text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด - FINNOMENA ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 2.3% และตลาดหุ้นจีน (CSI300) ปรับตัวลง 1% หลังจีนรายงานดัชนี PMI ต่ำกว่าคาด โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพฤษภาคมของจีนอยู่ในโซนหดตัวที่ 48.8 แย่กว่าตลาดคาดที่ 51.4 31 พ.ค. 2566 วันนี้ (31 พฤษภาคม 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 2.3% และตลาดหุ้นจีน (CSI300) ปรับตัวลง 1% หลังจีนรายงานดัชนี PMI ต่ำกว่าคาด โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพฤษภาคมของจีนอยู่ในโซนหดตัวที่ 48.8 แย่กว่าตลาดคาดที่ 51.4 และลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 49.2 ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการบริการอยู่ที่ 54.5 ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 54.9 และลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 56.4 โดยภาคการผลิตจีนได้รับปัจจัยกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ขณะที่อุปสงค์ภายนอกประเทศยังอ่อนแอเนื่องจากสหรัฐฯซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้บรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงยังถูกกดดันจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังสหรัฐฯกล่าวหาจีนว่าได้มีการซ้อมอย่างแข็งกร้าวโดยไม่จำเป็น รวมถึงจีนปฏิเสธคำเชิญจากสหรัฐฯสำหรับเข้าร่วมประชุมของฝ่ายกลาโหม ซึ่งจะมีตัวแทนจากปลายประเทศเข้าร่วมประชุมในสัปดาห์นี้ FINNOMENA Investment Team มองว่าในช่วงสั้นแนวโน้มเศรษฐกิจจีนเริ่มสะดุดจากการฟื้นตัวไม่เต็มของภาคการบริโภค ซึ่งสะท้อนจากความมั่นใจผู้บริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ขณะที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐยังไม่มีความชัดเจนเนื่องจากจากระดับหนี้ของจีนที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่เราคาดว่าในระยะถัดไปเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวได้ต่อหลังจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางฟื้นตัวมากขึ้นหลังยกเลิกมาตรการ Zero Covid ตลาดหุ้น All China มี Valuation ลดลงมาใกล้จุด -1 S.D. เมื่อเทียบกับหุ้นโลก เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาลงมาในจุดที่ Valuation น่าสนใจ อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมี Upside ให้ฟื้นตัว ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว - FINNOMENA บริษัทผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ อินวีเดีย (Nvidia Corp) กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าถึงหนึ่งล้านล้านดอลลาร์รายล่าสุดในวันอังคาร ท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ในปัจจุบัน 31 พ.ค. 2566 บริษัทผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ อินวีเดีย (Nvidia Corp) กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าถึงหนึ่งล้านล้านดอลลาร์รายล่าสุดในวันอังคาร ท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ในปัจจุบัน ทำให้มูลค่าหุ้นของ Nvidia พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว 25% เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจนแตะระดับ 411 ดอลลาร์ต่อหุ้นในขณะนี้ และทำให้มูลค่าบริษัทพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งพอๆ กับบริษัทเทคโนโลยี อัลฟาเบ็ต (Alphabet) เจ้าของกูเกิล (Google) Nvidia ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีแห่งที่ 5 ที่มีมูลค่าแตะระดับหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ ต่อจาก แอปเปิล (Apple), อัลฟาเบ็ต (Alphabet), ไมโครซอฟต์ (Microsoft) และ แอมะซอน (Amazon) ขณะที่ Cathie Wood ซีอีโอของ Ark Invest มองว่า หุ้น Nvidia ที่เป็นลูกรักของนักลงทุนตอนนี้มูลค่า ‘แพง’ เกินแล้ว Cathie Wood กล่าวใน Twitter เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (29 พ.ค.) ว่า บริษัทชิปที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกมีราคาแพงเกินไปแล้ว หลังกองทุน ARKK ของบริษัทลดสัดส่วนการถือหุ้นเมื่อต้นเดือน ม.ค. ก่อนที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น 2 เท่า จนมีมูลค่าตลาด 1 ล้านล้านดอลลาร์ ที่มา: https://www.voathai.com/a/nvidia-joins-trillion-dollar-club-on-booming-ai-demand/7115458.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-30/too-rich-for-cathie-wood-nvidia-shares-stretch-valuation-limits?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Cathie Wood News Update Nvidia แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ออกมาอธิบายแล้วว่าทำไม ARKK ถึงขายหุ้น Nvidia ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น 160% - FINNOMENA Cathie Wood ออกมาบอกว่าที่ Ark Invest ตัดสินใจขายหุ้น Nvidia ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น 160% เป็นเพราะวัฏจักรที่เฟื่องฟูของอุตสาหกรรมนั้นมี ‘ความเสี่ยง’ 29 พ.ค. 2566 Cathie Wood ออกมาบอกว่าที่ Ark Invest ตัดสินใจขายหุ้น Nvidia ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น 160% เป็นเพราะวัฏจักรที่เฟื่องฟูของอุตสาหกรรมนั้นมี ‘ความเสี่ยง’ ก่อนหน้านี้ กองทุนเรือธงของ Ark Invest อย่าง ARK Innovation ETF หรือ ARKK ได้ ‘ลดสัดส่วน’ หุ้น Nvidia ออกมาในเดือน ม.ค. ทำให้ ‘พลาด’ การทำกำไรในบริษัทที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นมามากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (25 พ.ค.) เพียงวันเดียว ราคาหุ้น Nvidia เพิ่มขึ้นมา 24% หลังจากออกมาคาดการณ์ว่ายอดขายในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 53% Cathie Wood ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg TV ว่า ยิ่งราคาหุ้น Nvidia วิ่งไปเท่าไร ยิ่งทำให้ Ark ต้องลดสัดส่วนการลงทุนลงชั่วคราว และเมื่อได้ยินคำว่า ‘ขาดแคลน’ ซ้ำๆ เกี่ยวกับการ์ดจอ (GPU) หรืออะไรก็ตาม มันทำให้ Cathie Wood เริ่มคิดว่าถึงเวลาวัฏจักรของหุ้นกลุ่มนี้แล้ว Cathie Wood อธิบายต่อว่า Nvidia ยังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในการผลิตชิปสำหรับโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ที่อยู่เบื้องหลัง AI อย่างเช่น Tesla, Meta และ Alphabet ที่กำลังพัฒนาชิปของตนเอง ตลอดปี 2023 ที่ผ่านมา กองทุน ARKK ของ Cathie Wood เพิ่มขึ้น 25% แซงหน้า S&P 500 ที่ +9.4% แต่ยังน้อยกว่าดัชนี Nasdaq 100 ที่พุ่งขึ้นมากกว่า 30% นอกจากนี้ Cathie Wood ยังบอกว่า Ark กำลังเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นกลุ่มอื่นที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยค้นพบ เหมือนที่ก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า Nvidia คือหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก AI แต่เพิ่งจะมาสนใจกันเมื่อไม่นานมานี้ Cathie Wood กล่าวว่า กลยุทธ์ของ Meta ในการเน้นไปที่ AI นั้น ‘น่าสนใจ’ เพราะโมเดลภาษา LLaMA AI ของ Meta สามารถนำเสนอโมเดลที่ดีกว่า โดยใช้พลังการประมวลผลที่น้อยลงและข้อมูลที่มากขึ้น ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-26/cathie-wood-defends-bailing-on-nvidia-citing-risk-of-chip-cycle-li4vonws?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดขาลงใกล้จบ? เฮดจ์ฟันด์แห่ซื้อหุ้นสหรัฐฯ ตามโมเมนตัมของ S&P 500 ดันดัชนีเกือบทะลุ 4,200 จุด - FINNOMENA เหล่าเฮดจ์ฟันด์ที่ทั้ง Bull และ Bear ในหุ้นได้ทำการ ‘ซื้อ’ หุ้นสหรัฐฯ ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ติดต่อกัน และเป็นอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ ต.ค. ปีที่แล้ว หลังจากกก่อนหน้านี้ ‘ขาย’ หุ้นสหรัฐฯ มา 5 สัปดาห์ติด 23 พ.ค. 2566 ข้อมูลที่รวบรวมโดย Goldman Sachs ระบุว่า เหล่าเฮดจ์ฟันด์ที่ทั้ง Bull และ Bear ในหุ้นได้ทำการ ‘ซื้อ’ หุ้นสหรัฐฯ ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ติดต่อกัน และเป็นอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ ต.ค. ปีที่แล้ว หลังจากกก่อนหน้านี้ ‘ขาย’ หุ้นสหรัฐฯ มา 5 สัปดาห์ติด ส่วนที่ Morgan Stanley เหล่าลูกค้าได้เพิ่มเลเวอเรจทั้งในสถานะ Long และ Short ไปสู่ระดับสูงสุดในปี 2023 สอดคล้องกับข้อมูลของ JPMorgan ที่ระบุว่า บรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทั่วโลก มีระดับเลเวอเรจสุทธิแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. ตอนนี้มุมมองตลาดขาลงเริ่มลดลงเรื่อยๆ หลังจากตลาดหุ้นพุ่งขึ้น 3 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ ถือเป็นการท้าทายหลายปัจจัยเสี่ยงทั้งความวุ่นวายในภาคธนาคาร ผลกำไรที่ลดลงของบริษัทจดทะเบียน และความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ Quincy Krosby หัวหน้านักกลยุทธ์ทั่วโลกที่ LPL Financial มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ เหล่าผู้จัดการความเสี่ยงของสถาบันขนาดใหญ่รู้สึกว่าตลาดกำลังเป็นขาขึ้น ไม่สามารถนั่งเฉยๆ ได้ และต้องมีส่วนร่วม เพราะต้นทุนของการ ‘ตกรถ’ อาจสูงเกินไป ตอนนี้มีการคาดเดาว่า Fed สิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะถูกเลื่อนออกไป นี่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในอเมริกา เพราะที่ญี่ปุ่น ดัชนี Topix ทำจุดสูงสุดตั้งแต่ปี 1990 ส่วนในยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 อยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน ดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากดันดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 140 จุด ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถผ่านระดับ 4,200 จุดได้ ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-22/hedge-funds-rush-to-buy-stocks-with-s-p-500-on-brink-of-market-breakout?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นักลงทุนหาหลุมหลบภัย แห่ย้ายเงินลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (EM) หลังมีความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ‘ถดถอย’ - FINNOMENA ผลสำรวจของ Markets Live Pulse รายงานว่า นักลงทุนเพิ่มเดิมพันในตลาดเกิดใหม่ เพราะกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเกิดภาวะถดถอย 22 พ.ค. 2566 ผลสำรวจของ Markets Live Pulse รายงานว่า นักลงทุนเพิ่มเดิมพันในตลาดเกิดใหม่ เพราะกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเกิดภาวะถดถอย 61% ของกลุ่มสำรวจจำนวน 234 ราย ที่ประกอบไปด้วยผู้จัดการการเงิน นักวิเคราะห์ และเทรดเดอร์ คาดว่าจะ ‘เพิ่ม’ การลงทุนในสินทรัพย์ของตลาดเกิดใหม่ (EM) ในอีก 12 เดือนข้างหน้า เพื่อเป็นหลุมหลบภัย หาก Fed ยังขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อสู้กับเงินเฟ้อซึ่งจะกดดันให้เศรษฐกิจถดถอย Justin Leverenz ผู้จัดการกองทุน Invesco Developing Markets Fund ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนหุ้นเกิดใหม่รายใหญ่ที่มีผลประกอบการดีที่สุดในโลกในปีนี้ กล่าวว่า ปัจจุบัน เศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนา มีความยืดหยุ่นกว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และธนาคารกลางของประเทศเหล่าานี้มีมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการกับการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่เศรษฐกิจ EM จะฟื้นตัวได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังถูกละเลยจากนักลงทุนทั่วโลกเกือบทั้งหมด” Justin Leverenz กล่าว 49% ของผู้ตอบแบบสำรวจมองว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ อาจจะทำให้มูลค่าของสินทรัพย์เกิดใหม่ลดลง แต่การเติบโตพื้นฐานและมูลค่าที่น่าดึงดูดใจจะยังคงช่วยให้ทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่งที่เติบโตเต็มที่แล้ว ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-21/investors-seek-shelter-in-emerging-markets-as-recession-risk-hits-us?