Book,Page,LineNumber,Text 20,0012,001,แต่เบื้องต้นจนถึงโคตรภูญาณ เท่านี้เป็นส่วนภาวนามัยกามาพจรกุศล 20,0012,002,ฝ่ายโลกุตรกุศล คือพระอริยมรรคเกิดขึ้น ณ ลำดับแห่งโคตรภูจิตนั้น 20,0012,003,ในลำดับไม่มีอันในคั่นแห่งโคตรภูจิตนั้น นั่นแลมรรค คืออริยมรรค 20,0012,004,เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งอันเป็นธรรมกำหนดรู้ทุกขสัจอยู่ ละสมุทัยสัจอยู่ 20,0012,005,ทำนิโรธสัจให้แจ้งอยู่ ให้มรรคสัจเป็นขึ้นเกิดขึ้น ลำดับนั้น ผลจิต ๒ 20,0012,006,บ้าง ๓ บ้าง เป็นวิบากแห่งมรรคจิต หน่วงนิพพานเป็นอารมณ์เกิด 20,0012,007,ขึ้นแล้ว เกิดปัจจเวกขณญาณ พิจารณามรรคผลและกิเลสที่ละแล้ว 20,0012,008,และกิเลสที่เหลืออยู่ และพิจารณานิพพาน การกบุคคลผู้เจริญวิปัสสนา 20,0012,009,ญาณหยั่งลงยังอริยภูมิแล้ว พระอริยเจ้านั้น ได้ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว 20,0012,010,ด้วยประการฉะนี้. 20,0012,011,ปัญญาอันเห็นวิเศษเห็นแจ้งชัดสังขารโดยลักษณะ ๓ เป็นเครื่อง 20,0012,012,บริสุทธิ์หมดจดรอบคอบ แห่งสัตว์ผู้เศร้าหมองด้วยเครื่องเศร้าหมอง 20,0012,013,ภายใน ให้บริสุทธิ์โดยนิปปริยาย ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้น 20,0012,014,สมเด็จพระโลกนาถผู้ฉลาดในมรรคาจึงได้ตรัสโดยสังเขปว่า ปญฺยาย 20,0012,015,ปริสุชฺฌติ และอีก ๓ คาถาว่า 20,0012,016,สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยทา ปญฺาย ปสฺสติ 20,0012,017,อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอว มคฺโค วิสุทฺธิยา 20,0012,018,เป็นต้น มีความว่า เมื่อใดบุคคลเห็นลงด้วยปัญญาว่า สังขารธรรม 20,0012,019,ที่ปัจจัยปรุงแต่ทั้งปวงไม่เที่ยง ดังนี้ เมื่อนั้นบุคคลก็เบื่อหน่ายใน 20,0012,020,ทุกข์ คือความบริหารขันธ์ร่างกาย อันเป็นมรรคาแห่งความบริสุทธิ์ 20,0012,021,คือจะให้จิตพ้นไปจากอาสวะทั้งหลาย. เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญา