Book,Page,LineNumber,Text 06,0043,001,พระวินัยธรพึงปรับเฉพาะอาบัติถุลลัจจัย ไม่พึงปรับอาบัติทุกกฏเพราะ 06,0043,002,เดินมา หรือจับเรือเป็นต้น. 06,0043,003,อาบัติในสิกขาบทนี้ เป็นสจิตตกะ เพราะเหตุนั้น ไม่มีอาบัติ 06,0043,004,แก่ภิกษุผู้หาไถยจิตมิได้ แต่ถือเอาด้วยประการอื่น ซึงท่านแจก 06,0043,005,ไว้ว่า ถือเอาด้วยสำคัญว่าของตน ถือเอาด้วยสำคัญว่าของทิ้ง เรียกว่า 06,0043,006,บังสุกุล ถือเอาด้วยวิสาสะ ถือเอาเป็นของยืม. ถ้าของนั้น 06,0043,007,เปรตหรือสัตว์ดิรัจฉานเข้าหวงห้าม เช่นซากเนื้อที่เสือกัดกินค้าง และ 06,0043,008,มันหวงไว้เพื่อกินต่อไป ภิกษุถือเอา ท่านว่าไม่ตองอาบัติ. เพราะคำนี้ 06,0043,009,พึงสันนิษฐานว่า ในครั้นนั้นตลอดมาจนในครั้งนี้ มนุษย์เราไม่ได้ยอม 06,0043,010,ให้สัตว์ดิรัจฉานมีกรรมสิทธิ์ ในอาหารที่มันหาได้และในอื่น ๆ ซ้ำ 06,0043,011,กลับถือเอามันเป็นทรัพย์ของตนเสียด้วย. ในพระวินัยก็รับรองตามนั้น 06,0043,012,จึงได้ยกสัตว์บางเหล่าขึ้นเป็นวัตถุแห่งอทินนาทาน และไม่ปรับอาบัติ 06,0043,013,เพราะถือเอาของสัตว์ดิรัจฉาน. 06,0043,014,ในวินีตวัตถุ แสดงอนาบัติไว้นอกจากนี้อีก ๒ ประการ คือ 06,0043,015,ภิกษุไม่รู้ เช่นเดินทางจะผ่านที่เก็บภาษี คนอื่นผู้มาด้วยกัน แอบเอา 06,0043,016,รตนะซ่อนไว้ในย่ามของภิกษุ เธอพาผ่านที่เก็บภาษีไป ไม่ต้องอาบัติ. 06,0043,017,อีกประการหนึ่ง เล่าเรื่องสกุลอุปัฏฐากของท่านพระปิลันทวัจฉะ ถูก 06,0043,018,โจรปล้นพาเอาบุตรไป ๒ คน พระปิลันทวัจฉะบันดาลด้วยฤทธิ์ 06,0043,019,พาเด็ก ๒ คนนั้นกลับคืนมาได้ ตัดสินว่าไม่เป็นปาราชิก เพราะวิสัย 06,0043,020,แห่งฤทธิ์ของท่านผู้มีฤทธิ์. ในข้อหลังนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาจะเข้าใจ 06,0043,021,ว่า เพราะกรรมสิทธิ์ยังมีอยู่แก่เจ้าของเดิม ช่วยตามกลับมาให้แก่