Book,Page,LineNumber,Text 21,0011,001,ให้พิสดาร ความว่า โยคาพจรกุลบุตรผู้มีศรัทธา ปรารถนาจะเจริญ 21,0011,002,พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้านั้น พึงทำศีลให้บริสุทธิ์ 21,0011,003,ตัดปลิโพธเครื่องกังวลในเสียให้หมด อาศัยเสนาสนะที่สงัดสมควร 21,0011,004,แก่ภาวนานุโยคแล้ว พึงนั่งบัลลังก์ขัดสมาธิตั้งกายให้ตรงแล้ว พึง 21,0011,005,ระลึกตรึกคือไปในคุณของพระพุทธเจ้า. แท้จริง คุณของพระพุทธเจ้า 21,0011,006,นั้น ถ้าจะกล่าวพรรณนาไปเป็นอย่าง ๆ และ พระคุณมากนักไม่มี 21,0011,007,ที่สุด ไม่มีประมาณ ใครมีปัญญามากรู้มาก ก็ระลึกตรึกคิดไปได้ 21,0011,008,มาก ใครมีปัญญาน้อยรู้น้อย ก็ระลึกตรึกคิดไปได้น้อย เหมือนอย่าง 21,0011,009,คนมีเชือกสายสมอยาว ทอดสมอลงไปได้ในที่น้ำลึก คนที่มีเชือกสาย 21,0011,010,สมอสั้น ทอดได้แต่ในที่น้ำตื้น ๆ ฉะนั้น. ก็พระคุณของพระพุทธเจ้า 21,0011,011,นั้น เมื่อจะย่นเข้ากล่าวให้สั้น ๆ แล้วมี ๒ อย่าง คือพระปัญญาคุณ 21,0011,012,และพระกรุณาคุณเท่านั้น. พระปรีชาญาณที่รอบรู้ทั่วไปในสภาวธรรม 21,0011,013,ที่จริงและไม่จริง สภาวธรรมที่ไม่จริงนั้น คือสมมติว่าสัตว์มนุษย์สตรี 21,0011,014,บุรุษเราเขาเป็นต้น สภาวธรรมที่จริงนั้น คือขันธ์ อายตนะ ธาตุ 21,0011,015,อินทรีย์ อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท ครั้นพระองค์ตรัสรู้สภาวธรรมที่จริง 21,0011,016,และไม่จริงฉะนี้แล้ว สภาวธรรมที่ไม่จริงนั้น พระองค์ละเสียไม่นำมา 21,0011,017,เป็นอารมณ์ สภาวธรรมที่จริงนั้นนำมาเป็นอารมณ์ พิจารณาด้วย 21,0011,018,ปัญญา เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนละกิเลสกับทั้ง 21,0011,019,วาสนาขาดจากสันดาน เป็นสมุจเฉทปหาน ข้อนี้เป็นพระปัญญาคุณ. 21,0011,020,ครั้นพระองค์มาตรัสรู้ในสภาวธรรมที่จริงและไม่จริง จนละกิเลสกับ 21,0011,021,ทั้งวาสนาของพระองค์ได้แล้ว และทรงสั่งสอนสัตว์อื่นให้รู้ตามเห็น