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: EM Emerging Markets News Update ตลาดหุ้นเกิดใหม่ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Goldman Sachs เชื่อว่า AI จะผลักดัน ให้ดัชนี S&P 500 +1.5% ต่อปี หรือเท่ากับ +30% ในอีก 10 ปีข้างหน้า - FINNOMENA Ben Snider นักกลยุทธ์ของบริษัทให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า AI จะสามารถเพิ่มผลตอบแทนของ S&P 500 +1.5% ต่อปี นั่นหมายถึงผลกำไรที่เพิ่มขึ้น 30% หรือมากกว่านั้นในทศวรรษหน้า 18 พ.ค. 2566 Ben Snider นักกลยุทธ์ของบริษัทให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า AI จะสามารถเพิ่มผลตอบแทนของ S&P 500 +1.5% ต่อปี นั่นหมายถึงผลกำไรที่เพิ่มขึ้น 30% หรือมากกว่านั้นในทศวรรษหน้า การเกิดขึ้นของ ChatGPT แชทบอท AI ที่พัฒนาโดย OpenAI ทำให้ผู้คนหันมาสนใจใน AI มากขึ้น และนี่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของหลายๆ คน รวมถึง ‘นักลงทุน’ ที่ต้องการตัวขับเคลื่อนการเติบโตของกำไรในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยสูงและเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทาน Snider มองว่า ที่มาที่แท้จริงของการมองโลกในแง่ดีของตลาดหุ้นมาจากการเพิ่ม productivity ด้วย AI เป็นที่ชัดเจนว่านักลงทุนที่ได้รับชัยชนะทันทีในตอนนี้ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี แต่คำถามสำคัญก็คือ ใครจะเป็นผู้ชนะในอนาคต Goldman Sachs ชี้ให้เห็นว่า ในปี 1999 หรือ 2000 ช่วงฟองสบู่เทคโนโลยี คงเป็นเรื่องยากมากที่จะจินตนาการว่า Facebook หรือ Uber จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเรา Snider แนะนำให้กระจายการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ในหุ้นวัฏจักรและหุ้น Defensive รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงานและเฮลท์แคร์ซึ่งมี Valuation ที่น่าสนใจ ในระยะสั้น เขาคาดว่า Fed ได้เสร็จสิ้นการคุมเข้มนโยบายการเงินส่วนใหญ่แล้ว ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณหนึ่งของความกังวลในฤดูกาลผลประกอบการล่าสุดคือบริษัทใน S&P 500 เริ่มลดการใช้จ่ายภาคธุรกิจลงเล็กน้อย เพราะในฐานะบริษัท เมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น บริษัทจะไม่อยากออกหุ้นกู้ และเลือกที่จะลดค่าใช้จ่าย ที่มา: https://www.cnbc.com/2023/05/18/goldman-sachs-ai-driven-gains-could-lead-to-30percent-sp-500-profit-spike.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: AI Goldman Sachs News Update S&P500 แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Sea เจ้าของ Shopee ดิ่งเกือบ 18% ในวันเดียว Q1 รายได้เพิ่ม และกำไรเกือบ $100 ล้าน เกิดอะไรขึ้นทำไมนักลงทุนแห่เทขาย? - FINNOMENA หุ้น Sea เจ้าของ Shopee และ Garena ทำผลงานแย่ที่สุดในรอบ 1 ปี หลังรายงานกำไรไตรมาสแรกต่ำกว่าคาด และรายได้จากธุรกิจเกมที่ดิ่งลงถึง 43% ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท 17 พ.ค. 2566 หุ้น Sea เจ้าของ Shopee และ Garena ทำผลงานแย่ที่สุดในรอบ 1 ปี หลังรายงานกำไรไตรมาสแรกต่ำกว่าคาด และรายได้จากธุรกิจเกมที่ดิ่งลงถึง 43% ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แม้บริษัทจะทำกำไรได้ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 แต่รายได้ของ Sea เพิ่มขึ้นเพียง 5% ส่วนค่าด้อยค่าความนิยมหรือสินค้าที่จับต้องไม่ได้ของบริษัท เช่น แบรนด์ ชื่อเสียง สูงถึงกว่า 100 ล้านดอลลาร์ จึงทำให้กำไรสุทธิของบริษัทลดลงเหลือ 88.1 ล้านดอลลาร์ น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 224.4 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เมื่อคืนนี้ (16 พ.ค.) ราคาหุ้น Sea ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลงมากสุดตั้งแต่เดือน ก.พ. โดยปรับตัวลงมา 17.77% ปิดที่ 72.45 ดอลลาร์ กำไรที่ต่ำกว่าคาดมากแสดงให้เห็นถึงความไม่ยั่งยืนในความสามารถในการทำกำไร โดยก่อนหน้านี้ Sea ที่มีฐานอยู่ในสิงคโปร์ได้ใช้กลยุทธ์การลดต้นทุนอย่างมหาศาลเพื่อพลิกฟื้นการขาดทุนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้บริษัทปลดพนักงานหลายพันคน หยุดขึ้นเงินเดือน รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการขายและการตลาดหลายร้อยล้านดอลลาร์ เพื่อลดต้นทุนและทำให้กระแสเงินสดเป็นบวก Esme Pau นักวิเคราะห์ของ Macquarie Capital กล่าวว่า ความน่าผิดหวังครั้งใหญ่มาจากการเติบโตในระดับต่ำและความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง ทำให้นักลงทุนแห่ขายทำกำไร โดย Esme มองว่า Sea ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาแล้ว การทำกำไรจะดำเนินต่อไป แต่อาจจะน้อยลงกว่าเดิม ★ ผลประกอบการไตรมาสแรกของ Sea รายได้รวมตามบัญชี GAAP 3,041.1 ล้านดอลลาร์ (+4.9% YoY) กำไรสุทธิ 87.3 ล้านดอลลาร์ รายได้จากกลุ่มอีคอมเมิร์ซ (Shopee) 2,259.6 ล้านดอลลาร์ (+36.3% YoY) เฉพาะส่วนธุรกิจในเอเชียมี EBITDA เป็นบวก 275.8 ล้านดอลลาร์ ส่วนนอกเอเชียขาดทุน 68.1 ล้านดอลลาร์ รายได้จากกลุ่มสื่อบันเทิงดิจิทัล (Garena) ลดลงเป็น 539.7 ล้านดอลลาร์ (-43% YoY) มีจำนวนผู้เล่น 491.6 ล้านบัญชี กลุ่มธุรกิจการเงิน รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 412.8 ล้านดอลลาร์ อัตราสำรองหนี้เสียยังอยู่ที่ระดับ 2% ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-16/singapore-s-sea-has-second-straight-profit-in-turnaround-effort?sref=e4t2werz https://www.blognone.com/node/133855 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update SEA Shopee แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘ไมเคิล เบอร์รี’ ฉายา The Big Short กำลัง Big Long เพิ่มเดิมพันครั้งใหญ่ในหุ้นอีคอมเมิร์ซจีนทั้ง Alibaba และ JD.com สัดส่วน 20% ของพอร์ต - FINNOMENA ‘ไมเคิล เบอร์รี’ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีนทั้ง JD.com และ Alibaba ซึ่งรวมกันคิดเป็น 20% ของสัดส่วนพอร์ตทั้งหมด 16 พ.ค. 2566 ‘ไมเคิล เบอร์รี’ ผู้จัดการเงินที่โด่งดังใน The Big Short กำลังทำ Big Long ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีนทั้ง JD.com และ Alibaba ซึ่งรวมกันคิดเป็น 20% ของสัดส่วนพอร์ตทั้งหมด สวนทางเฮดจ์ฟันด์อื่นๆ ที่เริ่มถอยห่างจากหุ้นเทคโนโลยีจีนด้วยประเด็นทางการเมือง นี่เป็นอีกครั้งที่เขาเดิมพันสวนทางตลาด ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2022 หลังจากจีนยุตินโยบายโควิดเป็นศูนย์ เบอร์รีได้เริ่มซื้อหุ้น Alibaba และ JD.com นี่แปลว่าเบอร์รี่กำลังเดิมพันว่า ความกังวลเกี่ยวกับบริษัทจีนนั้น ‘มากเกินไป’ ตอนนี้สัดส่วนการถือหุ้นของเขาใน JD.com เพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าเป็น 250,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 11 ล้านดอลลาร์ หรือ 11% ของพอร์ต ส่วน Alibaba ก็เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า คิดเป็นมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้น Alibaba และ JD.com ทำผลงานได้ไม่ดีนัก นับตั้งแต่จีนเปิดเมืองอย่างเป็นทางการอีกครั้งเมื่อต้นปี โดยหุ้น JD.com ติดลบ -32% ในปีนี้ และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วรายงานการเติบโตของรายได้ที่ต่ำที่สุดครั้งประวัติการณ์ ส่วน Alibaba ปรับตัวเพียงเล็กน้อย แม้บริษัทเพิ่งจะประกาศยกเครื่องบริษัทครั้งใหญ่ก็ตาม เบอร์รีมีชื่อเสียงมาจากการทำนาย วิกฤติซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2008 ได้อย่างถูกต้อง จนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Big Short ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-16/michael-burry-doubles-alibaba-stake-in-big-bet-on-china-tech?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba jd.com Michael Burry News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ทำไมปู่บัฟเฟตต์ชอบลงทุนใน ‘ญี่ปุ่น’ มากกว่า ‘ไต้หวัน’? ทั้งที่ชม TSMC ว่าเป็นบ.ที่มีการจัดการที่ดีที่สุดและสำคัญสุดในโลก - FINNOMENA ตำนานนักลงทุน ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ บอกว่า ชอบเอาเงินไปลงทุนใน ‘ญี่ปุ่น’ มากกว่า ‘ไต้หวัน’ เพราะประเด็นด้านการเมืองระหว่างจีนและไต้หวัน ทำให้เขาต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นผู้ผลิตชิปอย่าง TSMC 8 พ.ค. 2566 ตำนานนักลงทุน ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ บอกว่า ชอบเอาเงินไปลงทุนใน ‘ญี่ปุ่น’ มากกว่า ‘ไต้หวัน’ เพราะประเด็นด้านการเมืองระหว่างจีนและไต้หวัน ทำให้เขาต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นผู้ผลิตชิปอย่าง TSMC ในการประชุมประจำปีของ Berkshire Hathaway เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (6 พ.ค.) ปู่บัฟเฟตต์ยอมรับว่า Taiwan Semiconductor หรือ TSMC เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการจัดการที่ดีที่สุดและมีความสำคัญที่สุดในโลก โดยไม่ใครในอุตสาหกรรมชิปที่สู้กับบริษัทนี้ได้ แม้จะชื่นชอบบริษัท แต่ Berkshire Hathaway ลดสัดส่วนการถือหุ้น TSMC ลง 86% ในไตรมาสที่ 4 หลังจากรายงานการลงทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเดือน พ.ย. โดยบัฟเตต์ให้เหตุผลการลดสัดส่วนการถือหุ้นมาจาก ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและไต้หวัน สำหรับจีนและสหรัฐฯ บัฟเฟตต์แนะนำให้ทั้ง 2 ประเทศทำความเข้าใจว่า ‘เกม’ คืออะไร และไม่ควรกดดันมากเกินไป เพราะทั้งคู่จะต้องทั้งแข่งขันกันและประสบความสำเร็จ ส่วนคู่หูของปู่บัฟเฟตต์อย่าง ‘ชาลี มังเกอร์’ เรียกร้องให้ทั้งจีนและสหรัฐฯ มีความเมตตาซึ่งกันและกันระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง วันนี้ (8 พ.ค.) ราคาหุ้นของ TSMC พุ่งขึ้น 1.8% ในตลาดหุ้นไต้หวัน นอกจากนี้บัฟเฟตต์ยังส่งสัญญาณว่า ถึงความตั้งใจที่จะลงทุนเพิ่มเติมในญี่ปุ่น หลังจากที่เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทการค้าของญี่ปุ่นอยู่ 7.4% แต่บัฟเฟตต์บอกว่าจะถือไม่เกิน 9% ‘เกร็ก อาเบล’ ผู้สืบทอดของบัฟเฟตต์ซึ่งร่วมเดินทางไปญี่ปุ่นกับเขาเมื่อเดือนที่แล้ว เรียกบริษัทญี่ปุ่นดังกล่าวว่าเป็น “การลงทุนที่เหลือเชื่อ” “สิ่งต่างๆ ที่ญี่ปุ่นนั้นเรียบง่าย ฉันชอบดูบริษัทต่างๆ ฉันชอบดูตัวเลขเกี่ยวกับบริษัท” บัฟเฟตต์กล่าว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-08/buffett-favors-japan-over-taiwan-as-he-laments-geopolitics ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Berkshire Hathaway News Update Warren Buffett ญี่ปุ่น ไต้หวัน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นจีนส่งสัญญาณหยุดร่วง? จากแรงช้อนซื้อของนักลงทุน ซึ่งตลอดเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดของหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่หายไปแล้ว $446,000 ล้าน - FINNOMENA ตลาดหุ้นจีนส่งสัญญาณ ‘หยุดร่วง’? จากแรงช้อนซื้อของนักลงทุน ซึ่งตลอดเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดของหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่หายไปแล้ว 446,000 ล้านดอลลาร์ จากประเด็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ 26 เม.ย. 2566 ตลาดหุ้นจีนส่งสัญญาณ ‘หยุดร่วง’? จากแรงช้อนซื้อของนักลงทุน ซึ่งตลอดเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดของหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่หายไปแล้ว 446,000 ล้านดอลลาร์ จากประเด็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ช่วงบ่ายวันนี้ (26 เม.ย.) ดัชนี CSI 300 และ MSCI ปรับตัวขึ้นมา ก่อนจะปรับตัวลงต่อเล็กน้อย โดยดัชนี MSCI China ปรับตัวลงติดต่อกันมา 6 วัน กลายเป็นเดือน เม.