Book,Page,LineNumber,Text 26,0034,001,ชักนำให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกันตามลำพังอย่างหนึ่ง. 26,0034,002,การที่จะให้สำเร็จเป็นอันชักสื่อมีองค์ ๓ คือ :- 26,0034,003,๑. รับวาน [ คือรับของฝ่ายหนึ่ง ]. 26,0034,004,๒. ไปบอก [ คือนำไปบอกแก่ฝ่ายหนึ่ง ]. 26,0034,005,๓. กลับมาบอกแก่ผู้วาน. 26,0034,006,ถ้าพร้อมด้วยองค์ ๓ นี้ เป็นสังฆาทิเสส. ถ้าพร้อมด้วยองค์ ๒ 26,0034,007,เป็นถุลลัจจัย. ถ้าได้แต่องค์เดียว เป็นทุกกฏ. [ แต่พระมติของสมเด็จ 26,0034,008,พระมหาสมณเจ้า ฯ ว่า ถ้าเขาวาน ภิกษุรับคำ เป็นถุลลัจจัย บอกแก่ 26,0034,009,"อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นสังฆาทิเสส, ถ้าจัดการเอง บอกแก่ฝ่ายแรกเป็นถุล-" 26,0034,010,ลัจจัย บอกแก่ฝ่ายที่ ๒ เป็นสังฆาทิเสส ]. 26,0034,011,ถ้าผัวเมียอย่าร้างกันไป แต่ยังไม่ขาด ภิกษุพูดให้เขาสามัคคี 26,0034,012,ปรองดองกัน ไม่เป็นสังฆาทิเสส. ถ้าผัวเมียอย่าร้างกันขาดแล้ว 26,0034,013,ตามกฎหมาย ภิกษุชักโยงด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เขากลับคืนดี 26,0034,014,เป็นผัวเมียกันอย่างเดิม ปรับเป็นอาบัติสังฆาทิเสส. 26,0034,015,การที่ห้ามเช่นนี้ เพราะจะป้องกันภิกษุไม่ให้พาลูกเขาเสียลูกเสีย 26,0034,016,เต้า หรือทำให้ลูกเขาเสียคนและทำความเดือดร้อนให้แก่เขา อนึ่งในพระ 26,0034,017,พุทธศาสนา เว้นจากการมีผัวเมีย เพราะประสงค์จะตัดราคะ โทสะ โมหะ 26,0034,018,ให้สิ้นไป ก็เมื่อภิกษุไปเกี่ยวข้องกับเขารับเป็นนายหน้าให้เขาไฉนจะ 26,0034,019,เปลื้องความกังวลได้เล่า และกิจเหล่านี้ไม่ใช่กิจการของภิกษุเลย กิจของ 26,0034,020,ภิกษุมีอยู่แต่ประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เพื่อตัดราคะ โทสะ 26,0034,021,โมหะ ให้สิ้นไปและสอนผู้อื่นผู้ให้ประพฤติในสิ่งที่ดี เพื่อช่วยกันทะนุ