Book,Page,LineNumber,Text 21,0007,001,กสิณเดาะเพิกขึ้นแล้ว เหลืออยู่แต่อากาศเปล่า ด้วยบริกรรมนึกว่า 21,0007,002,อากาศไม่มีที่สุดดังนี้ เป็นอารมณ์เป็นบ่อเกิด ๑ คือ วิญญาณัญจา- 21,0007,003,ยตนะ เพ่งอรูปวิญญาณทีแรก ด้วยบริกรรมนึกว่า วิญญาณไม่มีที่สุด 21,0007,004,ดังนี้ เป็นอารมณ์เป็นบ่อเกิด ๑ คือ อากิญจัญญายตนะ เพ่งความไม่ 21,0007,005,มีแห่งอรูปวิญญาณทีแรก ด้วยบริกรรมนึกว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งไม่มีดังนี้ 21,0007,006,เป็นอารมณ์เป็นบ่อเกิด ๑ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพ่งอรูป 21,0007,007,วิญญาณที่ ๓ ด้วยบริกรรมนึกว่า นี่ละเอียดนัก ที่ประณีตนัก จะว่ามี 21,0007,008,สัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ดังนี้ เป็นอารมณ์เป็นบ่อเกิด ๑ 21,0007,009,รวมเป็นอรูป ๔ ฉะนี้. 21,0007,010,กุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญสมถภาวนานี้ เมื่อนึกถึง 21,0007,011,ธรรม ๗ หมวด แตกออกเป็น ๔๐ ประการเหล่านี้ให้เป็นอารมณ์แล้ว 21,0007,012,จะต้องศึกษาในธรรม ๗ หมวด แตกออกเป็น ๔๐ ประการเหล่านั้นให้ 21,0007,013,รู้ให้เข้าใจจำได้แม่นยำชำนาญ ครั้นศึกษารู้เข้าใจจำได้แม่นยำชำนาญ 21,0007,014,แล้ว กัมมัฏฐานบทใดเป็นที่ชอบอัธยาศัยควรแก่จิตของตน ก็พึงเพ่ง 21,0007,015,แล้ว กัมมัฏฐานบทนั้นเป็นอารมณ์เถิด. 21,0007,016,แท้จริงจริตของคนในโลกนี้มีอยู่ ๖ ประการ คือ ราคจริต 21,0007,017,ประพฤติไปตามราคะ ๑ คือ โทสจริต ประพฤติไปตามโทสะ ๑ คือ 21,0007,018,โมหจริต ประพฤติไปตามโมหะ ๑ คือ สัทธาจิต ประพฤติไปตาม 21,0007,019,ความเชื่อ ๑ คือพุทธิจริต ประพฤติไปตามความรู้จริง ๑ คือ วิตักกจริต 21,0007,020,ประพฤติไปตมวิตก ๑ รวมเป็นจริต ๖ ฉะนี้. 21,0007,021,ก็คนที่มีจิตมักโอ่โถงภาคภูมิ รักใคร่ในความสวยความงาม