Book,Page,LineNumber,Text 46,0008,001,อุเปกฺขานิมิตฺตสฺสาปิ นี้ และอุเบกขานิมิตนั้น พึงทราบด้วยอำนาจ 46,0008,002,แห่งความเพ่งอารมณ์นั้น อันไม่เสมอ. เหตุแห่งราคะ โทสะ และ 46,0008,003,"โมหะ ท่านกล่าวว่า ""เป็นสุภนิมิต"" เป็นต้น โดยสังเขป ด้วยประการดัง" 46,0008,004,พรรณนามาฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระพุทธโฆษาจารย์ จึงกล่าวว่า 46,0008,005,"""ซึ่งนิมิตอันเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส."" คำว่า ทิฏฺ€มตฺเตเยว สณฺ€าติ ความ" 46,0008,006,ว่า หยุดอยู่ในอายตนะคือรูปสักว่าจักษุวิญญาณ และวิถีจิตจับแล้วเท่า 46,0008,007,นั้น ต่อจากนั้นไปไม่กำหนดอาการมีว่างามเป็นต้นอะไร ๆ เลย. บทว่า 46,0008,008,ปากฏภาวกรณโต ได้แก่ เพราะทำความเป็นสภาพปรากฏ คือทำ 46,0008,009,ความเป็นสภาพแจ่มแจ้ง. จริงอยู่ เมื่อบุคคลกำหนดอยู่ซึ่งอวัยวะ 46,0008,010,"มีมือเป็นต้น แห่งวัตถุอันเป็นข้าศึก โดยอาการมีว่างามเป็นต้น," 46,0008,011,กิเลสทั้งหลาย เมื่อเกิดขึ้นในอวัยวะมีมือเป็นต้นนั้นร่ำไป ย่อมเป็น 46,0008,012,สภาพปรากฏชัด เพราะฉะนั้น อวัยวะมีมือเป็นต้นเหล่านั้น จึงชื่อ 46,0008,013,ว่า เป็นที่ปรากฏเนือง ๆ แห่งกิเลสเหล่านั้น. ก็การกำหนดอวัยวะ 46,0008,014,มีมือเป็นต้นเหล่านั้น โดยอาการมีว่างามเป็นต้น ก็ได้แก่อาการคือการ 46,0008,015,ประชุมพร้อมแห่งภูตรูปและอุปาทายรูปอันตั้งลงแล้ว โดยอาการนั้น ๆ 46,0008,016,เพราะละอาการนั้นแล้ว สภาพอะไร ๆ ชื่อว่ามีมือเป็นต้นโดยปรมัตถะ 46,0008,017,"ย่อมไม่มี; เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ""หตฺถปาท ฯ เป ฯ อาการํ" 46,0008,018,"น คณฺหาติ"" เพื่อจะเฉลยคำถามว่า ""ก็ภิกษุย่อมยึดถือสิ่งอะไร ?""" 46,0008,019,"ท่านจึงกล่าวว่า ""ยึดถืออวัยวะน้อยใหญ่ที่มีอยู่ในสรีระนั้นนั่นเอง."" ภิกษุ" 46,0008,020,ย่อมยึดถืออวัยวะอันมีอยู่ในสรีระนั้นมีผมและขนเป็นต้น หรืออาการ 46,0008,021,สักว่าภูตรูปและอุปาทายรูปอย่างเดียว ตามความเป็นจริง. ท่านกล่าว