ย.ที่หุ้นจีนทำผลตอบแทนแย่สุดนับตั้งแต่ปี 2004 เหล่าเทรดเดอร์พยายามมองหาปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนตลาดจีน ทั้งการรายงานผลประกอบการของบริษัท การท่องเที่ยวที่น่าจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงวันหยุดยาว Golden Week ของจีน (1-7 ต.ค. ของทุกปี) รวมถึงการประชุมของ Politburo ที่จะมีการหารือเกี่ยวกับลำดับความสำคัญทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า รัฐบาลจีนจะเน้นนโยบายไปสร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจและเพิ่มงาน โดยไม่ต้องออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะที่นักลงทุนส่วนหนึ่งมองว่ารัฐบาลจีนจะเน้นไปที่ประเด็นทางการเมืองมากกว่าและนี่จะส่งผลและท้าทายต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ การลดลงอย่างต่อเนื่องของหุ้นจีนในเดือน เม.ย. ดับฝันการมองโลกในแง่ดีที่ว่าหุ้นจีนจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ขณะที่หุ้นจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ สูญเสียมูลค่าตลาดกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนนี้ ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนแย่ลงต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากมีรายงานว่าสหรัฐฯ กำลังเตรียมขั้นตอนเพิ่มเติมเพื่อควบคุมความพยายามด้านเทคโนโลยีของจีน นักลงทุนจำนวนมากตั้งคำถามถึงความน่าดึงดูดใจของสินทรัพย์ของจีน เมื่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของประเทศกับสหรัฐฯ แย่ลงอย่างรวดเร็ว โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า นักลงทุนสหรัฐยังคง ‘ลังเล’ ต่อการลงทุนในจีน อย่างไรก็ตาม Goldman Sachs มองว่า หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่จะสามารถฟื้นตัวได้จากการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งตอนนี้ 90% ของบริษัทต่างๆ คาดการณ์กำไรในเชิงบวกซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 60-70% ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-26/china-stock-selloff-eases-after-446-billion-in-value-wiped-out?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นจีน หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BYD ขึ้นแท่นแบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในจีน แซงหน้าแชมป์เก่า 15 สมัยอย่าง Volkswagen ที่ออกปากยอมรับว่า “BYD แข็งแกร่งมาก” - FINNOMENA บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่ Warren Buffett ชื่นชอบwfhรายงานยอดขายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปี 2023 มากกว่า 440,000 คันในจีน ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว Wang Chuanfu ซีอีโอของบริษัทบอกว่า มีเป้าหมายที่จะแซง Volkswagen ภายในสิ้นปี 2566 และเขาก็ทำได้ 26 เม.ย. 2566 บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่ Warren Buffett ชื่นชอบwfhรายงานยอดขายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปี 2023 มากกว่า 440,000 คันในจีน ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว Wang Chuanfu ซีอีโอของบริษัทบอกว่า มีเป้าหมายที่จะแซง Volkswagen ภายในสิ้นปี 2566 และเขาก็ทำได้ ข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยียานยนต์และการวิจัยของจีนระบุว่า Volkswagen เป็นแบรนรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในจีนมาตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 427,247 คันในจีน แต่มีสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่เพียง 6% เทรนด์นี้สะท้อนชัดเจนถึงอิทธิพลที่ลดลงของแบรนด์ต่างประเทศ ในขณะที่แบรนด์ในประเทศสามารถพัฒนารุ่นรถที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในราคาที่ย่อมเยากว่า แม้กระทั่ง Oliver Blume ซึ่งเป็นซีอีโอของ Volkswagen ก็เคยยอมรับในงานแสดงรถยนต์ที่เซี่ยงไฮ้ในเดือนนี้ว่า “BYD แข็งแกร่งมาก” พร้อมบอกว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ปริมาณยอดขายไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการเป็นแบรนด์ต่างชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับจีน ในปี 2022 ที่ผ่านมา BYD ขายรถยนต์ไปได้ทั้งหมด 1.86 ล้านคัน มากกว่าที่เคยทำได้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาร่วมกัน สำหรับตลาดโลก BYD ขายรถยนต์ได้เกือบ 550,000 คัน ในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยบริษัทมีความตั้งใจที่จะผลักดันไปยังตลาดต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับยุโรป ละตินอเมริกา และตลาดทั่วเอเชีย แต่ยังไม่มีแผนจะขายที่สหรัฐฯ BYD ตั้งเป้าขายรถยนต์อย่างน้อย 3 ล้านคันในปีนี้ ขณะที่ทาง Bloomberg Intelligence คาดว่าอาจสูงถึง 3.7 ล้านคัน ตลาดจับตาการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกในวันพฤหัสบดีนี้ (27 เม.ย.) ซึ่งราคาหุ้น BYD ในตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 16% แล้วในปีนี้ ทำให้มีมูลค่าตลาดประมาณ 95 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับ 77 พันล้านดอลลาร์ของ Volkswagen และ 515 พันล้านดอลลาร์ของ Tesla ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-25/byd-overtakes-volkswagen-as-china-s-best-selling-car-brand?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BlackRock มองสินทรัพย์ ‘ตลาดเกิดใหม่’ มีความได้เปรียบ ทั้งหุ้นและพันธบัตร เพราะสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่า Fed - FINNOMENA ฝ่ายวิจัยของ BlackRock มีมุมมองเชิงบวกขึ้นมากต่อ ‘ตลาดเกิดใหม่’ หรือ EM ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศที่ธนาคารกลางดำเนินการและสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่า Fed มาก 25 เม.ย. 2566 ฝ่ายวิจัยของ BlackRock มีมุมมองเชิงบวกขึ้นมากต่อ ‘ตลาดเกิดใหม่’ หรือ EM ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศที่ธนาคารกลางดำเนินการและสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่า Fed มาก มุมมองระยะสั้นของ BlackRock ในฐานะผู้จัดการการเงินรายใหญ่ที่สุดของโลกชื่นชอบทั้งหุ้นและพันธบัตรจากประเทศกำลังพัฒนามากกว่าหุ้นที่มาจากประเทศเศรษฐกิจโตแล้ว จากทั้งแนวโน้มการเปิดเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบของจีน และวงจรการขึ้นดอกเบี้ยที่ใกล้สิ้นสุดแล้วในตลาดเกิดใหม่ ทีมนักกลยุทธ์ของบริษัทที่นำโดย Wei Li ระบุว่า สัญญาณการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดน้อยลงของ Fed และดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ก็เป็นเหตุผลในการสนับสนุนสินทรัพย์การเงินในประเทศกำลังพัฒนาเช่นกัน “สำหรับตอนนี้ สินทรัพย์ EM มีความได้เปรียบ ทั้งความยืดหยุ่นที่ชัดเจนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจของ EM ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว (DM) ชะลอตัวลง” BlackRock ระบุ ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นไปอีกนานเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เหนียวแน่น แต่ตลาดเกิดใหม่นั้นมีความยืดหยุ่นมากกว่า ขณะที่สกุลเงินที่กำลังพัฒนาแข็งค่าขึ้น แม้ว่า Fed จะใกล้ยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผู้กำหนดนโยบายในประเทศดังกล่าว จะสามารถแยกตัวออกจากสหรัฐฯ และยังคงหลีกเลี่ยงการอ่อนค่าได้ ส่วนประเทศต่างๆ อย่างราซิล อินเดีย และเกาหลีใต้ ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระหว่างการประชุมครั้งล่าสุด BlackRock ชื่นชอบทั้งหุ้น EM และพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่น โดยเฉพาะตราสารหนี้จากประเทศที่มีอันดับเครดิตสูงกว่า เช่น เม็กซิโก ที่เงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง และระดับหนี้ต่อ GDP ที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นเกิดใหม่ของ MSCI พิ่มขึ้นเพียง 2% ในปีนี้ ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานทั่วโลกมากกว่า 6 ppt ในขณะเดียวกันพันธบัตรดอลลาร์ก็ล้าหลังกลุ่มตราสารหนี้ทั่วโลกอื่นๆ ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-24/blackrock-says-emerging-markets-have-an-edge-over-rest-of-world?srnd=premium-asia&leadSource=uverify%20wall&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BlackRock News Update ตลาดเกิดใหม่ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
9 Step แบบเงินลงทุน DCA กองทุน SSF-RMF ง่าย ๆ ภายใน 5 นาที - FINNOMENA หมดกังวลสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลามา DCA กองทุน SSF RMF ด้วยตัวเอง เพราะตอนนี้ FINNOMENA ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ DCA อัตโนมัติ สำหรับแผนลงทุน Tax saving มาให้แล้ว สะดวกสบายเพราะตั้งค่าแผนลงทุนแค่ครั้งเดียว และระบบจะทำการลงทุนอัตโนมัติให้ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ 20 เม.ย. 2566 ข่าวดีสำหรับลูกค้า FINNOMENA ปัจจุบันทาง FINNOMENA ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ DCA อัตโนมัติ สำหรับแผนลงทุน Tax saving ซึ่งสามารถตั้งรายการลงทุนกองทุน SSF-RMF รายเดือน แบบอัตโนมัติได้ด้วยตัวเองผ่านแอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ FINNOMENA โดยสามารถตั้งรายการลงทุนเพียงครั้งเดียว และระบบจะทำการลงทุนอัตโนมัติให้ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ รวมทั้งปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลาเช่นกัน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่วางแผนลงทุนในระยะยาว ต้องการสร้างวินัยในการลงทุน อยากได้ความสม่ำเสมอในแต่ละเดือนในจำนวนเงินที่เท่ากัน อยากลดความเสียงในการลงทุน โดยไม่ต้องคำนึงถึงราคาที่ผันผวน เพราะต้นทุนจะถูกถัวเฉลี่ยไปเรื่อย ๆ และเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลามาจับจังหวะตลาด หรือดูข่าวสารตลอดเวลาอย่างใกล้ชิด ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DCA ได้ที่ DCA คืออะไร? ดีสำหรับเราจริงหรือ? I POCKET MONEY EP7 สร้างวินัยให้พอร์ตการลงทุนแข็งแรง ด้วยการทำ DCA เลือกจับจังหวะซื้อแบบ Market Timing หรือ ทยอยลงทุนแบบ DCA ดี? การลงทุนแบบ DCA ในกองทุน SSF-RMF สามารถลงทุนได้ทั้ง 21 บลจ. บน FINNOMENA โดยมี 9 ขั้นตอนแบบละเอียดดังนี้ 9 Step แบ่งเงินลงทุน DCA กองทุน SSF-RMF หากพร้อมลงทุนในกองทุน SSF-RMF แบบ DCA รายเดือนอัตโนมัติ กับ FINNOMENA ‍‍‍สามารถเปิดแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ แล้วเลือกสร้างแผน “Tax Saving” ได้เลย 👉 คลิกได้ที่นี่ >>> https://finnomena.onelink.me/10bl/1g4yqn9g อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SSF-RMF ความรู้เกี่ยวกับ SSF และ RMF E-Book เลือกกองทุน SSF & RMF อย่างไร ให้ประสบความสำเร็จ กองทุน SSF คืออะไร? ต่างจาก LTF อย่างไร? RMF ปรับเกณฑ์ใหม่ ไม่มีขั้นต่ำ!! “RMF” คืออะไร? ทบทวนเงื่อนไขพร้อมกองทุนแนะนำ! I TAX เพื่อนๆ EP3 คัมภีร์มหากาพย์กองทุน SSF กองไหนดี ต้องซื้อไหม ซื้อได้เท่าไร? สุดยอดกองทุนลดหย่อนภาษี ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปิดบัญชี FINNOMENA ได้ที่ เปิดบัญชีซื้อ SSF-RMF กับ FINNOMENA โอกาสทำกำไรพร้อมลดหย่อนภาษี วิธีสร้างแผนการลงทุนพร้อมเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนกับ FINNOMENA แบบ Step by Step พาเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวม นั่งอยู่บ้าน 5 นาที ไม่ต้องส่งเอกสาร พร้อมเทียบให้หมด ที่ไหนเปิดที่เดียวซื้อได้ทุกบลจ. บ้าง พาซื้อกองทุนรวมผ่าน FINNOMENA พร้อมความพิเศษต่าง ๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่น คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF และ RMF ก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Article Basic DCA Dollar Cost Averaging Knowledge Product Info RMF Short Content SSF TAX Tax DCA Tax Saving Fund ประหยัดภาษี วางแผนภาษี แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ทำไมทั่วโลกถึงขาดแคลน ‘ข้าว’ หนักสุดในรอบ 20 ปี? ใครได้รับผลกระทบหนักสุด? แล้วปัญหาจะยืดเยื้อนานแค่ไหน? - FINNOMENA ตอนนี้ทั่วโลก ตั้งแต่จีน สหรัฐฯ ไปจนถึงสหภาพยุโรป กำลังการผลิตข้าวที่ลดลงได้ผลักดันให้ราคาข้าวพุ่งสูงขึ้น เรื่องนี้กระทบต่อผู้คน 3,500 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะชาวเอเชียแปซิฟิกที่บริโภคข้าว 90% ของทั้งโลก 19 เม.