Book,Page,LineNumber,Text 26,0015,001,"อาบัติในสิกขาบทใด ต้องด้วยสมุฏฐา ๓ ข้างต้น คือ กาย, วาจา, " 26,0015,002,"กายวาจา, อันใดอันหนึ่ง ชื่อว่า อจิตตกะ [ สมุฏฐานไม่มีจิตเจือ ]." 26,0015,003,"อาบัติในสิกขาบทใด ต้องด้วยสมุฏฐาน ๓ ข้างปลาย คือ กายจิต," 26,0015,004,"วาจาจิต, กายวาจาจิต, อันใดอันหนึ่ง ชื่อว่า สจิตตกะ [ สมุฏฐาน" 26,0015,005,มีจิตเจือ ]. 26,0015,006,แต่ลำพังจิตอย่างเดียว ไม่เป็นสมุฏฐานแห่งอาบัติในสิกขาบททั้ง 26,0015,007,ปวง เพราะจิตจะคิดจะนึกอะไร ถ้าไม่ประกอบด้วยกายก็ดี ด้วยวาจา 26,0015,008,ก็ดี ก็เป็นอันไม่สำเร็จประโยชน์อะไร เช่นคิดจะฆ่าเขา หรือลักขโมย 26,0015,009,ของเขา เป็นแต่เพียงคิดเท่านั้น ไม่ไปกระทำ ก็เป็นอันไม่ต้องอาบัติ. 26,0015,010,ปาราชิก 26,0015,011,ปาราชิก แปลว่า ผู้แพ้ต่อพระศาสนา ทหารกับพระสงฆ์มี 26,0015,012,น้ำใจคล้ายกับอย่างหนึ่ง คือ กล้าหาญ บากบั่น อดทน เพื่อเอา 26,0015,013,ชัยชำนะ และไม่ชอบคำว่าแพ้ คำว่าแพ้ที่ใช้ทางพระศาสนา หมาย 26,0015,014,ความว่าต่อสู้กับบาปอกุศล มีกิเลสตัณหาเป็นต้น เมื่อมีกำลังอ่อน 26,0015,015,ปล่อยให้กิเลสตัณหาเข้าครอบงำจิต ทำให้หลงทำผิดข้อบัญญัติของ 26,0015,016,พระพุทธเจ้าขณะใด ก็ชื่อว่าเป็นผู้แพ้ และภิกษุผู้ถึงซึ่งความแพ้เพราะ 26,0015,017,ล่วงวินัยบัญญัติ ต้องอาบัติปาราชิก นับว่าเป็นผู้แพ้อย่างอุกฤษฏ์ 26,0015,018,คือขาดจากความเป็นภิกษุ แม้จะไปถือเพศคฤหัสถ์แล้วจะกลับเข้ามา 26,0015,019,ขออุปสมบทอีกไม่ได้ และจะเป็นสมณะอีกไม่ได้ตลอดชีวิต เปรียบ 26,0015,020,เหมือนบุคคลถูกประหารชีวิตเสียแล้ว จะกลับเป็นขึ้นอีกไม่ได้ ฉันใด 26,0015,021,ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว จะกลับเป็นสมณะไม่ได้ ฉันนั้น.