Book,Page,LineNumber,Text 10,0018,001,ล่วงเลยมาแล้ว แต่ผู้พูดนำมาสมมติกล่าเท้าถึงความเบื้องหลังอีก 10,0018,002,คือ เรื่องราวหรือการกระทำนั้นยังไม่มาถึงส่วนอดีต กาล นี้ ท่าน 10,0018,003,"บัญญัติให้แปลว่า ""จัก-แล้ว"" แต่ถ้าลง อ อาคม ให้แปลว่า ""จัก" 10,0018,004,"ได้-แล้ว"" เช่น อุ. ว่า ภิกฺขเว สจายํ เอกสาฏโก ป€มยาเม มยฺหํ" 10,0018,005,"ทาตุํ อสกฺขิสฺส, สพฺพโสฬสกํ อลภิสฺส; สเจ มชฺฌิมยาเม ทาตุํ" 10,0018,006,"อสกฺขิสฺส, สพฺพฏฺ€กํ อลภิสฺส; ภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าพราหมณ์ " 10,0018,007,"เอกสาฎกนี้ จักได้อาจแล้วเพื่ออันให้แก่เราในปฐมยามไซร้, เขาจัก" 10,0018,008,"ได้แล้วซึ่งหมวด ๑๖ แห่งวัตถุทั้งปวง, ถ้าว่าเขาจักได้อาจแล้วเพื่อ" 10,0018,009,"อันให้ในมัชฌิมยามไซร้, เขาจักได้แล้วซึ่งหมวด ๘ แห่งวัตถุทั้งปวง." 10,0018,010,นี้แสดงให้เห็นว่า เรื่องราวได้เสร็จสิ้นมาแล้ว แต่กลับยกมากล่าว 10,0018,011,ถึงอีกครั้งหนึ่ง ในฐานะเช่นนี้ ประโยคหน้าต้องมีคำปริกัปคือ สเจ 10,0018,012,(ถ้าว่า) เสมอ เพราะเป็นคำสมมติกล่าว แต่การนั้นหาเป็นไปจริง 10,0018,013,ตามที่กล่าวไม่ เพราะผู้นั้นมิได้ทำดังที่ผู้พูดกล่าวถึง. 10,0018,014,วิธีสังเกตกาล 10,0018,015,การที่เราจะกำหนดรู้ได้ว่า กิริยาศัพท์นี้เป็นกาลอะไร ต้องอาศัย 10,0018,016,วิภัตติเป็นหลักสังเกต เพราะกิริยาศัพท์ประกอบด้วยวิภัตติแต่ละหมวด 10,0018,017,ย่อมบ่งให้ทราบกาลต่อไปในตัวด้วย ดังนี้:- 10,0018,018,กิริยาศัพท์ใด ประกอบด้วยวิภัตติตัวใดตัวหนึ่ง ในหมวดของ 10,0018,019,วิภัตติทั้ง ๓ นี้ คือ วัตตมานา ปัญจมี และ สัตตมี กิริยาศัพท์นั้น 10,0018,020,ย่อมบอก ปัจจุบันกาล. 10,0018,021,กิริยาศัพท์ใด ประกอบด้วยวิภัตติตัวใดตัวหนึ่ง ในหมวดของ