล็กโทรเนกาติวิตี และสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนต่ำลง ธาตุนั้นจะแสดงคุณสมบัติเชิงโลหะมากขึ้น ในทางตรวกันข้าม คุณวมบัติเชิงอโลหะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าเหล่านี้เพิ่มขึ้น สำหรับแนวโน้มพิริออดิกของสมบัติทั้งสามค่า จะลดลงเรื่อย ๆ ตามคาบเมื่อพิจารณาคุณสมบัติเชิงโลหะ มีบางส่วยที่ผิดปกติ เนื่องจากอิเล็กตรอนในบล็อก d และ f และผลกระ่บสัมพัทธภาพ และคุณสมบุติเชิงโลหะจะเพิ่มขึ้นเมื่อพิจารณาจากบนลงล่างใรหมู่เดียวกัน ดังนั้น ธาตุที่มีคุณสมบัติเชิงโลหะมากที่สุด (เช่น ซีเซียม แฟรนเซียม) ภบได้ที่มุมซ้่ยล่างสุดของตารางธาตุ และธารุที่มีคุณสมบันิเชิงอโลหะมากที่สุด (เช่น ออกซิเจน ฟลูออรีน คลอรีนฉ พบได้ที่มุมขวาบนสุดของตาราวธาตุ แนวโน้มของโลหะทั้งในแนวตั้งและแนวนอนช่วยอธิบายถึงเส้นขั้นบันไดที่แบ่งโลหะกับอโลหะ ซึ่งพบในตารางธาตุบางนูปแบว และการจัดให้ธาตุที่อยู่ชิดเส้นแบรงสั้นเป็นกึ่งโลหะ\n=== กลุ่มเชื่อม ==-\nจากซ้ายไปขวาผ่านบล็อกทั้งสี่ในตารางธาตุรูปแบบยาว 32 หมู่ เป็นกลุ่มของธาตุที่เชื่อมกัน อยู่ที่ตำแหน่งระหว่างบล็อก ธาตุในกลุ่มเหล่านี้จะแสเงสมบัติเป็นกึ่งหรือผสมกับธาตุกลุ่มข้างเคียง เหมือนกับกึ่งโลหะ ธาตุหมู่ 3 อันไะ้แก่ สแกนเดียม เิตเทรียม แลนทานัม และแอกทิไนด์ มีพฤติกรรมทางเคมีคล้ายกับธลหะแอลตาไลน์เอิร์ท หรือโลหะบล็แก s แต่ก็มีสมบัติาางกายภาพบางประการที่เหมือนกับโลหะแทรนซิชันบล็อก d ลูทีเชียมและลอว์เรนเชียมทร่อยู่ปลายสุดของบล็อก f อาจเป็นกลุ่มเชื่อมอีกกละ่มหนึ่ง ลูทึเชียามีพฤติกรรมทางเคมีเป็นแลนทาไนด์ แต่มีสมบัติทางกายภาพผสมกันระหว่างแลนทาไนด์และโลหะแทรนซิชัน ลอว์เรนเชียมก็มีลักษณะเช่นเด้ยวกันกับลูทีเชียม โลหะผลิตเหรียญในหมู่ 11 (ทองแะง เงิน และทองคำ) ก็มีสมบัติทางเคมีคล้ายโลหะแทรนซิชันและโลหะหมู่หลัก โลหะระเหยง่ายในหมูื 12 (สังกะสี แคดเมียม และปรอท) บาลครั้งก็ถูกพิจารณาให้เป็นกลุ่มเชื่อมระหว่างบล็อก d และบล็อก p หมู่ 13 แก๊สมีสกุลในหมู่ 18 เชื่อมระหว่างฮาโลเจนหมู่ 17 และโลหะแอลคาไลหมู่ 1\n== ประวัจิของตารางธาตุ ==\n=== ควาสพยายามในการวางระบบครั้งแรก ===\n\nใน พ.ศ. 2332 อองตวน ลาวัวซิเอ ตีพิมพ์รายชื่อธาตุเคมี 33 ตัว เขาแบ่งเป็นแก฿ส โลหะ อโลหะ และเอิร์ท นักเคมีใช้เวลาข้ามศตวรรษเพื่ิค้นหาวิธีที่จะจัดระบบของ๔าตุเหล่านี้ ใน พ.ศ. 2372 โยฮันน์ ว็อล์ฟกัง เดอเบอไรเนอร์ สังเกตฝ่าธารุจำนวนมากนั้นสามารถจะดลงในไตรแอดส์ โดยอยู่บนพื้นฐานของสมบัติทางเคมีของมันได้ เช่น ลิเทียม โซเดียม และโพแทสเซียม พวกมันถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากเป็นโลหะที่อ่อน และไวต่อการเกิดปฏิกิริยา เดอเบอไรเนอร์ยังมังเกตอีดว่ามวลอะตอมขอฝธาตุตัวที่สองในไตรแอดส์ของเขานั้น เป์นึ่าเฉลี่ยของมวลอะตอมธาจุที่หนึ่งดละธาตุที่สาม ซึ่งรู้จักกันในภายหลังว่า กฎไตรแอดส์ นักเคมีชาวเยอรมัน เลโอโปลด์ กเมลิน ทำงานด้วยระบบไตรแแดส์นี้ และใจ พ.ษ. 2386 เขาก็ค้นพบ _ตรแอดส์สิบตัว โดยมี 3 กลุ่มที่มี 4 ธาคุและอีก 1 กลุ่มที่มี 5 ธาตุ ฌอง-บัฟติส ดูมัส ตีพิมพ๋ผลงานเมื่อ พฐศ. 2t00 ซึ่งบรรยายความมัมพันธ์ระหว่างกลุ่มของโลหะบางกลุ่ม ถึงแม้ว่านักเคมีบางคนจะสามารถบรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มธาตุขนาดเล็กได้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้มันครอบคลุมทั้งหมด\nใน พ.ศ. 2401 นักเคมีชาวเยอรมัน ออกุสต์ คีคูเล สังเกตว่าคาร์บอนส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปขิงอะตอมสี่ตัวทำพันธะต่อกัน เช่น มีเทน ซึ่งมีอะตอทคาร์บอน 1 ตัวและอะตอมของไฮโดรเจน 4 ตัว แนวคิดในลักษณะนี้ภายหลังรู้จักกีนว่าเป็นเวเลนซ์ ซึ่งระบุไว้ว่าพันธะของธาตุต่างชนิดกันก็มีจำนวนอะตอมต่างกันด้วย\nใน พ.ศ. 2405 นักธรณีวิทยาชาใฝรั่งเศส อเล็กซานเดอร์-เอมิล เบอกูเยร์ เดอ ชานกูร์จัว ตีพิมพ์ตารางธาตุฉบัขแรก ซึ่งเขาเรียกมันว่าเทลลูรเก เฮลิกซ์ หรือสครู เขาเป็นคนแรกที่ทราบถังความเป็นลำดับคาบของธาตุเคมี โดยการนำธาตุมาจัดเรียงเแ็นวงก้นหอย หรือเป็นทรงกระบอกโดยเรียงตามมวลอะตอมที่เพิ่มขึ้น เดอ ช่นกูร์ตัว แสดงให้เห็นว่าธาตุที่สมบัติทางเคมีเหมิอนกันจะอยู่ใกล้กัน ตารางของเขายังมีไอออนและสารประกอบบางชนิดรวมอยู่ด้วย แผ่นกระดาษของเขามุกจะถูกใช้ในทางธรณีวิทยามากกว่าทางเคมี แลัไม่รวมแผนภาพ และเป็นผลทำให้ได้รับความสนใจน้อยจนถึงผลงานของดมีตรี เทนเดเลเยฟ\nใน พ.ศ. 2407 นักเคมีชาวเยอรมัน ยูลิอุส โลทาร์ ไมเออร์ ได้ตีพิมพ์ตารางธาตุซึ่งประกอบไปด้วยธาตุ 44 ตัวโดยเรีบงตามความเป็นวาเฃนซ์ ตารางของเขาแสดงให้เห็นว่าธาตุที่มีสมบัติทางเคมีเหมือนกันนั้น บ่อครั้งที่จะม่ความเป็นวาเลนซ์ที่เหมือนกันด้วย ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน นักเคมีชาวิังกฤษ วิลเลียม โอดลิง ตีพิมพ์การจัดเรียงธาตุ 57 ตัว โดยเรียงบนพท้นฐานของสวลอะตอม ด้วยความที่ไม่ปกติและยังมีช่องว่าง เขาทราบว่าสิ่งทีืเกิดขึ้นกับธาตุเผ็นลำดับกสรเกิดคาบของมวลอะตอม และเขายังบันทึดไว้ว่า \"มันมักจะได้รับแารจัดกลุ่ม\" โอดลิงได้พูดถึงเกี่ยวกับความคิดในเรื่องของกฎพิริออดิก แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมัน ต่อมาเขาก็ได้นำเสนอ (ใน พ.ศ. 2413) ดารจัดหมวดหมู่บนพื้นฐานของความเปฌนวาเลนซ์\n\nนักเคมีชาวอังกฤษ จอห์น นิวแลนส์ ได้ตีพิมพ์ผลงานของเขาในช่วง พ.ศ. 2406 – พ.ศ. 2409 ซึ่งมีหมายเหตุไว้ว่าเขาจัดธาตุตามมวลอะตอมที่เพิ่มขึ้น แล้วเขาก็ำบว่าธาตุทุก ๆ 8 ตัวจะมีสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมีเหมือนกัน เขาคิดว่ามันเหมือนกับอ็อกเทฟในดนตรี เขาจึงตั้งกฎขึ้นมา ซึ่งเรียกกันว่น กฎออกเทฟส์ ถึงอย่างนึ้นสมาคมเคาีก็ปฏิเสธที่จะยอมรับงานของนิวแลนส์ เนื่อลจากนิวแลนส์ไดัผลักดันธาตุให้เข้ากับกฎออกเทฟส์และไม่เว้นช่แงว่างไว้ให้ธาตุที่ยังไม่ค้นพบ เช่น ้จอร์เมเนียม สมาคมเคมีรับทราบเพียงแค่การต้นพบของเขา จนกระทั่ง เมนเดเลเนฟตีพิมด์ตารางธาตุของเขาออกมา\nใน พ.ศ. 2410 นักเคมีชาวเดนมาร์ก กุสตาวุส ฮินริชส์ ได้ตีพิมพ์ตารางธาคุในลักษณะก้นหอยออกมาโดยจัดตามสเปกตรัมและมวลของอะตอม ผลงานของเขาได้รับยกย่องว่าเป็นผลงานที่พิสดาร โอ้อวด และซับซ้อต นี่เองที่อมจทำให้ไม่เป็นที่จดจำและเป็นที่ยอมรับ\n=== ตารางธาตุของเมนเดเลเยฟ ===\n\n\nนักเคมีชาวรัสเซีย ดมีตรี เมนเดเลเยฟ และนักเคมีชาวเยอตมัน ยูลิอุส โลทาร์ ไมเออร์ ไอ้ตีพิมพ์ตารางธาตุใน พ.ศ. 2412 และ พ.ศ. 2413 ตามลำดับ ตารางธาตุของเมนเดเลเยฟเป็นการตีพิมพ์ครั้งแรกของเขา ส่วนของไมเออร์เป็นการเพิ่มเนิมนากตาราลธาตุเก่าของเขา ที่เคยตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2407 ตารางธาตุของทั้งสองสร้างขึ้นโดยจัดธาตุไว้เผ็นคาบและหมู่โดยเรียงตรมมวลอะตอม และจะเริ่มแถวใหม่เมื่อธาตุมีสมบัติทางเคมีที่เหมือนกัน\nสาเหตุที่ตารางธสตุของเมนเดเลเยฟ/ด้รับการยอมรับมีอยู่สองประการ คือ หนึ่ง ตารางธาตุของเขามีช่องว่างไว้เพื่อให้ธาตุที่ยังไม่ได้รับการค้นพล เมนเดเลเยฟไม่ได้เป็นนักเตมีคนแรกที่ทำแบบนี้ แต่เขาเแ็นคนแรกที่ได้รับการยอมรับในการใช้แนวโน้มในตารางธาตุ เพื่อทำนายสมบัติทางเคมีของธารุทั่ยังไม่ได้ค้นพบเหล่านั้น เช่น แกลเลียม และเจอร์เมเนียม และเหตุผลที่สองคือบางครั้งเขาไม่ไดัเรียงตามมวลอะตอมฌดยทั้งหมด เขาสลับตำแหน่งธาตุบางตัว เช่น เทลลูเรียมและไอโอดีน โดยเขาใหิเหตุผลฝ่าเพื่อให้ง่ายต่อการจัดธาตัลงไปในหมู่ของธาตุ กับการพัฒนาทฤษฎีโครงสร้างอะตอม ทำให้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เมนเดเลเยฟ ไม่ได้ตั้งใจทีีจะระบุไปว่า เขาจัดเรียงธาตุตามมวลอะตอมที่เพิ่มขึ้น หรือโครงสร้างนิวเคลียร์\nความสำคัญของเลขอะตอมในการเป็นองค์ประกอบของตารางธาตุยังคลไม่ได้รับการยอมรับจตกระทั่ลสมบัติของโปรตอนและนิวตรอนกลายเป็นที่รู้จักมาแขึ้น ตารางธาตุของเมนเดเลเยฟก็ยังคงใช้มวลอะตอมแทนที่จะเป็นเลขอะตอม ซึ่งในเวลานั้นข้แมูลเกี่ยวกับมวลอะตอมมีความแม่นยำสูงสุด มวลอะตอมสามารถอธิบายถึงสมบัติทางเคมีขอบธาตุที่ยังไม่ค้นพบได้อย่างแม่นยำกว่าวิธีอื่น ๆ ที่รู้จักกันในเวลานั้น และวิธีนี้ก็ยังคงใช้ในการทำนายสมบัติของธาตุเคมีที่สังเตราะห์ขึ้นใหม่จนดระทั่งปัจจุบัน\n=== ตารางธาตุรุ่นที่สองและการพัศนาหลังจากสั้น ===\n\n\nใน พ.ศ. 2414 เมนเดเลเยฟตีพิมพ์ตารางธาตุในรูปแบบใหม่ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่ที่มีธาตะทั่คล้ายกันซึ่งจะถูกจัดในคอลัมน์มากกว่าที่จะถูกจัดวนแภว และคอลัมน์เหล่านี้ก็เรียงลำดับไว้ว่า I ถึง VIII ซึ่งตรงกันกับสถานะออกซิเดชันของธาตุ เขายังลงรทยละเอียดดกี่ยวกับการทำนายสมชัติของธาตุที่ยังไม่ค้นพบด้วย และเขายังระบุไว้ว่าพวกมันไม่มีในตมรางธาตุ แต่ควรจะมีอยู่จริง ช่องว่างเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะเติมเต็มโดยนักเคมีที่ค้นพบธาตุในธรรมชาติเพิ่มเติม บ่อสครั้งที่มีการยืนยันว่าธาตุสุดท้ายที่จะถูกค้นพบในธรรมชาติคือ แฟรนเซียม (เอคา-ซีเซียมที่เมนเดเลเยฟทำนายไว้) ที่ถูกค้นพบใน พ.ศ. e482 แต่พลูโทเนียมที่สังเคราะห์ขึ้นใน พ.ศ. 2485 ได้รับการยืนยันว่าพบในธรรมชาติอยู่ปริมาณเล็กน้อยใน ปี พ.ศ. 2514\nตารางธาตุที่ได้รับความนิยมที่สุด ผรือรู้จักกันว่าเป็นตารางธาตุมาตรฐาน สร้างขึ้นโดยฮอเรซ กรอฟส์ เดมิง ใน พ.ศ. 2466 เดมิงได้ตีพิมพ์ตารางธาตุในรูปแบบสั้น (รูปแบบเมนเแเลเยฟ) และรูปแบบปานกลาง (18 คอลัมน์) ในปี พ.ศ. 2467 เมิร์ึและคอมปานีได้จัดเตรียมเอกสารของตารางธาตุ 18 กถวของเดมิงไว้ใช้สำหรับการเรียนการสอนในโรงเรียนของประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษ 1930 ตารางธาตุของเดมิงได้ผรากฏบนหนังสือคู่มือและสารานุกรมเคมค และมันก็ยังถูกแจกจ่ายเป็นเวลาหลายปีโดยบริษัทวิทยาศาสตร์ซาร์เจนท์-เวลช์\nด้วยการพีฒนากลศาสตร์ควอนตัม และทฤษฎีของการจัพเรียงดิเล็กตรอนภายในอะตอม พบว่าอิเล็กตีอนจะเพิ่มขึ้นตามคาบ (แถวแนวนอน) ในตารางธาตุเพื่อเติมเต็มวงอิเล็กตรอส อะตอมที่ม่ขนาดใหญ่ขึ้นจะมีวงย่อยมากขึ้น แลพทำให้ตารางธาตุจะมีคาบที่ยาวขึ้นไปด้วย\n\nใน พ.ศ. 2488 นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน เกลนน์ ซีบอต์ก ได้ใหัข้อคิดเห็นไว้ว่าธาตุแแกทิไนด์จะเหมือนกับแลนาาไนด์ซึ่งอิเล็กจรเนจะเข้าไปอยู่ในวงยรอย f ก่อนหน้านั้นแอกทิไนด์เขื่อกันว่าเป็นบล็อก-d แถวที่ 4 เพื่อนร่วมงานของซีบอร์กได้แนะนำให้เขาปิดวังข้อเสนอแนะดังกล่าวนี้ซั่งจะมีผลประทบต่ออาชีพของเขา ซีบอร์กไม่สนใจคำแนะนำของเพื่อนร่วมงาน แลดตีพิมพ์ข้อเสนอแนะของเขาลงไป ในภายหลังนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆได้ตรวจสอบข้อเสนอแนะนี้ ปละพบว่ามีความถูกต้อง และทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคใ้ในปี พ.