docid
stringlengths
3
10
title
stringlengths
1
182
text
stringlengths
1
31.2k
876598#1
Gene flow
การเคลื่อนที่ได้มีบทบาทสำคัญต่ออัตราการโอนยีน เพราะสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนที่ได้มีโอกาสอพยพไปที่อื่นสูงกว่า แม้สัตว์มักจะเคลื่อนที่ได้มากกว่าพืช แต่พาหะที่เป็นสัตว์หรือลมก็อาจจะขนละอองเรณูและเมล็ดพืชไปได้ไกล ๆ เหมือนกัน เมื่อระยะแพร่กระจายพันธุ์ลดลง การโอนยีนก็จะถูกขัดขวาง การผสมพันธุ์ในสายพันธุ์ (inbreeding) วัดโดย สัมประสิทธิ์การผสมพันธุ์ในสายพันธุ์ (inbreeding coefficient ตัวย่อ F) ก็จะเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มประชากรบนเกาะจำนวนมากมีอัตราการโอนยีนที่ต่ำ เพราะอยู่ในภูมิภาคแยกต่างหากและมีขนาดประชากรเล็ก
876598#2
Gene flow
ตัวอย่างโดยเฉพาะอย่างหนึ่งก็คือ จิงโจ้สกุล "Petrogale lateralis" (Black-footed Rock-wallaby) ที่มีกลุ่มซึ่งผสมพันธุ์ภายในสายพันธุ์บนเกาะต่าง ๆ แยกต่างหาก ๆ นอกชายฝั่งของออสเตรเลีย นี่เนื่องจากไปมาหาสู่กันไม่ได้ การโอนยีนจึงเป็นไปไม่ได้ และทำให้ต้องผสมพันธุ์กันในสายพันธุ์
876598#3
Gene flow
ขนาดประชากรที่เล็กลงจะเพิ่มการเบนออกทางพันธุกรรมเนื่องจากการเปลี่ยนความถี่ยีนอย่างไม่เจาะจง ในขณะที่การอพยพจะลดการเบนออกและการผสมพันธุ์ในสายพันธุ์ การโอนยีนสามารถวัดได้โดยใช้ ขนาดกลุ่มประชากรประสิทธิผล (effective population size, ตัวย่อ N) และอัตราการอพยพต่อชั่วยุค (m) ถ้าประมาณตามรูปแบบประชากรของเกาะ ผลของการอพยพสามารถคำนวณสำหรับกลุ่มประชากรเป็นระดับความแตกต่างทางพันธุกรรม (formula_1) สูตรนี้ได้เผื่อสัดส่วนความแตกต่างของ ตัวบ่งชี้ทางพันธุกรรม (genetic marker) ในกลุ่มประชากรต่าง ๆ ทั้งหมดโดยหารด้วยจำนวนโลคัส เมื่อมีการอพยพหนึ่งหน่วยต่อรุ่น formula_1 ก็จะเท่ากับ 0.2 แต่ถ้ามีน้อยกว่า 1 (คือไม่มีการอพยพเลย) สัมประสิทธิ์การผสมพันธุ์ในสายพันธุ์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกิดการคงสภาพ (fixation) และการเบนออกทางพันธุกรรมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็คือคือ formula_1 = 1 ค่า formula_1 ที่สามัญที่สุด < 0.25 ซึ่งแสดงว่ามีการอพยพบ้าง ค่าจะอยู่ในระหว่าง 0-1 ผลอันตรายที่เกิดจากการผสมพันธุ์ในสายพันธุ์จะสามารถลดลงเนื่องจากการโอนยีนผ่านการอพยพ
876598#4
Gene flow
formula_5
876598#5
Gene flow
สูตรนี้สามารถเปลี่ยนเพื่อหาอัตราการอพยพถ้ารู้ค่า formula_1 คือ
876598#6
Gene flow
formula_7 โดย Nm = จำนวนหน่วยที่อพยพ
876598#7
Gene flow
เมื่อการโอนยีนมีอุปสรรคทางกายภาพ ก็จะมีผลเป็นการแยกออกจากกันทางภูมิภาคที่ไม่ให้กลุ่มประชากรต่าง ๆ แลกเปลี่ยนยีนกันหรือ การเกิดสปีชีส์ต่างบริเวณ (allopatric speciation) อุปสรรคปกติจะเป็นเรื่องทางธรรมชาติ แต่ก็ไม่เสมอไป อุปสรรคอาจรวมเทือกเขา ทะเล หรือทะเลทรายใหญ่ที่ผ่านไม่ได้ บางครั้งอาจเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น เช่น กำแพงเมืองจีน ซึ่งสามารถขวางการโอนยีนของพืช
876598#8
Gene flow
งานศึกษาพบว่าพืช 5 สปีชีส์ที่มีอยู่ทั้งสองด้านของกำแพงเมืองจีน มีความแตกต่างทางพันธุกรรมสูงกว่าพืชกลุ่มควบคุมที่แยกจากกันเพียงด้วยทางบนยอดเขา โดยพืช "Ulmus pumila" มีความแตกต่างของยีนน้อยกว่าพืช "Vitex negundo," "Ziziphus jujuba," "Heteropappus hispidus," และ "Prunus armeniaca" เพราะว่า "Ulmus pumila" ถ่ายละอองเรณูผ่านลมเป็นหลัก และพืชอื่น ๆ ทั้งหมดถ่ายผ่านแมลง อย่างไรก็ดี พืชที่อยู่ทั้งสองด้านของกำแพงก็ปรากฏว่ามีความแตกต่างทางพันธุกรรม เพราะมีการโอนยีนระหว่างสองด้านน้อยมากหรือไม่มีเลย
876598#9
Gene flow
แต่อุปสรรคการโอนยีนไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องทางกายภาพ การเกิดสปีชีส์ร่วมบริเวณ (sympatric speciation) เป็นการเกิดสปีชีส์ใหม่ ๆ จากบรรพบุรุษเดียวกันโดยอยู่ร่วมบริเวณกัน ซึ่งบ่อยครั้งเป็นผลของอุปสรรคการสืบพันธุ์ ยกตัวอย่างเช่น ต้นหมากสองชนิดในสกุล "Howea" ในเกาะ Lord Howe Island ของออสเตรเลีย ได้ออกดอกในช่วงระยะเวลาที่ต่างกันโดยสัมพันธ์กับความชอบใจดินที่ต่างกัน ซึ่งเป็นอุปสรรคการสืบพันธุ์ไม่ให้โอนยีน
876598#10
Gene flow
อนึ่ง สปีชีส์เดียวกันอาจอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน แต่ปรากฏว่ามีการโอนยีนที่จำกัดเพราะอุปสรรคการสืบพันธุ์ เพราะการถ่ายละอองเรณูแบบเฉพาะ เพราะการผสมพันธุ์ที่จำกัด หรือเพราะการได้ลูกพันธุ์ผสมที่ไม่เหมาะสม นอกจากนั้น ยังมีสปีชีส์ซ่อนตัว ซึ่งเป็นสปีชีส์ต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันแต่เหมือนกันจนมนุษย์ไม่สามารถแยกแยะนอกจากใช้การวิเคราะห์ทางพันธุกรรม
876598#11
Gene flow
การถ่ายทอดยีนในแนวราบ (Horizontal gene transfer, HGT) หมายถึงการโอนยีนระหว่างสิ่งมีชีวิตโดยวิธีนอกเหนือไปจากการสืบพันธุ์ธรรมดา ผ่านกระบวนการต่าง ๆ รวมทั้ง
876598#12
Gene flow
อนึ่ง ไวรัสก็สามารถโอนยีนระหว่างสปีชีส์ และแบคทีเรียก็สามารถเอายีนมาจากแบคทีเรียที่ตายแล้ว แลกเปลี่ยนยีนกับแบคทีเรียที่ยังเป็น และแลกเปลี่ยนพลาสมิด ข้ามสปีชีส
876598#13
Gene flow
ดังนั้น จึงมีนักชีววิทยาที่เสนอว่า "การใช้อุปมาเหมือนต้นไม้ ไม่เข้ากับข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยจีโนมล่าสุด" จึงควรใช้อุปมาของกระเบื้องโมเสค เพื่อกล่าวถึงประวัติสายพันธุ์ต่าง ๆ อันรวมอยู่ในจีโนมของสิ่งมีชีวิต และใช้อุปมาของตาข่ายที่เกี่ยวพันกัน เพื่อให้เห็นภาพการแลกเปลี่ยนอันอุดมและผลที่ทำงานร่วมกันของการโอนยีนในแนวนอน
876598#14
Gene flow
สปีชีส์ที่วิวัฒนาการจากธรรมชาติ ที่มีอยู่เฉพาะถิ่น อาจเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ผ่านการปนเปื้อนยีนจากสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ได้เปลี่ยน/สร้างขึ้น ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดกระบวนการที่ควบคุมไม่ได้รวมทั้งการสร้างลูกผสม (hybridization), introgression , และ genetic swamping กระบวนการเหล่านี้อาจลดความหลากหลายทางพันธุกรรมหรือทดแทนลักษณะทางพันธุกรรมที่มีอยู่ในพื้นที่ตามธรรมชาติ เนื่องจากพืชหรือสัตว์ที่เปลี่ยน/สร้างขึ้น ได้เปรียบโดยจำนวนหรือโดยความเหมาะสม
876598#15
Gene flow
สปีชีส์นอกพื้นที่อาจทำให้พืชและสัตว์ในพื้นที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์โดยการผสมพันธุ์และ introgression ไม่ว่ามนุษย์จะนำสิ่งมีชีวิตเข้ามาอย่างตั้งใจหรือทำการซึ่งเปลี่ยนแปลงถิ่นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต แล้วทำให้สปีชีส์ที่ก่อนนี้อยู่แยกจากกันมาอยู่รวมกัน ปรากฏการณ์นี้จะมีผลร้ายต่อสปีชีส์ที่มีจำนวนน้อยซึ่งเผชิญกับสปีชีส์ที่มีจำนวนมากกว่า และมักจะเกิดในระหว่างประชากรเกาะและประชากรแผ่นดินใหญ่ การผสมพันธุ์ระหว่างสปีชีส์จะเป็นเหตุให้เกิดภาวะพันธุ์ท่วม (swamping) ของยีนในสปีชีส์ที่มีน้อย โดยสร้างลูกผสมที่ทดแทนสปีชีส์/ยีนเดิมที่มี และขอบเขตของปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่ที่รูปร่างสัณฐานที่ปรากฏภายนอกเท่านั้น แม้การโอนยีนจะเกิดขึ้นในระดับหนึ่งตามธรรมชาติ แต่การผสมพันธุ์โดยมีหรือไม่มี introgression ก็อาจคุกคามการอยู่รอดของสปีชีส์ที่มีน้อย ยกตัวอย่างเช่น เป็ดแมลลาร์ดชุกชุมมากและสามารถผสมพันธุ์กับเป็ดอื่น ๆ ได้อย่างหลากหลาย จึงเป็นตัวคุกคามการอยู่รอดของเป็ดบางชนิด
876611#0
