Book,Page,LineNumber,Text 06,0003,001,ภิกษุได้เหมือนกัน. การบวชอย่างนี้ เรียกว่าติสรณคมนุปสัมปทา 06,0003,002,แปลว่า อุปสมบทด้วยถึง ๓ สรณะ. ในยุคต้นแห่งตรัสรู้ การรับเข้า 06,0003,003,หมู่หรือรับบวชให้ภิกษุ สำเร็จด้วยอำนาจบุคคล คือพระศาสดาทรง 06,0003,004,เองบ้าง สาวกทำบ้าง ด้วยประการอย่างนี้. 06,0003,005,จำเนียรกาลล่วงมา พระศาสนาเจริญแพร่หลายขึ้นโดยลำดับ 06,0003,006,มีคนนับถือมาก พุทธบริษัทมีทั้งบรรพชิตทั้งคฤหัสถ์ ทั้งชายทั้งหญิง 06,0003,007,พระศาสดามีพระประสงค์จะทรงประดิษฐานให้เป็นหลักมั่นคง พระ 06,0003,008,องค์ทรงมุ่งประโยชน์ของมหาชนยิ่งกว่าผลส่วนพระองค์เอง จึงได้ 06,0003,009,ทรงอนุญาตมอบให้สงฆ์เป็นใหญ่ในการบริหารคณะ. สงฆ์นั้นไม่ใช่ 06,0003,010,ภิกษุเฉพาะรูปดังคนสามัญเข้าใจกันอยู่ ภิกษุหลายรูปเข้าประชุมกัน 06,0003,011,เป็นหมู่เพื่อทำกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนประชุมแห่งพวกสมาชิก 06,0003,012,ของสมาคมนั้น ๆ ซึ่งมีอำนาจให้สำเร็จกิจธุระของเขา นี้เรียกว่าสงฆ์. 06,0003,013,สงฆ์นั้นย่อมมีองค์เป็นกำหนดสำหรับกิจนั้น ๆ. กิจโดยมาก ต้องการ 06,0003,014,สงฆ์มีภิกษุ ๔ รูป สงฆ์ผู้ทำกิจเช่นนี้ เรียกว่าจตุวรรค แปลว่า 06,0003,015,มีพวก ๔. แต่กิจบางอย่าง ต้องการสงฆ์มีภิกษุ ๕ รูปบ้าง ๑๐ รูป 06,0003,016,บ้าง ๒๐ รูปบ้าง สงฆ์ผู้ทำกิจเหล่านั้น เรียกว่าปัญจวรรค มีพวก ๕ 06,0003,017,ทสวรรค มีพวก ๑๐ วีสติวรรค มีพวก ๒๐ เป็นลำดับกัน. ตกมา 06,0003,018,ถึงชั้นนี้ อุปสัมปทา คือรับบวชคนให้เป็นภิกษุเข้าหมู่ จึงเป็นหน้าที่ 06,0003,019,ของสงฆ์จะพึงทำด้วยอย่างหนึ่ง พระศาสดาจึงทรงงดการประทาน 06,0003,020,อุปสมบทด้วยพระองค์เสีย และทรงเลิกการให้อุปสมบทของสาวก 06,0003,021,เสียด้วย ทรงอนุญาตให้สงฆ์ทำด้วยวิธีซึ่งเรียกว่า ญัตติจตุตถกัมม-