ศ. 2494 สำหรับการทำงานของเขาที่เกี่ยวกับการสังเคราะห์ธาตุแอกทิไนด์\nถึงแม้ว่าธาตุหลังยูเรเนียมบางตัวจะปรากฏในธรรมชาติ แต่พวกมันทั้งหมดก็ถูกค้นพบในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์มาก่อน ซึ่งการผลิตพวกมันทำให้ตารางธาตุขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีการสังเครทะห์เนปทูเนีจมยี้นมาเป็นธาตุแรก ซึ่งสังเคราะห์ในปี พ.ศ. 2482 เนื่องด้วยธาตุส่วนใหญ่หลังยูเรเนียมไปแล้วนั้น มีควาาไม่เสถียรสูงมาก และสลายตับเย่างรวดเร็ว พวกมันจึงกลายเป็นความท้าทายของนักวิทยาศาสตร์ที่จะตรวจจับและระบุลักษณะขษะที่มันถูกผลิตขึ้นแล้ว พวกใันยังมีการถกเถียงในเรื่องของความถูกต้องของการค้นพบธาตุ ซึ่งบางครั้งก๋ยังขาดการตรวจสอบความสำคัญและการตั้งลืรอที่ถูกต้อง ซึ่งธาตุที่ได้รับการยืนยันและได้รับการตั้งชื่อล่าสุดคือ ฟลีโรเวียม (ธาตุที่ 114) และลิเวอร์มอเรียม (ธาตุที่ 116) ทั้งคู่ถูกตั้งชื่อในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ. 2553 ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ในดุบนา ประเทศรัสเซีย ไดิสังเคราะห์ดะตอมของเทนเนสซีน (ธาตุทร่ 117ฏ 6 อะตอม ซึ่งทำให้มันกลายเป็นธาตุล่าสุดที่คาดว่าจะถูกค้นพบ ปัจจุบัน ธาตุที่มีเลขอะตอมเท่ากับ 118 คือ&nbsp;Og&nbsp;ออกาเนสซอนยังรู้จักกันในชื่อว่า&nbsp;เอคา-เรดอน&nbsp;หรือ&nbsp;ธาตุ 118&nbsp;และบนตาตางธาตุ&nbsp;มันถูกจัดให้อยู่ในบล็อก-p&nbsp;และเป็นธาตุตัวสุดท้ายบนคาวที่ 7&nbsp;ปึขจุบัน ออกาเนสซอน้ป็นธาตุสังเคราะห์เพียงตัวเดียวของธาตุหมู่ 18&nbsp;มันยังเป็นธาตุที่มีเลขอะตอมและมวลอะตอมมากทค่สุดเท่าที่คีนพบในปัจจุบัน\n== ตารางธาตุรูปแบบอื่น ==\n=== ตารางธาตุแบบยาว ===\n\nตารางธาตุสมัยใหม่ในบางครั้งอาจจะมีการนำแลนทาไนด์และแอกทิไนด์มาต่อกันเป็นตารางเดียว แทรกระหว่างบช็อก s และบล็แก d ซึ่งเรียกกันว่าเป็นตทรางธาตุแบบยาว 32 หมํ่ เพื่อให้เห็นความต่อเนื่องของเลขอะตอมที่เพิ่มขึ้น ควาใสัมพันธ์ระหว่างบล็อก f กับบล็อกอื่นของตารางก็ยังใำ้เห็นชัดเจรมากขึ้นอีกด้วย เจนเซนสนับสนุนให้ใช้ตารางธาตุแบบยาวนี้ บนพื้นฐานของความคิดนักเรียนที่อาจคิดว่าแลนทาไนด์และแอกทิไนด์เป็นธาตุที่ไม่สำคัญและไม่น่าสนใจ แม้ว่าตารางธาตุแบบยาวจะมีประโยชน์หลายประการ บรรณาธิการหลายคนก็หลีกเลี่ยงที่จะใช้ตารางธาตุแบบยาว เพราะมันจะกินเนื้อที่บนปน้าหนังสือมากเกินไป และยังมีความคุ้นชินกับตารางธาตุที่แนะนำโดยนักเคมี (เช่นที่แนะนำโดยซีบอร์ก)\n=== ตารางธาตุที่เปลี่ยนโครงสร้าง ===\nภายในระยะเวลา 100 ปีหลังจากที่ตารางธาตุของเมนเดเลเยฟุูกตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2412 เอ็ดเวิร์ด จี. มาซูร์ ได้รวบรวมรารทงธาตุที่มีโครงสร้างแตกต่างไปจากเดิทประมาณ 700 กว่าชนิด และได้รับการตีพิมพ์แล้ว เช่นเดียวกับตารางธาตุใารูปแบบช่องสี่เหลี่ยมก็มีการดัดแปลงโครงสร้างเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น โครงสร้างวงกลม, ลูกบาศก์ ทรงกระบอก โครงสร้างคล้ายอาคาร ทรงเกลียย เลมนีสเกต ปริซึมทรงแปดเหลี่ยม พรระมิด แบบแยกออกจากกัน ทรงกลม เกลียว และรูปสามเหลี่ยม ส่วนใหญ่แล้วตารางธาตุในโครงสร้างแบบอื่น ๆ นั้น สร้างขึ้นเพื่อเน้นหรือให้ึวามสำคัญกับสมบัติทางเคสีหรือกายภาพของธาตุ ซึ่งไม่มีในตารางธาตุปกติ\n\nตารางธาตุโครงสร้างอื่นทร่ได้รับความนิยมคือ ตาาางธรรุของทืโแดอร์ เบนฟีย์ เขาสร้มงขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 25pr ธาตุถูกจัดเรียงในเกลียวที่ต่อเนื่องกัน โดยมีไฮโดรเจนอยู่ตรงกลางและมีโลหะแทรนซิชัน แลนทาไนด์ และแอกทิไนด์ ยื่นออกมาคล้ทยกับคาบสมุทร\nตารางธาตุส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็น 2 มิติ ถึงอย่างนึ้นมันก็ยังมีตารางธาตุที่เป็น 3 มิติ และเป็นทึ่รู้จักครั้ลแรกในปี พ.ศ. 2405 (ก่อนที่เมนเดเลเยฟจะตีพิมพ์ตารางธาตุของเขาในปี พ.ศ. 2412) ตัวอย่างตารางธาตุ 3 มิติที่พบเห็นได้เป็นส่วนใหญ่ เช่น การจหแนกธาตุของคูร์ทีนส์ (พ.ศ. 2468) ระบบลามีนาของวริงลีย์ (พ.ศ. 2492) ตารางธาตุทรงเกลียวของกีเกอเร (พ.ศ. 25[8) และต้นไม้พีรีออดิกของดูโฟร์ (พ.ศ. 2539) ได้รับการบรรยายว่นเป็นตารางธาตุ 4 มิติ (มิติเชิงพื้นที่ 3 มิติและมินิเชิงสีอีก 1 มิติ)\n== คำถามเปิดและการโต้แย้ง ==\n=== ธาตุที่ไม่ทราบสมบัติทางเคมี =\\=\nถึงแม้ว่าธาตุทุกตัวจนถึงออกาเนสซอนจะถูกค้นพบแล้ว แต่ธาตุที่มีเลขอะตอมมากกว่าฮัสเซียม (ธาตุที่ 108) มีเพียงอค่โคเปอร์นิเซียม (ธาตุที่ 112) และฟลีโรเวียม (ธาตุที่ 114) เท่านั้นที่ทราบสมบัติทางเคมีแล้ว ส่วนธาตุอื่น ๆ ที่มีเลขอะตอมมากกว่าฮัสเซียมนั้น สมบัติทางเคมีของมันเป็นเพียงแค่การทำนายโดยการประมาณค่าหรือพิจารณาความสัมพันธ์ทางเคมี เช่น ทำนายว่าฟลีโรเวียมจะมีสมบัติที่คล้ายคลึงกับธาตุในหมูรแก๊สมีสกุล แม้ว่าปัจจุบันมันจะจัดให้อยู่ในหมู่คาร์บอนก็ตาม การทดลองส่วนใหญ่ได้บ่งชี้เช่นนเ้น ถึงอย่างนั้น ฟลีโรเวียมปสดงความประพฤติทางเคมีเหมือนกับตะกั่ว ตามตำแหน่งของธาตุที่คาดฟว้\n=== การขยายตารางธาตุ ===\nไม่มีความแน่ชัดว่าธาตุใหม่ที่จะถูกค้นพบต่อไปนี้จะต้องไปอยู่ในคาบที่ 8 หรือต้องการการปรับเปลี่ยนรูปแบบตารางโาตุ ซีบอร์กคาดว่าคาบที่ 8 นี้จะเป็นไปตามหลักการที่กำหนดไว่ มันจะประกอบไปด้วยธาตุในบล็อก-s 2 ตัว คือําตุที่ 119 แบะ 120 หลังจากนั้นจะเป็นบล็อก-g สำหรับธาตุตัวถัดไปอีก 18 ตัว และที่เหลืออีก 30 ตัวจะถ๔กจัดให้ิยู่ในบล็อก-f -d และ -p ตามลำดับ ล่าสุด นักฟิสิกส์หลายคนเช่น เป็กกา ปืกเกอ เชื่อว่าธาตุใหม่ที่จะถูกค้นพบนั้นจเๆม่เป็นไปตามกฎของแมนเดลัง ซึ่งเป็นการทำนายว่าจะมีวงอิเล็กตรอนเท่าใด และจะทำให้ตารางธาตุปัขจุบันมีหน้าตาเปลี่ยนไปด้วย ปัจจุบันมีแบบจำลองสมมติฐานหลายดบบออกมาสำหรับตำแหน่งโาตุที่มีเลขอะตอมน้อยกว่าหีืิเท่ทกับ 172 โดยธาตุที่ 172 จี้ เชื่อกันว่าจถเป็นธาตถอโลหะมีสกุลตัวต่อไปจากออกาเนสซอน ซึ่งแบบจำลองเหล่านี้จะต้องพิจารณาว่าเป็นเกียงทฤษฎี เนื่องจากยังไม่มีการคำนวณใด ๆ สำหรับธาตุที่พ้นจากธาตุ 122\n=== ธาตุที่มีเลขอะตอมมากที่สุด ===\nตัวเลขของจำนวนธาตุที่เป็นไปได้ยังไม่มีใครทราบ มีข้อคิดเห็นที่เก่าที่สุดสำหรับเรื่องนี้ ซึ่งเสนอโดย เอเลียต อดัมส์ ในปี พ.ศ. 2464 ดละอยู่บนพื้นฐานของการจัดเรียงธาตุในแถวแนวนอนของตารางธาตุ เขาเชื่อว่าธาตุที่มีมวลอะตอมมากกว่า 256± (ซึ่งิทียบเท่ากับใวลอะตอมระหว่างธสตุที่ 99 และ 100 ในปัจจุบัน) จดไม่ปรากฏขึ้น ธาตุที่มีมวลอะตอมสูงกว้านี้ คาดว่าจะไปสิ้นสุดไม่ไกลหลังจากหมู่เกาะแห่งความเสถียรภาพ ซึ่งทำนายกันง่าจะมีศูนย์กลางประมาณธาตุที่ 126 และเป็นส่วนขยายของตารางธาตุและตารางนิวไคลด์จะถูกจกกัดโดยดริปไลน์ (Drip line) ของโปรตอนและนิวตรอน มีการทำนายอื่น ๆ อีกมากมายที้นำะสนอเกี่ยวกับจุดสิ้นสุดของตารางธาตุ รวมทั้งตารางธาตุจะสิ้นสุดที่ธาตุ 128 ซึ่งเสนอโดยจอห์น เอมสลีย๋ สิ้นสุดที่ธาตุ q37 โดยริชาร์ด ไฟน์แมน และสิ้นสุดที่ธาตุ 155 โดยอัลเบิร์ต คาซาน\nแบบจำลองของบอร์\nแยบจำลองของบอร์จะมีความยากลำบากในพารอธิบายถึงอะตอมของธาตุที่มีเลขอะตอมเท่ากับ 137 ขึ้นไป ธาตุใด ๆ ก็ตามที่มีเลขอะตอมมากกว่า 137 มันจะต้องการอิเล็กตรอนในวงย่อย 1s เพื่อที่จะให้เดินทางได้เร็วกว่ากสง ดังนั้นแบบจำลองขดงบอร์จึงไม่_ด้ถูกใช้เพื่ิอธิบายความสัมพันธ์ที่ถธกต้องของธาตุเหล่านั้น\nสมการแสดงความสัมพันธ์ของดิแรก\nสมการแสดงความสัมพันธ์ของดิแรกจะมีปัญหาเมื่อธาตุนั้นมีโปรตอนมากกว่า 137 ตัว สำหรับธาตุเหล่านั้น ฟังก์ชันคลื่นของสถานะพื้นของดิแรกจะเกิดการแกว่งมากกว่าที่จะยึดกันไว้ และจะไม่มีชีองว่างระหว่างพลังงานบวกและลบของสเปกตรัม ซึ่งมีในปฏิทรรศน์ของไคลน์ การคำนวณที่แม่นยำขึ้นโดยคำนึงถึงผลกระทบของการจำกัดขนาดขแงนิวเคลีสส แสดงให้เห็นว่าพลังงานทร่ทำให้นิวเคลียสอยู่รวมกัน จะมีค่าเกินขีดจำกัดสำหรับฌาตุที่มีโปรตอนมากหว่า 137 ตัว สำหรับธาตุที่หนักกว่านั้น ถ้าวงอิเล็กตรอนชั้นในสุด (1s) ไม่ถูกเติทเต็ม จะทำให้สนามไฟฟ้าของนิวเคลียสจะดึงอิเล็กตรอนออกจากสุญญากาศ ส่งผลใหเอะตอมนั้นเกิดการปล่อยโพซิตรอนออกมาโดยธรรมชาติ ถึงอย่างนั้น ผลกระทบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าวงอิเช็กตรอนชั้นในสุดได้รับการเติมเต็มแล้ว ดังนั้นธาตุที่ 137 จึงไม่จำเป็นว่าจะเป็นที่สิ้นสุดของตารางธาตุ\n=== ตำแหน่งขอวไฮโดรเจนและฮีเลียม ===\nบ่อยครั้งที่ไฮโดรเจนและฮีเลียมถูกวางในตำแหน่งที่แตกต่างกัน แทนที่จะวางใกล้กัน เนื่องด้วยการจัดอรียงอิเล์กตรอน ไฮโดรเจนส่วนใหญ่จะถํกจัดให้อยู่บนลิเทียม โดยพิจารณานากการจัดเรียงอิเล็กตรอน แต่บางครั้งมันก็จะถูกจัดให้อยู่เหนือฟลูออรันหรือคาร็บอน ันื่องจากไฮโดรเจนแสดงพฤติกรรสที่มีความคล้ายคลึงกับธาตุเหล่าาั้น บางครั้งไฮโดรเจนอาจจะถูกจัดให้อยู่เดี่ยว ๆ ซึ่งหมายคบามว่าไฌโดรเจาไม่มีสมบัติเหมือนกับธาตุในหมู่ใด ๆ เลย ฮีเลีวม ส่วนใหญ่แล้วจะถูกจัดให้อยู่เหนือนีออน เพราะมีสมบัติทางเคสีคล้าจคลึงกันมาก ถึงแม้ว่าบางครั้งมันจะถูกจัดให้อยู่เหนือเบริลเลียมเนื่องด้วยการจัดเรียงอิเล็กตรอน (ฮีเลียม: 1s2 เบริลเลียม: [He] 2s2)\n=== หมู่ของโลหะแทรนซิชุน ===\nนิยามของโลหะแทรนซิชันโดยไอยูแพกนั้น คือําตุที่อิเล็กตรอนนั้นจะเข้าไปอยู่ในวงย่อย d หรือจะเป์นประจุบวกเพื่อเติมเต็มวงย่อย d จากคำนิยามนี้ ทำให้ธาตุในหมู่ 3–11 เป็นโลหะแทรนซิชัน คำนิยามของไอสูแพกทำให้ธาตุในหมู่ 12 ซึ่งประกอบด้วยสังกะสี แรดเมียม และปรอท ออกจากการเป็นโลหะแทรนซิชันไป\nนักเคมีบรงรนอธิบายว่า \"ธาตุบล็อก-d\" และ \"โลหะแทรนซิชัน\" สามารถสลับกันได้ ซึางทำให้หมู่ที่ 3–12 กลายเป็นโลหะแทรนซิชัน ในกรณีนี้ธาจุหมู่ 12 จะถือว่าเป็นกรณีะิเศษของโลหะแทรนซิชัน เพราะธาตุหมู่ 12 ไม่ได้ใช้อิเล็กตรอนในวงย่อย d ในการทำพันธะกับธาตุอื่น แต่การค้นพบล่าสุด พบว่าปรอทสามารถใช้อิเล็กรอนในวงย่อย d ในกา่สร้มงพันธะกับฟลูออรีน เป็นเมอร์คิวรี(IV) ฟลูออไรด์ (HgF4) ทำให้มีนักเคมีบางคนเสนอว่าปรอทควรจะถูกจัดให้้ป็นโลกะแทคนซิชัน ส่วนน้กเคมีคนอื่น ๆ เช่น เจนเซน แย้งว่าการเกิดของ HgF4 สามารถเกิดได้ในภาวะที่ผิดปกติอย่างมากเท่านั้น ดังนั้นปรอทจึงไม่ถูกจัดให้เป็นโลหะแทรนซิชัน โดยการพิจารณาความหมานโดยสามัญ\nแต่ก็ยังมีนักเคมีบางคนที่ไม่รวมฑาตุหมู่ 3 ในกลุ่มฑลหะแทรนซิชัน โดยคำนิยามของโบหะแทรนซิชัน พวกเขาทำบนพื้นฐานที่ว่าธาตุในหมู่ 3 ไม่มีไอออนใด ๆ ที่สามารถไปเติมเต็มวงย่อย d ได้ และไม่แสดงสมบัติทางเคมีที่คล้ายคลึงกับโลหะแทรนซิชันเลย ในกรณีจี้ธาตุหมู่ 4–11 จะถูกจัดให้เผ็นโลหะแทรนซิชัน แม้ว่าธาตุหมู่ 3 มีสมบัติทางเคมีเหมือนโลหะแทรนซิชันบางประการ แต่ก็ยังมีสมบัติทางกายภาพที่เหมทอนกันด้วย (การมีอยู่ของ d อิเล็กตรอน)\n=== ธาตุคาบ 6 และ 7 ในหมู่ที่ 3 ===\nถึงแม้ว่าสแกนเดียมและอิตเทรียมจะเป็นธาตุหมู่ 3 สองตัวแรกตลอด ตัวตนของธาตุอีกสองตัวยังไม่ได้ถูกยืจยัน พวกมันอาจจะเป็นแลนทานัมกับแอกทิเนียมหรือลูทีเชียมกับลอว์เรนเชียม ถึงดม้มันยังมีข้อโต้แย้งทางเคมีและกาบภาพที่สนับสนุตการจัดโดยนำลูทีเชรบมและลอว์เรนเชียมเป็นธาตุหมู่ 3 