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ ( ตัวย่อ LSS) เป็นอาการทางการแพทย์ที่ช่องไขสันหลังแคบลงแล้วกดอัดไขสันหลังและเส้นประสาทที่กระดูกสันหลังระดับเอว (lumbar vertebra) โดยมักมีเหตุจากสันหลังเสื่อมที่สามัญเมื่ออายุมากขึ้น หรือจากหมอนกระดูกสันหลังเคลื่อน จากภาวะกระดูกพรุน หรือจากเนื้องอก อาการที่คอ (cervical) หรือที่เอว (lumbar) ก็อาจจะเป็นภาวะแต่กำเนิดด้วย อนึ่ง เป็นอาการสามัญสำหรับคนไข้ที่มีการเติบโตทางโครงกระดูกผิดปกติเช่น กระดูกอ่อนไม่เจริญเทียม (pseudoachondroplasia) และกระดูกอ่อนไม่เจริญ (achondroplasia) ตั้งแต่อายุน้อย ๆ
876611#1
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
การตีบอาจจะอยู่ที่คอ (cervical) หรืออก (thoracic) ซึ่งก็จะเรียกว่า ช่องไขสันหลังที่คอตีบ (cervical spinal stenosis) หรือ ช่องไขสันหลังที่อกตีบ (thoracic spinal stenosis) ในบางกรณี คนไข้อาจจะมีการตีบทั้ง 3 บริเวณ ช่องไขสันหลังที่เอวตีบทำให้ปวดหลัง รวมทั้งปวดหรือรู้สึกผิดปกติที่บั้นท้าย ต้นขา ขา หรือเท้า หรือทำให้ไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะอุจจาระได้ งานทบทวนวรรณกรรมปี 2553 ในวารสารการแพทย์ "JAMA" เน้นว่า สามารถพิจารณาว่ามีอาการนี้ได้ถ้าส่วนล่างของร่างกายปวดบวกกับหลังปวด อาการนี้เกิดขึ้นในชายผู้มีอายุ 12% โดยทั่วไป และ 21% ในชายที่อยู่ในชุมชนคนเกษียณ
876611#2
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
อาการที่ขาคล้ายกับที่พบในอาการปวดขาเหตุขาดเลือด (vascular claudication) ทำให้ได้ชื่อว่า อาการปวดขาเหตุขาดเลือดเทียม (pseudoclaudication) อาการที่ขารวมทั้งปวด กะปลกกะเปลี้ย ซ่า / ชา / เหมือนมีอะไรจิ้มซึ่งอาจวิ่งไปสู่เท้า ความล้า หนักขา ตะคริว และปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ โดยมักจะเป็นทั้งสองข้างเหมือน ๆ กัน ถึงแม้จะเป็นข้างเดียวได้เหมือนกัน ความปวดขามักจะเป็นปัญหามากกว่าความปวดหลัง
876611#3
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
อาการปวดขาเทียม ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า อาการปวดขาเหตุประสาท (neurogenic claudication) มักจะแย่ลงถ้ายืนหรือเดินและจะดีขึ้นถ้านั่งลง บ่อยครั้งสัมพันธ์กับอากัปกิริยาและการยืดเอว การนอนตะแคงมักจะสบายกว่านอนหงายเพราะงอเอวได้มากกว่า แต่อาการปวดขาเหตุขาดเลือดก็คล้ายกับช่องไขสันหลังตีบได้เหมือนกัน และบางคนก็ยังมีอาการวิ่งลงเท้าแบบขาเดียวหรือสองขาด้วย ซึ่งไม่สามัญในอาการปวดขาเหตุขาดเลือดจริง ๆ
876611#4
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
อาการแรก ๆ ของช่องไขสันหลังตีบรวมทั้งการปวดหลังและปวดคอเป็นระยะสั้น ๆ ซึ่งหลังจากผ่านไป 2-3 เดือนหรือเป็นปี ๆ ก็อาจแย่ลงเป็นอาการปวดขา ความปวดอาจจะแล่นไปตามเส้นประสาท ซึ่งเกิดเมื่อเส้นประสาทของไขสันหลังหรือไขสันหลังเองอัดแน่นขึ้นเนื่องจากช่องไขสันหลังแคบลง อาการนี้บางครั้งกำหนดในผู้สูงอายุได้ยาก ว่าความปวดมีเหตุจากการขาดเลือดหรือช่องไขสันหลังตีบ แม้การตรวจปกติจะแยกเหตุทั้งสองได้ แต่คนไข้ก็อาจมีเหตุทั้งสองพร้อม ๆ กัน
876611#5
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ในบรรดาบุคคลที่ปวดขาบวกกับปวดหลัง ช่องไขสันหลังที่เอวตีบมีโอกาสเป็นเหตุ 2 เท่ามากกว่าในผู้สูงอายุเกิน 70 ปี เทียบกับโอกาสที่ 0.40 สำหรับผู้ที่อายุน้อยกว่า 60 ปี ลักษณะความปวดก็ช่วยแยกแยะได้ด้วย ถ้านั่งแล้วสบาย โอกาสว่ามีเหตุจาก LSS เพิ่มขึ้นถึง 7.4 เท่า ลักษณะอื่น ๆ ที่เพิ่มโอกาสว่ามีเหตุจาก LSS ก็คือ อาการดีขึ้นถ้าโค้งเอวก้มหน้า (6.4 เท่า) ปวดที่บั้นท้ายทั้งสองหรือขาทั้งสอง (6.3 เท่า) และมีอาการปวดขาเหตุประสาท (3.7 เท่า) โดยกลับกัน การไม่มีอาการปวดขาเหตุประสาทก็จะลดโอกาสอย่างมาก ว่าช่องไขสันหลังที่เอวตีบเป็นเหตุความปวด
876611#6
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบอาจเป็นแต่กำเนิด (น้อยมาก), หรือเกิดทีหลัง (เพราะความเสื่อม) อันเป็นความเปลี่ยนแปลงสามัญในกระดูกสันหลังของผู้สูงอายุ
876611#7
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
การมีลำกระดูกสันหลังเคลื่อนไปข้างหน้าเทียบกับลำที่อยู่ติดกันโดยที่ส่วนโค้งกระดูกสันหลัง (vertebral arch) ไม่เสียหาย ประกอบกับลักษณะเสื่อม เป็นอาการที่เรียกว่า กระดูกสันหลังเคลื่อนเพราะเสื่อม (degenerative spondylolisthesis) ซึ่งทำช่องไขสันหลังให้แคบลงโดยมีอาการของช่องไขสันหลังตีบอย่างสามัญ ในบรรดาอาการเหล่านี้ อาการปวดขาเหตุประสาทสามัญที่สุด
876611#8
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ลำกระดูกที่เคลื่อนไปข้างหน้าเทียบกับอีกลำหนึ่งสามารถเป็นเหตุให้ช่องไขสันหลังตีบ คือถ้าเคลื่อนไปพอจนมีผลบีบไขสันหลัง นั่นก็คือช่องไขสันหลังตีบโดยนิยาม ถ้ามีอาการที่สัมพันธ์กัน นั่นก็จะยืนยันการวินิจฉัยว่ามีช่องไขสันหลังตีบ กระดูกสันหลังเคลื่อนเพราะเสื่อมก็จะสามัญยิ่งขึ้นตามอายุที่มากขึ้น
876611#9
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ลำกระดูกที่เป็นเหตุสามัญที่สุดก็คือ L4 เคลื่อนออกจาก L5 นักวิชาการพบว่า กระดูกสันหลังเคลื่อนพร้อมกับช่องไขสันหลังตีบในหญิงโรคเบาหวานที่ตัดรังไข่ออกสามัญมากกว่า เหตุของอาการที่ขาอาจกำหนดได้ยาก เพราะโรคเส้นประสาทนอกส่วนกลาง (peripheral neuropathy) ที่เป็นอาการทุตยิภูมิของโรคเบาหวานก็อาจมีอาการเหมือนกับช่องไขสันหลังตีบ
876611#10
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
การวินิจฉัยจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่แพทย์ตรวจพบ คนไข้บางคนอาจมีช่องไขสันหลังตีบโดยไม่มีอาการ และไม่จำเป็นต้องรักษา ช่องอาจตีบแบบตรงกลาง (central stenosis) หรือที่รูประสาทผ่าน (foraminal stenosis) ออกจากช่องไขสันหลัง ส่วนการตีบมากที่ด้านข้างของช่องเรียกว่า lateral recess stenosis (ช่องไขสันหลังตีบที่ซอกข้าง ๆ)
876611#11
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
เอ็น ligamentum flavum (เอ็นสีเหลือง) เป็นโครงสร้างสำคัญที่อยู่ชิดกับส่วนหลังของ dural sac (ปลอกเยื่อดูรา) และสามารถหนาขึ้นเป็นเหตุต่อช่องไขสันหลังตีบ หน้าประกอบข้อต่อ (articular facet) ซึ่งอยู่ที่ส่วนหลังของสันกระดูกก็สามารถหนาใหญ่ขึ้นเป็นเหตุต่อช่องไขสันหลังตีบได้เช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงเยี่ยงนี้มักจะเรียกว่า “trophic changes” หรือ “facet trophism” ในรายงานแพทย์รังสีวิทยา เมื่อช่องเล็กลงจนกลายเป็นรูป 3 เหลี่ยม ก็จะเรียกว่า trefoil canal (ช่องสามเหลี่ยม)
876611#12
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ช่องไขสันหลังที่เอวปกติมีเส้นผ่านศูนย์กลางจากหน้าไปหลังมากกว่า 13 มม. และมีพื้นที่ 1.45 ซม จะค่อนข้างตีบก็เมื่อเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 10-13 มม. และจะตีบจริง ๆ เมื่ออยู่ที่ 10 มม. หรือน้อยกว่า
876611#13
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ภาพเอ็กซเรย์ธรรมดาของกระดูกสันหลังที่เอวหรือคออาจจะไม่แสดงช่องไขสันหลังตีบ การวินิจฉัยที่แน่นอนจะทำด้วย CT Scan หรือ MRI การระบุว่าช่องแคบลงก็คือการวินิจฉัยว่ามีช่องไขสันหลังตีบ
876611#14
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
