Book,Page,LineNumber,Text 26,0022,001,[๑๖] ก็สังขารเป็นไฉน. สังขาร ๓ เหล่านี้คือ กายสังขาร 26,0022,002,วจีสังขาร จิตตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร. 26,0022,003,[๑๗] ก็อวิชชาเป็นไฉน. ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุ 26,0022,004,เกิดแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในความดับทุกข์ ความไม่รู้ในปฏิปทาที่จะให้ถึง 26,0022,005,ความดับทุกข์ นี้เรียกว่าอวิชชา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็น 26,0022,006,ปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ. . .ดังพรรณนา 26,0022,007,มาฉะนี้. ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. 26,0022,008,[๑๘] ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ 26,0022,009,สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ. . .ความดับแห่งกองทุกข์ 26,0022,010,ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. 26,0022,011,จบวิภังคสูตรที่ ๒ 26,0022,012,

อรรถกถาวิภังคสูตรที่ ๒

26,0022,013,แม้ในวิภังคสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. 26,0022,014,พึงทราบเหตุตั้งพระสูตรตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. แต่ความแปลก 26,0022,015,กันมีดังนี้ 26,0022,016,พระสูตรแรกพระองค์ทรงแสดงไว้โดยย่อ โดยอคฆติตัญญูบุคคล 26,0022,017,พระสูตรนี้ ทรงแสดงไว้โดยพิสดาร โดยวิปจิตัญญูบุคคล. ก็แลในพระ 26,0022,018,สูตรนี้ พึงกล่าวอุปมาด้วยบุรุษนำเถาวัลย์ไป ๔ อุปมา. อุปมานั้นท่าน 26,0022,019,กล่าวไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรคนั่นแล. เปรียบเหมือนบุรุษผู้นำเถาวัลย์ 26,0022,020,ไป พบยอดเถาวัลย์แล้วก็ค้นหาราก ตามแนวยอดเถาวัลย์นั้น พบราก 26,0022,021,(เถาวัลย์) แล้ว ก็ตัดที่รากเถาวัลย์ ถือเอาไปใช้ในการงานได้ฉันใด