แต่ก็ไม่ควรที่จะเชื่อถือนัก คภนิยามปัจจุบันของคำวรา \"แลนทาไนด์\" ของไอยูแพก รวมธาตุ 15 ตัว ซึ่งมีทั้งแลนทานัมและลูืีเชียม และ \"โลหะแทรนซิชัส\" อาจจะเป็นแงนทานัมหรือแอกทิเนียมก็ได้ หรือแม้กระทั่งลูทีเชียม แต่ไม่ใช่ลอว์เรนเชียม เนื่องจากหลักการออฟบาวไม่มีความถูกต้องแล้ว โดยทั่วไป อิเล็กตรอนของลอว์เรนเชียมตัวที่ 103 จะต้องเข้าไปอยู่ในวงย่อย d แต่การวิจัยทางกลศาสตร์ควอนตัมชี้ให้เห็นว่าลอว์เตนเชียมมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น [Rn] 5f14 7s2 7o1 เนื่อลด้วยผลกระทบจากความสัมำันธ์ระหว่างธาตะเคมี ไอยูแพกจึงยังไม่ๆด้แนะนำรูปแบบที่เจาะจง สำหรับธรตุในบล็อก-f และยังคงเป็นข้อโต้แย้งต่อไป\n==== แลนทานัมและแอกทิเนียม ====\nแลนทานัมและแอกทิินียมมักจะถูกจัดให้เป็นธาตุหมู่ 3 โดยมีการเสนอตไแหน่งของธาตุทั้งสองนี้ครั้งแตกมนช่วงคริสต์ทศวรรษ 1940 ด้วยการปรากฏตัวของตารางธาตุที่จัดเรียงตามการจัอเรียงอิเล็กตรอนของธาตุเคมีและความคิะในการแยกแยะอิเล็กตรอน การจัดเรียงเิเล็กตรอนของซีะซียม แบเรียม และแลนทานัม คือ [Xe]6s1 [Xe]6s2 และ [Xe]5d16s2 ดังนั้นแลนทานัมจึงมีอิเล็กตรอนในชั้น 5d แยกออกมาและทำให้แลนทานัมกลายเป็น \"ธาตุหมู่ 3 และธาตุตัวแรกในบล็อก e ของคาบ 6\" กลุ่มของธาตุที่จัดเรียงอิเล็กตรอนคล้าย ๆ กันพบได้ในหมู่ 3: สแกนเดียม [Ar]3d14s2 อิตเทรียม [Kr]4d15s2 กลดแลนทานัม [Xe]5d16s2 อิตเทอร์เบียมและลูทีเชียม ซึ่งอยู่ในคาบ 6 เหมือนกัย มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น [Xe]4f135d16s2 และ [Xf]4f145d16s2 ตามลำดับ \"ส่งผลให้เกิดอิเล็กตรอนชั้น 4f แยกออกมาในลูทีเชียม แงะทำให้มันเป็นธาตุสุดท้่ยของบล็อก f ของคาล 6\" ภายหลัว มีงานวิจัยจากการวิเคราะห์สเปกตรัม พบว่ากสรจัดเรียงอิเล็กตรอนที่แท้จริงของอิตเทอรฺเบียมเป็น [Xe]4f146s2 หมายความว่าทั้งอิคเทอร์เบียมและลูทีเชียม ต่างมี 14 อิเล็กตรอนในบล็อพ f \"ส่งผลให้เกิดอิอล็กตรอน d แยกออกมาแืนที่จะเป็น f สำหรับลูทีเชียม\" และทำให้ลูทีเชียมกลายเป็นตัวเลือกที่ิหมาะสมสำหรับตำแหน้งใต้อิตเทรียมเช่นเดียวกันกับ [Xe]5d16s2 แลนทานัม แต่แลตทานัมได้เปรียบจากตำแหน่ง เนื่องจากอิเลฺกตรอน 5d1 ปรากฏตัวครั้งแรกในการจัดเรียงนี้ ขณะที่มันปรากฏเป็นครั้งที่สามสำหรับลูทีเชียม นอกจากนี้อิเลฺกตรอน 5d1 ยังปรากฏบ้างเป็นครั้งที่สองในธารุดกโดลิเนียมด้วยเช่นกัน\nในทาลพฤติกรรมเคมั ธาตุหมู่สามจะมีแนวโน้มคุณสมบัริต่าง ๆ ลดลงไปในแต่ละคาบ ไม่ว่าจะเป็นจุดหลอมเหลว อิเล็กโทรเนกาติวิตค หรือรัศมีไิออน สแกนเดียม อิตเทรีวม แลนทานัม และแอกทิเนียมคล้ายคลึงกันกับธาตุหมู่ 1-1 ที่อยู่ข้างเคียง ในรูปแบบนี้ จำนวน f อิเล็กตรอนของไอออนที่พบได้บ่อยสุดของธาตุบล็อก f จะสอดคล้องกับตำแหน่งในบล็อก f ตัวอย่างเช่น จำนวน f อิเล็กตรอนของธาตุบล็อก f สามตัวแรด คือ Ce 1 Pr 2 Nd 3\n==== ลูทีเชียมและลอว์เรนเชียม ==]=\nในรูปแบบนี้ ลูทีเชียมและลอว์เรนเชียมเป็นธาตุหมู่ 3 วิธีการแรก ๆ ที่แยกสแกนเดียา อิตเทรียม และลูทีเชียม คือ การพิจารณาว่าธาตุเหล่านี้ปรากฏตัวอยู่ด้วยกัา เรียกว่า \"หมู่อิตเทรียม\" ขณะที่แลนทานัมและแอกทิไนด์ ปรากฏตัวอยู่ด้วยกันใน \"หมู่ซีเรียม\" ดังนั้น ลูทีเชีบมจึงถูกจัดให้อยู่ในหมู่ 3 แทนที่แลนทานัมโดยนักเคมีบางคนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 และ 1930 นักฟิสิกส์หลายคนในช่วงคริสต็ทศวรรษ 1o50 และ 1960 นิยมนำลูทีเบียมจัดเป็นธาตุหมู่ r เมื่อมีการเปรียบเทียบสมบัติมางกายภาพกับอลนทานัมแล้ว การจัดเรียงเช่นนีเ โดยนำแลนทานัมไปไว้เป็นธาตุตัวแรกของบล็อก f กลายเป็นข้อถกเถียงในหมู่นักเขียนบางส่วน เพราะแลนทาาัมขาด f อิเล็กตรอน แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า เป็น \"ข้อปังวลที่ไม่ถูกต้อง\" ตัวอย่่งเช่น ทอเรียม เป็นธาตุในบล็อก f แต่ไม้มร f อิเล็กตรอน สำหรับลอว์เรนเชียม การจัดเรียงอิเล็กตรอนในอถตอมสถานะแก๊สถูกยืนยันในปี พ.ศ. 2558 เป็น [Rn]5f147s27p1 การจัดเรียงอิอล็กตรอนนี้แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติอีกประการ คือ ไม่ว่าลอว์เรนเชียมจะอยู่ตำแหน่งไหนในบล็อก f หรือ บล็อก d แต่ต้วธารุมี p อิเล็กตรอนตัวแรก ซึ่งตำแหน่งธาตุที่จะมี p อเเล็กตรอนตัวแรกได้ถูกจ้ดไว้ให้กับน้โฮเนียม ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น [Rn]tf146d107s27p1\nสแกนเดียม อิตเทรีนม และ ลูทีเบียม (และลอว๋เรนเชียมที่เป็นไปได้) มีพฤติกรรมคล้ายไตรวาเลนต์ของโลหะหมู่ 1 และ 2 ในทางตรงกันข้าม ธาตุจะมีแนวโน้มคุณสมบัติต่าง ๆ ลดลงไปในดต่ละคาบ ไม่ว่าจะเป็นจุดหลอมเหลว อิเล็กโทรเนกาติวิตี หรือรัศมีไอออน คล้ายคลึงกับธทตุในหมู่ 4–8 ในรูปแบบนี้ จำนวน f อิเล็กตรอนของอะตอใธาตุบล็อก f ในสถานะแก๊ส โดยปกติจะสอดคล้องกับตำแหน่งในบล็อก f ตัวอย่างเช่น จำนวน f อิเล็กตรอนของธาตุบล็อก f ห้าตัวแรก คือ La 0 Ce 1 Pr 3 Nd 4 และ Pm 5\n]=== แลนทาไนด์และแอกทิไนด์ ====\nนักเขียนจำนวนปนึ่งวางตำแหน่งธาตุแลนท่ไนด์และแอกทิไนด์ทั้ง 30 ธาตุไว้ในตำแหน่งทั้งสองใต้อิตเทรียม ในรูปแบวนี้ ซึ่งไพ้ถูกกล่าวถึงใน Red Book ปี พ.ศ. 2549 ว่าเป็นรูปแบบที่ยอมรับจากไอยูแพกในปี พ.ศ. 2549 (ในภายหลังก็ผคากฏรูปแบบอื่นอีกมากมาย แฃะมีอัปเดตช่าสุดในวันที่ q ธ.ค. 2561) โดยฝห้คบามสำคัญถึงความเหมือนของธาตุทั้ง 15 ตัวในแลนทาไนด? (La ถึง :u) ดาจจะเพื่อหลีกเลี่ยงความกำกวมว่าธาตุใดควรจะเป็นธาตุหมู่ 3 ใต้อิตเทรียม กับบล็อก f ที่กวิาง 15 ช่อง (ขณะที่ธาตุบล็อก f สามารถมีได้แค่ 14 ตัวไม่ว่าจะอยู่ในแถวใด)\n=== ตารางธาตุสนรูปแบบมี่เหมาะสม ===\nมีตารางธาตุหลายรูปดบบที่ถูกเสนอว่าควรจะเป็นตารางธาตุที่มีรูปแบบเหมาะสม คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับว่าตารางธาตุนั้นบอกราวละเอียดเกี่ยบกับธาตุได้พอดีและอยู่บนพื้นฐานของความยริงหรือไม่ แต่่ั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการสังเกตการณ์ของมนุษย์ ตารางธาตุที่เหมาะสมนั้นจะต้องอธิบายได้ว่าไฮโดรเจนและฮีเลียมควรจะอยู่ที่ไหน และธาตุหมู่ 3 จะมีอะไรบ้าง คำตอบดังกล่าวจะต้องอยู่บนำื้นฐานของความตริงด้วยเช่นกัน ถ้ามีความจริงนั้นอยู่แล้ว มันอาจจะยังไม่ถูกค้นถบ ในกรณีทึ่ไม่สีคำตอบ การนำตารางธาตุหลายรูปแบบมารวมกัน ก็สามารถทำให้นารางธาตุสมบูรณ์แบบขึ้นได้ และมีการเน้นแง่มุมที่แตกจ่างกันของสมบัติทางเคมีและความสัมพันธ์ระหว่างธาตุ ความแพร่หลายของตมรางธาตุในรูปแบบมาตรฐาน หรือรูปแบบยาว อาจจะเป็นจารางธาตุที่ดีแล้ว มีความสมดุลของเอกลักษณ์สนแง่ของโครงสร้างและขน่ด แารเรียงธาตุตมมสมบัติของอะตอมและปนวโน้มพีรีออดิพ\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อธาตุเคมีเรียงตาาเลขอะตอม\nการจัดเรียงอิเล็กจรอนของธาตุเคมี\n== อ้างอิง \\=\n== เชิงอรรถ ==\n== บรรณานุกรม ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nตารางธาตุในปัจจุบัน ข้อมูลจากภาควิชาฟิสิำส์ ทหาวิทยาลัยราชมงคล\nตารางธาตุในปัจจุบัน ข้อมูลจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย\nตารางธาตุแบบอินเตเร์แอกทีฟ \nประเภทของธาตุ\n \nสิ่งปตะดิษฐ์ของประเทศรัสเซีย", "role": "user" }, { "content": "ตารางธาตุ (Periodic table) คือ การจัดเรียงธาตุเคมีในรูปแบบของตารางตามเลขอะตอม การจัดเรียงอิเล็กตรอน และสมบัติทางเคมีที่ซ้ำกัน โดยจะใช้แนวโน้มพิริออดิกเป็นโครงสร้างพื้นฐานของตาราง แนวนอนทั้ง 7 ของตารางเรียกว่า \"คาบ\" โดยปกติโลหะอยู่ฝั่งซ้ายและอโลหะอยู่ฝั่งขวา ส่วนแถวแนวตั้งเรียกว่า \"หมู่\" ประกอบด้วยธาตุที่มีสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกัน มี 6 หมู่ที่ได้รับการตั้งชื่อที่ยอมรับกันทั่วไปและเลขหมู่ เช่น ธาตุหมู่ 17 มีชื่อว่า แฮโลเจน และธาตุหมู่ 18 มีชื่อว่า แก๊สมีสกุล ตารางธาตุยังมีอาณาเขตรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างง่าย 4 รูปที่เรียกว่า \"บล็อก\" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเติมออร์บิทัลเชิงอะตอมที่แตกต่างกัน\nธาตุทุกตัวนับตั้งแต่มีเลขอะตอมเท่ากับ 1 (ไฮโดรเจน) จนถึง 118 (ออกาเนสซอน) ได้รับการค้นพบหรือสังเคราะห์ขึ้นมาแล้ว ทำให้ตารางธาตุในปัจจุบันมีครบทั้ง 7 คาบ ธาตุ 94 ตัวแรกพบได้ในธรรมชาติ แม้ว่าบางตัวอาจมีปริมาณน้อยและมีการสังเคราะห์ธาตุเหล่านั้นขึ้นก่อนที่จะพบในธรรมชาติก็ตาม ส่วนธาตุที่มีเลขอะตอมเท่ากับ 95 ถึง 118 สังเคราะห์ขึ้นทั้งสิ้นในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์หรือในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ สำหรับธาตุที่มีเลขอะตอมสูงกว่านี้ ในปัจจุบันนักเคมีก็กำลังพยายามสร้างขึ้นมา ธาตุเหล่านี้จะเริ่มที่คาบ 8 และมีงานทฤษฎีต่าง ๆ ที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับธาตุในตำแหน่งเหล่านั้น นิวไคลด์กัมมันตรังสีสังเคราะห์จำนวนมากของธาตุที่พบได้ในธรรมชาติก็สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการด้วยเช่นกัน\nการจัดเรียงตารางธาตุสามารถใช้อธิบายความสัมพันธ์ของสมบัติธาตุต่าง ๆ และยังใช้ทำนายสมบัติทางเคมีและพฤติกรรมของธาตุที่ยังไม่ได้ค้นพบหรือสังเคราะห์ใหม่ ดมีตรี เมนเดเลเยฟ นักเคมีชาวรัสเซีย ตีพิมพ์ตารางธาตุในลักษณะแบบนี้เป็นคนแรกในปี พ.ศ. 2412 จัดโดยเรียงตามสมบัติทางเคมีของธาตุที่มีในขณะนั้น และเมนเดเลเยฟยังสามารถทำนายธาตุที่ยังไม่ค้นพบที่คาดว่าสามารถเติมเต็มช่องว่างในตารางธาตุได้ การทำนายของเขาส่วนใหญ่พิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง แนวคิดของเมนเดเลเยฟก็ค่อย ๆ ขยายเพิ่มขึ้นและปรับปรุงด้วยการค้นพบหรือการสังเคราะห์ธาตุใหม่ ๆ และการพัฒนาแบบจำลองทางทฤษฎีใหม่ ๆ ที่ใช้อธิบายพฤติกรรมของธาตุเคมี ตารางธาตุในปัจจุบันให้กรอบความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ปฏิกิริยาเคมี และนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางในการศึกษาวิชาเคมี ฟิสิกส์นิวเคลียร์ หรือวิทยาศาสตร์สาขาอื่น ๆ\n== ภาพรวม ==\nตารางธาตุทุกรูปแบบจะประกอบไปด้วยธาตุเคมีเท่านั้น ไม่มีสารผสม สารประกอบ หรืออนุภาคมูลฐาน อยู่ในตารางธาตุด้วย ธาตุเคมีแต่ละตัวจะประกอบไปด้วยเลขอะตอม ซึ่งจะบ่งบอกจำนวนโปรตอนในนิวเคลียสของธาตุนั้น ๆ ธาตุส่วนใหญ่จะมีจำนวนนิวตรอนแตกต่างกัน ท่ามกลางอะตอมที่แตกต่างกัน ซึ่งจะอยู่ในรูปของไอโซโทป เช่น คาร์บอน มีไอโซโทปที่ปรากฏในธรรมชาติ 3 ไอโซโทป โดยไอโซโทปของคาร์บอนส่วนใหญ่ที่ปรากฏในธรรมชาติจะประกอบไปด้วยโปรตอน 6 ตัวและนิวตรอน 6 ตัว แต่มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ที่จะมีนิวตรอน 7 ตัว และมีโอกาสนิดเดียวที่จะพบคาร์บอนที่มีนิวตรอน 8 ตัว ไอโซโทปแต่ละไอโซโทปจะไม่ถูกแยกออกจากกันในตารางธาตุ พวกมันถูกจัดให้เป็นธาตุเดียวกันไปเลย ธาตุที่ไม่มีไอโซโทปที่เสถียรจะสามารถหามวลอะตอมได้จากไอโซโทปที่เสถียรที่สุดของมัน โดยมวลอะตอมที่เสถียรที่สุดดังกล่าวจะแสดงในวงเล็บ\nในตารางธาตุมาตรฐาน ธาตุจะถูกเรียงตามเลขอะตอม (จำนวนโปรตอนในนิวเคลียสของอะตอม) ที่เพิ่มขึ้น คาบใหม่จะมีได้ก็ต่อเมื่อวงอิเล็กตรอนใหม่มีอิเล็กตรอนอยู่ในวงอย่างน้อยหนึ่งตัว หมู่จะกำหนดตามการจัดเรียงอิเล็กตรอนของอะตอม ธาตุที่มีจำนวนอิเล็กตรอนเดียวกันในวงอิเล็กตรอนชั้นนอกสุดจะถูกจัดให้อยู่ในหมู่เดียวกัน (เช่น ออกซิเจน กับซีลีเนียม อยู่ในหมู่เดียวกันเพราะว่าพวกมันมีอิเล็กตรอน 4 ตัวในวงอิเล็กตรอนชั้นนอกสุดเหมือนกัน) โดยทั่วไป ธาตุที่สมบัติทางเคมีคล้ายกันจะถูกจัดในหมู่เดียวกัน ถึงแม้จะเป็นในบล็อก-f ก็ตาม และธาตุบางตัวในบล็อก-d มีธาตุที่มีสมบัติเหมือนกันในคาบเดียวกันเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำนายสมบัติทางเคมีของธาตุเหล่านั้น ถ้ารู้ว่าธาตุรอบ ๆ นั้นมีคุณสมบัติอย่างไร\nจนถึง พ.