มีรายงานปี 2520 เกี่ยวกับการทดสอบด้วยจักรยานของแวนเจลเดอเร็น ซึ่งเป็นการทดสอบแบบง่ายที่ให้คนไข้ปั่นจักรยานอยู่กับที่ ถ้าอาการเกิดจากโรคหลอดเลือดที่ขา คนไข้จะปวดขาเนื่องจากมีเลือดไปเลี้ยงขาไม่พอ ถ้าอาการมีเหตุจากช่องไขสันหลังที่เอวตีบ อาการจะดีขึ้นถ้าคนไข้โค้งตัวไปข้างหน้าเมื่อถีบจักรยาน แม้จะมีวิธีการทดสอบที่ก้าวหน้ากว่าอื่น ๆ วิธีการทดสอบนี้ก็ยังมีค่าใช้จ่ายน้อยและง่าย เพื่อแยกแยะอาการปวดขาที่เกิดจากโรคหลอดเลือดหรือช่องไขสันหลังตีบ
876611#15
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
นักวิจัยของรายงานเขียนไว้ว่า "ผู้เขียนได้พรรณนาถึงการทดสอบทางคลินิกแบบง่ายอย่างหนึ่ง ที่เสริมการตรวจทางประสาททั่วไปสำหรับคนไข้ที่มีอาการกลุ่มรากประสาทคล้ายหางม้า (cauda equina compression) ถูกบีบเป็นระยะ ๆ 'การทดสอบด้วยจักรยาน' ช่วยกันอาการปวดขาเป็นระยะ ๆ เนื่องจากความบกพร่องของหลอดเลือด และบ่อยครั้งช่วยยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างอากัปกิริยากับความปวดที่เกิดจากรากประสาท"
876611#16
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
MRI เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อวินิจฉัยและประเมินช่องไขสันหลังตีบที่กระดูกสันหลังทุกช่วง ร่วมทั้งที่คอ ที่อก และที่เอว MRI มีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคไขสันหลังเหตุกระดูกไขสันหลังที่คอเสื่อม (เพราะข้ออักเสบแบบเสื่อมของกระดูกสันหลังที่คอ สัมพันธ์กับความเสียหายของไขสันหลัง) การพบความเสื่อมของไขสันหลังที่คอโดยใช้ MRI อาจดูน่ากลัว เป็นอาการที่เรียกว่า myelomalacia หรือไขสันหลังเสื่อม (cord degeneration) และจะเห็นเป็นส่วนที่สว่างกว่า (increased signal) ในภาพ MRI ในโรคไขสันหลังที่เกิดจากความเสื่อม อาการที่พบจะคงถาวรและการตัดแผ่นกระดูกปกไขสันหลังเพื่อลดแรงกด (decompressive laminectomy) จะไม่สามารถคืนสภาพอาการเช่นนี้ แต่สามารถหยุดอาการไม่ให้แย่ลง ในกรณีที่ความเปลี่ยนแปลงที่พบในภาพ MRI มีเหตุจากการขาดวิตามินบี12 โอกาสหายก็จะดีกว่า
876611#17
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
การตรวจพบช่องไขสันหลังตีบที่คอ ที่อก หรือที่เอว จะยืนยันเพียงแค่ลักษณะทางกายวิภาคที่แสดงว่ามีการตีบ แต่อาจไม่สัมพันธ์กับอาการช่องไขสันหลังตีบ ซึ่งจะปรากฏเป็นอาการโรครากประสาท (radiculopathy) อาการปวดขาเหตุประสาท (neurogenic claudication) กะปลกกะเปลี้ย ปัญหาการถ่ายปัสสาวะอุจจาระ กล้ามเนื้อกระตุก (spasticity) กล้ามเนื้อไม่มีแรง ภาวะรีเฟล็กซ์เกิน (hyperreflexia) และกล้ามเนื้อฝ่อ อาการเหล่านี้ ซึ่งพบโดยประวัติคนไข้และการตรวจของแพทย์ พร้อมกับภาพแสดงช่องไขสันหลังตีบจาก MRI หรือ CT Scan จะพอให้วินิจฉัยว่ามีอาการช่องไขสันหลังตีบ
876611#18
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
การบำบัดที่ไม่ใช่เป็นการผ่าตัด และการตัดแผ่นกระดูกปกไขสันหลัง (laminectomy) เป็นวิธีการรักษามาตรฐานของ LSS แพทย์ปกติจะแนะนำการรักษาซึ่งเสี่ยงน้อยที่สุด (conservative คือแบบธรรมดา) แนะนำให้เลี่ยงการออกแรงที่หลังส่วนล่าง โดยเฉพาะเมื่อกระดูกสันหลังยืดออก และอาจแนะนำกายภาพบำบัดเพื่อเพิ่มความแข็งแรงทั่วไปของร่างกาย และให้ออกกำลังกายเพิ่มประสิทธิภาพของปอดและหัวใจ แต่หลักฐานวิทยาศาสตร์ทั่วไปยังสรุปไม่ได้ว่าการรักษาที่เสี่ยงน้อยหรือการผ่าตัดดีกว่ากัน
876611#19
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
หลักฐานการใช้ยาเพื่อรักษาอาการนี้ไม่ดี ฮอร์โมน calcitonin สำหรับฉีดแต่ไม่ใช่สำหรับสูดทางจมูก มีประโยชน์บรรเทาความปวดในระยะสั้น การสะกดประสาทโดยฉีดยาเข้าที่ช่องไขสันหลัง (Epidural block) อาจลดความปวดได้ชั่วคราว แต่ไม่มีหลักฐานว่ามีผลระยะยาว การเพิ่มฉีดสเตอรอยด์ด้วยก็ไม่ได้เพิ่มประสิทธิผล และการฉีดสเตอรอยด์เข้าที่ช่องไขสันหลัง (epidural steroid injections, ESIs) ก็เป็นวิธีรักษาที่สร้างความขัดแย้ง และหลักฐานว่ามีประสิทธิผลก็ไม่ชัดเจน
876611#20
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAID) ยาคลายกล้ามเนื้อ และยาระงับปวดกลุ่มโอปิออยด์บ่อยครั้งใช้แก้ความปวดหลัง แต่หลักฐานว่ามีประสิทธิผลหรือไม่ก็มีน้อยมาก
876611#21
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
การผ่าตัดดูจะให้ผลดีกว่าถ้าได้พยายามรักษาตามปกติแต่ยังมีอาการอยู่หลังจาก 3-6 เดือน การตัดแผ่นกระดูกปกไขสันหลังมีประสิทธิผลดีที่สุดในบรรดาการผ่าตัดทั้งหลาย ในคนไข้ที่แย่ลงเมื่อรักษาด้วยวิธีปกติ การผ่าตัดจะทำให้ดีขึ้นในกรณี 60-70% วิธีการผ่าตัดเพื่อใช้อุปกรณ์ยึดกับกระดูกสันหลังที่เรียกว่า X-STOP มีประสิทธิผลน้อยกว่าและจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเมื่อต้องแก้ปัญหาลำกระดูกสันหลังมากกว่า 1 ลำ การผ่าตัดด้วยวิธีทั้งสองต่างก็มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการรักษาธรรมดา
876611#22
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ผู้มีอาการน้อยหรือปานกลางโดยมากไม่แย่ลง แม้ว่าหลายคนจะดีขึ้นในระยะสั้น ๆ หลังจากการผ่าตัด แต่ก็จะดีลดลงบ้างตามกาลเวลา มีปัจจัยหลายอย่างก่อนการผ่าตัดที่ช่วยพยากรณ์ผลที่ได้จากการผ่าตัด คนที่มีโรคซึมเศร้า โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ กระดูกสันหลังคด (scoliosis) โดยทั่วไปจะได้ผลแย่กว่า ในขณะที่ผู้ที่มีช่องไขสันหลังตีบรุนแรงแต่มีสุขภาพทั่วไปดีก่อนหน้าจะได้ผลดีกว่า
876611#23
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
โรคหรือการเสื่อมของหมอนกระดูกสันหลังมักจะทำให้ข้อต่อกระดูกแข็ง ซึ่งจะทำให้เกิดปุ่มกระดูก (osteophyte) ที่ข้อต่อ กระบวนการนี้เรียกว่ากระดูกสันหลังเสื่อม (spondylosis) อันเป็นเรื่องปกติเมื่ออายุมากขึ้น โดยเห็นในงานศึกษากระดูกสันหลังทั้งแบบปกติและมีโรค ความเสื่อมจะเริ่มโดยไม่มีอาการอาจตั้งแต่อายุ 25-30 ปี เป็นเรื่องธรรมดาที่จะปวดหลังอย่างรุนแรงอย่างน้อย 1 ครั้งโดยอายุ 35 ปี ซึ่งหวังได้ว่าจะดีขึ้นและเกิดถี่น้อยลงเมื่อเกิดปุ่มกระดูกที่หมอนรองกระดูก
876611#24
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ในระบบค่าสินไหมแรงงานในสหรัฐเนื่องกับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง เมื่อได้ผ่าตัดใหญ่ถึงสองครั้ง ผู้ทำงานโดยมากจะไม่กลับไปทำงานเพื่อรายได้ใด ๆ อีก เพราะเมื่อผ่าเกินสองครั้งแล้ว ครั้งต่อ ๆ ไปมีโอกาสทำให้แย่ลงมากกว่าทำให้ดีขึ้น
876611#25
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
การพรรณนาถึง LSS ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2443 แต่รายงานทางคลินิกแรกมักจะให้เครดิตกับประสาทศัลยแพทย์ชาวดัตช์ที่ตีพิมพ์ในปี 2497
876611#26
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ช่องไขสันหลังตีบเริ่มพิจารณาว่าเป็นสภาวะโรคในคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 ในปี 2521 แพทย์ได้พบว่า บุคคลที่ปวดหลังส่วนล่างและมีอาการอื่น ๆ มีโอกาสมีช่องไขสันหลังตีบมากกว่าผู้ที่ไม่มีอาการ ในปี 2525 แพทย์รายงานว่า บุคคลที่มีโรคหมอนกระดูกสันหลังหรือต้องผ่าตัดแผ่นกระดูกปกไขสันหลัง (laminectomy) โดยมากจะมีช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
876611#27
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980 รายงานกรณีคนไข้แสดงผลการรักษาด้วยการผ่าตัดในอัตราที่ดี แต่รายงานเหล่านี้เป็นไปตามการประเมินผลแบบอัตวิสัยของศัลยแพทย์ ต่อมาในปี 2535 แพทย์คู่หนึ่งจึงได้พรรณนาถึงวิถีการดำเนินของ LSS แล้วให้ข้อสรุปเกี่ยวกับพยากรณ์โรคสัมพันธ์กับการรักษาที่ต่างกัน คือ "70% ของคนไข้รายงานว่าอาการไม่ได้เปลี่ยน 15% แสดงว่าดีขึ้นอย่างสำคัญ เทียบกับ 15% ที่แสดงว่าแย่ลง" ซึ่งรายงานภายหลังสรุปว่า "นักวิจัยได้สรุปว่า การเฝ้าดูอาการเป็นทางเลือกการรักษาที่ดีพอสมควรสำหรับช่องไขสันหลังที่เอวตีบ โดยอาการที่แย่ลงทางประสาทอย่างสำคัญมีน้อยมาก"
