Book,Page,LineNumber,Text 11,0044,001,จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นตนของเรา ดังนี้. 11,0044,002,ไม่อย่างนั้น พระองค์. 11,0044,003,ต่อไปนี้ พระศาสดาตรัสสอนเธอทั้ง ๕ ให้ละความถือมั่นใน 11,0044,004,ขันธ์ ๕ นั้น ต่อพระธรรมเทศนาข้างต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย เหตุนั้น 11,0044,005,รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ล่วงไป 11,0044,006,แล้วก็ดี ยังไม่มีมาก็ดี เกิดขึ้นจำเพาะบัดนี้ก็ดี หยาบก็ดี ละเอียด 11,0044,007,ก็ดี เลวก็ดี งามก็ดี ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี ทั้งหมดก็เป็นแต่ 11,0044,008,สักว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ส่วนนั้นท่านทั้งหลาย 11,0044,009,พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงแล้วอย่างไร ดังนี้ว่า นั่นไม่ 11,0044,010,ใช่เรา นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่ตนของเราเถิด ภิกษุทั้งหลาย 11,0044,011,อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายใน รูป เวทนา 11,0044,012,สัญญา สังขาร วิญญาณ ครั้งเบื่อหน่าย ก็ปราศจากความกำหนัด. 11,0044,013,รักใคร่ เพราะปราศจากความกำหนัดรักใคร่ จิตก็พ้นจากความถือมั่น 11,0044,014,เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็มีญาณรู้ว่าพ้นแล้ว ดังนี้ อริยสาวกนั้นรู้ชัดว่า 11,0044,015,ความเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้ประพฤติจบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำ 11,0044,016,เสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. 11,0044,017,เมื่อพระศาสดา ตรัสธรรมเทศนาอยู่ จิตของภิกษุปัญจวัคคีย์ 11,0044,018,ผู้พิจารณาภูมิธรรม ตามกระแสเทศนานั้น พ้นแล้วจากอาสวะ ไม่ 11,0044,019,ถือมั่นด้วยอุปาทาน ครั้งนั้นมีพระอรหันต์ขึ้นในโลก ๖ องค์ คือพระ- 11,0044,020,ศาสนา ๑ สาวก ๕ ด้วยประการอย่างนี้. 11,0044,021,สมัยนั้น มีกุลบุตรผู้หนึ่ง เป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี