Book,Page,LineNumber,Text 21,0033,001,ทำในใจนึกด้วยหาอุบายมิได้. ซึ่งว่าทำในใจนึกด้วยอุบายนั้น คือให้ 21,0033,002,เป็นผู้มีสติและปัญญากำหนดพิจารณาให้เกิดความสังเวชว่า ความตายนี้ 21,0033,003,จักมีเป็นแน่ ชีวิตทีเลี้ยงร่างกายจิตใจให้สดใสเป็นอยู่นี้จักขาดไปเป็น 21,0033,004,แท้ พึงเป็นผู้มีสติและปัญญากำหนดพิจารณา ให้เกิดความสังเวชฉะนี้ 21,0033,005,อย่าได้บริกรรมบ่นเพ้อพึมพำไปแต่ปาก และถ้าบ่นเพ้อพึมพำไปไม่ได้ 21,0033,006,ตั้งสติพิจารณาด้วยปัญญา ธรรมสังเวชในความตายนั้นก็ไม่เกิดขึ้นได้ 21,0033,007,ดังนี้ชื่อว่าทำในใจนึกด้วยหาอุบายมิได้. แม้จริงเมื่อโยคาพจรกุลบุตร 21,0033,008,มาทำในใจนึกด้วยปัญญา ธรรมสังเวชในความตายนั้นก็ไม่เกิดขึ้นได้ 21,0033,009,คนที่รักใคร่มีมารดาบิดาเป็นต้น ก็มักจะโศกเศร้าเสียใจ ขณะเมื่อ 21,0033,010,ระลึกถึงความตายของคนที่ไม่รักไม่ชัง ก็มักจะเพิกเฉยเสียมิได้มีความ 21,0033,011,สังเวช ดังสัปเหร่อเห็นซากศพไม่มีความสังเวชฉะนั้น ขณะเมื่อระลึก 21,0033,012,ถึงความตายของคนที่มีเวรอันเป็นข้าศึกกัน ก็จะชื่นชมโสมนัส ขณะ 21,0033,013,เมื่อระลึกถึงความตายของตน ก็มักจะเกิดความสะดุ้งหวาดเสียวตกใจ 21,0033,014,กลัว ดังคนขลาดเป็นนายเพ็ชฌฆาตถือดาบเงือดเงื้ออยู่และมีความสะดุ้ง 21,0033,015,ตกใจกลัวฉะนั้น ความทำในใจโดยไม่แยบคาย ด้วยหาอุบายมิได้ ย่อม 21,0033,016,ประกอบไปด้วยโทษต่าง ๆ ดังพรรณนามาฉะนี้. เพราะเหตุนั้น เมื่อ 21,0033,017,โยคาพจรกุลบุตรผู้จะเจริญมรณัสสติกัมมัฏฐานนี้ พึงระลึกถึงความตาย 21,0033,018,โดยแยบคายด้วยอุบายที่ชอบ ทำให้ประกอบพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ สติ 21,0033,019,ระลึกถึงความตาย ๑ ญาณรู้ความตายจักมีแน่ ตัวจะต้องตายเป็นแท้ ๑ 21,0033,020,เกิดสังเวชสลดใจ ๑ เมื่อระลึกถึงความตายประกอบพร้อมด้วยองค์ทั้ง ๓ 21,0033,021,นี้แล้ว ก็จะข่มนีวรณธรรมทั้งสิ้นเสียได้ จิตใจก็จะตั้งมั่นเป็นขณิกสมาธิ