876611#28
ช่องไขสันหลังที่เอวตีบ
ภายใต้ระเบียบการประกันสังคมสหรัฐอเมริกา ช่องไขสันหลังตีบจัดว่าเป็นภาวะพิการโดยเฉพาะในรายการ 1.04 C ซึ่งกำหนดว่า "ช่องไขสันหลังที่เอวตีบซึ่งมีผลเป็นอาการปวดขาเหตุขาดเลือดเทียม (คืออาการปวดขาเหตุประสาท), ที่ยืนยันโดยการตรวจสอบด้วยการสร้างภาพทางการแพทย์ (เช่น CT Scan, MRI) อันสมควร, ที่ปรากฏเป็นความปวดและความกะปลกกะเปลี้ยแบบ nonradicular, และที่มีผลไม่สามารถเดินได้ถนัดดังกำหนดใน 1.00B2b" เทียบกับช่องไขสันหลังที่คอตีบ ซึ่งต้องมีการประชุมตัดสินว่าเป็นความพิการหรือไม่
876628#0
อัตตาธิปไตย (แก้ความกำกวม)
อัตตาธิปไตย ในภาษาไทยมาจากคำว่า "อัตตา" (ตน) และ "อธิปไตย" (ความเป็นใหญ่) โดยมีรากจากคำภาษาบาลีว่า "อตฺตาธิปเตยฺย" โดยราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายว่า "ระบอบการปกครองที่ผู้นำมีอำนาจเด็ดขาดและไม่จำกัด" เป็นคำที่อาจหมายถึง
876630#0
อัตตาธิปไตย
ในสาขารัฐศาสตร์ อัตตาธิปไตย เป็นระบอบการปกครองที่อำนาจสูงสุดรวมศูนย์อยู่ในมือของบุคคลคนเดียว ที่สามารถตัดสินใจได้อย่างไม่จำกัดโดยกฎหมายหรือกลไกการควบคุมที่ประชาชนตั้งขึ้น เป็นคำที่ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า "ระบอบการปกครองที่ผู้นำมีอำนาจเด็ดขาดและไม่จำกัด" อัตตาธิปไตยในประวัติศาสตร์ปกติจะอยู่ในรูปแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบเผด็จการ ในยุคต้น ๆ คำว่า "autocrat" มักใช้หมายถึงลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ปกครอง โดยนัยว่า "ไร้ผลประโยชน์ขัดกัน" ในยุคกรีกสมัยกลาง (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5-6 จนจบสมัยกลาง) คำว่า "Autocrates" ใช้กับใครก็ได้ที่มีบรรดาศักดิ์เป็น "จักรพรรดิ" ไม่ว่ากษัตริย์จะทรงมีอำนาจเช่นไรจริง ๆ กษัตริย์เชื้อสายสลาวิกบางพระองค์ รวมทั้งซาร์และจักรพรรดิของรัสเซีย ยังทรงมีพระบรรดาศักดิ์ "Autocrat" ในพระนามของพระองค์ ซึ่งแยกพระองค์จากกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในประเทศยุโรปอื่น ๆ
876630#1
อัตตาธิปไตย
ทั้งระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จและเผด็จการทหารบ่อยครั้งระบุว่าเป็นอัตตาธิปไตย แม้อาจไม่ใช่จริง ๆ เพราะในระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ รัฐจะควบคุมวิถีชีวิตและประชาสังคมทุกอย่าง อาจมีผู้มีอำนาจเผด็จการสูงสุด ซึ่งก็จะทำให้เป็นอัตตาธิปไตย หรืออาจมีผู้นำเป็นกลุ่มเช่น คณะผู้ยึดอำนาจการปกครองหรือพรรคการเมืองเดี่ยว
876630#2
อัตตาธิปไตย
ตามการวิเคราะห์ข้อพิพาททางการทหารระหว่างรัฐสองรัฐ ถ้ารัฐหนึ่งเป็นอัตตาธิปไตย โอกาสความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
876630#3
อัตตาธิปไตย
เพราะองค์อัตตาธิปัตย์ (autocrat) ก็ต้องอาศัยคนอื่น ๆ เพื่อจะปกครอง ดังนั้น การแยกแยะอัตตาธิปไตยจากคณาธิปไตยที่เกิดในประวัติศาสตร์ บางครั้งจึงเป็นเรื่องยาก อัตตาธิปัตย์ตามประวัติโดยมากต้องอาศัยขุนนาง ทหาร นักบวช และกลุ่มอภิสิทธิชนอื่น ๆ อัตตาธิปไตยบางครั้งจะอิงอำนาจการปกครองกับเทวสิทธิราชย์
876630#4
อัตตาธิปไตย
จักรวรรดิโรมัน - ในปี 27 ก่อนคริสตกาล จักรพรรดิเอากุสตุสทรงก่อตั้งจักรวรรดิโรมันหลังจากอวสานของสาธารณรัฐโรมัน แม้พระองค์จะทรงอนุญาตวุฒิสภาโรมัน แต่อำนาจที่แท้จริงก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสิ้น เป็นระบอบที่ทรงสันติภาพและความรุ่งเรืองจนกระทั่งถึงจักรพรรดิก็อมมอดุสเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 161 แล้วต่อมาในคริสต์ทศวรรษที่ 3 จึงเห็นการรุกรานจากอนารยชนและความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ต่อมาทั้งจักรพรรดิดิออเกลติอานุส (ค.ศ. 284-305) และจักรพรรดิคอนสตันไทน์มหาราช (ค.ศ. 306-337) ก็ทรงอำนาจโดยเป็นผู้นำเผด็จการเบ็ดเสร็จ ซึ่งเพิ่มอำนาจขององค์จักรพรรดิ แต่จักรวรรดิโรมันก็ขยายใหญ่มากจนจักรพรรดิดิออเกลติอานุส ต้องทรงให้ปกครองโดยผู้นำ 4 ท่านเป็นระบบ tetrarchy (ค.ศ. 284-324)
876630#5
อัตตาธิปไตย
ในที่สุด จักรวรรดิโรมันก็แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ภาคตะวันตก (โรมัน) และภาคตะวันออก (จักรวรรดิไบแซนไทน์) โดยจักรวรรดิโรมันตะวันตกในที่สุดก็ล้มลงใน ค.ศ. 476 หลังจากที่จักรพรรดิโรมุลุส เอากุสตุส ทรงยอมแพ้ต่อกษัตริย์เยอรมัน
876632#0
Think tank
คำภาษาอังกฤษว่า think tank (คณะทำงานระดับมันสมอง, กลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวกับการวิจัย, คณะผู้เชี่ยวชาญ, กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ) หรือ policy institute (สถาบันนโยบาย) หรือ think factory (โรงงานความคิด) เป็นต้น เป็นองค์การที่ทำงานวิจัยและสนับสนุนเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ รวมทั้งนโยบายสังคม กลยุทธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร เทคโนโลยี และวัฒนธรรม สถาบันนโยบายโดยมากเป็นองค์การไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งบางประเทศรวมทั้งสหรัฐและแคนาดาเว้นภาษีให้ และพวกอื่นก็ได้ทุนจากรัฐบาล จากองค์การสนับสนุนประเด็นทางกฎหมายต่าง ๆ จากธุรกิจ หรือได้รายได้จากการให้คำปรึกษาหรือการวิจัยที่เกี่ยวข้องกัน
876632#1
Think tank
สถาบันนโยบายอาจมีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากสาขาวิชาต่าง ๆ ทำงานให้กับผู้บริโภคที่เป็นรัฐบาลหรือเอกชน โปรเจ็กต์จากรัฐบาลบ่อยครั้งเกี่ยวกับการวางแผนทางสังคมและการป้องกันประเทศ งานที่ทำให้กับเอกชนอาจรวมการพัฒนาและการทดสอบเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แหล่งเงินทุนอาจรวมการมอบเงินทุน สัญญาว่าจ้าง การบริจาคส่วนบุคคล และรายได้จากการขายรายงาน
876641#0
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
การทำให้เป็นประชาธิปไตย หรือ การเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย เป็นการเปลี่ยนระบอบการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสำคัญไปในทางประชาธิปไตย การเปลี่ยนจากระบอบอำนาจนิยมไปเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ จากระบอบอำนาจนิยมไปเป็นกึ่งประชาธิปไตย หรือจากกึ่งประชาธิปไตย/อำนาจนิยมไปเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งอาจมีผลเป็นความมั่นคงทางประชาธิปไตย (ดังที่สหราชอาณาจักรเป็นตัวอย่าง) หรืออาจจะกลับไปกลับมาบ่อย ๆ (ดังที่ อาร์เจนตินาเป็นตัวอย่าง) รูปแบบต่าง ๆ ของการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยมักใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองอื่น ๆ เช่น ประเทศจะเริ่มทำสงครามหรือไม่ เศรษฐกิจจะเติบโตหรือไม่ กระบวนการมีปัจจัยหลายอย่างรวมทั้งพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ประวัติ และประชาสังคม ผลสูงสุดของกระบวนการนี้ก็เพื่อประกันว่า ประชาชนจะมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง และมีส่วนตัดสินใจในระบอบการปกครอง
876641#1
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
