Book,Page,LineNumber,Text 15,0017,001,[๖๖] ท. ภิกษุใดเป็นพระอรหันต์ มีกิจทำเสร็จแล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็น 15,0017,002,ผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด ภิกษุนั้นยังติดมานะหรือหนอ จึงกล่าวว่า 15,0017,003,เราพูดดังนี้บ้าง บุคคลทั้งหลายอื่นพูดกะเรา ดังนี้บ้าง ฯ 15,0017,004,[๖๗] ภ. กิเลสเป็นเครื่องผูกทั้งหลาย มิได้มีแก่ภิกษุที่ละมานะเสียแล้ว 15,0017,005,มานะและคันถะทั้งปวง อันภิกษุนั้นกำจัดเสียแล้วภิกษุเป็นผู้มีปัญญาดี 15,0017,006,ล่วงเสียแล้วซึ่งความสำคัญ ภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บ้าง บุคคล 15,0017,007,ทั้งหลายอื่นพูดกะเราดังนี้บ้าง ภิกษุนั้นฉลาด ทราบคำพูดในโลก พึง 15,0017,008,กล่าวตามสมมติที่พูดกัน ฯ 15,0017,009,ปัชโชตสูตรที่ ๖ 15,0017,010,[๖๘] ท. โลกย่อมรุ่งเรืองเพราะแสงสว่างทั้งหลายใด แสงสว่างทั้งหลายนั้น 15,0017,011,ย่อมมีอยู่เท่าไรในโลก ข้าพระองค์ทั้งหลายมาเพื่อจะทูลถามพระ 15,0017,012,ผู้มีพระภาค ไฉนจะรู้จักแสงสว่างที่ทูลถามนั้น ฯ 15,0017,013,[๖๙] ภ. แสงสว่างทั้งหลายมีอยู่ ๔ อย่างในโลก แสงสว่างที่๕ มิได้มีใน 15,0017,014,โลกนี้ ดวงอาทิตย์สว่างในกลางวัน ดวงจันทร์สว่างในกลางคืน อนึ่ง 15,0017,015,ไฟย่อมรุ่งเรืองในกลางวันและกลางคืนทุกหนแห่ง พระสัมพุทธเจ้า 15,0017,016,ประเสริฐกว่าแสงสว่างทั้งหลายแสงสว่างของพระสัมพุทธเจ้า เป็น 15,0017,017,แสงสว่างอย่างเยี่ยม ฯ 15,0017,018,สรสูตรที่ ๗ 15,0017,019,[๗๐] ท. สงสารทั้งหลายย่อมกลับแต่ที่ไหน วัฏฏะย่อมไม่เป็นไปในที่ไหน 15,0017,020,นามก็ดี รูปก็ดี ย่อมดับหมดในที่ไหน ฯ 15,0017,021,[๗๑] ภ. น้ำ ดิน ไฟ ลม ย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ใด สงสารทั้งหลายย่อมกลับ 15,0017,022,แต่ที่นี้ วัฏฏะย่อมไม่เป็นไปในที่นี้ นามก็ดีรูปก็ดี ย่อมดับหมดในที่นี้ ฯ