ย. 2566 ตอนนี้ทั่วโลก ตั้งแต่จีน สหรัฐฯ ไปจนถึงสหภาพยุโรป กำลังการผลิตข้าวที่ลดลงได้ผลักดันให้ราคาข้าวพุ่งสูงขึ้น เรื่องนี้กระทบต่อผู้คน 3,500 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะชาวเอเชียแปซิฟิกที่บริโภคข้าว 90% ของทั้งโลก เรื่องดังกล่าวยืนยันโดยข้อมูลจาก Fitch Solutions ที่คาดการณ์ว่า ในปี 2023 นี้ ตลาดข้าวทั่วโลกจะเข้าสู่ภาวะขาดแคลนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษ ซึ่งผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนคือ ‘ราคาข้าว’ ที่แพงในรอบทศวรรษ (ตอนนี้ราคาข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 17.30 ดอลลาร์ต่อตัน) และเนื่องจากว่าข้าวคืออาหารหลักของคนเอเชีย ดังนั้น ราคาข้าวที่แพงขึ้นจึงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อของราคาอาหาร ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าคนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในเรื่องนี้คือ ‘ครัวเรือนที่ยากจน’ 🍚สาเหตุที่ทำให้ข้าวขาดแคลนคือ ผลกระทบจากสงครามในยูเครน และสภาพอากาศที่ย่ำแย่ในประเทศที่ผลิตข้าวอย่างจีนและปากีสถาน อย่างในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว พื้นที่เพาะปลูกในจีน ซึ่งผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้รับผลกระทบจากมรสุมฤดูร้อนและน้ำท่วมอย่างหนัก ขณะที่ปากีสถานก็เผชิญกับน้ำท่วมรุนแรงจนผลผลิตในปีที่แล้วลดลง 31% ของปีก่อนหน้า 🍚แล้วประเทศไหนได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้บ้าง? นักวิเคราะห์ของ Rabobank มองว่า การขาดดุลข้าวทั่วโลกในปี 2023 จะเพิ่มต้นทุนการนำเข้าข้าวสำหรับผู้นำเข้ารายใหญ่ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย รวมถึงประเทศในแอฟริกา ขณะที่นักวิเคราะห์วิจัยของ Gro Intelligence กล่าวว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการขาดดุลมากที่สุดคือประเทศที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อราคาอาหารภายในประเทศสูงอยู่แล้ว เช่น ปากีสถาน ตุรกี ซีเรีย และบางประเทศในแอฟริกา 🍚ปัญหาขาดแคลนข้าวจะยืดเยื้อนานแค่ไหน? ข่าวดีจากการประมาณการของ Fitch Solutions ก็คือปัญหาดังกล่าวอาจแก้ไขได้และตลาดข้าวทั่วโลกจะกลับสู่ตำแหน่งที่ ‘เกือบสมดุล’ ในปี 2023/24 และจะกลับมาเกินดุลในปี 2024/25 โดยคาดว่าราคาข้าวลดลงเกือบ 10% เป็น 15.50 ดอลลาร์ต่อตันในปี 2024 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้และส่งผลต่อการผลิตข้าวคือ ‘สภาพอากาศ’ อย่างในอินเดียที่คาดว่าจะเผชิญกับคลื่นความร้อนที่รุนแรงตลอดไตรมาสที่ 2-3 ของปีนี้ ขณะที่ในจีน ก็กำลังประสบกับภาวะแห้งแล้งที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษเช่นกัน ที่มา: https://www.cnbc.com/2023/04/19/global-rice-shortage-is-set-to-be-the-largest-in-20-years-heres-why.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ข้าว ข้าวขาดแคลน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จุดจบสายแชร์! รอบนี้ Netflix เอาจริง เตรียมจัดการเด็ดขาดกับสมาชิก 100 ล้านคนที่แชร์พาสเวิร์ดในไตรมาส 2 นี้ หลังงบไตรมาส 1 ต่ำกว่าคาด - FINNOMENA Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วง 10% หลังปิดตลาด โดยบริษัทประกาศว่าจะจัดการเด็ดขาดต่อการแชร์พาสเวิร์ดในไตรมาสหน้า 19 เม.ย. 2566 Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วง 10% หลังปิดตลาด โดยบริษัทประกาศว่าจะจัดการเด็ดขาดต่อการแชร์พาสเวิร์ดในไตรมาสหน้า ล่าช้าจากก่อนหน้านี้บอกว่าจะจัดการตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสแรก ผลประกอบการไตรมาสแรกของ Netflix ในปี 2023 – กำไรต่อหุ้น: $2.88 ต่ำกว่าคาดการณ์โดย Refinitiv ที่ $2.86 – รายได้: 8,160 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์โดย Refinitiv ที่ 8,180 ล้านดอลลาร์ แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 7,870 ล้านดอลลาร์ – กำไร: 1,310 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 1,600 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปีที่แล้ว การจัดการผู้ใช้งานที่แชร์พาสเวิร์ดเป็นสิ่งที่นักลงทุนนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ โดยบริษัทกล่าวว่า จะเริ่มใช้มาตรการเพื่อให้ผู้ที่ยืมบัญชีอื่นสร้างบัญชีของตนเอง Netflix ระบุว่า มีผู้ใช้งานากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ของฐานผู้ใช้ทั่วโลกที่ ‘แชร์พาสเวิร์ด’ สิ่งนี้ส่งผลต่อการลงทุนสร้างภาพยนตร์หรือซีรีส์เรื่องใหม่ๆ โดย Netflix กล่าวว่า ทั้งการมีแพ็กเกจถูกลงแต่ต้องดูโฆษณา และการจัดการการแชร์พาสเวิร์ดมีจุดมุ่งเน้นเพื่อเพิ่มกำไรของบริษัท ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.พ. ที่ประเทศนิวซีแลนด์ แคนาดา โปรตุเกส และสเปน Netflix ระบุว่าจะขอให้ผู้ใช้งานตั้งค่า ‘ตำแหน่งหลัก’ ของตัวเอง และอนุญาตให้ผู้ใช้สร้าง ‘บัญชีย่อย’ ได้สูงสุด 2 บัญชีสำหรับผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านเกิด แต่จะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม Netflix ระบุว่า ในไตรมาส 2 การจัดการจะเป็นวงกว้าง รวมถึงในสหรัฐฯ และประเทศส่วนใหญ่ Greg Peters Co-CEO ของบริษัท อธิบายว่า การจัดการการแชร์รหัสผ่านจะทำให้มีการยกเลิกการสมัครสมาชิกในช่วงแรก แต่สุดท้ายคนดูจะค่อยๆ กลับมา และสมัครด้วยบัญชีของตัวเอง ที่มา: https://www.cnbc.com/2023/04/18/netflix-nflx-1q23-earnings.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Netflix News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Nio แสดงจุดยืนไม่ร่วม ‘สงครามราคา’ มั่นใจผลิตภัณฑ์และบริการคุ้มค่าราคา บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ฟรี 4 ครั้งต่อเดือน - FINNOMENA หนึ่งในบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของจีนอย่าง Nio ออกมาบอกว่าจะไม่ร่วม ‘สงครามราคา’ กับผู้ผลิตเจ้าอื่น โดยจะรักษาราคาไว้ในระดับสูงต่อไป ทำไมถึงมั่นใจแบบนั้น? 18 เม.ย. 2566 หนึ่งในบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของจีนอย่าง Nio ออกมาบอกว่าจะไม่ร่วม ‘สงครามราคา’ กับผู้ผลิตเจ้าอื่น โดยจะรักษาราคาไว้ในระดับสูงต่อไป ทำไมถึงมั่นใจแบบนั้น? ซีอีโอ William Li ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ว่า “Nio จะไม่เข้าร่วมสงครามราคาอย่างแน่นอน เพราะมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์และการบริการของบริษัทคุ้มค่ากับราคา” จุดยืนของ Nio แตกต่างจาก Tesla อย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ Elon Musk ประกาศลดราคาทั้งในจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับแล้ว รถยนต์ SUV และรถซีดานของ Nio ถือว่าแพงว่า Tesla ค่อนข้างมาก แต่ตลาดหลักของ Nio คือรถยนต์ในกลุ่มพรีเมียม William Li กล่าวว่า บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการบริการลูกค้า เช่น การเพิ่มสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่และสถานีชาร์จ ซึ่งจุดเด่นของเทคโนโลยีคือ สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ภายในไม่กี่นาที สำหรับคนที่ไม่ต้องการรอชาร์จนานๆ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Nio ประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป ผู้ที่วางเงินมัดจำจองรถยนต์ไฟฟ้า ‘บางรุ่น’ จะสามารถใช้บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ของบริษัทได้ฟรี 4 ครั้งต่อเดือน (ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่ให้เปลี่ยนได้ 6 ครั้งต่อเดือน) นอกจากนี้บริษัทจะเริ่มเก็บค่าบริการ 380 หยวนต่อเดือน (ประมาณ 1,900 บาท) สำหรับระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ชื่อว่า Navigate on Pilot (NOP) ซึ่งจะช่วยในการจอดรถรวมถึงการเปลี่ยนเลน ซึ่งบริการต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็น ‘จุดขาย’ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าในจีน ยอดขายรถยนต์ของ Nio เพิ่มขึ้น 37% ในปีที่แล้ว อยู่ที่ 45,510 ล้านหยวน (ประมาณ 228,000 ล้านบาท) แต่ในภาพรวมแล้วบริษัทยังคงขาดทุนอยู่ ในไตรมาสแรกของปีนี้ Nio ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าไปทั้งหมด 31,041 คัน เพิ่มขึ้น 20.5% จากปีที่แล้ว ถือว่าน้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Li Auto ที่ส่งมอบไปทั้งหมด 52,000 คัน เพิ่มขึ้นถึง 50% จากปีที่แล้ว ขณะที่ยอดรวมส่งมอบทั้งประเทศจีนอยู่ที่ 1.3 ล้านคัน รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากประเทศจีนเป็นหลัก โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบาสนับสนุนของรัฐบาล ส่วนการขยายไปยังตลาดต่างประเทศนั้น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Nio เริ่มจัดส่งไปยังประเทศต่างๆ ในยุโรป เช่น นอร์เวย์และเยอรมนี ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปและปักกิ่งที่ไม่ราบรื่น ที่มา: https://www.cnbc.com/2023/04/18/nio-says-it-wont-join-the-price-war-and-slash-prices-like-tesla.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Nio รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Bloomberg Intelligence ชี้ ความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจอันเลวร้ายที่สุดของอเมริกา ‘เกิดขึ้นไปแล้ว’ เมื่อ ธ.ค. ที่ผ่านมา - FINNOMENA หุ้นสหรัฐฯ กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปีนี้ แม้เผชิญกับทั้ง 1) การล่มสลายของภาคธนาคาร 2) ความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และ 3) คาดการณ์กำไรของบริษัทที่มืดมนที่สุดในรอบหลายปีก็ตาม คำถามก็คืออะไรที่ทำให้ราคาหุ้นยังพุ่งขึ้นมาได้? 17 เม.ย. 2566 หุ้นสหรัฐฯ กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปีนี้ แม้เผชิญกับทั้ง 1) การล่มสลายของภาคธนาคาร 2) ความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และ 3) คาดการณ์กำไรของบริษัทที่มืดมนที่สุดในรอบหลายปีก็ตาม คำถามก็คืออะไรที่ทำให้ราคาหุ้นยังพุ่งขึ้นมาได้? คำอธิบายที่เป็นไปได้และไม่เลวร้ายอย่างที่คิดตามแบบจำลองของ Bloomberg Intelligence ที่รู้จักกันในชื่อ Economic Regime Index ก็คือ ความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจอันเลวร้ายที่สุดของอเมริกา ‘เกิดขึ้นไปแล้ว’ เมื่อหลายเดือนก่อน ขณะที่ ดัชนีอธิบายว่าปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด ‘ภาวะเศรษฐกิจถดถอย’ ทั้งการใช้กำลังการผลิต การขอรับสวัสดิการว่างงาน การผลิต และความเชื่อมั่นโดยรวมของตลาด บ่งชี้ว่า ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอาจเริ่มไปแล้วเมื่อเดือน มิ.ย. และถึงจุดต่ำสุดในเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว นอกจากนี้ดัชนียังส่งสัญญาณถึงความอ่อนแอในระบบเศรษฐกิจ โดยตราบใดที่เศรษฐกิจยังคงอยู่เหนือระดับต่ำสุดในช่วงปลายปี 2022 แนวโน้มก็จะเอื้อต่อดัชนี S&P 500 Gillian Wolff นักวิเคราะห์ของ Bloomberg Intelligence กล่าวว่า เรื่องนี้อาจเป็นที่ถกเถียงกันว่า เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือเราอยู่ในนั้นแล้ว ภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาคดูเหมือนว่าจุดที่แย่ที่สุดเกิดขึ้นแล้วในเดือน ธ.