มีเรื่องถกเถียงไม่ใช่น้อยเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผล โดยที่สุดที่จำกัดการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย ปัจจัยมากมายรวมทั้งเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ล้วนอ้างว่ามีผลต่อกระบวนการ โดยที่อ้างบ่อยมากที่สุดจะกล่าวในหัวข้อต่อ ๆ ไป
876641#2
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
การมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อประชากรที่สูงกว่า สัมพันธ์กับประชาธิปไตย โดยบางคนอ้างว่า รัฐประชาธิปไตยซึ่งรวยที่สุดไม่เคยปรากฏว่าตกอยู่ใต้ลัทธิอำนาจนิยม แต่การขึ้นสู่อำนาจของฮิตเลอร์และพรรคนาซีในสาธารณรัฐไวมาร์ ก็เป็นตัวอย่างคัดค้านที่ชัดเจน แม้ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1930 เยอรมนีจะมีเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า แต่ในเวลาที่ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจ ประเทศก็กำลังเผชิญวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่เริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งได้แย่ลงเพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
876641#3
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ยังมีข้อสังเกตทั่วไปว่า ประชาธิปไตยเกิดก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมน้อยมาก งานวิจัยเชิงหลักฐานจึงทำให้นักวิชาการหลายคนเชื่อว่า พัฒนาการทางเศรษฐกิจถ้าไม่เพิ่มโอกาสเปลี่ยนเป็นประชาธิไปตย ก็จะช่วยประชาธิปไตยที่เกิดใหม่ให้มั่นคงยิ่งขึ้น
876641#4
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
งานศึกษาหนึ่งพบว่า พัฒนาการทางเศรษฐกิจจะกระตุ้นให้เปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยแต่ต้องเป็นระยะเวลาปานกลาง คือ 10-20 ปี เพราะแม้พัฒนาการอาจสร้างความมั่นคงให้แก่ผู้นำที่อยู่ในอำนาจ แต่การจะให้ลูกหรือคนเชื่อใจอื่นสืบทอดอำนาจต่อไปก็เป็นเรื่องยาก
876641#5
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ถึงกระนั้น การถกเถียงว่า ประชาธิปไตยเป็นผลของความร่ำรวย เป็นเหตุ หรือไม่สัมพันธ์กัน ก็ยังเป็นเรื่องยังไม่ยุติ งานศึกษาอีกงานหนึ่งแสดงว่า พัฒนาการทางเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศเพื่อจะมีผลโปรโหมตประชาธิปไตยได้
876641#6
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
นักวิชาการกลุ่มหนึ่งอธิบายว่า ไม่ใช่การเพิ่มความร่ำรวยในประเทศเองที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคม-เศรษฐกิจที่เกิดจากความร่ำรวย โดยมีนักวิชาการอื่น ๆ ที่อ้างว่า ความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเป็นเหตุหลัก ๆ ที่ประเทศยุโรปกลายเป็นประชาธิปไตย
876641#7
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
เมื่อโครงสร้างทางสังคมเศรษฐกิจเปลี่ยนไป เพราะความก้าวหน้าทำให้เกษตรกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงมีการลงทุนทั้งเวลาและทรัพยากรอื่น ๆ เพื่อใช้ในการผลิตและการบริการ ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศอังกฤษ สมาชิกของพวกผู้ดีได้ลงทุนในกิจการค้ามากขึ้น ทำให้พวกตนมีความสำคัญทางเศรษฐกิจต่อประเทศมากขึ้น กิจกรรมเยี่ยงนี้จะมาพร้อมกับอำนาจทางเศรษฐกิจ เพราะทรัพย์สมบัตินับได้ยากขึ้น ดังนั้น รัฐจึงหักภาษีได้ยากขึ้น เพราะเหตุนี้ การปล้นสะดมทรัพย์ตรง ๆ จึงเป็นไปไม่ได้ และดังนั้น รัฐจึงต้องต่อรองกับอภิสิทธิชนทางเศรษฐกิจรุ่นใหม่เพื่อจะหารายได้ ข้อตกลงแบบยั่งยืนกลายเป็นเรื่องจำเป็น เพราะรัฐต้องอาศัยประชาชนที่ยังคงความจงรักภักดี ดังนั้น ประชาชนจึงได้อำนาจแสดงเสียงในกระบวนการตัดสินใจของประเทศ
876641#8
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
นักวิชาการคู่หนึ่งอ้างว่า ความสัมพันธ์ของความเท่าเทียมกันทางสังคมกับการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยเป็นเรื่องซับซ้อน ประชาชนจะมีแรงจูงใจเพื่อกบฏน้อยกว่าในสังคมที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น การเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยก็จะมีโอกาสน้อยกว่า เทียบกับสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันแบบสุดโต่ง (เช่น แอฟริกาใต้ภายใต้ระบบการถือผิว) การจัดสรรปันส่วนของทั้งความมั่งคั่งและอำนาจภายใต้ระบอบประชาธิปไตยจะเป็นผลร้ายต่ออภิสิทธิชน พวกเขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนในประเทศที่อยู่ตรงกลาง ๆ ที่ไม่สุดโต่ง การเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยจะมีโอกาสสูงกว่า โดยอภิสิทธิชนจะยอมให้เพราะ (1) พิจารณาว่าการกบฏอาจเป็นไปได้ (2) ราคาของการยินยอมไม่สูงเกินไป ความคาดหวังเช่นนี้เข้ากับหลักฐานการทดลองที่แสดงว่า ประชาธิปไตยจะเสถียรภาพกว่าในสังคมที่เท่าเทียมกัน
876641#9
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
มีผู้ที่อ้างว่า วัฒนธรรมบางอย่างเข้ากับค่านิยมประชาธิปไตยได้มากกว่า ซึ่งอาจเป็นมุมมองแบบชาติพันธุ์นิยม เพราะปกติแล้ว จะอ้างว่าวัฒนธรรมตะวันตก "เข้าได้ดีที่สุด" กับประชาธิปไตย และอ้างวัฒนธรรมอื่นว่า มีค่านิยมที่ทำให้ประชาธิปไตยเป็นเรื่องยากหรือเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนา เป็นข้ออ้างที่บางครั้งใช้โดยระบอบการปกครองอื่น ๆ เพื่อแก้ต่างความล้มเหลวในการปฏิรูปเพื่อประชาธิปไตย แต่ในปัจจุบัน มีรัฐประชาธิปไตยที่ไม่ใช่คนตะวันตกมากมาย รวมทั้งอินเดีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย นามิเบีย บอตสวานา ไต้หวัน และเกาหลีใต้ มีงานวิจัยที่พบว่า "ผู้นำที่ได้การศึกษาในประเทศตะวันตกจะเพิ่มโอกาสเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยอย่างสำคัญ"
876641#10
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
มีนักวิชาการที่อ้างว่า มีลักษณะบางอย่างที่ทำให้สังคมมีโอกาสมีวัฒนธรรมการทำงานเพื่อส่วนรวมมากกว่า และทำให้เกิดประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมสูงกว่า คือชุมชนที่มีเครือข่ายองค์กรพลเมืองที่ช่วยปรับปรุงดูแลละแวกบ้าน ที่มีโครงสร้างเป็น "แนวนอน" คือมีสมาชิกมีฐานะ/อิทธิพลเท่าเทียมกัน จะช่วยสร้าง "ความเชื่อใจ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการมีส่วนร่วมในฐานะพลเมือง" ได้ดีกว่า ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตย และจะเป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมที่ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า เทียบกับเครือข่ายที่มีโครงสร้างเป็นแนวตั้ง คือมีการจัดตำแหน่งการงานเป็นชั้น ๆ หรือที่มีความสัมพันธ์แบบผู้อุปถัมภ์-ผู้พึ่งพา ซึ่งก็จะมีโอกาสสร้างวัฒนกรรมการมีส่วนร่วมของพลเมืองที่จำเป็นในการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยน้อยกว่า
876641#11
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
นักวิชาการอีกคนหนึ่งคาดว่า การเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นเมื่ออภิสิทธิชนไม่สามารถคืนรูประบอบอัตตาธิปไตยได้ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีกลุ่มอำนาจต่าง ๆ อยู่ร่วมกันในเขตภูมิภาคหนึ่ง ๆ อันทำให้อภิสิทธิชนจำเป็นต้องสร้างสถาบันประชาธิปไตยและสถาบันตัวแทนเพื่อควบคุมเขตนั้น และเพื่อจำกัดอิทธิพลของกลุ่มอภิสิทธิชนผู้เป็นคู่แข่ง
876641#12