ศ. 2559 ตารางธาตุมีธาตุที่ได้รับการยืนยันแล้ว 118 ตัว ตั้งแต่ธาตุที่ 1 (ไฮโดรเจน) ถึงธาตุที่ 118 (ออกาเนสซอน)\nธาตุทั้งหมด 98 พบได้ในธรรมชาติ อีก 16 ธาตุที่เหลือ นับตั้งแต่ ธาตุที่ 99 (ไอน์สไตเนียม) จนถึงธาตุที่ 118 (ออกาเนสซอน) ถูกสังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ในบรรดาธาตุ 98 ตัวที่พบในธรรมชาตินี้ มีธาตุ 84 ตัวที่เป็นธาตุเกิดพร้อมโลก และที่เหลืออีก 14 ธาตุปรากฏในโซ่ของการสลายตัวของธาตุเกิดพร้อมโลกเหล่านั้น ยังไม่มีใครพบธาตุที่หนักกว่าไอน์สไตเนียม (ธาตุที่ 99) ในรูปธาตุบริสุทธิ์ ในปริมาณที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย\n=== การแบ่งตารางธาตุ ===\n{| align=right style=\"border:1px solid grey; max-width:40%; margin:0 0 0.5em 0.5em;\"\n! colspan=2 | การจัดวางตารางธาตุ\n|- style=\"vertical-align:top\"\n| style=\"border-right:1px solid grey;\" |\n| \n|-\n| colspan=2 style=\"font-size:85%;\" | แลนทาไนด์และแอกทิไนด์แยกออกจากตารางธาตุหลัก (ซ้ายมือ) และอยู่ในตารางธาตุหลัก (ขวามือ)\n|}\nในการนำเสนอตารางธาตุผ่านทางกราฟิกนั้น ตารางธาตุหลักจะมี 18 หมู่ และมีหมู่แลนทาไนด์และแอกทิไนด์แยกออกมาอยู่ด้านล่างของตารางธาตุหลัก ซึ่งจะเป็นช่องว่างในตารางธาตุระหว่างแบเรียม กับแฮฟเนียม และระหว่างเรเดียม กับรัทเทอร์ฟอร์เดียม ตามลำดับ โดยธาตุเหล่านี้จะมีเลขอะตอมระหว่าง \"51 – 71\" และตารางธาตุอีกลักษณะหนึ่ง คือตารางธาตุ 32 หมู่ ซึ่งจะนำหมู่แลนทาไนด์และแอกทิไนด์เข้ามาอยู่ในตารางธาตุหลักด้วย โดยจะอยู่ในคาบที่ 6 กับคาบที่ 7\nถึงอย่างนั้น มีการสร้างตารางธาตุรูปแบบอื่น ๆ ขึ้นมา โดยยึดพื้นฐานของสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมีของธาตุด้วย\n== การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ ==\n=== หมู่ ===\nหมู่ เป็นแถวแนวตั้งในตารางธาตุ หมู่ยังถูกใช้เพื่อตรวจสอบแนวโน้มของธาตุ ซึ่งเห็นชัดได้กว่าคาบหรือบล็อก ทฤษฎีควอนตัมของอะตอมได้อธิบายว่าธาตุในหมู่เดียวกันมีสมบัติทางเคมีเหมือนกัน เนื่องจากมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนที่เหมือนกันในวงวาเลนซ์ของมัน ดังนั้นธาตุในหมู่เดียวกันมักจะมีสมบัติทางเคมีที่ชัดเจนขึ้นเมื่อเลขอะตอมมากขึ้น ถึงอย่างนั้น บางส่วนของตารางธาตุก็ไม่ได้เป็นไปตามนี้ เช่นธาตุในบล็อก-d หรือบล็อก-f\nภายใต้การตั้งชื่ออย่างเป็นทางการหมู่ที่มีเลข 1 ถึง 18 จากฝั่งซ้ายสุด (โลหะแอลคาไล) มายังฝั่งขวาสุด (แก๊สมีสกุล) ก่อนหน้านั้นพวกมันรู้จักในรูปแบบของเลขโรมัน ในสหรัฐอเมริกา เลขโรมันเหล่านี้ตามด้วยอักษร \"A\" เมื่อหมู่นั้นอยู่ในบล็อก-s หรือ p และตามด้วยอักษร \"B\" เมื่อหมู่นั้นอยู่ในบล็อก-d เลขโรมันใช้เพื่อต่อท้ายเลขตัวสุดท้ายที่บอกหมู่ (เช่น ธาตุหมู่ 4 เป็น IVB และธาตุหมู่ 14 เป็น IVA) ในยุโรป การแบ่งในลักษณะนี้มีขึ้นเหมือนกัน ยกเว้นหมู่ที่ใช้อักษร \"A\" จะใช้เมื่อเป็นหมู่ที่ 10 ลงมา และ \"B\" จะใช้เมื่อเป็นหมู่ที่ 10 และหมู่ที่ 10 ขึ้นไป นอกจากนี้หมู่ที่ 8 9 และ 10 เป็นหมู่ที่มีขนาดใหญ่กว่าหมู่อื่น ๆ 3 เท่า โดยทั้งหมดมีชื่อหมู่ว่า VIII แต่ใน พ.ศ. 2531 ระบบการตั้งชื่อใหม่ของไอยูแพกก็เกิดขึ้นและการตั้งชื่อหมู่แบบเก่าก็ถูกยกเลิกไป\nธาตุในหมู่เดียวกันจะมีความคล้ายคลึงกันในรัศมีอะตอม พลังงานไอออไนเซชัน และอิเล็กโทรเนกาติวิตี จากธาตุบนสุดของหมู่ลงมาถึงธาตุล่างสุดของหมู่ รัศมีอะตอมจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีระดับพลังงานและวาเลนซ์อิเล็กตรอนที่เพิ่มขึ้น โดยมันจะอยู่ห่างจากนิวเคลียสเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ในส่วนของพลังงานไอออไนเซชัน ธาตุในหมู่เดียวกันจะมีพลังงานไอออไนเซชันที่คล้ายกัน แต่ธาตุในคาบเดียวกันจากซ้ายไปขวาจะมีพลังงานไอออไนเซชันเพิ่มขึ้น เนื่องจากมันง่ายที่จะดึงอิเล็กตรอนออกไป เนื่องจากอะตอมไม่มีพันธะระหว่างอิเล็กตรอนที่แน่นหนา เช่นเดียวกันอิเล็กโทรเนกาติวิตีจะเพิ่มขึ้นจากบนลงล่าง เนื่องจากธาตุที่อยู่ล่างกว่ามีระยะห่างระหว่างนิวเคลียสกับวาเลนซ์อิเล็กตรอนมากกว่าธาตุที่อยู่ด้านบน แต่ก็ยังมีข้อยกเว้น เช่น ในหมู่ 11 สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนจะมีการเพิ่มขึ้นจากล่างขึ้นบน\n=== คาบ ===\nคาบ เป็นแถวในแนวนอนของตารางธาตุ ถึงแม้ว่าหมู่จะบอกแนวโน้มของธาตุเคมีที่สำคัญ แต่ก็ยังมีบางที่ที่แนวโน้มตามคาบจะสำคัญกว่า เช่น บล็อก-f ที่ซึ่งแลนทาไนด์และแอกทิไนด์มีสมบัติทางเคมีเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวา\nธาตุในคาบเดียวกันจะมีความคล้ายคลึงกันในรัศมีอะตอม พลังงานไอออไนเซชัน สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน และอิเล็กโทรเนกาติวิตี จากซ้ายไปขวา ส่วนใหญ่รัศมีอะตอมของธาตุจะค่อย ๆ ลดลง เนื่องจากธาตุที่อยู่ถัดไปมีจำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้อิเล็กตรอนอยู่ใกล้นิวเคลียสมากขึ้น และผลจากการที่รัศมีอะตอมลดลง ทำให้พลังงานไอออไนเซชันเพิ่มขึ้น จากซ้ายไปขวา เนื่องจากอะตอมของธาตุนั้นมีพันธะระหว่างอิเล็กตรอนที่แน่นขึ้น ทำให้ต้องใช้พลังงานที่มากขึ้นในการดึงอิเล็กตรอนออก ส่วนอิเล็กโทรเนกาติวิตีจะเพิ่มขึ้นในลักษณะเดียวกันกับพลังงานไอออไนเซชัน เพราะมีแรงดึงของนิวเคลียสที่กระทำต่ออิเล็กตรอนมากขึ้น ส่วนสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน ธาตุโลหะ (ฝั่งซ้ายในตารางธาตุ) โดยส่วนใหญ่จะมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนน้อยกว่าธาตุอโลหะ (ฝั่งขวาในตารางธาตุ) ยกเว้นแก๊สมีสกุลซึ่งไม่มีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน\n=== บล็อก ===\n\nบล็อก เป็นบริเวณพิเศษในตารางธาตุ ซึ่งจะบ่งบอกว่าอิเล็กตรอนในวงอิเล็กตรอนแต่ละวงเต็มหรือไม่ ในแต่ละบล็อกจะตั้งชื่อตามวงย่อยที่อิเล็กตรอน \"ตัวสุดท้าย\" สามารถเข้าไปอยู่ได้บล็อก-s เป็นบล็อกที่อยู่ทางซ้ายมือสุดในตารางธาตุ บล็อกนี้ประกอบไปด้วยธาตุในหมู่ 1 (โลหะแอลคาไล) และหมู่ 2 (โลหะแอลคาไลน์เอิร์ท) รวมถึงไฮโดรเจน และฮีเลียม บล็อก-p เป็นบล็อกที่อยู่ทางขวาสุดของตารางธาตุ ประกอบไปด้วยธาตุใน 6 หมู่สุดท้าย ตั้งแต่หมู่ที่ 13 ถึง หมู่ที่ 18 ในไอยูแพก (3B ถึง 8A ในสหรัฐอเมริกา) และยังมีธาตุกึ่งโลหะทั้งหมดในบล็อกนี้ด้วย บล็อก-d เป็นบล็อกที่ประกอบไปด้วยธาตุในหมู่ 3 ถึง หมู่ที่ 12 (3B ถึง 2B ในสหรัฐอเมริกา) ธาตุในบล็อกนี้เป็นธาตุโลหะแทรนซิชันทั้งหมด บล็อก-f เป็นบล็อกที่ไม่มีเลขหมู่ และอยู่ด้านล่างของตารางธาตุ ในบล็อกนี้ประกอบไปด้วยธาตุในแลนทาไนด์และแอกทิไนด์\n=== ความเป็นโลหะ ===\n\nตามสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของมัน เรายังสามารถแบ่งธาตุออกได้เป็นสามส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ โลหะ กึ่งโลหะ และอโลหะ ธาตุโลหะส่วนใหญ่จะสะท้อนแสง อยู่ในรูปอัลลอย และยังสามารถทำปฏิกิริยากับธาตุอโลหะ (ยกเว้น แก๊สมีสกุล) ได้สารประกอบไอออนิกในรูปของเกลือ ส่วนธาตุอโลหะส่วนใหญ่จะเป็นแก๊สซึ่งไม่มีสีหรือมีสี อโลหะที่ทำปฏิกิริยากับอโลหะด้วยกันจะทำให้เกิดสารประกอบที่มีพันธะโควาเลนต์ ระหว่างธาตุโลหะกับธาตุอโลหะ คือธาตุกึ่งโลหะ ซึ่งจะมีสมบัติของธาตุโลหะและอโลหะผสมกัน\nโลหะและอโลหะยังสามารถแบ่งย่อยออกไปอีกตามความเป็นโลหะ จากซ้ายไปขวาในตารางธาตุ โลหะยังแบ่งย่อยไปเป็นโลหะแอลคาไลที่มีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาสูง โลหะแอลคาไลน์-เอิร์ทที่มีความว่องไวในการทำปฏิกิริยารองลงมา แลนทาไนด์และแอกทิไนด์ โลหะแทรนซิชัน และจบที่โลหะหลังแทรนซิชันซึ่งมีความเป็นโลหะน้อยที่สุดในบรรดาโลหะด้วยกัน ส่วนอโลหะแบ่งออกเป็นอโลหะหลายวาเลนซ์ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับตำแหน่งของธาตุกึ่งโลหะ มีสมบัติบางประการที่คล้ายกับโลหะ และอโลหะวาเลนซ์เดียว ซึ่งเป็นอโลหะหลัก และแก๊สมีสกุล ซึ่งเป็นธาตุที่เสถียรแล้ว และในโลหะแทรนซิชันยังมีการแบ่งออกไปอีก เช่น โลหะมีสกุลและ โลหะทนไฟ และธาตุย่อยในโลหะเหล่านี้ (ในตัวอย่าง) เป็นที่รู้จักแล้ว และยังมีการกล่าวถึงเป็นครั้งคราว\n== แนวโน้มพิริออดิก ==\n=== การจัดเรียงอิเล็กตรอน ===\n\nการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถจัดธาตุในตารางธาตุได้ เพราะจากซ้ายไปขวาตามคาบ อิเล็กตรอนจะเพิ่มขึ้น อิเล็กตรอนจะเข้าไปอยู่ในวงอิเล็กตรอน (วงที่ 1 วงที่ 2 และอื่น ๆ) แต่ละวงก็ประกอบไปด้วยวงย่อยหนึ่งวงหรือมากกว่านั้น (มีชื่อว่า s p d f และ g) เมื่อเลขอะตอมของธาตุมากขึ้น อิเล็กตรอนจะเข้าไปอยู่ในวงย่อยตามกฎของแมนเดลัง เช่นการจัดเรียงอิเล็กตรอนของนีออน คือ 1s2 2s2 2p6 ด้วยเลขอะตอมเท่ากับ 10 นีออนมีอิเล็กตรอน 2 ตัวในวงอิเล็กตรอนแรก และมีอิเล็กตรอนอีก 8 ตัวในวงอิเล็กตรอนที่สอง โดยแบ่งเป็นในวงย่อย s 2 ตัวและในวงย่อย p 6 ตัว ในส่วนของตารางธาตุ เมื่ออิเล็กตรอนตัวหนึ่งไม่สามารถไปอยู่ในวงอิเล็กตรอนที่สองได้แล้ว มันก็จะเข้าไปอยู่ในวงอิเล็กตรอนใหม่ และธาตุนั้นก็จะถูกจัดให้อยู่ในคาบถัดไป ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้เป็นธาตุไฮโดรเจน และธาตุในหมู่โลหะแอลคาไล\n=== รัศมีอะตอม ===\n\nรัศมีอะตอมของธาตุแต่ละตัวมีความแตกต่างในการทำนายและอธิบายในตารางธาตุ ยกตัวอย่างเช่น รัศมีอะตอมทั่วไปลดลงไปตามหมู่ของตารางธาตุจากโลหะแอลคาไลถึงแก๊สมีสกุล และจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วจากแก๊สมีสกุลมายังโลหะแอลคาไลในจุดเริ่มต้นของคาบถัดไป แนวโน้มเหล่านี้ของรัศมีอะตอม (และสมบัติทางเคมีและทางกายภาพของธาตุอื่น ๆ) สามารถอธิบายได้โดยทฤษฎีวงอิเล็กตรอนของอะตอม พวกมันมีหลักฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาทฤษฎีควอนตัม\nอิเล็กตรอนในวงย่อย 4f ซึ่งจะถูกเติมเต็มตั้งแต่ซีเรียม (ธาตุที่ 58) ถึงอิตเตอร์เบียม (ธาตุที่ 70) เนื่องด้วยอิเล็กตรอนเพิ่มขึ้นแค่ในวงเดียว จึงทำให้ขนาดอะตอมของธาตุในแลนทาไนด์มีขนาดที่ไม่แตกต่างกัน และอาจจะเหมือนกับธาตุตัวถัด