ค. 2022 ดังนั้น มีแนวโน้มว่าจะมีการสนับสนุนที่สำคัญสำหรับหุ้นในอนาคต ย้อนกลับไปดูภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้ง 8 ครั้งตั้งแต่ปี 1970 ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงสามเดือนอยู่ที่ 8.9% และ 20% ในช่วง 12 เดือนหลังจากจุดต่ำสุดนั้น ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นมา 8.2% แล้วในปีนี้ นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะหยุดขึ้นดอกเบี้ย ณ จุดใดจุดหนึ่งของปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้การขึ้นดอกเบี้ยกระตุ้นให้ S&P 500 ลดลง 19% ในปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-16/case-for-stocks-is-seen-in-model-showing-economic-bottom-is-past?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update หุ้นสหรัฐฯ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นักวิเคราะห์ JPMorgan เตือนตลาดหุ้นสงบ = สัญญาณก่อนพายุกำลังมา คาดตลาดหุ้นจะกลับไปอยู่จุดต่ำสุดในระดับเดียวกับปี 2022 ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ - FINNOMENA Marko Kolanovic นักกลยุทธ์ของ JPMorgan เตือนภาวะ Risk-on ในตลาด หรือการที่นักลงทุนมองว่า ตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นและเสี่ยงต่ำนั้นมี ‘ความไม่แน่นอน’ จากทั้งความวุ่นวายในภาคธนาคาร ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น และการเติบโตที่ชะลอตัวลง จนสุดท้ายจะนำตลาดหุ้นกลับไปอยู่ระดับต่ำสุดเช่นเดียวกับในปี 2022 4 เม.ย. 2566 Marko Kolanovic นักกลยุทธ์ของ JPMorgan เตือนภาวะ Risk-on ในตลาด หรือการที่นักลงทุนมองว่า ตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นและเสี่ยงต่ำนั้นมี ‘ความไม่แน่นอน’ จากทั้งความวุ่นวายในภาคธนาคาร ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น และการเติบโตที่ชะลอตัวลง จนสุดท้ายจะนำตลาดหุ้นกลับไปอยู่ระดับต่ำสุดเช่นเดียวกับในปี 2022 Kolanovic ระบุในโน้ตถึงลูกค้าว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่มีความตั้งใจที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แต่สินทรัพย์เสี่ยงกำลังแสดงการปรับตัวขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่หุ้นยุโรปซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาล และหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากการขาดทุน ดังนั้น JPMorgan มองว่าจะเกิดการพลิกกลับในความเชื่อมั่นของนักลงทุน และตลาดจะทดสอบระดับต่ำของปีที่แล้วอีกครั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ราคาหุ้นยังคงฟื้นตัวได้ในปีนี้ แม้อัตราดอกเบี้ยในระดับสูงจะบั่นทอนผลกำไรของบริษัท การเติบโตที่ช้าลง และจุดชนวนให้เกิดการล่มสลายของธนาคารหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ โดยดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 7% ในไตรมาสแรกหลังจากลดลงเกือบ 20% ในปี 2022 ส่วนกำไรจากหุ้นเทคโนโลยีได้ผลักดันให้ Nasdaq 100 เพิ่มขึ้น 20% ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมและเข้าสู่ตลาดขาขึ้น ด้านหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนมองว่า ความวุ่นวายในภาคธนาคารจะกระตุ้น Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม Kolanovic มองว่า เงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ‘ไม่สมเหตุสมผล’ และได้รับแรงหนุนมาจากการชอร์ตหุ้น และการลดลงของ Cboe Volatility Index หรือ VIX อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-03/jpmorgan-s-kolanovic-warns-stocks-are-in-calm-before-the-storm?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: JPMorgan News Update ตลาดหุ้น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงพุ่ง 3% หลัง BABA ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ - FINNOMENA วันนี้ (29 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวขึ้น 3% นำโดยหุ้น Alibaba (BABA) ปรับตัวขึ้น 15% หลังบริษัทประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มมูลค่ากิจการและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 29 มี.ค. 2566 วันนี้ (29 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวขึ้น 3% นำโดยหุ้น Alibaba (BABA) ปรับตัวขึ้น 15% หลังบริษัทประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มมูลค่ากิจการและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดย BABA จะแบ่งธุรกิจเป็น 6 กลุ่มเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหาร และเตรียม IPO ใน 5 กลุ่มธุรกิจ ทั้งนี้การประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจของ BABA เกิดขึ้นภายหลังจากการปรากฏตัวของแจ๊ค หม่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย 6 กลุ่มธุรกิจที่ BABA เตรียมแบ่งออกมาได้ 1) Cloud Intelligence Group 2)Taobao Tmall Commerce Group 3) Local Services Group 4) Cainiao Smart Logistics 5) Global Digital Commerce Group และ 6) Digital Media and Entertainment Group FINNOMENA Investment Team มองว่าการออกมาปรากฏตัวของแจ็ค หม่า พร้อมประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่ของ BABA ครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่า BABA เตรียมเดินหน้าสู่ตลาดการเงินอีกครั้งซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และทำให้ Sentiment ต่อภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นจีน และฮ่องกงดูดีขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการสะท้อนว่ารัฐบาลจีนอาจมีความเข้มงวดต่อบริษัทเทคโนโลยีจีนน้อยลง แต่อย่างไรก็ดีการกีดกันบริษัทเทคโนโลยีจีนจากรัฐบาลสหรัฐฯ จะยังคงเป็นความเสี่ยงในภาพรวมที่ต้องติดตามต่อไป เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นจีน All China หลังรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ส่งผลให้ภาคธุรกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยแนะนำทยอยสะสมในกองทุน K-CHINA-A และกองทุน KT-ASHARES-A สำหรับหุ้นจีน A-shares ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘ดอยซ์แบงก์’ หุ้นร่วงแรง -30% จากต้นปี ตลาดกังวลความเสี่ยงใหม่ภาคการเงินยุโรป นักวิเคราะห์เชื่อฐานะ "ยังแข็งแกร่ง" ไม่เหมือน ‘เครดิตสวิส’ - FINNOMENA Mr.Messenger เล่าว่า นับจากจุดสูงสุดของต้นปี 2023 หุ้นของ Deutsche Bank หรือ DB ปรับตัวลงมาแล้วมากกว่า -30% โดยถ้าจะบอกว่า แรงขายที่เกิดขึ้น เป็นแค่ Aftershock ต่อจาก Credit Suisse แต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ก็ดูจะมองโลกในแง่ดีเกินไปซักหน่อย 27 มี.ค. 2566 Mr.Messenger เล่าว่า นับจากจุดสูงสุดของต้นปี 2023 หุ้นของ Deutsche Bank หรือ DB ปรับตัวลงมาแล้วมากกว่า -30% โดยถ้าจะบอกว่า แรงขายที่เกิดขึ้น เป็นแค่ Aftershock ต่อจาก Credit Suisse แต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ก็ดูจะมองโลกในแง่ดีเกินไปซักหน่อย แต่ถ้าจะบอกว่า DB คือ โดมิโนตัวต่อไป ก็ต้องบอกว่า หากมองจากราคาหุ้นของเขาในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ธนาคารเขาก็เหมือนจะมีปัญหามาอยู่ก่อนแล้ว เพราะจากจุดสูงสุดที่ €86.23 ต่อหุ้น ที่ตลาดหลักทรัพย์เยอรมัน ล่าสุดเมื่อคืนปิดที่ราคา €8.54 ต่อหุ้น หรือคิดเป็น ติดลบ -90% แสดงว่า ปัญหาของ DB เรื้อรังมายาวนาน คล้ายๆกับ CS เหมือนกัน แล้วทำไม Deutsche Bank ถึงมาอยู่ใน Spotlight แทน Credit Suisse ในวันนี้? เพราะ CDS (Credit Default Swap) ของ DB ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่านักลงทุนกลัวว่าธนาคารอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยเมื่อคืน CDS หุ้นกู้ Subordinated Bond ของ DB พุ่งขึ้นไปถึง 560 จุด หรือ คิดเป็นโอกาสที่จะผิดนัดชำระหนี้สูงถึง 31% ถึงไม่สูงเท่ากรณีของ CS แต่ก็ใกล้กับตอนเจอโควิด หรือ ตอนจ่ายค่าปรับตอนปี 2016 และไม่ใช่ DB ที่นักลงทุนขายหุ้นกันออกมาตอนนี้ แต่หุ้นธนาคารในยุโรปก็โดนเทกันทุกตัว อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าไปดูฐานะการเงินของ DB ในตอนนี้ และปัญหาของ DB ที่ถูกแก้ไขในทิศทางที่ถูกต้อง นักวิเคราะห์จาก Autonomous Research ก็ยังออกมายืนยันว่า DB ไม่ใช่ the next CS ถ้าดูที่ LCR หรือ Liquidity Coverage Ratio ตอนนี้ก็อยู่เกิน 100% ถึงแม้จะต่ำกว่า standard ของแบงก์ในยุโรป แต่ก็อยู่สูงกว่าแทบทุกธนาคารที่อยู่ในสหรัฐฯ ในฝั่งของเงินสด DB ก็มีเงินสดในงบเยอะกว่าก่อนเกิดวิกฤตปี 2008 ด้านดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) มองว่า ช่วงนี้เป็นช่วงอ่อนไหว ทุกข่าวมีความหมาย และนัยยะ เมื่อมีข่าวออกมาเมื่อวานนี้ว่า DB ต้องการที่จะซื้อหุ้นกู้ (Tier 2 Subordinated Debt) กลับก่อนกำหนด 5 ปี (ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ว่าสามารถทำได้) ซึ่งปกติแล้ว ข่าวแบบนี้จะสะท้อนว่าแบงค์อยู่ในฐานะดี สามารถลดหนี้ได้ แต่ได้กลับกลายเป็นจุดเริ่มของความผันผวนรอบใหม่ ทำให้ทุกสายตา หันไปจับจ้อง DB ถามว่า มีปัญหาอะไรเปล่า CDS ของหุ้นกู้ของ DB ปรับเพิ่มสูงขึ้น นำมาซึ่งการเทขายหุ้น ทั้งๆ ที่ช่วงที่เกิดปัญหาในสวิส เงินฝากจำนวนหนึ่งได้ไหลไปที่ DB และ DB ก็เพิ่งประกาศกำไรสูงสุดในรอบ 15 ปี ที่ประมาณ 5.5 พันล้านดอลาร์ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า การที่เกิดเช่นนี้ได้ ก็คงเพราะช่วงนี้เป็นช่วงไม่ปกติ เมื่อได้ยินข่าวอะไรที่แปลกออกไป ปัญหาก็สามารถตามมาได้ แม้กระทั่งแบงค์ที่มีฐานะที่ดีพอสมควรเช่น Deutsche Bank ก็สามารถลำบากได้ สะท้อนถึงความอ่อนไหวที่สะสมตัวจาก 1 ปีของ Perfect Storm จาก 1 ปีของการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของธนาคารกลางต่างๆที่สร้างแรงกดดันในกับระบบการเงินโลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ที่มา: https://www.blockdit.com/posts/641e5452f87dca16e28d1ade https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1059732 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Deutsche Bank News Update วิกฤตธนาคาร แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BYD DOLPHIN มาแล้ว EV รุ่นเล็กกะทัดรัด พวงมาลัยขวา เคาะ 7.99 แสนบาท เปิดจองที่แรกในโลก - FINNOMENA BYD เปิดตัว BYD DOLPHIN รถบนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา รุ่นเล็กกะทัดรัดที่ทุกคนรอคอย พร้อมเปิดให้จองรุ่น Standard Range ในราคาคาดการณ์จำหน่าย 799,999 บาท ในงานมอเตอร์โชว์ 22 มี.