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยบางครั้งเกิดเพราะการแทรกแซงทางทหารของประเทศอื่น ดังที่เกิดในญี่ปุ่นและเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมบางครั้งก็อำนวยให้ก่อตั้งประชาธิปไตย ที่ต่อมาไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยระบอบอำนาจนิยม ตัวอย่างเช่น ซีเรียหลังจากได้อิสรภาพจากอาณัติของฝรั่งเศสเมื่อต้นสงครามเย็น ไม่ได้ทำประชาธิปไตยให้มั่นคง แล้วในที่สุดก็ล้มและถูกแทนที่ด้วยระบอบเผด็จการของพรรคบะอัธ
876641#13
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
มีทฤษฎีมานานแล้วว่า การศึกษาจะช่วยโปรโหมตสังคมประชาธิปไตยที่มั่นคง งานวิจัยแสดงว่า การศึกษาทำให้ยอมรับความแตกต่างทางการเมืองได้มากกว่า เพิ่มโอกาสการมีส่วนร่วม และลดความไม่เท่าเทียมกัน งานวิจัยหนึ่งพบว่า "การเพิ่มระดับการศึกษาจะเพิ่มระดับประชาธิปไตย โดยผลของการศึกษาต่อการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยจะมีพลังยิ่งกว่าในประเทศยากจน"
876641#14
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
งานศึกษาปี 2559 พบว่า ความตกลงค้าขายแบบบุริมสิทธิ (PTA) "กระตุ้นให้ประเทศเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะถ้าคู่ความตกลงก็เป็นรัฐประชาธิปไตยเองด้วย"
876641#15
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
งานศึกษาปี 2545 พบว่า การเป็นสมาชิกในองค์กรนานาชาติ "สัมพันธ์กับการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยในช่วงปี 2493-2535"
876641#16
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ระบอบเผด็จการสามอย่าง คือ ราชาธิปไตย เผด็จการพลเรือน และเผด็จการทหาร จะเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยโดยต่างกันเพราะมีเป้าหมายต่างกัน เผด็จการของพระราชาและพลเรือนต้องการอยู่ในอำนาจอย่างไม่มีกำหนด ผ่านการสืบทอดพระราชวงศ์สำหรับพระราชาและการกดขี่ศัตรูสำหรับเผด็จการพลเรือน ส่วนเผด็จการทหารจะยึดอำนาจแล้วปฏิบัติการเป็นรัฐบาลรักษาการ เพื่อทดแทนรัฐบาลพลเรือนที่พิจารณาว่าบกพร่อง เผด็จการทหารมีโอกาสเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยมากกว่า เพราะตั้งแต่เริ่มก็หมายเป็นแค่การแก้ปัญหาชั่วคราวในขณะที่กำลังตั้งรัฐบาลที่ยอมรับได้ใหม่
876641#17
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
การประท้วงเพื่อประชาธิปไตยสัมพันธ์กับการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย งานวิจัยปี 2559 พบว่า กรณี 1 ใน 4 ของการประท้วงเพื่อประชาธิปไตยระหว่างปี 2532-2554 ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตย
876641#18
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
งานวิจัยแสดงว่า ภัยสงครามเมืองกระตุ้นให้ผู้ปกครองยอมเปลี่ยนแปลงไปในทางประชาธิปไตย งานศึกษาปี 2559 พบว่า การจลาจลเหตุความแห้งแล้งในแอฟริกาใต้สะฮาราทำให้ผู้ปกครองเกรงสงครามการเมือง แล้วยอมรับความเปลี่ยนแปลงทางประชาธิปไตย
876641#19
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ในบทความที่ได้รับความยกย่องชื่อว่า "สงครามและสภาพในแอฟริกา (War and the state in Africa)" นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันอธิบายว่า ประเทศในยุโรปเกิดขึ้นอาศัยการทำสงครามซึ่งเป็นเหตุที่ไม่มีอย่างหนึ่งในแอฟริกาปัจจุบัน คือสงครามเป็นเหตุให้รัฐต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการเก็บรายได้ บังคับให้ผู้นำต้องจัดระบบการบริหารปกครองให้ดีขึ้น และสร้างสภาพแวดล้อมที่ประชาชนจะรู้สึกสามัคคีกัน ดังที่พบในรัฐยุโรปที่เสี่ยงต่อการถูกรุกรานหรือเกิดสงครามอย่างฉับพลันกับประเทศเพื่อนบ้าน
876641#20
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
การบังคับให้ระวังระไวเช่นนี้ทำให้เกิดพัฒนาการเก็บภาษีที่ดีขึ้น เพราะรัฐที่ไม่มีรายได้พอทำสงครามก็จะสูญเสียเอกราช สงครามยังสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันที่มีพลังระหว่างรัฐกับประชาชน เพราะประชาชนก็จะรู้สึกถึงภัยเหมือนกับรัฐ และต้องอาศัยประเทศเพื่อที่จะเจริญรุ่งเรืองได้ การทำสงครามทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นส่วนของรัฐมากขึ้น
876641#21
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
มีงานวิจัยที่แสดงว่า การเปลี่ยนเป็นชุมชนเมืองมากขึ้นโดยวิธีต่าง ๆ ช่วยการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย
876641#22
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
คำอธิบายหนึ่งสำหรับการกลับไปเป็นประชาธิปไตยของประเทศเอกวาดอร์ อันเป็นเหตุการณ์ที่ค้านความเห็นทั่วไปว่า รายได้จากทรัพยากรธรรมชาติมักกระตุ้นให้เกิดรัฐบาลเผด็จการ ก็คือ มีสถานการณ์บางอย่างที่รายได้จากทรัพยากรธรรมชาติ เช่นจากน้ำมัน จะลดความเสี่ยงที่นโยบายทางสังคมจะมีต่ออภิสิทธิชน เพราะรัฐมีรายได้อื่นเพื่อเป็นงบประมาณดำเนินการนโยบายสังคม โดยไม่เกี่ยวพันกับความมั่งคั่งหรือรายได้ของอภิสิทธิชน และในประเทศที่มากไปด้วยความไม่เท่าเทียมกัน เช่นเอกวาดอร์ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ผลก็คือโอกาสการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยจะเพิ่มขึ้น
876641#23
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
รัฐประหารของทหารในเอกวาดอร์ปี 2515 มีเหตุโดยมากจากความเกรงกลัวของอภิสิทธิชนว่า จะมีการปรับกระจายรายได้ แต่ในปีเดียวกัน น้ำมันก็กลายเป็นแหล่งรายได้เพิ่มยิ่ง ๆ ขึ้นของประเทศ แม้รายได้ในช่วงแรกนั้นจะใช้เพื่องบประมาณทางทหาร แต่รายได้ที่เพิ่มขึ้นในปี 2522 ต่อมาได้ดำเนินขนานกับการเปลี่ยนกลับไปเป็นประชาธิปไตยของประเทศอีก นักวิชาการจึงอ้างว่า การเปลี่ยนกลับไปเป็นประชาธิปไตยของเอกวาดอร์ มีเหตุจากการเพิ่มรายได้จากน้ำมันอย่างสำคัญ ซึ่งไม่เพียงเพิ่มงบประมาณของรัฐ แต่ยังลดความกลัวของอภิสิทธิชนว่า รายได้/ความมั่งคั่งของตนจะถูกปรับกระจายไปใช้เป็นงบประมาณของรัฐ การแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทำให้รัฐบาลสามารถออกนโยบายเกี่ยวกับราคาสินค้าและสินจ้าง ที่ให้ประโยชน์แก่ประชาชนโดยที่อภิสิทธิชนไม่มีผลกระทบ แล้วจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของสถาบันประชาธิปไตยต่าง ๆ การเสียชีวิตของผู้เผด็จการ น้อยครั้งที่จะเปลี่ยนระบอบการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย นักวิเคราะห์รายหนึ่งพบว่า "ในบรรดาผู้เผด็จการ 79 ท่านที่ได้เสียชีวิตในอำนาจ (พ.ศ. 2489-2557) ในกรณีโดยมาก (92%) ระบอบการปกครองก็ดำเนินต่อไปหลังจากการเสียชีวิต"
876641#24
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
พัฒนาการให้เป็นประชาธิปไตยบ่อยครั้งช้า รุนแรง และถอยกลับบ่อย ๆ
876641#25
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ในประเทศอังกฤษ สงครามกลางเมืองอังกฤษ (พ.ศ. 2185-2194) เป็นสงครามระหว่างพระราชาและรัฐสภาที่ได้รับเลือกตั้งแต่มีลักษณะของคณาธิปไตย ต่อมา ยุครัฐในอารักขา (2196-2202) และเหตุการณ์การฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ (2203-2231) จึงได้คืนการปกครองแบบอัตตาธิปไตย ในปี 2231 ก็เกิดการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ที่ตั้งรัฐสภาที่เข้มแข็ง แล้วผ่านพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง ค.ศ. 1689 ซึ่งบัญญัติสิทธิเสรีภาพของประชาชนบางอย่าง บัญญัติบังคับให้มีการเลือกตั้งเป็นประจำ ตั้งกฎเสรีภาพในการพูดในรัฐสภา และจำกัดอำนาจของพระราชา ซึ่งรับรองว่า โดยไม่เหมือนยุโรปโดยมากในยุคนั้น สมบูรณาญาสิทธิราชย์จะไม่มีชัย แต่ต้องรอจนถึงราชบัญญัติการมีตัวแทนของประชาชนปี 2427 (Representation of the People Act 1884) ที่ประชาชนชายส่วนใหญ่จะมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