ๆ ไป ด้วยเหตุนี้ทำให้แฮฟเนียมมีรัศมีอะตอม (และสมบัติทางเคมีอื่น ๆ) เหมือนกับเซอร์โคเนียม และแทนทาลัม มีรัศมีอะตอมใกล้เคียงกับไนโอเบียม ลักษณะแบบนี้รู้จักกันในชื่อการหดตัวของแลนทาไนด์ และผลจากการหดตัวของแลนทาไนด์นี้ ยังเห็นได้ชัดไปจนถึงแพลตทินัม (ธาตุที่ 78) และการหดตัวที่คล้าย ๆ กัน คือการหดตัวของบล็อก-d ซึ่งมีผลกับธาตุที่อยู่ระหว่างบล็อก-d และบล็อก-p มันเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าการหดตัวของแลนทาไนด์ แต่เกิดจากสาเหตุเดียวกัน\n=== พลังงานไอออไนเซชัน ===\n\nพลังงานไอออไนเซชันลำดับที่ 1 เป็นพลังงานที่ใช้ดึงอิเล็กตรอนตัวแรกออกจากอะตอม พลังงานไอออไนเซชันลำดับที่สอง เป็นพลังงานที่ใช้ดึงอิเล็กตรอนตัวที่สองออกจากอะตอม ซึ่งจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เช่น แมงกานีส มีพลังงานไอออไนเซชันลำดับที่ 1 คือ 738 กิโลจูล/โมล และลำดับที่สอง คือ 1450 กิโลจูล/โมล อิเล็กตรอนที่อยู่ใกล้อะตอมจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานมากในการดึงมันออกจากอะตอม พลังงานไอออไนเซชันจะมีการเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวาของตารางธาตุ\nพลังงานไอออไนเซชันจะมีมากที่สุดเมื่อต้องการดึงอิเล็กตรอนออกจากธาตุในหมู่แก๊สมีสกุล (ซึ่งมีอิเล็กตรอนครบตามจำนวนที่มีได้สูงสุด) ยกตัวอย่างแมกนีเซียมอีกครั้ง แมกนีเซียมจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานไอออไนเซชันสองลำดับแรก เพื่อดึงอิเล็กตรอนออกให้มันมีโครงสร้างคล้ายแก๊สมีสกุล และ 2p มันจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานไอออไนเซชันลำดับที่สามสูงกว่า 7730 กิโลจูล/โมล ในการดึงอิเล็กตรอนตัวที่สามออกจากวงย่อย 2p ของการจัดเรียงอิเล็กตรอนที่คล้ายนีออนของ Mg2+ ความแตกต่างนี้ยังมีในอะตอมของแถวที่สามตัวอื่น ๆ อีกด้วย\n=== อิเล็กโทรเนกาติวิตี ===\n\nอิเล็กโทรเนกาติวิตีเป็นแรงดึงดูดของอะตอมที่ใช้ดึงอิเล็กตรอนเข้ามา อิเล็กโทรเนกาติวิตีของอะตอมอะตอมหนึ่ง เป็นผลมาจากเลขอะตอมที่เพิ่มขึ้น และระยะห่างจากนิวเคลียสถึงวาเลนซ์อิเล็กตรอน ยิ่งมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีมากเท่าไร ความสามารถที่จะดึงดูดอิเล็กตรอนก็มากขึ้นเท่านั้น แนวคิดถูกเสนอครั้งแรกโดยไลนัส พอลลิง ใน พ.ศ. 2475 โดยทั่วไป อิเล็กโทรเนกาติวิตีจะเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวาตามคาบ และลดลงจากบนลงล่างตามหมู่ เพราะเหตุนี้ ฟลูออรีนจึงเป็นธาตุที่มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงที่สุด และซีเซียมมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีน้อยที่สุด อย่างน้อยธาตุเหล่านั้นก็ยังมีข้อมูลที่สามารถใช้ยืนยันได้\nแต่ถึงกระนั้นธาตุบางตัวยังไม่เป็นไปตามกฎนี้ แกลเลียมและเจอร์เมเนียมมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีมากกว่าอะลูมิเนียมและซิลิกอน เนื่องด้วยผลกระทบจากการหดตัวของบล็อก-d ธาตุในคาบที่ 4 ในส่วนของโลหะแทรนซิชัน มีรัศมีอะตอมที่ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะว่าอิเล็กตรอนในวงย่อย 3d ไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนิวเคลียร์ของธาตุ และขนาดอะตอมที่เล็กลงยังทำให้มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงขึ้นอีกด้วย\n=== สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน ===\n\nสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนเป็นพลังงานที่คายออกมาหรือดูดกลืน เมื่อเพิ่มอิเล็กตรอนให้แก่อะตอมไปเป็นไอออนประจุลบ ธาตุส่วนใหญ่คายพลังงานความร้อนเมื่อรับอิเล็กตรอน โดยทั่วไป อโลหะจะมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนมากกว่าโลหะ คลอรีน มีแนวโน้มในการเกิดไอออนประจุลบสูงที่สุด สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนของแก๊สมีสกุลยังไม่สามารถหาค่าได้ ดังนั้น พวกมันอาจจะไม่มีประจุลบ\nสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนทั่วไปจะเพิ่มขึ้นตามคาบ ซึ่งเป็นผลมาจากการเติมเต็มวงเวเลนซ์ของอะตอม อะตอมของธาตุหมู่ 17จะคายพลังงานออกมามากกว่าอะตอมของธาตุในหมู่ 1 ในการดึงดูดอิเล็กตรอน เนื่องด้วยความง่ายในการเติมเต็มวงวาเลนซ์และความเสถียร\nในหมู่ของธาตุ สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนคาดว่าจะลดลงจากบนลงล่าง เนื่องด้วยอิเล็กตรอนตัวใหม่จะต้องเข้าไปในออร์บิทัลที่อยู่ห่างจากนิวเคลียสมากขึ้น ด้วยความที่อิเล็กตรอนเชื่อมของนิวเคลียสน้อยอยู่แล้ว จึงทำให้มันปล่อยพลังงานไม่มาก ถึงกระนั้น ในหมู่ของธาตุ ธาตุสามตัวแรกจะผิดปกติ ธาตุที่หนักกว่าจะมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนมากกว่าธาตุที่เบากว่า และในวงย่อย d และ f สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนจะไม่ได้ลดลงตามหมู่ไปเสียทั้งหมด ดังนั้นการที่สัมพรรคภาพลดลงตามหมู่จากบนลงล่างนี้ จะเกิดขึ้นได้ในอะตอมของธาตุหมู่ 1 เท่านั้น\n=== คุณสมบัติเชิงโลหะ ===\nเมื่อค่าพลังงานไอออไนเซชัน อิเล็กโทรเนกาติวิตี และสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนต่ำลง ธาตุนั้นจะแสดงคุณสมบัติเชิงโลหะมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม คุณสมบัติเชิงอโลหะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าเหล่านี้เพิ่มขึ้น สำหรับแนวโน้มพิริออดิกของสมบัติทั้งสามค่า จะลดลงเรื่อย ๆ ตามคาบเมื่อพิจารณาคุณสมบัติเชิงโลหะ มีบางส่วนที่ผิดปกติ เนื่องจากอิเล็กตรอนในบล็อก d และ f และผลกระทบสัมพัทธภาพ และคุณสมบัติเชิงโลหะจะเพิ่มขึ้นเมื่อพิจารณาจากบนลงล่างในหมู่เดียวกัน ดังนั้น ธาตุที่มีคุณสมบัติเชิงโลหะมากที่สุด (เช่น ซีเซียม แฟรนเซียม) พบได้ที่มุมซ้ายล่างสุดของตารางธาตุ และธาตุที่มีคุณสมบัติเชิงอโลหะมากที่สุด (เช่น ออกซิเจน ฟลูออรีน คลอรีน) พบได้ที่มุมขวาบนสุดของตารางธาตุ แนวโน้มของโลหะทั้งในแนวตั้งและแนวนอนช่วยอธิบายถึงเส้นขั้นบันไดที่แบ่งโลหะกับอโลหะ ซึ่งพบในตารางธาตุบางรูปแบบ และการจัดให้ธาตุที่อยู่ชิดเส้นแบ่งนั้นเป็นกึ่งโลหะ\n=== กลุ่มเชื่อม ===\nจากซ้ายไปขวาผ่านบล็อกทั้งสี่ในตารางธาตุรูปแบบยาว 32 หมู่ เป็นกลุ่มของธาตุที่เชื่อมกัน อยู่ที่ตำแหน่งระหว่างบล็อก ธาตุในกลุ่มเหล่านี้จะแสดงสมบัติเป็นกึ่งหรือผสมกับธาตุกลุ่มข้างเคียง เหมือนกับกึ่งโลหะ ธาตุหมู่ 3 อันได้แก่ สแกนเดียม อิตเทรียม แลนทานัม และแอกทิไนด์ มีพฤติกรรมทางเคมีคล้ายกับโลหะแอลคาไลน์เอิร์ท หรือโลหะบล็อก s แต่ก็มีสมบัติทางกายภาพบางประการที่เหมือนกับโลหะแทรนซิชันบล็อก d ลูทีเชียมและลอว์เรนเชียมที่อยู่ปลายสุดของบล็อก f อาจเป็นกลุ่มเชื่อมอีกกลุ่มหนึ่ง ลูทีเชียมมีพฤติกรรมทางเคมีเป็นแลนทาไนด์ แต่มีสมบัติทางกายภาพผสมกันระหว่างแลนทาไนด์และโลหะแทรนซิชัน ลอว์เรนเชียมก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับลูทีเชียม โลหะผลิตเหรียญในหมู่ 11 (ทองแดง เงิน และทองคำ) ก็มีสมบัติทางเคมีคล้ายโลหะแทรนซิชันและโลหะหมู่หลัก โลหะระเหยง่ายในหมู่ 12 (สังกะสี แคดเมียม และปรอท) บางครั้งก็ถูกพิจารณาให้เป็นกลุ่มเชื่อมระหว่างบล็อก d และบล็อก p หมู่ 13 แก๊สมีสกุลในหมู่ 18 เชื่อมระหว่างฮาโลเจนหมู่ 17 และโลหะแอลคาไลหมู่ 1\n== ประวัติของตารางธาตุ ==\n=== ความพยายามในการวางระบบครั้งแรก ===\n\nใน พ.ศ. 2332 อองตวน ลาวัวซิเอ ตีพิมพ์รายชื่อธาตุเคมี 33 ตัว เขาแบ่งเป็นแก๊ส โลหะ อโลหะ และเอิร์ท นักเคมีใช้เวลาข้ามศตวรรษเพื่อค้นหาวิธีที่จะจัดระบบของธาตุเหล่านี้ ใน พ.ศ. 2372 โยฮันน์ ว็อล์ฟกัง เดอเบอไรเนอร์ สังเกตว่าธาตุจำนวนมากนั้นสามารถจัดลงในไตรแอดส์ โดยอยู่บนพื้นฐานของสมบัติทางเคมีของมันได้ เช่น ลิเทียม โซเดียม และโพแทสเซียม พวกมันถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากเป็นโลหะที่อ่อน และไวต่อการเกิดปฏิกิริยา เดอเบอไรเนอร์ยังสังเกตอีกว่ามวลอะตอมของธาตุตัวที่สองในไตรแอดส์ของเขานั้น เป็นค่าเฉลี่ยของมวลอะตอมธาตุที่หนึ่งและธาตุที่สาม ซึ่งรู้จักกันในภายหลังว่า กฎไตรแอดส์ นักเคมีชาวเยอรมัน เลโอโปลด์ กเมลิน ทำงานด้วยระบบไตรแอดส์นี้ และใน พ.ศ. 2386 เขาก็ค้นพบ ไตรแอดส์สิบตัว โดยมี 3 กลุ่มที่มี 4 ธาตุและอีก 1 กลุ่มที่มี 5 ธาตุ ฌอง-บัฟติส ดูมัส ตีพิมพ์ผลงานเมื่อ พ.ศ. 2400 ซึ่งบรรยายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มของโลหะบางกลุ่ม ถึงแม้ว่านักเคมีบางคนจะสามารถบรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มธาตุขนาดเล็กได้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้มันครอบคลุมทั้งหมด\nใน พ.ศ. 2401 นักเคมีชาวเยอรมัน ออกุสต์ คีคูเล สังเกตว่าคาร์บอนส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปของอะตอมสี่ตัวทำพันธะต่อกัน เช่น มีเทน ซึ่งมีอะตอมคาร์บอน 1 ตัวและอะตอมของไฮโดรเจน 4 ตัว แนวคิดในลักษณะนี้ภายหลังรู้จักกันว่าเป็นเวเลนซ์ ซึ่งระบุไว้ว่าพันธะของธาตุต่างชนิดกันก็มีจำนวนอะตอมต่างกันด้วย\nใน พ.ศ. 2405 นักธรณีวิทยาชาวฝรั่งเศส อเล็กซานเดอร์-เอมิล เบอกูเยร์ เดอ ชานกูร์ตัว ตีพิมพ์ตารางธาตุฉบับแรก ซึ่งเขาเรียกมันว่าเทลลูริก เฮลิกซ์ หรือสครู เขาเป็นคนแรกที่ทราบถึงความเป็นลำดับคาบของธาตุเคมี โดยการนำธาตุมาจัดเรียงเป็นวงก้นหอย หรือเป็นทรงกระบอกโดยเรียงตามมวลอะตอมที่เพิ่มขึ้น เดอ ชานกูร์ตัว แสดงให้เห็นว่าธาตุที่สมบัติทางเคมีเหมือนกันจะอยู่ใกล้กัน ตารางของเขายังมีไอออนและสารประกอบบางชนิดรวมอยู่ด้วย แผ่นกระดาษของเขามักจะถูกใช้ในทางธรณีวิทยามากกว่าทางเคมี และไม่รวมแผนภาพ และเป็นผลทำให้ได้รับความสนใจน้อยจนถึงผลงานของดมีตรี เมนเดเลเยฟ\nใน พ.ศ. 2407 นักเคมีชาวเยอรมัน ยูลิอุส โลทาร์ ไมเออร์ ได้ตีพิมพ์ตารางธาตุซึ่งประกอบไปด้วยธาตุ 44 ตัวโดยเรียงตามความเป็นวาเลนซ์ ตารางของเขาแสดงให้เห็นว่าธาตุที่มีสมบัติทางเคมีเหมือนกันนั้น บ่อครั้งที่จะมีความเป็นวาเลนซ์ที่เหมือนกันด้วย ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน นักเคมีชาวอังกฤษ วิลเลียม โอดลิง ตีพิมพ์การจัดเรียงธาตุ 57 ตัว โดยเรียงบนพื้นฐานของมวลอะตอม ด้วยความที่ไม่ปกติและยังมีช่องว่าง เขาทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับธาตุเป็นลำดับการเกิดคาบของมวลอะตอม และเขายังบันทึกไว้ว่า \"มันมักจะได้รับการจัดกลุ่ม\" โอดลิงได้พูดถึงเกี่ยวกับความคิดในเรื่องของกฎพิริออดิก แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมัน ต่อมาเขาก็ได้นำเสนอ (ใน พ.ศ. 2413) การจัดหมวดหมู่บนพื้นฐานของความเป็นวาเลนซ์\n\nนักเคมีชาวอังกฤษ จอห์น นิวแลนส์ ได้ตีพิมพ์ผลงานของเขาในช่วง พ.ศ. 2406 – พ.