ค. 2566 BYD เปิดตัว BYD DOLPHIN รถบนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา รุ่นเล็กกะทัดรัดที่ทุกคนรอคอย พร้อมเปิดให้จองรุ่น Standard Range ในราคาคาดการณ์จำหน่าย 799,999 บาท ในงานมอเตอร์โชว์ สำหรับหน้าตาของเจ้า BYD DOLPHIN จะใกล้เคียงกับรถยนต์ค่ายคู่แข่งอย่าง ORA Good Cat แต่สั้นและแคบกว่านิดหน่อย โดยมิติตัวถัง ยาว 4,150 มิลลิเมตร กว้าง 1,770 มิลลิเมตร สูง 1,570 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ไทยรัฐออนไลน์ระบุสเปค Dolphin EV ว่า ใช้แพลตฟอร์มไฟฟ้า 100% e-Platform 3.0 เหมือนกับรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ BYD ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ห้องโดยสารกว้างขวาง ตัวถังของ Dolphin ออกแบบในสไตล์แฮตช์แบ็ก ไฟหน้า LED มาพร้อม Daytime Running Light มาพร้อม Bucket Seat ทรงสปอร์ต พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้าน มือจับเปิดประตูออกแบบคล้ายครีบของโลมา โดยDolphin EV ขับเคลื่อนในรูปแบบ FWD (ขับหน้า) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous ขนาด 130 kW (177 PS) แรงบิดสูงสุด 290 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ลิเธียม BYD Blade Battery ขนาด 44.9 kWh ชาร์จผ่านไฟกระแสสลับ AC, 7 kW จาก 0-100% ใช้เวลา 6 ชั่วโมง 25 นาที ส่วนการชาร์จผ่านไฟ DC, 60 kW ในรูปแบบ Fast Charging ชาร์จจาก 30-80% ใช้เวลา 30 นาที แบตเต็มวิ่งได้ไกล 405 กิโลเมตร BYD Dolphin ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchonous Motor มอเตอร์วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า กำลัง 177 แรงม้า แรงบิด 290 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ BYD Blade Battery (LFP) ความจุ 44.9 kWh มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูง ตัวเลขสมรรถนะ อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทำการต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มไกล 405 กิโลเมตร หักกลบลบหนี้จะมีไฟวิ่งไกล 350 กิโลเมตรแบบสบายๆ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ระบบชาร์จกระแสตรง DC Fast Charging สูงสุด 60 kW ชาร์จไฟจาก 30% จนถึง 80% ภายใน 30 นาที! กินกาแฟหมดแก้วแล้วรออีกหน่อยก็วิ่งได้ถึง 350 กิโลเมตร แบบสบายๆ สีตัวถังภายนอก มีให้เลือก 5 สี ส่วนภายในห้องโดยสารจะอิงไปตามภายนอก – สีชมพู Pupu Pink – สีน้ำเงิน Surf Blue – สีขาว-ส้ม Honey Orange – สีขาว-เขียว Sasha Green – สีขาว-ฟ้า Sparkling Blue สำหรับใครที่สนใจประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ลูกค้าที่ซื้อ BYD DOLPHIN จะได้สิทธิพิเศษ Rêver Care เพื่อดูแลและเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า มูลค่ารวมกว่า 150,000 บาท ประกอบด้วย ออกรถง่าย ๆ ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 39,999 บาท ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ.ระยะเวลา 1 ปี มั่นใจไปกับการรับประกันคุณภาพตัวรถและแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร อุ่นใจด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี บริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ นาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และอุปกรณ์จำเป็นอย่าง Home Charger พร้อมฟรีค่าติดตั้ง สายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้า Vtol สายชาร์จเคลื่อนที่ Portable Charger ค่าจดทะเบียน พรมเข้ารูป กรอบป้ายทะเบียน ฟิล์มหน้าจอ ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2660075 https://www.prachachat.net/motoring/news-1239023 https://www.matichon.co.th/economy/auto/news_3886392 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD BYD DOLPHIN News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: หุ้นธนาคารร่วงกดดันตลาดเอเชีย นำโดย Hang Seng ลดลง 3.32% - FINNOMENA ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงถ้วนหน้า นำโดย ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 3.32% ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ลดลง 2.0% หุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ลดลง 1.4% หุ้นจีน (CSI 300) ลดลง 0.5% 20 มี.ค. 2566 วันนี้ (20 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงถ้วนหน้า นำโดย ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 3.32% ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ลดลง 2.0% หุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ลดลง 1.4% หุ้นจีน (CSI 300) ลดลง 0.5% จากแรงเทขายในกลุ่มธนาคาร หลังทางการสวิสเซอร์แลนด์ประกาศว่า ผู้ที่ถือตราสารหนี้ Additional Tier 1 (AT1) ของธนาคาร Credit Suisse ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องรับความเสียหายไปด้วย ส่งผลให้ตราสารหนี้ AT1 และหุ้นของธนาคารต่าง ๆ ถูกเทขาย โดยเฉพาะของ ธนาคาร HSBC และธนาคาร Standard Chartered เนื่องจากกังวลว่าอาจจะได้รับความเสียหายหากสถานการณ์ลุกลาม โดยตราสารหนี้ Additional Tier 1 (AT1) เป็นตราสารทางการเงินที่ถูกสร้างขึ้นมาหลัง Global Financial Crisis ปี 2008 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานทุนของธนาคารพาณิชย์ โดยถ้าธนาคารผู้ออกตราสารหนี้ AT1 เกิดปัญหาขึ้น ตราสารหนี้ AT1 อาจถูกเปลี่ยนจากตราสารหนี้เป็นตราสารทุนได้ทันที ซึ่งหมายความว่า นักลงทุนในตราสารหนี้ AT1 อาจต้องรับความเสียหายเหมือนผู้ถือหุ้น เพื่อไม่ให้ต้นทุนในการเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินของภาครัฐฯ มากเกินไป FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้นภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียจะยังคงมีความผันผวนต่อไปโดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารและการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประกอบกับการประชุม FOMC ในวันที่ 21-22 มีนาคม ซึ่งยังคงมีความไม่แน่อนด้านนโยบายการการเงิน ดังนั้นในระยะสั้นแนะนำชะลอการลงทุน ก่อนทยอยสะสม หลังเหตุการณ์ต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย ในระยะกลางถึงยาวเรามองภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังทางจีนรายงานดัชนี PMI ที่แข็งแกร่งซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณยืนยันว่าการผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ของจีน ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นได้ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้นของตลาดหุ้นจีน (CSI300) และฮ่องกง (HSI) ประมาณ 14.8% และ 15.5% ตามลำดับหลังจากรัฐบาลจีนผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ขณะที่การปรับประมาณการกำไรของตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆอยู่ในทิศทางทรงตัว ยกเว้นเกาหลีใต้ที่ถูกปรับลดประมาณการกำไรลง ในแง่ของ Valuation ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในระดับถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ยกเว้นเกาหลีใต้และอินเดียที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เรามีมุมมองเป็นกลางต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเนื่องจากมีบางประเทศที่มีความเสี่ยงด้านผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย แต่เราชื่นชอบตลาดหุ้นจีนมากกว่า โดยแนะนำทยอยสะสมในกองทุน KT-ASHARES-A และ K-CHINA-A(A) และชื่นชอบตลาดหุ้นเวียดนามโดยแนะนำกองทุน PRINCIPAL-VNEQ-A ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
MEVT Call ตัวช่วยคัดเลือกกองทุน อย่างเมพด้วยจังหวะขั้นเทพ - FINNOMENA ช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะ MEVT Call เป็นตัวช่วยแนะนำการลงทุนรูปแบบใหม่ ของนักลงทุนปี 2023 27 เม.ย. 2566 หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากลงทุนในระยะกลาง เพื่อสร้างโอกาสทำกำไร แต่กังวลตลาด ไม่มีความมั่นใจในการเลือกกองทุน ไม่รู้ว่าจะลงทุนตอนไหนดี หรือลงทุนแต่หาจังหวะจุดเข้า-ออกไม่ได้ ลองให้ MEVT Call หรือเมพคอล ช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะ MEVT Call เป็นตัวช่วยแนะนำการลงทุนรูปแบบใหม่ ของนักลงทุนปี 2023 ในการคัดเลือกกองทุนอย่างเมพ ด้วยจังหวะขั้นเทพ เพื่อให้การลงทุนของคุณมีคุณภาพ ผ่านการคิดวิเคราะห์ที่รอบด้าน สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนกับ FINNOMENA อยู่แล้ว และอยากรู้จัก MEVT Call ให้มากขึ้นไปอีก วันนี้ FINNOMENA จะขอพาทุกคนไปเจาะลึกกับ MEVT Call ว่ามีอะไรดี ทำไมถึงมีความน่าสนใจ ? เปิดบัญชีวันนี้ รับกองทุนฟรี ! 100 บาท มีให้เลือกทั้งตราสารหนี้ จีน เวียดนาม เลือกกองทุนที่ใช่ได้เลย 👉 รับคูปอง คลิก >>> https://finno.me/mevt-oa-pro MEVT Call คืออะไรทำไมถึงเรียกว่า เมพคอล ? MEVT Call หรือ เมพคอล คือ คำแนะนำการลงทุนแบบใหม่จาก FINNOMENA Investment Team ที่เป็นตัวช่วยในการคัดเลือกกองทุนอย่างเมพในจังหวะขั้นเทพ โดยจะเน้นเจาะโอกาสการลงทุนตาม MEVT Framework เน้นปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางเทคนิคมาประกอบ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันผ่านกรอบการลงทุน 4 ด้าน ได้แก่ Macro (มหภาค) – ปัจจัยเชิงมหภาค เงินเฟ้อ นโยบายการเงินและการคลัง ประชากรศาสตร์ และอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนทิศทางเศรษฐกิจ เพื่อหาโอกาสการลงทุนที่เหมาะสม Earnings (กำไร) – วิเคราะห์การเติบโตของกำไร แนวโน้มการปรับประมาณการกำไร และงบดุลของบริษัท Valuation (มูลค่า) – การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุนว่ามีความน่าสนใจมากขนาดไหน เพื่อแนะนำเข้าลงทุนในราคาที่เหมาะสม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้ Technical (เทคนิค) – ปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ปัจจัยเชิงพื้นฐาน เช่น fund flow, sentiment, seasonal statistic และ technical analysis เพื่อการลงทุนที่รอบด้าน นำไปสู่การลงทุนที่ดีกว่า ความแตกต่างของ MEVT Call และ Tactical Call ที่มีจุดเด่นคนละด้าน – MEVT Call จะเน้นหาโอกาสการลงทุนตาม MEVT Framework ทั้ง 4 ด้าน ที่จะเน้นไปทางปัจจัยพื้นฐาน และมีปัจจัยทางเทคนิคเข้ามาวิเคราะห์ประกอบ ในกรอบระยะการลงทุน 6-12 เดือน (ระยะกลาง) ส่วนการแจ้งจุดออกจะมาจากทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยด้านเทคนิคเช่นกัน – Tactical Call จะเน้นการลงทุนแบบเก็งกำไรในกรอบระยะเวลาที่สั้น 1-3 เดือน โดยหาสัญญาณการเข้า-ออก จากการลงทุนผ่านปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก และการแจ้งจุดออกจะมาจากปัจจัยทางเทคนิคอย่างเดียว รวมกองทุนตัวเทพที่ MEVT Call จับจังหวะให้ รายชื่อกองทุน ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566 ปัจจุบัน FINNOMENA ได้ใช้ MEVT Call ในการจับจังหวะกองทุน ทั้งหมด 3 กองทุน ได้แก่ 1. ตราสารหนี้โลก UGIS-N และ UGIS-A อ่านบทวิเคราะ MEVT Call ฉบับเต็มได้ที่: MEVT Call : คว้าโอกาสลงทุนตราสารหนี้โลก 2. หุ้นจีน K-CHINA-A(A) อ่านบทวิเคราะ MEVT Call ฉบับเต็มได้ที่: MEVT Call : รักใครให้ซื้อจีน 3.หุ้นเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A อ่านบทวิเคราะ MEVT Call ฉบับเต็มได้ที่: MEVT Call : เวียดนาม ถูกและดี มีอยู่จริง! สรุป 4 จุดเด่นของ MEVT Call 1. วิเคราะห์จุดเข้าด้วยปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางเทคนิคประกอบ 2. คัดกรองกองทุนที่ดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา 3. แจ้งเตือนจุดออก (Exit Strategy) เมื่อปัจจัยเปลี่ยนไป 4. มีกระบวนการคัดเลือกสินทรัพย์ ที่มีศักยภาพในการเติบโต ให้ MEVT Call ช่วยคุณในการลงทุน คัดเลือกกองทุนอย่างเมพ ด้วยจังหวะขั้นเทพกับ “MEVT Call” 👉 ลงทุนใน MEVT Call คลิก >>> https://finno.me/mevt-web คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Knowledge Long Content MEVT Call กองทุน กองทุนต่างประเทศ แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียเผชิญแรงขาย ก่อนสหรัฐฯ รายงานข้อมูลจ้างงานคืนนี้ - FINNOMENA ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง โดยเผชิญแรงขายในเช้าวันนี้ก่อนที่สหรัฐฯรายงานตัวเลขการจ้างงานประจำเดือนกุมภาพันธ์ในช่วงค่ำของวันนี้ 10 มี.