876641#26
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
การปฏิวัติอเมริกา (2308-2326) ได้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา จากมุมมองต่าง ๆ มันเป็นชัยชนะทางอุดมคติ เพราะเป็นสาธารณรัฐที่แท้จริงโดยไม่เคยมีผู้เผด็จการสักคนหนึ่ง แม้สิทธิการออกเสียงเลือกตั้งจะจำกัดให้ชายผิวขาวอเมริกันผู้มีที่ดินในเบื้องต้น แต่ทาสก็ยังไม่ได้เลิกโดยเฉพาะในรัฐภาคใต้จนกระทั่งการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา (2404-2408) และชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาก็ไม่ได้สิทธิพลเมืองจนกระทั่งคริสต์ทศวรรษ 1960
876641#27
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
การปฏิวัติฝรั่งเศส (2332) ทำให้คนจำนวนมากสามารถออกเสียงเลือกตั้งได้เป็นเวลาสั้น ๆ แต่ก็ตามด้วยสงครามปฏิวัติฝรั่งเศส (2335-2345) และสงครามนโปเลียน (2346-2358) ที่ยาวนานกว่า 20 ปี การปฏิวัติช่วง French Directory (2338-2342) มีลักษณะทางคณาธิปไตยมากกว่า จักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่ง (2347-2358) แล้วตามด้วยการคืนสู่ราชบัลลังก์ของราชวงศ์บูร์บง (2358-2373) ทั้งสองก็กลับคืนการปกครองแบบอัตตาธิปไตย ส่วนสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 2 ต่อมา (2391-2395) ก็ได้ให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปแก่ชาย แต่แล้วก็ตามมาด้วยจักรวรรดิฝรั่งเศสที่สอง (2395-2413) ต้องอาศัยสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (2413-2414) จึงได้ตั้งสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 (2413-2483)
876641#28
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
จักรวรรดิเยอรมันตั้งขึ้นเมื่อปี 2414 แล้วตามด้วยสาธารณรัฐไวมาร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมานาซีเยอรมนีจึงคืนการปกครองแบบอัตตาธิปไตยจนกระทั่งแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
876641#29
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ราชอาณาจักรอิตาลีซึ่งตั้งขึ้นหลังการรวมเอกราชของอิตาลีในปี 2404 เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมมนูญ ที่พระราชาทรงมีอำนาจค่อนข้างมาก ต่อมาลัทธิฟาสซิสต์อิตาลีจึงตั้งระบอบเผด็จการขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จนกระทั่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐอิตาลีดังปัจจุบัน
876641#30
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ยุคเมจิหลังปี 2411 เป็นจุดเริ่มปรับประเทศญี่ปุ่นให้ทันสมัย โดยมีการปฏิรูปทางประชาธิปไตยอย่างจำกัดด้วย ต่อมาในยุคไทโช (2455-2469) จึงมีการปฏิรูปเพิ่มขึ้น แต่ยุคโชวะก่อนสงคราม (2469-2488) ที่ตามมาก็พลิกกลับจนกระทั่งยุติสงครามโลกครั้งที่ 2
876641#31
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ตามงานศึกษาโดย "ฟรีดอมเฮาส์" ในประเทศ 67 ประเทศที่ระบอบเผด็จการได้ล้มลงตั้งแต่ปี 2515 การต่อต้านของพลเมืองที่ไม่ใช้ความรุนแรงเป็นปัจจัยที่มีกำลังในกรณี 70 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ได้เนื่องจากการรุกรานของประเทศอื่น และมีน้อยมากที่เนื่องจากการก่อการกำเริบที่ใช้อาวุธ หรือเนื่องจากการปฏิรูปที่อภิสิทธิชนสมัครใจเริ่มเอง แต่อย่างท่วมท้นเนื่องจากปฏิบัติการขององค์กรประชาสังคมเพื่อประชาธิปไตยที่ไม่ใช้วิธีการรุนแรง และเนื่องจากการต่อต้านแบบสันติอื่น ๆ เช่น การนัดหยุดงาน การคว่ำบาตร การขัดขืนเจ้าหน้าที่/กฎหมายอย่างสงบ และการชุมนุมประท้วง
876641#32
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ในเรื่องการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย องค์กร "ฟรีดอมเฮาส์" ทำงานสำรวจที่ทรงอิทธิพล ซึ่งเริ่มขึ้นในระหว่างสงครามเย็น องค์กรปัจจุบันเป็นสถาบันนโยบาย (think tank) ที่ผลิตรายงานเสรีภาพที่ครอบคลุมกว้างขวางมากที่สุดงานหนึ่งทั้งในประเทศและในระหว่างประเทศ ซึ่งโดยปริยายก็เป็นรายงานการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยด้วย องค์กรจัดหมวดหมู่ประเทศทั้งหมดในโลกตามค่า 7 อย่างโดยมีคำถามกว่า 200 คำถามในงานสำรวจ และมีเจ้าหน้าที่หลายคนในทุก ๆ ประเทศ คะแนนจากส่วนต่าง ๆ ของการสำรวจจะสรุปประเทศลงใน 3 หมวด คือ เสรี กึ่งเสรี และไม่เสรี
876641#33
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
งานศึกษาหนึ่งที่ตรวจความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจตลาดเสรี (วัดด้วยดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ) พัฒนาการทางเศรษฐกิจ (วัดด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) /ประชากร) และเสรีภาพทางการเมือง (วัดด้วยดัชนีฟรีดอม์เฮาส์) พบว่า เสรีภาพทางเศรษฐกิจระดับสูงจะเพิ่ม GDP/ประชากร ซึ่งก็ป้อนกลับเพิ่มเสรีภาพทางเศรษฐกิจ GDP/ประชากรยังเพิ่มเสรีภาพทางการเมืองอีกด้วย แต่เสรีภาพทางการเมืองไม่ได้เพิ่ม GDP/ประชากร และเสรีภาพทางเศรษฐกิจก็ไม่สัมพันธ์กับเสรีภาพทางการเมืองโดยตรง ถ้า GDP/ประชากรอยู่คงที่
876641#34
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
นักรัฐศาสตร์-เศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ศ. ดร. ฟรานซิส ฟุกุยะมะ ได้เขียนบทความเรื่องการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยที่คลาสสิกอีกงานหนึ่งในชื่อเรื่อง "อวสารประวัติศาสตร์และมนุษย์คนสุดท้าย (The End of History and the Last Man)" ซึ่งกล่าวถึงการเกิดขึ้นของประชาธิปไตยเสรีนิยมว่าเป็นรูปแบบการปกครองสุดท้ายของมนุษย์ แต่ก็มีผู้อ้างว่า การขยายปฏิรูปเศรษฐกิจให้เสรี มีผลผสมผเสต่อการเปลี่ยนเป็นประชาธิไตย คืออ้างว่า จากหลาย ๆ มุมมอง สถาบันทางประชาธิปไตยต่าง ๆ ถูกจำกัดหรือถูกขังไว้เพื่อประโยชน์ของตลาดทุนนานาชาติ หรือเพื่ออำนวยการค้าขายทั่วโลก
876641#35
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ส่วนนักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ศ. ดร. ซามูเอล ฮันติงตัน ได้เขียนหนังสือชื่อว่า "คลื่นลูกที่ 3 - การเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 (The Third Wave: Democratization in the Late 20th century)" ซึ่งเขากำหนดคลื่นการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย 3 ลูกที่เกิดในประวัติศาสตร์ คลื่นลูกแรกนำประชาธิปไตยมาสู่ยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือในคริสต์ทศวรรษที่ 19 แล้วตามด้วยการเกิดระบอบเผด็จการช่วงในระหว่างสงครามโลกทั้ง 2 ลูกที่สองเกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หมดพลังลงช่วงระหว่าง ค.ศ. 1962 กับกลางคริสต์ทศวรรษ 1970 คลื่นล่าสุดเริ่มที่ปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) และยังดำเนินไปอยู่ การเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยในละตินอเมริกาและกลุ่มตะวันออก (Eastern Bloc) เป็นส่วนของคลื่นลูกที่สามนี้
876641#36
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ตัวอย่างที่ดีของเขตที่ผ่านคลื่นทั้งสามก็คือตะวันออกกลาง ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เขตนี้เป็นส่วนของจักรวรรดิออตโตมัน ในศตวรรษที่ 19 "เมื่อจักรวรรดิออตโตมันล้มลงในที่สุด ... ช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพชาวตะวันตกในที่สุดก็ได้เข้าไปยึดครองเขต" นี่เป็นทั้งการขยายอาณาเขตของชาวยุโรป และเป็นการสร้างประเทศเพื่อเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยด้วย
