Book,Page,LineNumber,Text 27,0018,001,ทราบว่า มีกายกระสับกระส่าย มีจิตไม่กระสับกระส่าย พระเสขะ 27,0018,002,๗ จำพวก มีกายกระสับกระส่าย มีจิตกระสับกระส่ายก็ไม่ใช่ 27,0018,003,มีจิตไม่กระสับกระส่ายก็ไม่เชิง แต่เมื่อจะคบ ย่อมคบแต่ผู้ที่มีจิตไม่ 27,0018,004,กระสับกระส่ายเท่านั้นแล. 27,0018,005,จบ อรรถกถานกุลปิตุสูตรที่ ๑ 27,0018,006,

๒. เทวทหสูตร

27,0018,007,

ว่าด้วยการกำจัดฉันทราคะในขันธ์ ๕

27,0018,008,[๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :- 27,0018,009,สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมเทวทหะของ 27,0018,010,ศากยะทั้งหลายในสักกชนบท. ครั้งนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน 27,0018,011,ปรารถนาจะไปสู่ปัจฉาภูมชนบท เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า 27,0018,012,ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง 27,0018,013,แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ 27,0018,014,ปรารถนาจะไปสู่ปัจฉาภูมชนบท เพื่ออยู่อาศัยในปัจฉาภูมชนบท. 27,0018,015,พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เธอทั้งหลายลา 27,0018,016,สารีบุตรแล้วหรือ.ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ 27,0018,017,ยังมิได้ลาท่านพระสารีบุตร. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ 27,0018,018,ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไปลาสารีบุตรเถิด สารีบุตรเป็นบัณฑิต 27,0018,019,อนุเคราะห์เพื่อนสพรหมจารี. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้า 27,0018,020,ว่าอย่างนั้น พระเจ้าข้า.