Book,Page,LineNumber,Text 45,0027,001,มนุษย์ทั้งหลายในนิคมนั้น มีศรัทธาเลื่อมใส เป็นพุทธมามกะ ธรรม- 45,0027,002,มามกะ สังฆมามกะ เห็นแม้สามเณรผู้บวชในวันนั้น ก็ทำให้เป็น 45,0027,003,เช่นพระเถระมีพรรษาตั้ง ๑๐๐ พบภิกษุสงฆ์ผู้เข้าไปบิณฑบาตในเวลา 45,0027,004,เช้าแล้ว กำลังถือเครื่องอุปกรณ์นามีข้าวปลูกและไถเป็นต้น เดินไป 45,0027,005,นาก็ดี กำลังถือเครื่องมือมีขวานเป็นต้นเข้าไปสู่ป่าก็ดี ก็วางเครื่อง 45,0027,006,อุปกรณ์เหล่านั้นเสีย พากันปัดกวาดสถานที่สำหรับนั่ง โรงฉัน ปะรำ 45,0027,007,หรือโคนไม้ ปูอาสนะ จัดตั้งเชิงบาตรและน้ำดื่มไว้เพื่อภิกษุสงฆ์ นิมนต์ 45,0027,008,ภิกษุสงฆ์ให้นั่ง ถวายข้าวยาคูและของเคี้ยวเป็นต้น ส่งภิกษุสงฆ์ผู้ทำ 45,0027,009,ภัตกิจเสร็จแล้วไป ต่อจากนั้น จึงถือเอาเครื่องอุปกรณ์เหล่านั้นไปนา 45,0027,010,หรือป่า ทำงานของตน ๆ. แม้ในที่ทำงาน ชื่อว่า การปราศรัย 45,0027,011,อย่างอื่นไม่มีแก่ชนเหล่านั้นเลย. พวกเขาย่อมพูดสรรเสริญคุณภิกษุ 45,0027,012,"สงฆ์เท่านั้นว่า "" บุคคล ๘ จำพวก คือ ท่านผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ ท่านผู้" 45,0027,013,"ตั้งอยู่ในผล ๔ ชื่อว่า อริยสงฆ์, บุคคล ๘ จำพวกนั้น ประกอบ" 45,0027,014,ด้วยศีลเช่นนี้ ด้วยมรรยาทเช่นนี้ ด้วยข้อปฏิบัติเช่นนี้ มีความละอาย 45,0027,015,"มีศีลเป็นที่รัก มีคุณอันยิ่ง. "" ชาวอัสสปุรนิคมเหล่านั้น กลับจาก" 45,0027,016,งาน รับประทานอาหารเย็นแล้ว นั่งอยู่ที่ประตูเรือนก็ดี เข้าไปยัง 45,0027,017,ห้องนอนนั่งแล้วก็ดี ย่อมกล่าวสรรเสริญคุณภิกษุสงฆ์อย่างเดียว. พระ 45,0027,018,ผู้มีพระภาค ทรงเห็นการนอบน้อมของมนุษย์เหล่านั้น เมื่อทรง 45,0027,019,อาศัยนิคมนั้นอยู่ จึงทรงแสดงมหาอัสสปุรสูตร* ในจตุตถวรรค มูล- 45,0027,020, 45,0027,021, * ม. ม. ๑๒/๔๙๖.