876641#37
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
แต่ก็มีนักวิชาการที่อ้างว่า "การแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ ... เป็น (อุปสรรค) ที่ขวางความพยายามของสหรัฐเพื่อเปลี่ยนอิรักให้เป็นประชาธิปไตย" ซึ่งแสดงปัญหาที่น่าสนใจในเรื่องการรวมปัจจัยต่างชาติและภายในประเทศในกระบวนการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย นอกจากนั้นแล้ว ศ. ดร. เอ็ดวาร์ด เซด ยังกล่าวตำหนิความรู้สึกที่เป็นของคนตะวันตกโดยมากว่ามี "ความเข้ากันไม่ได้โดยธรรมชาติระหว่างค่านิยมทางประชาธิปไตยกับอิสลาม" ว่าเป็น "orientalist" คือเป็นไปตามความรู้สึกปรามาสและเรื่องที่ไม่เป็นจริงเกี่ยวกับ "คนตะวันออก" เขาเสนอเหตุผลว่า "ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือยังไม่มีปัจจัยที่ต้องมีก่อนการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย" (ไม่ใช่เพราะเข้ากันไม่ได้กับอิสลาม)
876641#38
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ส่วนนักข่าวผู้ชำนาญเรื่องการปกครองคนหนึ่ง ได้ตรวจสอบเรื่องความมั่นคงที่การโปรโหมดประชาธิปไตยช่วยเสริมสร้าง แล้วชี้ความสัมพันธ์ระหว่างระดับประชาธิปไตยกับระดับการก่อการร้ายในประเทศ แม้จะเป็นเรื่องที่ยอมรับว่า ความยากจนในประเทศมุสลิมเป็นเหตุแนวหน้าในการก่อการร้ายที่เพิ่มขึ้น นักข่าวก็ให้ข้อสังเกตว่า ผู้ก่อการร้ายหลักในเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 เป็นคนชั้นกลางหรือคนชั้นสูง เขาเสนอว่า สังคมที่ผู้ก่อการร้ายของอัลกออิดะฮ์ใช้ชีวิต มักเป็นที่หาเงินได้ง่าย ๆ (เช่นจากน้ำมัน) และดังนั้นจึงไม่มีแรงจูงใจให้พัฒนาทางเศรษฐกิจหรือการเมือง เมื่อมีโอกาสมีส่วนร่วมทางการเมืองน้อย เยาวชนชาวอาหรับจึงได้ถูกล่อให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอื่น ๆ เช่นในลัทธิต้นคัมภีร์อิสลาม (Islamic fundamentalism) การเจริญขึ้นของลัทธิต้นคัมภีร์อิสลาม และความรุนแรงที่เป็นผลในเหตุการณ์ 9/11 แสดงความต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยธรรมชาติ และรัฐบาลประชาธิปไตยหรือที่มีกระบวนการทางประชาธิปไตย (เช่น การเปิดให้มีส่วนร่วมทางการเมือง) เป็นลานประชาคมที่จำเป็นเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง
876641#39
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ผู้ออกความเห็นคนหนึ่ง (Larry Pardy) ให้ข้อสังเกตว่า รัฐบาลมีแรงจูงใจเพื่อจะรักษาอำนาจโดยมีปัจจัยสองอย่าง คือ ความชอบธรรมและวิถีทาง ความชอบธรรมของรัฐบาลประชาธิปไตยจะได้จากการยอมรับของประชาชนผ่านการเลือกตั้งที่ยุติธรรมและเปิดเผย และวิถีทางด้านการเงินจะมาจากแหล่งภาษีที่สมบูรณ์อันเกิดจากเศรษฐกิจที่ดี โดยความสำเร็จทางเศรษฐกิจก็จะมาจากเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีที่มีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ คือ สิทธิในทรัพย์สิน ฝ่ายตุลาการที่ยุติธรรมและเป็นอิสระ ความมั่นคง และหลักนิติธรรม อนึ่ง องค์ประกอบหลักที่สนับสนุนเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ก็ยังสืบไปยังสิทธิพื้นฐานของปัจเจกบุคคลอีกด้วย ในนัยตรงข้าม เมื่อรัฐบาลสามารถกดขี่คู่แข่งทางการเมือง ก็จะไม่มีหลักนิติธรรม และเมื่อความมั่งคั่งสามารถยึดได้ตามใจชอบ ก็จะไม่มีสิทธิทางทรัพย์สิน
876641#40
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ตามนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง แบบจำลอง "ทางออก การมีเสียง และความจงรักภักดี (exit, voice, and loyalty model)" แสดงว่า ถ้าประชาชนสามารถมีทางออกไม่อยู่ใต้อาณัติของรัฐบาล ก็จะมีโอกาสเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยสูงกว่า คือ รัฐบาลอาจจะมีอำนาจอธิปไตยเหนือประชากรที่มีทางออกต่าง ๆ ได้ยาก และการออกไม่ใช่เป็นเพียงแค่ออกจากอาณาเขตของรัฐที่มีแต่บีบบังคับ แต่หมายเอาการตอบสนองปรับตัวที่ทำให้รัฐลำบากในการอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือตนมากขึ้น รวมทั้งการปลูกพืชที่รัฐไม่สามารถนับได้ (และไม่สามารถเก็บภาษี) หรือเลี้ยงสัตว์ที่นำไปที่อื่นได้ง่ายกว่า
876641#41
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
จริง ๆ แล้วกำเนิดของรัฐก็เป็นผลของการปรับตัวของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อม และของการเลือกว่าจะอยู่หรือจะออกจากบริเวณนั้น ถ้าประชาชนมีอิสรภาพในการย้ายที่ แบบจำลองนี้พยากรณ์ว่า รัฐจะต้องเป็นตัวแทนของประชาชนเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนไปที่อื่น ดังนั้น ถ้าบุคคลมีทางออกที่เป็นไปได้โดยไม่ต้องอยู่ใต้อาณัติของรัฐบาล ก็จะสามารถจำกัดพฤติกรรมตามอำเภอใจของรัฐบาลเพราะสามารถขู่ด้วยการเลือกทางออกได้
876641#42
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยที่คงยืนเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าการเลือกตั้งที่ยุติธรรมและโปร่งใส มันต้องอาศัยพื้นฐานที่หนักแน่นของเสรีภาพทางเศรษฐกิจและทางการเมือง ที่ประชาชนในประเทศตะวันตกต้องแคะงัดจากรัฐบาลด้วยความยากลำบากเป็นศตวรรษ ๆ โดยเริ่มอย่างช้าก็ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1758 เมื่อพระเจ้าจอห์นทรงยอมรับข้อจำกัดต่อพระอำนาจ คือทรงยอมให้ประชาชนมีสิทธิตามมหากฎบัตร สมัยนั้นก็ดี แม้แต่สมัยนี้ก็ดี รัฐบาลจะมีแรงจูงใจสนับสนุนสิทธิเสรีภาพก็ต่อเมื่อมันมีผลโดยตรงต่อการรักษาและใช้อำนาจของรัฐบาล มันไม่ได้เกิดจากแนวคิดอุดมคติเกี่ยวกับประชาธิปไตยและเสรีภาพ จากการมีสัญญาโดยนัยกับประชาชน จากการเคี่ยวเข็ญของประเทศที่เป็นผู้บริจาค หรือการป่าวประกาศขององค์กรนานาชาติ
876641#43
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ตามนักวิชาการท่านหนึ่ง ดร. ฟุกุยะมะถูกแล้วในคำกล่าวถึงอวสานแห่งประวัติศาสตร์ เพราะประชาธิปไตยเสรีนิยมที่มีในประเทศตะวันตก เป็นที่สุดของวิวัฒนาการทางอุดมคติของมนุษย์ เป็นกลไกที่ระบบตลาดเสรีสามารถจัดสรรปันส่วนทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพโดยพึ่งอาศัยซึ่งกันและกันกับระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลจะมีแรงจูงใจปกป้องเศรษฐกิจ ในขณะที่มูลฐานของเศรษฐกิจเช่นนั้นก็จะสร้างปัจจัยของความเป็นประชาธิปไตย
876641#44
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
แม้การเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยมักจะกล่าวในเรื่องการเมืองระดับประเทศหรือท้องถิ่น แต่ก็สามารถใช้ในบริบทอื่น ๆ ได้ด้วย
876641#45
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
องค์กรนานาชาติ (เช่น สหประชาชาติ) มักจะมีข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปและเปลี่ยนโครงสร้างการออกเสียงลงคะแนน และเปลี่ยนระบบการนับคะแนน
876641#46
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
แนวคิดการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยสามารถประยุกต์ใช้ในบรรษัท ที่ทั่วไปมีโครงสร้างอำนาจแบบหัวหน้าสั่งลูกน้อง หรือหัวหน้ารู้ดีที่สุด ซึ่งต่างจากวิธีบริหารแบบปรึกษา ให้อำนาจแก่ลูกน้อง และการกระจายอำนาจการตัดสินใจไปทั่วบริษัท ดังที่สนับสนุนโดยขบวนการประชาธิปไตยในที่ทำงาน