Book,Page,LineNumber,Text 04,0003,001,[๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลม 04,0003,002,ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:- 04,0003,003,ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม 04,0003,004,เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร 04,0003,005,เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ 04,0003,006,เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป 04,0003,007,เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ 04,0003,008,เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ 04,0003,009,เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา 04,0003,010,เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา 04,0003,011,เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน 04,0003,012,เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ 04,0003,013,เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ 04,0003,014,เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส 04,0003,015,เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้. 04,0003,016,ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม 04,0003,017,อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ 04,0003,018,เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ 04,0003,019,เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ 04,0003,020,เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ 04,0003,021,เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ 04,0003,022,เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ 04,0003,023,เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ 04,0003,024,เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