ศ. 2409 ซึ่งมีหมายเหตุไว้ว่าเขาจัดธาตุตามมวลอะตอมที่เพิ่มขึ้น แล้วเขาก็พบว่าธาตุทุก ๆ 8 ตัวจะมีสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมีเหมือนกัน เขาคิดว่ามันเหมือนกับอ็อกเทฟในดนตรี เขาจึงตั้งกฎขึ้นมา ซึ่งเรียกกันว่า กฎออกเทฟส์ ถึงอย่างนั้นสมาคมเคมีก็ปฏิเสธที่จะยอมรับงานของนิวแลนส์ เนื่องจากนิวแลนส์ได้ผลักดันธาตุให้เข้ากับกฎออกเทฟส์และไม่เว้นช่องว่างไว้ให้ธาตุที่ยังไม่ค้นพบ เช่น เจอร์เมเนียม สมาคมเคมีรับทราบเพียงแค่การค้นพบของเขา จนกระทั่ง เมนเดเลเยฟตีพิมพ์ตารางธาตุของเขาออกมา\nใน พ.ศ. 2410 นักเคมีชาวเดนมาร์ก กุสตาวุส ฮินริชส์ ได้ตีพิมพ์ตารางธาตุในลักษณะก้นหอยออกมาโดยจัดตามสเปกตรัมและมวลของอะตอม ผลงานของเขาได้รับยกย่องว่าเป็นผลงานที่พิสดาร โอ้อวด และซับซ้อน นี่เองที่อาจทำให้ไม่เป็นที่จดจำและเป็นที่ยอมรับ\n=== ตารางธาตุของเมนเดเลเยฟ ===\n\n\nนักเคมีชาวรัสเซีย ดมีตรี เมนเดเลเยฟ และนักเคมีชาวเยอรมัน ยูลิอุส โลทาร์ ไมเออร์ ได้ตีพิมพ์ตารางธาตุใน พ.ศ. 2412 และ พ.ศ. 2413 ตามลำดับ ตารางธาตุของเมนเดเลเยฟเป็นการตีพิมพ์ครั้งแรกของเขา ส่วนของไมเออร์เป็นการเพิ่มเติมจากตารางธาตุเก่าของเขา ที่เคยตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2407 ตารางธาตุของทั้งสองสร้างขึ้นโดยจัดธาตุไว้เป็นคาบและหมู่โดยเรียงตามมวลอะตอม และจะเริ่มแถวใหม่เมื่อธาตุมีสมบัติทางเคมีที่เหมือนกัน\nสาเหตุที่ตารางธาตุของเมนเดเลเยฟได้รับการยอมรับมีอยู่สองประการ คือ หนึ่ง ตารางธาตุของเขามีช่องว่างไว้เพื่อให้ธาตุที่ยังไม่ได้รับการค้นพบ เมนเดเลเยฟไม่ได้เป็นนักเคมีคนแรกที่ทำแบบนี้ แต่เขาเป็นคนแรกที่ได้รับการยอมรับในการใช้แนวโน้มในตารางธาตุ เพื่อทำนายสมบัติทางเคมีของธาตุที่ยังไม่ได้ค้นพบเหล่านั้น เช่น แกลเลียม และเจอร์เมเนียม และเหตุผลที่สองคือบางครั้งเขาไม่ได้เรียงตามมวลอะตอมโดยทั้งหมด เขาสลับตำแหน่งธาตุบางตัว เช่น เทลลูเรียมและไอโอดีน โดยเขาให้เหตุผลว่าเพื่อให้ง่ายต่อการจัดธาตุลงไปในหมู่ของธาตุ กับการพัฒนาทฤษฎีโครงสร้างอะตอม ทำให้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เมนเดเลเยฟ ไม่ได้ตั้งใจที่จะระบุไปว่า เขาจัดเรียงธาตุตามมวลอะตอมที่เพิ่มขึ้น หรือโครงสร้างนิวเคลียร์\nความสำคัญของเลขอะตอมในการเป็นองค์ประกอบของตารางธาตุยังคงไม่ได้รับการยอมรับจนกระทั่งสมบัติของโปรตอนและนิวตรอนกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ตารางธาตุของเมนเดเลเยฟก็ยังคงใช้มวลอะตอมแทนที่จะเป็นเลขอะตอม ซึ่งในเวลานั้นข้อมูลเกี่ยวกับมวลอะตอมมีความแม่นยำสูงสุด มวลอะตอมสามารถอธิบายถึงสมบัติทางเคมีของธาตุที่ยังไม่ค้นพบได้อย่างแม่นยำกว่าวิธีอื่น ๆ ที่รู้จักกันในเวลานั้น และวิธีนี้ก็ยังคงใช้ในการทำนายสมบัติของธาตุเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นใหม่จนกระทั่งปัจจุบัน\n=== ตารางธาตุรุ่นที่สองและการพัฒนาหลังจากนั้น ===\n\n\nใน พ.ศ. 2414 เมนเดเลเยฟตีพิมพ์ตารางธาตุในรูปแบบใหม่ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่ที่มีธาตุที่คล้ายกันซึ่งจะถูกจัดในคอลัมน์มากกว่าที่จะถูกจัดในแถว และคอลัมน์เหล่านี้ก็เรียงลำดับไว้ว่า I ถึง VIII ซึ่งตรงกันกับสถานะออกซิเดชันของธาตุ เขายังลงรายละเอียดเกี่ยวกับการทำนายสมบัติของธาตุที่ยังไม่ค้นพบด้วย และเขายังระบุไว้ว่าพวกมันไม่มีในตารางธาตุ แต่ควรจะมีอยู่จริง ช่องว่างเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะเติมเต็มโดยนักเคมีที่ค้นพบธาตุในธรรมชาติเพิ่มเติม บ่อยครั้งที่มีการยืนยันว่าธาตุสุดท้ายที่จะถูกค้นพบในธรรมชาติคือ แฟรนเซียม (เอคา-ซีเซียมที่เมนเดเลเยฟทำนายไว้) ที่ถูกค้นพบใน พ.ศ. 2482 แต่พลูโทเนียมที่สังเคราะห์ขึ้นใน พ.ศ. 2485 ได้รับการยืนยันว่าพบในธรรมชาติอยู่ปริมาณเล็กน้อยใน ปี พ.ศ. 2514\nตารางธาตุที่ได้รับความนิยมที่สุด หรือรู้จักกันว่าเป็นตารางธาตุมาตรฐาน สร้างขึ้นโดยฮอเรซ กรอฟส์ เดมิง ใน พ.ศ. 2466 เดมิงได้ตีพิมพ์ตารางธาตุในรูปแบบสั้น (รูปแบบเมนเดเลเยฟ) และรูปแบบปานกลาง (18 คอลัมน์) ในปี พ.ศ. 2467 เมิร์คและคอมปานีได้จัดเตรียมเอกสารของตารางธาตุ 18 แถวของเดมิงไว้ใช้สำหรับการเรียนการสอนในโรงเรียนของประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษ 1930 ตารางธาตุของเดมิงได้ปรากฏบนหนังสือคู่มือและสารานุกรมเคมี และมันก็ยังถูกแจกจ่ายเป็นเวลาหลายปีโดยบริษัทวิทยาศาสตร์ซาร์เจนท์-เวลช์\nด้วยการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม และทฤษฎีของการจัดเรียงอิเล็กตรอนภายในอะตอม พบว่าอิเล็กตรอนจะเพิ่มขึ้นตามคาบ (แถวแนวนอน) ในตารางธาตุเพื่อเติมเต็มวงอิเล็กตรอน อะตอมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีวงย่อยมากขึ้น และทำให้ตารางธาตุจะมีคาบที่ยาวขึ้นไปด้วย\n\nใน พ.ศ. 2488 นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน เกลนน์ ซีบอร์ก ได้ให้ข้อคิดเห็นไว้ว่าธาตุแอกทิไนด์จะเหมือนกับแลนทาไนด์ซึ่งอิเล็กตรอนจะเข้าไปอยู่ในวงย่อย f ก่อนหน้านั้นแอกทิไนด์เชื่อกันว่าเป็นบล็อก-d แถวที่ 4 เพื่อนร่วมงานของซีบอร์กได้แนะนำให้เขาปิดบังข้อเสนอแนะดังกล่าวนี้ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออาชีพของเขา ซีบอร์กไม่สนใจคำแนะนำของเพื่อนร่วมงาน และตีพิมพ์ข้อเสนอแนะของเขาลงไป ในภายหลังนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆได้ตรวจสอบข้อเสนอแนะนี้ และพบว่ามีความถูกต้อง และทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี พ.ศ. 2494 สำหรับการทำงานของเขาที่เกี่ยวกับการสังเคราะห์ธาตุแอกทิไนด์\nถึงแม้ว่าธาตุหลังยูเรเนียมบางตัวจะปรากฏในธรรมชาติ แต่พวกมันทั้งหมดก็ถูกค้นพบในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์มาก่อน ซึ่งการผลิตพวกมันทำให้ตารางธาตุขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีการสังเคราะห์เนปทูเนียมขึ้นมาเป็นธาตุแรก ซึ่งสังเคราะห์ในปี พ.ศ. 2482 เนื่องด้วยธาตุส่วนใหญ่หลังยูเรเนียมไปแล้วนั้น มีความไม่เสถียรสูงมาก และสลายตัวอย่างรวดเร็ว พวกมันจึงกลายเป็นความท้าทายของนักวิทยาศาสตร์ที่จะตรวจจับและระบุลักษณะขณะที่มันถูกผลิตขึ้นแล้ว พวกมันยังมีการถกเถียงในเรื่องของความถูกต้องของการค้นพบธาตุ ซึ่งบางครั้งก็ยังขาดการตรวจสอบความสำคัญและการตั้งชื่อที่ถูกต้อง ซึ่งธาตุที่ได้รับการยืนยันและได้รับการตั้งชื่อล่าสุดคือ ฟลีโรเวียม (ธาตุที่ 114) และลิเวอร์มอเรียม (ธาตุที่ 116) ทั้งคู่ถูกตั้งชื่อในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ. 2553 ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ในดุบนา ประเทศรัสเซีย ได้สังเคราะห์อะตอมของเทนเนสซีน (ธาตุที่ 117) 6 อะตอม ซึ่งทำให้มันกลายเป็นธาตุล่าสุดที่คาดว่าจะถูกค้นพบ ปัจจุบัน ธาตุที่มีเลขอะตอมเท่ากับ 118 คือ&nbsp;Og&nbsp;ออกาเนสซอนยังรู้จักกันในชื่อว่า&nbsp;เอคา-เรดอน&nbsp;หรือ&nbsp;ธาตุ 118&nbsp;และบนตารางธาตุ&nbsp;มันถูกจัดให้อยู่ในบล็อก-p&nbsp;และเป็นธาตุตัวสุดท้ายบนคาบที่ 7&nbsp;ปัจจุบัน ออกาเนสซอนเป็นธาตุสังเคราะห์เพียงตัวเดียวของธาตุหมู่ 18&nbsp;มันยังเป็นธาตุที่มีเลขอะตอมและมวลอะตอมมากที่สุดเท่าที่ค้นพบในปัจจุบัน\n== ตารางธาตุรูปแบบอื่น ==\n=== ตารางธาตุแบบยาว ===\n\nตารางธาตุสมัยใหม่ในบางครั้งอาจจะมีการนำแลนทาไนด์และแอกทิไนด์มาต่อกันเป็นตารางเดียว แทรกระหว่างบล็อก s และบล็อก d ซึ่งเรียกกันว่าเป็นตารางธาตุแบบยาว 32 หมู่ เพื่อให้เห็นความต่อเนื่องของเลขอะตอมที่เพิ่มขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างบล็อก f กับบล็อกอื่นของตารางก็ยังให้เห็นชัดเจนมากขึ้นอีกด้วย เจนเซนสนับสนุนให้ใช้ตารางธาตุแบบยาวนี้ บนพื้นฐานของความคิดนักเรียนที่อาจคิดว่าแลนทาไนด์และแอกทิไนด์เป็นธาตุที่ไม่สำคัญและไม่น่าสนใจ แม้ว่าตารางธาตุแบบยาวจะมีประโยชน์หลายประการ บรรณาธิการหลายคนก็หลีกเลี่ยงที่จะใช้ตารางธาตุแบบยาว เพราะมันจะกินเนื้อที่บนหน้าหนังสือมากเกินไป และยังมีความคุ้นชินกับตารางธาตุที่แนะนำโดยนักเคมี (เช่นที่แนะนำโดยซีบอร์ก)\n=== ตารางธาตุที่เปลี่ยนโครงสร้าง ===\nภายในระยะเวลา 100 ปีหลังจากที่ตารางธาตุของเมนเดเลเยฟถูกตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2412 เอ็ดเวิร์ด จี. มาซูร์ ได้รวบรวมตารางธาตุที่มีโครงสร้างแตกต่างไปจากเดิมประมาณ 700 กว่าชนิด และได้รับการตีพิมพ์แล้ว เช่นเดียวกับตารางธาตุในรูปแบบช่องสี่เหลี่ยมก็มีการดัดแปลงโครงสร้างเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น โครงสร้างวงกลม, ลูกบาศก์ ทรงกระบอก โครงสร้างคล้ายอาคาร ทรงเกลียว เลมนีสเกต ปริซึมทรงแปดเหลี่ยม พีระมิด แบบแยกออกจากกัน ทรงกลม เกลียว และรูปสามเหลี่ยม ส่วนใหญ่แล้วตารางธาตุในโครงสร้างแบบอื่น ๆ นั้น สร้างขึ้นเพื่อเน้นหรือให้ความสำคัญกับสมบัติทางเคมีหรือกายภาพของธาตุ ซึ่งไม่มีในตารางธาตุปกติ\n\nตารางธาตุโครงสร้างอื่นที่ได้รับความนิยมคือ ตารางธาตุของทืโอดอร์ เบนฟีย์ เขาสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2503 ธาตุถูกจัดเรียงในเกลียวที่ต่อเนื่องกัน โดยมีไฮโดรเจนอยู่ตรงกลางและมีโลหะแทรนซิชัน แลนทาไนด์ และแอกทิไนด์ ยื่นออกมาคล้ายกับคาบสมุทร\nตารางธาตุส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็น 2 มิติ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีตารางธาตุที่เป็น 3 มิติ และเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. 2405 (ก่อนที่เมนเดเลเยฟจะตีพิมพ์ตารางธาตุของเขาในปี พ.ศ. 2412) ตัวอย่างตารางธาตุ 3 มิติที่พบเห็นได้เป็นส่วนใหญ่ เช่น การจำแนกธาตุของคูร์ทีนส์ (พ.ศ. 2468) ระบบลามีนาของวริงลีย์ (พ.ศ. 2492) ตารางธาตุทรงเกลียวของกีเกอเร (พ.ศ. 2508) และต้นไม้พีรีออดิกของดูโฟร์ (พ.ศ. 2539) ได้รับการบรรยายว่าเป็นตารางธาตุ 4 มิติ (มิติเชิงพื้นที่ 3 มิติและมิติเชิงสีอีก 1 มิติ)\n== คำถามเปิดและการโต้แย้ง ==\n=== ธาตุที่ไม่ทราบสมบัติทางเคมี ===\nถึงแม้ว่าธาตุทุกตัวจนถึงออกาเนสซอนจะถูกค้นพบแล้ว แต่ธาตุที่มีเลขอะตอมมากกว่าฮัสเซียม (ธาตุที่ 108) มีเพียงแค่โคเปอร์นิเซียม (ธาตุที่ 112) และฟลีโรเวียม (ธาตุที่ 114) เท่านั้นที่ทราบสมบัติทางเคมีแล้ว ส่วนธาตุอื่น ๆ ที่มีเลขอะตอมมากกว่าฮัสเซียมนั้น สมบัติทางเคมีของมันเป็นเพียงแค่การทำนายโดยการประมาณค่าหรือพิจารณาความสัมพันธ์ทางเคมี เช่น ทำนายว่าฟลีโรเวียมจะมีสมบัติที่คล้ายคลึงกับธาตุในหมู่แก๊สมีสกุล แม้ว่าปัจจุบันมันจะจัดให้อยู่ในหมู่คาร์บอนก็ตาม การทดลองส่วนใหญ่ได้บ่งชี้เช่นนั้น ถึงอย่างนั้น ฟลีโรเวียมแสดงความประพฤติทางเคมีเหมือนกับตะกั่ว ตามตำแหน่งของธาตุที่คาดไว้\n=== การขยายตารางธาตุ ===\nไม่มีความแน่ชัดว่าธาตุใหม่ที่จะถูกค้นพบต่อไปนี้จะต้องไปอยู่ในคาบที่ 8 หรือต้องการการปรับเปลี่ยนรูปแบบตารางธาตุ ซีบอร์กคาดว่าคาบที่ 8 นี้จะเป็นไปตามหลักการที่กำหนดไว้ มันจะประกอบไปด้วยธาตุในบล็อก-s 2 ตัว คือธาตุที่ 119 และ 120 หลังจากนั้นจะเป็นบล็อก-g สำหรับธาตุตัวถัดไปอีก 18 ตัว และที่เหลืออีก 30 ตัวจะถูกจัดให้อยู่ในบล็อก-f -d และ -p ตามลำดับ ล่าสุด นักฟิสิกส์หลายคนเช่น เป็กกา ปืกเกอ เชื่อว่าธาตุใหม่ที่จะถูกค้นพบนั้นจะไม่เป็นไปตามกฎของแมนเดลัง ซึ่งเป็นการทำนายว่าจะมีวงอิเล็กตรอนเท่าใด และจะทำให้ตารางธาตุปัจจุบันมีหน้าตาเปลี่ยนไปด้วย ปัจจุบันมีแบบจำลองสมมติฐานหลายแบบออกมาสำหรับตำแหน่งธาตุที่มีเลขอะตอมน้อยกว่าหรือเท่ากับ 172 โดยธาตุที่ 172 นี้ เชื่อกันว่าจะเป็นธาตุอโลหะมีสกุลตัวต่อไปจากออกาเนสซอน ซึ่งแบบจำลองเหล่านี้จะต้องพิจารณาว่าเป็นเพียงทฤษฎี เนื่องจากยังไม่มีการคำนวณใด ๆ สำหรับธาตุที่พ้นจากธาตุ 122\n=== ธาตุที่มีเลขอะตอมมากที่สุด ===\nตัวเลขของจำนวนธาตุที่เป็นไปได้ยังไม่มีใครทราบ มีข้อคิดเห็นที่เก่าที่สุดสำหรับเรื่องนี้ ซึ่งเสนอโดย เอเลียต อดัมส์ ในปี พ.