Book,Page,LineNumber,Text 14,0023,001,กลายเป็นนัตถิกทิฏฐิไปก็ได้. คนอันทิฏฐิอย่างนี้เขาครอบแล้ว ย่อม 14,0023,002,เห็นผลบุญผลบาปว่าไม่มี ย่อมเห็นว่ามารดาบิดาไม่มี โดยอธิบายว่า 14,0023,003,เป็นแต่สมมติทั้งนั้น ทิฏฐิอย่างนี้ ไม่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ท่าน 14,0023,004,จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างดิ่ง ยากที่จะถอนขึ้น. ความเห็นอนัตตาพึง 14,0023,005,ปรารถนาโยนิโสมนสิการกำกับ จะได้กำหนดรู้สัจจะทั้ง ๒ คือ สมมติ- 14,0023,006,สัจจะ จริงโดยสมมติ เช่นสังขารผู้ให้เกิด ชายสมมติว่าบิดา หญิง 14,0023,007,สมมติว่ามารดา เป็นต้น ย่อมเป็นจริงโดยสมมติ เช่นเดียวกับรถ 14,0023,008,และเรือน จะพึงคัดค้านมิได้ ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถะ คือ 14,0023,009,อรรถอันลึก เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นต้น 14,0023,010,กระจายให้ละเอียดออกไปได้อีกเพียงใด ยิ่งลึกดีเพียงนั้น ย่อมเป็น 14,0023,011,จริงโดยปรมัตถะ มารดาก็ดี บิดาก็ดี ย่อมเป็นผู้อันธรรมดาควบคุม 14,0023,012,ขันธ์หรือธาตุนั้น ๆ แต่งขึ้น เหมือนรถหรือเรือนอันธรรมดาควบคุม 14,0023,013,สัมภาระนั้น ๆ ปรุงขึ้น จะพึงปฏิเสธขันธ์หรือธาตุเท่ากับสัมภาระ 14,0023,014,เครื่องปรุงเสียมิได้. การกำหนดรู้ถึงปรมัตถสัจจะ เป็นความรู้ 14,0023,015,ละเอียด ดุจรู้จักสัมภาระแห่งรถหรือแห่งเรือน รู้ละเอียดย่อมดีกว่า 14,0023,016,รู้เผิน ๆ อยู่เอง. กำหนดรู้สัจจะทั้ง ๒ นี้แล้ว จะได้ไม่เอามาค้านกัน 14,0023,017,จะได้สันนิษฐานว่า เป็นแต่ลึกกว่ากัน. แม้เพ่งในทางปรมัตถะ 14,0023,018,สังขารทั้งหลายก็ย่อมเป็นต่าง ๆ กัน ดีบ้าง เลวบ้าง ย่อมเป็นไป 14,0023,019,ตามกฎแห่งธรรมดา กล่าวคือธรรม ย่อมอำนวยผลให้เป็นเช่นนั้น 14,0023,020,เข้าใจอย่างนี้แล้ว จะได้ไม่แล่นออกจากทางไปตกหล่ม คือมิจฉา- 14,0023,021,ทิฏฐิ. อนึ่ง จะได้ละทิฏฐิมานะ คือความถือผิดและความถือตัว