ค. 2566 วันนี้ (10 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง โดยเผชิญแรงขายในเช้าวันนี้ก่อนที่สหรัฐฯรายงานตัวเลขการจ้างงานประจำเดือนกุมภาพันธ์ในช่วงค่ำของวันนี้ อาทิ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm payroll) อัตราการว่างงานเดือนกุมภาพันธ์ และตัวเลขค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมง (Average Hourly Earnings) ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าวออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาดอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกไป นอกจากนี้ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับ sentiment ลบกดดันจาก SVB Financial Group (ซึ่งเป็นธนาคารที่เน้นปล่อยสินเชื่อในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี) ออกมาประกาศขายหุ้นมูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากเผชิญปัญหาสภาพคล่องหลังจากยอดเงินฝากจากสตาร์ทอัปลดน้อยลง ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (9 มีนาคม 2023) โดยตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 2.5% ตลาดหุ้นเกาหลี (Kospi) ลดลง 1.3% ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei) ลดลง 1.2% หุ้นจีน (CSI300) ลดลง 0.9% และตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ลดลง 0.6% FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้นภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียจะยังคงมีความผันผวนต่อไปจนถึงการประชุมเฟดในวันที่ 21-22 มีนาคม โดยอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่จะมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียคือการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ของสหรัฐฯ ในวันอังคารที่ 14 มีนาคม ในภาพระยะกลางถึงยาวเรามองภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังทางจีนรายงานดัชนี PMI ที่แข็งแกร่งซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณยืนยันว่าการผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ของจีน ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นได้ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้นของตลาดหุ้นจีน (CSI300) และฮ่องกง (HSI) ประมาณ 14.8% และ 15.5% ตามลำดับหลังจากรัฐบาลจีนผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ขณะที่การปรับประมาณการกำไรของตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆอยู่ในทิศทางทรงตัว ยกเว้นเกาหลีใต้ที่ถูกปรับลดประมาณการกำไรลง ในแง่ของ Valuation ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในระดับถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ยกเว้นเกาหลีใต้และอินเดียที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เรามีมุมมองเป็นกลางต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเนื่องจากมีบางประเทศที่มีความเสี่ยงด้านผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย แต่เราชื่นชอบตลาดหุ้นจีนมากกว่า โดยแนะนำทยอยสะสมในกองทุน KT-ASHARES-A และ K-CHINA-A(A) และชื่นชอบตลาดหุ้นเวียดนามโดยแนะนำกองทุน PRINCIPAL-VNEQ-A ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BlackRock เชื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯ มีโอกาสพุ่งแตะ 6% มองหุ้นยุโรปแข็งแกร่ง เริ่มน่าสนใจ - FINNOMENA BalckRock บริษัทบริหารสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุด 6% พร้อมมองว่า มูลค่าหุ้นบางตัวของยุโรปน่าลงทุนกว่าในสหรัฐฯ 9 มี.ค. 2566 BalckRock บริษัทบริหารสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุด 6% พร้อมมองว่า มูลค่าหุ้นบางตัวของยุโรปน่าลงทุนกว่าในสหรัฐฯ หลังประธาน Fed ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงกว่าที่เฟดเคยคาดการณ์ไว้ เพื่อทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่เฟดกำหนดไว้ BalckRock จึงคาดการณ์ว่า มีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 6% และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวต่อไประยะหนึ่งเพื่อชะลอเศรษฐกิจ และเพื่อทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลงใกล้ 2% โดยอินโฟเควสต์รายงานว่า BlackRock มองว่า เศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นมากกว่าคาด เนื่องจากไม่ได้มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยเหมือนกับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และความยืดหยุ่นดังกล่าวได้ทำให้การแก้ไขปัญหาของเฟดมีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะที่ นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนนี้ และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุดในกรอบ 5.50-5.75% ในเดือนมิ.ย. รวมทั้งเฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากนี้ BlackRock ยังมองว่า ผลประกอบการของบริษัทในยุโรปมีความยืดหยุ่นอย่างน่าประหลาดใจในไตรมาส 4 ของปี 2022 แถมยังมีผลงานที่ดีกว่าหุ้นของบริษัทในตลาดวอลล์สตรีทของสหรัฐอเมริกา The Standard Wealth รายงานว่า BlackRock ระบุว่า หุ้นในอุตสาหกรรมธนาคารกลางและพลังงานของยุโรปปรับตัวมากที่สุดในไตรมาส 4 ขณะที่รายได้จากดัชนี STOXX 600 ทั่วยุโรปเพิ่มขึ้นประมาณ 8% ต่อปีภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ แม้จะยังไม่รวมภาคพลังงานก็ตาม การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้ยุโรปเป็นภูมิภาคเดียวของโลกที่การปรับประมาณการผลประกอบการในปี 2024 สามารถกลับมาอยู่ในแดนบวก อีกทั้งรายได้ในสหราชอาณาจักรยังสร้างความประหลาดใจในเชิงบวก แม้จะมีการปรับตามขนาดของภาคการเงินและพลังงานแล้วก็ตาม อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/03/08/blackrock-says-the-federal-reserve-could-hike-interest-rates-to-a-peak-of-6percent.html https://www.cnbc.com/2023/03/07/blackrock-european-companies-showing-surprise-resilience-and-better-value-than-the-us.html https://www.ryt9.com/s/iq27/3404444 https://thestandard.co/blackrock-some-stocks-worth-investing/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BlackRock News Update ดอกเบี้ย หุ้นยุโรป แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียเปิดแดนลบถ้วนหน้า หลังพาวเวลขู่เร่งขึ้นดอกเบี้ยอีก หากคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ - FINNOMENA ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง นำโดยตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 2.5% หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย 2% 8 มี.ค. 2566 วันนี้ (8 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง นำโดยตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 2.5% หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย 2% แม้เงินเฟ้อจะชะลอลงจากจุดสูงสุดมาแล้วแต่การทำให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายยังคงต้องใช้เวลาและไม่ได้ราบรื่น ขณะที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่งกว่าที่คาด ซึ่งยังเปิดโอกาสให้เฟดสามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ข้อมูลจาก CME FedWatch Tools บ่งชี้ว่านักลงทุนคาดหวัง 72% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเฟดวันที่ 21-22 มีนาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาซึ่งนักลงทุนคาดหวังเพียง 9% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% นอกจากนี้ความกังวลดังกล่าวยังเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆให้ปรับตัวในแดนลบเช้านี้เช่นกัน ได้แก่ ตลาดหุ้นเกาหลี (KOSPI) ลดลง 1.3% ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ลดลง 0.8% ตลาดหุ้นจีน (CSI300) ลดลง 0.65% ข้อมูล ณ เวลา 9:05 น. FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้นภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียจะยังคงมีความผันผวนต่อไปจนถึงการประชุมเฟดในวันที่ 21-22 มีนาคม โดยอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่จะมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียคือการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ของสหรัฐฯ ในวันอังคารที่ 14 มีนาคม ในภาพระยะกลางถึงยาวเรามองภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังทางจีนรายงานดัชนี PMI ที่แข็งแกร่งซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณยืนยันว่าการผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ของจีน ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นได้ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้นของตลาดหุ้นจีน (CSI300) และฮ่องกง (HSI) ประมาณ 14.8% และ 15.5% ตามลำดับหลังจากรัฐบาลจีนผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ขณะที่การปรับประมาณการกำไรของตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆอยู่ในทิศทางทรงตัว ยกเว้นเกาหลีใต้ที่ถูกปรับลดประมาณการกำไรลง ในแง่ของ Valuation ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในระดับถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ยกเว้นเกาหลีใต้และอินเดียที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เรามีมุมมองเป็นกลางต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเนื่องจากมีบางประเทศที่มีความเสี่ยงด้านผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย แต่เราชื่นชอบตลาดหุ้นจีนมากกว่า โดยแนะนำทยอยสะสมในกองทุน KT-Ashares-A และ K-CHINA-A(A) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BofA มั่นใจไตรมาส 3 ปีนี้ สหรัฐฯ เศรษฐกิจถดถอยแน่ แต่เป็นการถดถอยทางเทคนิค จากการชะลอตัวของภาคธุรกิจ - FINNOMENA 7 มี.ค. 2566 ซีอีโอของ BofA มั่นใจสหรัฐฯ จะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคในไตรมาส 3 ของปีนี้ กรุงเทพธุรรกิจรายงานว่า ไบรอัน มอยนิฮานซึ่งเป็นซีอีโอของ BofA กล่าวในงาน Business Summit ที่ออสเตรเลียว่า สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในไตรมาส 3 ปีนี้ ต่อเนื่องไปยังไตรมาส 4 และยาวไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อค่อยๆ ลดลงในไตรมาสถัดไป โดยการหดตัวรายไตรมาสจะอยู่ในช่วง 0.5% ถึง 1% อย่างไรก็ตามสภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้จะไม่ลึก และจะส่งผลต่อเนื่องให้อัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลงในไตรมาส 2 ของปี 2024 โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตแบบติดลบทั้งหมด 3 ไตรมาสเนื่องจากการชะลอตัวของภาคธุรกิจ แต่ภาคการบริโภคยังเติบโตอยู่ในเกณฑ์ดี จากการคาดการณ์ สหรัฐฯ ต้องเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอยู่แล้ว แต่จะเกิดในลักษณะที่เบาบางมาก และนี่เป็นเพียงภาวะถดถอยทางเทคนิคหรือการที่ GDP (QoQ) ติดลบติดต่อกันสองครั้งเท่านั้น ไม่ใช่การย่อตัวลงของเศรษฐกิจที่รุนแรง ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1056494 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Bloomberg เผยนักลงทุนส่วนใหญ่เลือกถือ ‘เงินสด’ ในปี 2023 มองให้ผลตอบแทนสูงกว่าเอาไปลงทุน - FINNOMENA 2 ใน 3 ของนักลงทุนจำนวน 404 รายที่ตอบแบบสำรวจล่าสุดของ MLIV Pulse ระบุว่า เงินสดในพอร์ตการลงทุนของพวกเขาจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกสุทธิในปีนี้ มากกว่าที่จะถ่วงผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน 7 มี.