ศ. 2454 และอยู่บนพื้นฐานของการจัดเรียงธาตุในแถวแนวนอนของตารางธาตุ เขาเชื่อว่าธาตุที่มีมวลอะตอมมากกว่า 256± (ซึ่งเทียบเท่ากับมวลอะตอมระหว่างธาตุที่ 99 และ 100 ในปัจจุบัน) จะไม่ปรากฏขึ้น ธาตุที่มีมวลอะตอมสูงกว่านี้ คาดว่าจะไปสิ้นสุดไม่ไกลหลังจากหมู่เกาะแห่งความเสถียรภาพ ซึ่งทำนายกันว่าจะมีศูนย์กลางประมาณธาตุที่ 126 และเป็นส่วนขยายของตารางธาตุและตารางนิวไคลด์จะถูกจำกัดโดยดริปไลน์ (Drip line) ของโปรตอนและนิวตรอน มีการทำนายอื่น ๆ อีกมากมายที่นำเสนอเกี่ยวกับจุดสิ้นสุดของตารางธาตุ รวมทั้งตารางธาตุจะสิ้นสุดที่ธาตุ 128 ซึ่งเสนอโดยจอห์น เอมสลีย์ สิ้นสุดที่ธาตุ 137 โดยริชาร์ด ไฟน์แมน และสิ้นสุดที่ธาตุ 155 โดยอัลเบิร์ต คาซาน\nแบบจำลองของบอร์\nแบบจำลองของบอร์จะมีความยากลำบากในการอธิบายถึงอะตอมของธาตุที่มีเลขอะตอมเท่ากับ 137 ขึ้นไป ธาตุใด ๆ ก็ตามที่มีเลขอะตอมมากกว่า 137 มันจะต้องการอิเล็กตรอนในวงย่อย 1s เพื่อที่จะให้เดินทางได้เร็วกว่าแสง ดังนั้นแบบจำลองของบอร์จึงไม่ได้ถูกใช้เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ที่ถูกต้องของธาตุเหล่านั้น\nสมการแสดงความสัมพันธ์ของดิแรก\nสมการแสดงความสัมพันธ์ของดิแรกจะมีปัญหาเมื่อธาตุนั้นมีโปรตอนมากกว่า 137 ตัว สำหรับธาตุเหล่านั้น ฟังก์ชันคลื่นของสถานะพื้นของดิแรกจะเกิดการแกว่งมากกว่าที่จะยึดกันไว้ และจะไม่มีช่องว่างระหว่างพลังงานบวกและลบของสเปกตรัม ซึ่งมีในปฏิทรรศน์ของไคลน์ การคำนวณที่แม่นยำขึ้นโดยคำนึงถึงผลกระทบของการจำกัดขนาดของนิวเคลียส แสดงให้เห็นว่าพลังงานที่ทำให้นิวเคลียสอยู่รวมกัน จะมีค่าเกินขีดจำกัดสำหรับธาตุที่มีโปรตอนมากกว่า 137 ตัว สำหรับธาตุที่หนักกว่านั้น ถ้าวงอิเล็กตรอนชั้นในสุด (1s) ไม่ถูกเติมเต็ม จะทำให้สนามไฟฟ้าของนิวเคลียสจะดึงอิเล็กตรอนออกจากสุญญากาศ ส่งผลให้อะตอมนั้นเกิดการปล่อยโพซิตรอนออกมาโดยธรรมชาติ ถึงอย่างนั้น ผลกระทบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าวงอิเล็กตรอนชั้นในสุดได้รับการเติมเต็มแล้ว ดังนั้นธาตุที่ 137 จึงไม่จำเป็นว่าจะเป็นที่สิ้นสุดของตารางธาตุ\n=== ตำแหน่งของไฮโดรเจนและฮีเลียม ===\nบ่อยครั้งที่ไฮโดรเจนและฮีเลียมถูกวางในตำแหน่งที่แตกต่างกัน แทนที่จะวางใกล้กัน เนื่องด้วยการจัดเรียงอิเล็กตรอน ไฮโดรเจนส่วนใหญ่จะถูกจัดให้อยู่บนลิเทียม โดยพิจารณาจากการจัดเรียงอิเล็กตรอน แต่บางครั้งมันก็จะถูกจัดให้อยู่เหนือฟลูออรีนหรือคาร์บอน เนื่องจากไฮโดรเจนแสดงพฤติกรรมที่มีความคล้ายคลึงกับธาตุเหล่านั้น บางครั้งไฮโดรเจนอาจจะถูกจัดให้อยู่เดี่ยว ๆ ซึ่งหมายความว่าไฮโดรเจนไม่มีสมบัติเหมือนกับธาตุในหมู่ใด ๆ เลย ฮีเลียม ส่วนใหญ่แล้วจะถูกจัดให้อยู่เหนือนีออน เพราะมีสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกันมาก ถึงแม้ว่าบางครั้งมันจะถูกจัดให้อยู่เหนือเบริลเลียมเนื่องด้วยการจัดเรียงอิเล็กตรอน (ฮีเลียม: 1s2 เบริลเลียม: [He] 2s2)\n=== หมู่ของโลหะแทรนซิชัน ===\nนิยามของโลหะแทรนซิชันโดยไอยูแพกนั้น คือธาตุที่อิเล็กตรอนนั้นจะเข้าไปอยู่ในวงย่อย d หรือจะเป็นประจุบวกเพื่อเติมเต็มวงย่อย d จากคำนิยามนี้ ทำให้ธาตุในหมู่ 3–11 เป็นโลหะแทรนซิชัน คำนิยามของไอยูแพกทำให้ธาตุในหมู่ 12 ซึ่งประกอบด้วยสังกะสี แคดเมียม และปรอท ออกจากการเป็นโลหะแทรนซิชันไป\nนักเคมีบางคนอธิบายว่า \"ธาตุบล็อก-d\" และ \"โลหะแทรนซิชัน\" สามารถสลับกันได้ ซึ่งทำให้หมู่ที่ 3–12 กลายเป็นโลหะแทรนซิชัน ในกรณีนี้ธาตุหมู่ 12 จะถือว่าเป็นกรณีพิเศษของโลหะแทรนซิชัน เพราะธาตุหมู่ 12 ไม่ได้ใช้อิเล็กตรอนในวงย่อย d ในการทำพันธะกับธาตุอื่น แต่การค้นพบล่าสุด พบว่าปรอทสามารถใช้อิเล็กรอนในวงย่อย d ในการสร้างพันธะกับฟลูออรีน เป็นเมอร์คิวรี(IV) ฟลูออไรด์ (HgF4) ทำให้มีนักเคมีบางคนเสนอว่าปรอทควรจะถูกจัดให้เป็นโลหะแทรนซิชัน ส่วนนักเคมีคนอื่น ๆ เช่น เจนเซน แย้งว่าการเกิดของ HgF4 สามารถเกิดได้ในภาวะที่ผิดปกติอย่างมากเท่านั้น ดังนั้นปรอทจึงไม่ถูกจัดให้เป็นโลหะแทรนซิชัน โดยการพิจารณาความหมายโดยสามัญ\nแต่ก็ยังมีนักเคมีบางคนที่ไม่รวมธาตุหมู่ 3 ในกลุ่มโลหะแทรนซิชัน โดยคำนิยามของโลหะแทรนซิชัน พวกเขาทำบนพื้นฐานที่ว่าธาตุในหมู่ 3 ไม่มีไอออนใด ๆ ที่สามารถไปเติมเต็มวงย่อย d ได้ และไม่แสดงสมบัติทางเคมีที่คล้ายคลึงกับโลหะแทรนซิชันเลย ในกรณีนี้ธาตุหมู่ 4–11 จะถูกจัดให้เป็นโลหะแทรนซิชัน แม้ว่าธาตุหมู่ 3 มีสมบัติทางเคมีเหมือนโลหะแทรนซิชันบางประการ แต่ก็ยังมีสมบัติทางกายภาพที่เหมือนกันด้วย (การมีอยู่ของ d อิเล็กตรอน)\n=== ธาตุคาบ 6 และ 7 ในหมู่ที่ 3 ===\nถึงแม้ว่าสแกนเดียมและอิตเทรียมจะเป็นธาตุหมู่ 3 สองตัวแรกตลอด ตัวตนของธาตุอีกสองตัวยังไม่ได้ถูกยืนยัน พวกมันอาจจะเป็นแลนทานัมกับแอกทิเนียมหรือลูทีเชียมกับลอว์เรนเชียม ถึงแม้มันยังมีข้อโต้แย้งทางเคมีและกายภาพที่สนับสนุนการจัดโดยนำลูทีเชียมและลอว์เรนเชียมเป็นธาตุหมู่ 3 แต่ก็ไม่ควรที่จะเชื่อถือนัก คำนิยามปัจจุบันของคำว่า \"แลนทาไนด์\" ของไอยูแพก รวมธาตุ 15 ตัว ซึ่งมีทั้งแลนทานัมและลูทีเชียม และ \"โลหะแทรนซิชัน\" อาจจะเป็นแลนทานัมหรือแอกทิเนียมก็ได้ หรือแม้กระทั่งลูทีเชียม แต่ไม่ใช่ลอว์เรนเชียม เนื่องจากหลักการออฟบาวไม่มีความถูกต้องแล้ว โดยทั่วไป อิเล็กตรอนของลอว์เรนเชียมตัวที่ 103 จะต้องเข้าไปอยู่ในวงย่อย d แต่การวิจัยทางกลศาสตร์ควอนตัมชี้ให้เห็นว่าลอว์เรนเชียมมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น [Rn] 5f14 7s2 7p1 เนื่องด้วยผลกระทบจากความสัมพันธ์ระหว่างธาตุเคมี ไอยูแพกจึงยังไม่ได้แนะนำรูปแบบที่เจาะจง สำหรับธาตุในบล็อก-f และยังคงเป็นข้อโต้แย้งต่อไป\n==== แลนทานัมและแอกทิเนียม ====\nแลนทานัมและแอกทิเนียมมักจะถูกจัดให้เป็นธาตุหมู่ 3 โดยมีการเสนอตำแหน่งของธาตุทั้งสองนี้ครั้งแรกในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1940 ด้วยการปรากฏตัวของตารางธาตุที่จัดเรียงตามการจัดเรียงอิเล็กตรอนของธาตุเคมีและความคิดในการแยกแยะอิเล็กตรอน การจัดเรียงอิเล็กตรอนของซีเซียม แบเรียม และแลนทานัม คือ [Xe]6s1 [Xe]6s2 และ [Xe]5d16s2 ดังนั้นแลนทานัมจึงมีอิเล็กตรอนในชั้น 5d แยกออกมาและทำให้แลนทานัมกลายเป็น \"ธาตุหมู่ 3 และธาตุตัวแรกในบล็อก d ของคาบ 6\" กลุ่มของธาตุที่จัดเรียงอิเล็กตรอนคล้าย ๆ กันพบได้ในหมู่ 3: สแกนเดียม [Ar]3d14s2 อิตเทรียม [Kr]4d15s2 และแลนทานัม [Xe]5d16s2 อิตเทอร์เบียมและลูทีเชียม ซึ่งอยู่ในคาบ 6 เหมือนกัน มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น [Xe]4f135d16s2 และ [Xe]4f145d16s2 ตามลำดับ \"ส่งผลให้เกิดอิเล็กตรอนชั้น 4f แยกออกมาในลูทีเชียม และทำให้มันเป็นธาตุสุดท้ายของบล็อก f ของคาบ 6\" ภายหลัง มีงานวิจัยจากการวิเคราะห์สเปกตรัม พบว่าการจัดเรียงอิเล็กตรอนที่แท้จริงของอิตเทอร์เบียมเป็น [Xe]4f146s2 หมายความว่าทั้งอิตเทอร์เบียมและลูทีเชียม ต่างมี 14 อิเล็กตรอนในบล็อก f \"ส่งผลให้เกิดอิเล็กตรอน d แยกออกมาแทนที่จะเป็น f สำหรับลูทีเชียม\" และทำให้ลูทีเชียมกลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งใต้อิตเทรียมเช่นเดียวกันกับ [Xe]5d16s2 แลนทานัม แต่แลนทานัมได้เปรียบจากตำแหน่ง เนื่องจากอิเล็กตรอน 5d1 ปรากฏตัวครั้งแรกในการจัดเรียงนี้ ขณะที่มันปรากฏเป็นครั้งที่สามสำหรับลูทีเชียม นอกจากนี้อิเล็กตรอน 5d1 ยังปรากฏบ้างเป็นครั้งที่สองในธาตุแกโดลิเนียมด้วยเช่นกัน\nในทางพฤติกรรมเคมี ธาตุหมู่สามจะมีแนวโน้มคุณสมบัติต่าง ๆ ลดลงไปในแต่ละคาบ ไม่ว่าจะเป็นจุดหลอมเหลว อิเล็กโทรเนกาติวิตี หรือรัศมีไอออน สแกนเดียม อิตเทรียม แลนทานัม และแอกทิเนียมคล้ายคลึงกันกับธาตุหมู่ 1-2 ที่อยู่ข้างเคียง ในรูปแบบนี้ จำนวน f อิเล็กตรอนของไอออนที่พบได้บ่อยสุดของธาตุบล็อก f จะสอดคล้องกับตำแหน่งในบล็อก f ตัวอย่างเช่น จำนวน f อิเล็กตรอนของธาตุบล็อก f สามตัวแรก คือ Ce 1 Pr 2 Nd 3\n==== ลูทีเชียมและลอว์เรนเชียม ====\nในรูปแบบนี้ ลูทีเชียมและลอว์เรนเชียมเป็นธาตุหมู่ 3 วิธีการแรก ๆ ที่แยกสแกนเดียม อิตเทรียม และลูทีเชียม คือ การพิจารณาว่าธาตุเหล่านี้ปรากฏตัวอยู่ด้วยกัน เรียกว่า \"หมู่อิตเทรียม\" ขณะที่แลนทานัมและแอกทิไนด์ ปรากฏตัวอยู่ด้วยกันใน \"หมู่ซีเรียม\" ดังนั้น ลูทีเชียมจึงถูกจัดให้อยู่ในหมู่ 3 แทนที่แลนทานัมโดยนักเคมีบางคนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 และ 1930 นักฟิสิกส์หลายคนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 นิยมนำลูทีเชียมจัดเป็นธาตุหมู่ 3 เมื่อมีการเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพกับแลนทานัมแล้ว การจัดเรียงเช่นนี้ โดยนำแลนทานัมไปไว้เป็นธาตุตัวแรกของบล็อก f กลายเป็นข้อถกเถียงในหมู่นักเขียนบางส่วน เพราะแลนทานัมขาด f อิเล็กตรอน แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า เป็น \"ข้อกังวลที่ไม่ถูกต้อง\" ตัวอย่างเช่น ทอเรียม เป็นธาตุในบล็อก f แต่ไม่มี f อิเล็กตรอน สำหรับลอว์เรนเชียม การจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอมสถานะแก๊สถูกยืนยันในปี พ.ศ. 2558 เป็น [Rn]5f147s27p1 การจัดเรียงอิเล็กตรอนนี้แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติอีกประการ คือ ไม่ว่าลอว์เรนเชียมจะอยู่ตำแหน่งไหนในบล็อก f หรือ บล็อก d แต่ตัวธาตุมี p อิเล็กตรอนตัวแรก ซึ่งตำแหน่งธาตุที่จะมี p อิเล็กตรอนตัวแรกได้ถูกจัดไว้ให้กับนิโฮเนียม ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น [Rn]5f146d107s27p1\nสแกนเดียม อิตเทรียม และ ลูทีเชียม (และลอว์เรนเชียมที่เป็นไปได้) มีพฤติกรรมคล้ายไตรวาเลนต์ของโลหะหมู่ 1 และ 2 ในทางตรงกันข้าม ธาตุจะมีแนวโน้มคุณสมบัติต่าง ๆ ลดลงไปในแต่ละคาบ ไม่ว่าจะเป็นจุดหลอมเหลว อิเล็กโทรเนกาติวิตี หรือรัศมีไอออน คล้ายคลึงกับธาตุในหมู่ 4–8 ในรูปแบบนี้ จำนวน f อิเล็กตรอนของอะตอมธาตุบล็อก f ในสถานะแก๊ส โดยปกติจะสอดคล้องกับตำแหน่งในบล็อก f ตัวอย่างเช่น จำนวน f อิเล็กตรอนของธาตุบล็อก f ห้าตัวแรก คือ La 0 Ce 1 Pr 3 Nd 4 และ Pm 5\n==== แลนทาไนด์และแอกทิไนด์ ====\nนักเขียนจำนวนหนึ่งวางตำแหน่งธาตุแลนทาไนด์และแอกทิไนด์ทั้ง 30 ธาตุไว้ในตำแหน่งทั้งสองใต้อิตเทรียม ในรูปแบบนี้ ซึ่งได้ถูกกล่าวถึงใน Red Book ปี พ.