ค. 2566 2 ใน 3 ของนักลงทุนจำนวน 404 รายที่ตอบแบบสำรวจล่าสุดของ MLIV Pulse ระบุว่า เงินสดในพอร์ตการลงทุนของพวกเขาจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกสุทธิในปีนี้ มากกว่าที่จะถ่วงผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน อินโฟเควสต์รายงานผลการสำรวจว่า บรรดานักลงทุนเลือกที่จะถือเงินสด เนื่องจากวิตกเกี่ยวกับสภาวะทางการเงินและเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน, วิตกเกี่ยวกับภาวะตลาดหมี (ตลาดขาลง), การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตลอดจนแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อพอร์ตการลงทุนเหมือนกับในปี 2022 ขณะที่นายไมเคิล วิลสัน หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นสหรัฐของมอร์แกน สแตนลีย์เปิดเผยกับบลูมเบิร์ก ทีวีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ดัชนี S&P500 อาจร่วงลงประมาณ 20% เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะอ่อนแอลง ตอนนี้เงินสดดดูเหมือนจะเป็นที่หลบภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของสหรัฐสูงพอที่จะเอาชนะพอร์ตหุ้นและพันธบัตรแบบคลาสสิก 60/40 ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2544 และแม้แต่บัญชีออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงก็จ่ายดอกเบี้ยใกล้แตะระดับ 4% แล้วในขณะนี้ ลีโอ เคลลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเวอร์เดนซ์ แคปิตอล แอดไวเซอร์ส (Verdence Capital Advisors) กล่าวว่า “เราสนับสนุนนักลงทุนให้ถือเงินสด คุณสามารถจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ขณะที่จะมีความผันผวนอย่างมากในตลาด และมีโอกาสอย่างมากที่จะเงินสดนั้นจะให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าดึงดูดใจ” อ้างอิง: https://www.ryt9.com/s/iq29/3403711 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เงินสด แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่ง 4% หลังจีนรายงานดัชนี PMI ดีเกินคาด หนุน sentiment หุ้นเอเชีย - FINNOMENA วันนี้ (1 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวขึ้น 4.2% หลังรัฐบาลจีนรายงานดัชนี PMI เดือนกุมภาพันธ์ดีกว่าที่ตลาดคาดและมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 1 มี.ค. 2566 วันนี้ (1 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวขึ้น 4.2% หลังรัฐบาลจีนรายงานดัชนี PMI เดือนกุมภาพันธ์ดีกว่าที่ตลาดคาดและมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตจีนเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 52.6 ดีกว่าตลาดคาดที่ 50.5 และดีขึ้นจากเดือนมกราคมที่ 50.1 ขณะที่ดัชนี PMI นอกภาคการผลิตอยู่ที่ 56.3 ดีกว่าตลาดคาดที่ 55.0 และดีขึ้นจากเดือนมกราคมที่ 54.4 โดยดัชนี PMI ทั้งภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตของจีนเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นมาตั้งแต่เดือนมกราคมหลังจากรัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจจีนเริ่มมีพัฒนาการดีขึ้น ก่อนหน้านี้ดัชนี PMI ของจีนได้ทำจุดต่ำสุดในเดือนธันวาคม 2022 ที่ผ่านมา การรายงานดัชนี PMI ของจีนวันนี้ยังสร้าง sentiment เชิงบวกต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียให้ปรับตัวขึ้น นำโดย ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) เพิ่มขึ้น 1.92% ตลาดหุ้นจีน (CSI300) ปรับตัวขึ้น 1.41% ตลาดหุ้นอินเดีย (Nifty50) เพิ่มขึ้น 0.78% ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (Kospi) เพิ่มขึ้น 0.42%ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei) เพิ่มขึ้น 0.26% และตลาดหุ้นไทย (SET) เพิ่มขึ้น 0.20% (ข้อมูล ณ เวลา 15:30 น.) FINNOMENA Investment Team มองว่าการรายดัชนี PMI ที่แข็งแกร่งของจีนครั้งนี้ถือว่าเป็นสัญญาณยืนยันว่าการผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ของจีน ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นได้ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อตลาดหุ้นจีน และภาพรวมตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้นของตลาดหุ้นจีน (CSI300) และฮ่องกง (HSI) ประมาณ 14.8% และ 15.5% ตามลำดับ หลังจากรัฐบาลจีนผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในแง่ของ Valuation ปัจจุบัน Forward 12m P/E ของตลาดหุ้นจีน (CSI300) อยู่ที่ 11.7 (ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในอดีต 10 ปี) ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงอยู่ที่ 9.2 (-1.6 S.D.) โดยเรามีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนและแนะนำทยอยสะสมในกองทุน KT-Ashares-A และ K-CHINA-A(A) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ต้องมีเงิน 100 ล้านบาทถึงพอเกษียณ? Bloomberg เผยผลสำรวจนักลงทุน-นักการเงิน ส่วนใหญ่หวังเงินอย่างน้อย 100 ล้านบาทก่อนเกษียณ - FINNOMENA Bloomberg ถามนักลงทุนทั่วโลกว่า “อยากเกษียณแบบสบายๆ ด้วยเงินเท่าไร?” ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่มองว่า ควรมีเงินเก็บสัก 3-5 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 100-170 ล้านบาท 1 มี.ค. 2566 Bloomberg ถามนักลงทุนทั่วโลกว่า “อยากเกษียณแบบสบายๆ ด้วยเงินเท่าไร?” ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่มองว่า ควรมีเงินเก็บสัก 3-5 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 100-170 ล้านบาท โดยนักลงทุนที่ร่วมตอบแบบสอบถามทั้งหมด 553 ราย ซึ่งประมาณ 1 ใน 3 คอบที่ 3 ล้านดอลลาร์ และอีก 1 ใน 3 ตอบว่า 5 ล้านดอลลาร์ โดยมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละภูมิภาค ในสหรัฐฯ แคนาดา เอเชีย และตะวันออกกลาง มองว่าควรมีเงินเก็บ 5 ล้านเหรียญมากที่สุด ขณะที่ออสเตรเลีย โอเชียเนีย ยุโรป และแอฟริกา มองว่าควรมีเงินเก็บ 3 ล้านเหรียญมากที่สุด ส่วนอเมริกาใต้ สัดส่วนคนที่ตอบ 3 ล้านเหรียญ และ 20 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 690 ล้านบาท มีเท่ากัน โดยนักลงส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดีว่า พวกเขาจะขยับเข้าใกล้เป้าหมายการเกษียณอายุภายในสิ้นปี 2566 หรือเก็บเงินออมได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 เพราะในปีที่แล้ว ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อในระดับสูงส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น ขณะที่เนื่องจากราคาตราสารหนี้ที่ร่วงลง ทำให้ 401(k) บัญชีเกษียณอายุของสหรัฐฯ ปรับตัวลงมา 20% ในปีที่แล้ว ส่วนในปีนี้ ทั้งนักลงทุนมืออาชีพและรายย่อยต่างคาดหวังว่าหุ้นและพันธบัตรจะกลับมามีความสัมพันธ์แบบปกตื หรือกลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกันอีกครั้ง โดยตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนคงที่จะเป็นตัวรองรับรับการขาดทุนของสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ตอบแบบสอบถามไม่แน่ใจว่า ปลายทางตัวเองจะมีเงินออมเพียงพอสำหรับการเกษียณอายุหรือเปล่า ซึ่งคนที่มั่นใจว่าเงินเก็บจะเพียงพอต่อการเกษียณอายุมีไม่ถึง 50% ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เคยปรับแผนการลงทุนเพื่อการเกษียณของตัวเอง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และผลขาดทุนจากการลงทุน โดย 56%บอกว่า ตัวเองยึดติดกับแผนการลงทุนแบบเดิม ขณะที่อีก 8% คิดว่า ตัวเองน่าจะไม่มีวันได้เกษียณอายุ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-02-21/saving-for-retirement-investors-say-you-ll-need-3-million-to-be-comfortable?sref=e4t2werz https://workpointtoday.com/investors-say-they-need-at-least-3-million-dollar-to-retire/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Kept News Update วางแผนเกษียณ เกษียณ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามลดลง 2.8% จากปัญหาการเมืองในประเทศและ NOVALAND ขอเลื่อนชำระหุ้นกู้ - FINNOMENA วันนี้ (22 ก.พ. 66) ตลาดหุ้นเวียดนาม VN30 ปรับตัวลงแรง -2.8% นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับแรงกดดันหลัง Novaland ขอขยายเวลาการชำระเงินคืนเงินต้นสำหรับหุ้นกู้ที่ออกเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2021 22 ก.พ. 2566 วันนี้ (22 ก.พ. 66) ตลาดหุ้นเวียดนาม VN30 ปรับตัวลงแรง -2.8% นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับแรงกดดันหลัง Novaland ขอขยายเวลาการชำระเงินคืนเงินต้นสำหรับหุ้นกู้ที่ออกเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2021 หรือขอแปลงการจ่ายเงินต้นเป็นสินค้าอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท โดยราคาหุ้น NOVALAND ปรับตัวลง 6.6% ถึงระดับราคาเสนอซื้อเสนอขายต่ำสุด (floor) โดยความกังวลนี้ยังสร้าง sentiment เชิงลบต่อเนื่องไปยังหุ้นกลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มธนาคารในวงกว้างด้วย นอกจากนี้ตลาดหุ้นเวียดนามยังได้รับแรงกดดันจากปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ หลังรัฐบาลมีท่าทีจะออกแนวทางใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตในภาครัฐบาล ส่งผลข้าราชการชะลอการอนุมัติโครงการต่างๆ เนื่องจากกังวลว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริตของโครงการที่ได้ลงนาม FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังคงเป็นตลาดที่มีความผันผวนในระยะสั้นเนื่องจากมีนักลงทุนลงรายย่อยเป็นสัดส่วนใหญ่ แต่หากพิจารณาในระยะกลางถึงยาวตลาดหุ้นเวียดนามมีทิศทางเชิงบวกมากขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. 2023 ฟื้นตัวสู่ 47.40 จากระดับ 46.40 ในเดือนธ.ค. 2022 (แต่ยังอยู่ในโซนหดตัว) และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อหลังจากจีนผ่อนคลายมาตร Zero Covid ด้าน Valuation ของตลาดหุ้นเวียดนามยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 8.13 เท่า หรือ -1.76 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมถึงยังมีแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่าง ๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง เราจึงแนะนำทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวในกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: กองทุน ESG เทขายหุ้น Tencent หลังบริษัทถูกปรับลดระดับความโปร่งใส จากการแทรกแซงของรัฐในธุรกิจเอกชน - FINNOMENA กองทุน ESG มากกว่า 10 แห่ง เทขายหุ้น Tencent คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากความกังวลเกี่ยวกับการตรวจสอบของจีน ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทถูกปรับลดระดับความโปร่งใส 22 ก.พ. 2566 กองทุน ESG มากกว่า 10 แห่ง เทขายหุ้น Tencent คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากความกังวลเกี่ยวกับการตรวจสอบของจีน ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทถูกปรับลดระดับความโปร่งใส เมื่อปลายเดือน ส.ค. Sustainalytics บริษัทวิจัยและจัดอันดับ ESG ได้ปรับลดอันดับ Tencent ให้อยู่ในหมวด ‘ไม่ปฏิบัติตาม’ กับหลักการของ UN ตั้งแต่นั้นมา รวมแล้วกองทุน ESG ในยุโรปมากกว่า 40 แห่ง ได้เทขายหุ้นมากกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์ แม้ว่านักลงทุน ESG จำนวนมากยังคงเป็นเจ้าของ Tencent และบริษัทอินเทอร์เน็ตอื่นๆ ของจีน แต่ความเคลื่อนไหวของกองทุนแสดงให้เห็นว่ามีความท้าทายที่เกิดจากบันทึกการสอดแนมและการปราบปรามเสรีภาพในการพูดของจีน รวมทั้งบนแพลตฟอร์มเช่น WeChat ของ Tencent Simon MacMahon หัวหน้าฝ่ายวิจัย ESG ระดับโลกของ Sustainalytics ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของ Morningstar ให้สัมภาษณ์ว่า การเซ็นเซอร์และการสอดแนมของทางการจีน กำลังขยายออกไปในเรื่องต่างๆ ทั้งศาสนา ปัญหา LGBT สงครามยูเครน และโควิด นอกจาก Tencent แล้ว บริษัทอินเทอร์เน็ตอื่นๆ อย่าง Baidu และ Weibo ก็ถูกลดอันดับเช่นกัน ซึ่งทั้งสามบริษัทมีบทบาทสำคัญในเรื่องดังกล่าว ขณะที่กองทุน Storebrand กล่าวว่า ได้ขายหุ้น Tencent ออกมาก จากการปรับลด Sustainalytics ขณะที่ Alecta กองทุนบำนาญที่ใหญ่ที่สุดของสวีเดนที่มีพอร์ตการลงทุน 107,000 ล้านดอลลาร์ ได้เทขายหุ้นเนื่องจากความเสี่ยงด้านกฎระเบียบจากการแทรกแซงของรัฐในธุรกิจเอกชน อย่างไรก็ตาม กองทุน ESG ในเอเชียไม่เห็นด้วยกับทางฝั่งยุโรป และซื้อหุ้นจีนเพิ่ม 570 ล้านดอลลาร์ในเดือน ม.ค. อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-02-21/tencent-becomes-a-can-t-touch-stock-for-some-esg-investors?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ESG News Update Tencent กองทุน ESG แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }

This dataset is the cleaned version of the airesearch/CMDF_VISTEC datasets for pretrining model. It is financial domain for Thai language.

license: cc-by-4.0

Downloads last month
7
Edit dataset card

Collection including pythainlp/thai-financial-dataset