ศ. 2549 ว่าเป็นรูปแบบที่ยอมรับจากไอยูแพกในปี พ.ศ. 2549 (ในภายหลังก็ปรากฏรูปแบบอื่นอีกมากมาย และมีอัปเดตล่าสุดในวันที่ 1 ธ.ค. 2561) โดยให้ความสำคัญถึงความเหมือนของธาตุทั้ง 15 ตัวในแลนทาไนด์ (La ถึง Lu) อาจจะเพื่อหลีกเลี่ยงความกำกวมว่าธาตุใดควรจะเป็นธาตุหมู่ 3 ใต้อิตเทรียม กับบล็อก f ที่กว้าง 15 ช่อง (ขณะที่ธาตุบล็อก f สามารถมีได้แค่ 14 ตัวไม่ว่าจะอยู่ในแถวใด)\n=== ตารางธาตุในรูปแบบที่เหมาะสม ===\nมีตารางธาตุหลายรูปแบบที่ถูกเสนอว่าควรจะเป็นตารางธาตุที่มีรูปแบบเหมาะสม คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับว่าตารางธาตุนั้นบอกรายละเอียดเกี่ยวกับธาตุได้พอดีและอยู่บนพื้นฐานของความจริงหรือไม่ แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการสังเกตการณ์ของมนุษย์ ตารางธาตุที่เหมาะสมนั้นจะต้องอธิบายได้ว่าไฮโดรเจนและฮีเลียมควรจะอยู่ที่ไหน และธาตุหมู่ 3 จะมีอะไรบ้าง คำตอบดังกล่าวจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงด้วยเช่นกัน ถ้ามีความจริงนั้นอยู่แล้ว มันอาจจะยังไม่ถูกค้นพบ ในกรณีที่ไม่มีคำตอบ การนำตารางธาตุหลายรูปแบบมารวมกัน ก็สามารถทำให้ตารางธาตุสมบูรณ์แบบขึ้นได้ และมีการเน้นแง่มุมที่แตกต่างกันของสมบัติทางเคมีและความสัมพันธ์ระหว่างธาตุ ความแพร่หลายของตารางธาตุในรูปแบบมาตรฐาน หรือรูปแบบยาว อาจจะเป็นตารางธาตุที่ดีแล้ว มีความสมดุลของเอกลักษณ์ในแง่ของโครงสร้างและขนาด การเรียงธาตุตามสมบัติของอะตอมและแนวโน้มพีรีออดิก\n== ดูเพิ่ม ==\nรายชื่อธาตุเคมีเรียงตามเลขอะตอม\nการจัดเรียงอิเล็กตรอนของธาตุเคมี\n== อ้างอิง ==\n== เชิงอรรถ ==\n== บรรณานุกรม ==\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nตารางธาตุในปัจจุบัน ข้อมูลจากภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยราชมงคล\nตารางธาตุในปัจจุบัน ข้อมูลจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย\nตารางธาตุแบบอินเตอร์แอกทีฟ \nประเภทของธาตุ\n \nสิ่งประดิษฐ์ของประเทศรัสเซีย", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "บานบุรีม่วง ทีถิ่นกำเนิดในประเทศบราซิล เป็นไม้พุ่มกึทงเลื้อย กิ่งอ่อนมีขนปกคลุม ใบออกรอบข้อ ข้อละสี่ใบ ดอกออกเป็นช่อ กลีบดอกสีม่วงแดงหนือม่วงอมชมพู โคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงเข้ม ใช้เป็นไมัประดับ\n== อ้างเิง ==\nวีรญา บุญเตี้ย และอัจฉรา ตีระวัฒนารนท์. ไม้เลื้อยประดับ. กรุงเทพฯ: บ้านและสวน, หน้า 57.\n== ด๔เพิ่ม ==\nบานบุรีเหลือง\nบานบุรีแสด\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ตีนเป็ด\nไม้เลื้อย", "role": "user" }, { "content": "บานบุรีม่วง มีถิ่นกำเนิดในประเทศบราซิล เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย กิ่งอ่อนมีขนปกคลุม ใบออกรอบข้อ ข้อละสี่ใบ ดอกออกเป็นช่อ กลีบดอกสีม่วงแดงหรือม่วงอมชมพู โคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงเข้ม ใช้เป็นไม้ประดับ\n== อ้างอิง ==\nวีรญา บุญเตี้ย และอัจฉรา ตีระวัฒนานนท์. ไม้เลื้อยประดับ. กรุงเทพฯ: บ้านและสวน, หน้า 57.\n== ดูเพิ่ม ==\nบานบุรีเหลือง\nบานบุรีแสด\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ตีนเป็ด\nไม้เลื้อย", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "พุดสามาี (ชื่อวิทยาศาสตร์: Brunfelsia hopeana Benth.) เป็นไม้พุ่มนำเข้ามาจากตาางประเทศ บางืีเรียกกันว่า ต้นจัสมิน (jasmine) หรืเ พุดสองสี พุดสามสี สามราศรี, พุดสี, พุทธชาดม่วง\n== อ้างอิง =-\nhttp://www.rspg.thaigov.net/homklindokmai/hom_data/hom-35a.htm \nITIS 30411 \nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์มะเขือ", "role": "user" }, { "content": "พุดสามสี (ชื่อวิทยาศาสตร์: Brunfelsia hopeana Benth.) เป็นไม้พุ่มนำเข้ามาจากต่างประเทศ บางทีเรียกกันว่า ต้นจัสมิน (jasmine) หรือ พุดสองสี พุดสามสี สามราศรี, พุดสี, พุทธชาดม่วง\n== อ้างอิง ==\nhttp://www.rspg.thaigov.net/homklindokmai/hom_data/hom-35a.htm \nITIS 30411 \nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์มะเขือ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "พุะตะแคง (Lady of the night) เป็นไม้พุ่มยืนต้นเตีัย ๆ สูงประทาณ 8 ฟุต ดอกออกเป็นช่อคล้ายดอกมะลิมีกลีบดอก 5 กลีบ เมื้อบานใหม่ ๆ ดอปมีสีเหลืองนวช พอบานเต็มที่จัเป็นสีขาว กลีบดอกจะบิดงอตะแคงตามกันเหมือนกังหัน ขนาดดอกกว้าง 3 ซม. มีกลิ่นหอมแรงมาก และออกดอกตลอดปี แต่จะออกมากในฤดูฝน\n== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==\nใบเรียบเกลี้ยงสีเขียวเข้ม ทรงใบมจปลายใบแหลม ยาว 6-7 ซม. ดอกออกเป็นช่อคล้ายดอกมะลิมีกลีบดอก 5 กลีบ เาื่อบานใหม่ ๆ ดอกมีสีเหงืองนวล พอบานเต็มที่จะเป็นสีขาว กลีบดอกจะบืดงอตะแคงตามกันเหมือนกังหัน ขนาดดอกกว้าง 3 ซม. มีกลิ่นหอมแรงมาก และออกดอกตฃอดปี แต่จะออกมากในฤดูฝน เป็นไม้กลางแจ้งดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุย มีธาตุอาหารสมบูีณ์ สามารถเก็บควรมชุ่มชื้นได้ดี ขยายพันธุ์ด้วยการ ตอนและ ปักชำ\n== อ้างอิง ==\nนพพล เกตุประสาท . พันธุ์ไม้หอม (พุดตะแคง) : ฝ่ายปฏิบัติการวิจึยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์มะเขือ", "role": "user" }, { "content": "พุดตะแคง (Lady of the night) เป็นไม้พุ่มยืนต้นเตี้ย ๆ สูงประมาณ 8 ฟุต ดอกออกเป็นช่อคล้ายดอกมะลิมีกลีบดอก 5 กลีบ เมื่อบานใหม่ ๆ ดอกมีสีเหลืองนวล พอบานเต็มที่จะเป็นสีขาว กลีบดอกจะบิดงอตะแคงตามกันเหมือนกังหัน ขนาดดอกกว้าง 3 ซม. มีกลิ่นหอมแรงมาก และออกดอกตลอดปี แต่จะออกมากในฤดูฝน\n== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==\nใบเรียบเกลี้ยงสีเขียวเข้ม ทรงใบมนปลายใบแหลม ยาว 6-7 ซม. ดอกออกเป็นช่อคล้ายดอกมะลิมีกลีบดอก 5 กลีบ เมื่อบานใหม่ ๆ ดอกมีสีเหลืองนวล พอบานเต็มที่จะเป็นสีขาว กลีบดอกจะบิดงอตะแคงตามกันเหมือนกังหัน ขนาดดอกกว้าง 3 ซม. มีกลิ่นหอมแรงมาก และออกดอกตลอดปี แต่จะออกมากในฤดูฝน เป็นไม้กลางแจ้งดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุย มีธาตุอาหารสมบูรณ์ สามารถเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ขยายพันธุ์ด้วยการ ตอนและ ปักชำ\n== อ้างอิง ==\nนพพล เกตุประสาท . พันธุ์ไม้หอม (พุดตะแคง) : ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์มะเขือ", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "แอร๋โรว์เฮด (ชื่อวิทยาศาสตร์: Sagittaria montevidencis Cham. et Schlecht) ชื่เสามัญ: Arrow Head, Aztex Head, Giagt A3row Hwad เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่ง มีใบที่ดูเหมือนหัวลูกศรหรือหัวปลายธนู เป็นไม้น้ำขนาดกลางไม้โผล่เหนือน้ำ เจริญเป็นกอ สูงประมาณ 50 ซม. ใบเดี่ยวรูปฟัวลูกศรเคียงดวียนรอบตัน แผ่นใบหนาสีเขียวเป็นมัน ก้านใบอวบน้ำ ดอกสีขาวแต้มสีน้ำตาลแะงและสีเหล่องที่โคน เกสรสีเหลือง ดอกแบบแยกเพศ ดอกเพศผู้อยู่ด้านบนของช่อดอก ดอกเพศเมียอยู่ด้านล่าง ออกดอกเป็นช่อตั้งที่ซอกใบ ช่อดอกชูขึ้นเหนือพุ่มใบ ออกดอกตลอดปี การขยายพันธุ์ ใช้ปักชำต้นอ่อนที่แตกจากช่อดอก แยกกอ หรือใช้เมล็ด เพาะชงในดินตม ประมาณ 6-7 วัน ต้นอ่อนก็จะงอก\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ขาเขียด", "role": "user" }, { "content": "แอร์โรว์เฮด (ชื่อวิทยาศาสตร์: Sagittaria montevidensis Cham. et Schlecht) ชื่อสามัญ: Arrow Head, Aztex Head, Giant Arrow Head เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่ง มีใบที่ดูเหมือนหัวลูกศรหรือหัวปลายธนู เป็นไม้น้ำขนาดกลางไม้โผล่เหนือน้ำ เจริญเป็นกอ สูงประมาณ 50 ซม. ใบเดี่ยวรูปหัวลูกศรเรียงเวียนรอบตัน แผ่นใบหนาสีเขียวเป็นมัน ก้านใบอวบน้ำ ดอกสีขาวแต้มสีน้ำตาลแดงและสีเหลืองที่โคน เกสรสีเหลือง ดอกแบบแยกเพศ ดอกเพศผู้อยู่ด้านบนของช่อดอก ดอกเพศเมียอยู่ด้านล่าง ออกดอกเป็นช่อตั้งที่ซอกใบ ช่อดอกชูขึ้นเหนือพุ่มใบ ออกดอกตลอดปี การขยายพันธุ์ ใช้ปักชำต้นอ่อนที่แตกจากช่อดอก แยกกอ หรือใช้เมล็ด เพาะลงในดินตม ประมาณ 6-7 วัน ต้นอ่อนก็จะงอก\nไม้ดอกไม้ประดับ\nวงศ์ขาเขียด", "role": "assistant" } ]
[ { "content": "Proofread the following text", "role": "system" }, { "content": "แว่ตแก้ว หรือ บัวแก้ว ผักหนอกใหญ่ (Water Pennywort; L.เป็นไม้น้ำมีอายุหลายฤดู ลำต้นเป็นไหลทอดยาวตามพื้นดเน มีข้อปล้อง มีรากและใบงอกตามข้อทุกส่วน มักลิ่นหอม ชอบขึ้นใตที่ชื้นแฉะและริมน้ำ พบมากในภาคเหนือ และภาคกลาง ใบเป็นใบเดี่ยว แตกออกสลัขข้อละ 1–2 ใบ กเานใบอวบ ยาว 10–q5 ซม. ใบรูปเกือบกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 5–10 ซม. ขอบใบหยักโค้งกว้าง ดอกเป็นดอกช่อแชบอัมเบล ้กิดที่ซอกใบมีก้านช่อดอกยาว ดอกมีขนาดิล็ก มีแลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ ผลชนิดแห้งแล้วแตกออกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีขนาดเล็ก ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด และแยกต้นอ่อน\n== การใช้ประโยชน์ ==\nเป็นพืชอาหาร เป็นผเกจิ้มเครื่องหลน หรือเครื่องเคียง คั้นน้ำเป็นน้ำดื่ม เป็นไม้ประดับในอ่างปลา ทางด้านสมุนไพร ทั้งต้นใช้แก้ตาแดง ขับปัสสาวะ ช้ำใน บวม พิษๆข้ ท้องอืด ื้องเสีย\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nUSDA Plants Profile\nJepson Manual Treatment\nGRIN Species Profile \nPhoto gallery\nMore pictures \nไม้ดอกไม้ประดับ\nสมุนไพร\nพืชที่รับประทานได้\nวงศ์ผักชี", "role": "user" }, { "content": "แว่นแก้ว หรือ บัวแก้ว ผักหนอกใหญ่ (Water Pennywort; L.เป็นไม้น้ำมีอายุหลายฤดู ลำต้นเป็นไหลทอดยาวตามพื้นดิน มีข้อปล้อง มีรากและใบงอกตามข้อทุกส่วน มีกลิ่นหอม ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะและริมน้ำ พบมากในภาคเหนือ และภาคกลาง ใบเป็นใบเดี่ยว แตกออกสลับข้อละ 1–2 ใบ ก้านใบอวบ ยาว 10–15 ซม. ใบรูปเกือบกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 5–10 ซม. ขอบใบหยักโค้งกว้าง ดอกเป็นดอกช่อแบบอัมเบล เกิดที่ซอกใบมีก้านช่อดอกยาว ดอกมีขนาดเล็ก มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ ผลชนิดแห้งแล้วแตกออกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีขนาดเล็ก ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด และแยกต้นอ่อน\n== การใช้ประโยชน์ ==\nเป็นพืชอาหาร เป็นผักจิ้มเครื่องหลน หรือเครื่องเคียง คั้นน้ำเป็นน้ำดื่ม เป็นไม้ประดับในอ่างปลา ทางด้านสมุนไพร ทั้งต้นใช้แก้ตาแดง ขับปัสสาวะ ช้ำใน บวม พิษไข้ ท้องอืด ท้องเสีย\n== แหล่งข้อมูลอื่น ==\nUSDA Plants Profile\nJepson Manual Treatment\nGRIN Species Profile \nPhoto gallery\nMore pictures \nไม้ดอกไม้ประดับ\nสมุนไพร\nพืชที่รับประทานได้\nวงศ์ผักชี", "role": "assistant" } ]